ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้ามภพ

    ลำดับตอนที่ #1 : ลืมตาตื่น

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 48


    หนาว!



        ราวกับว่าเข็มนับล้านเล่มทิ่มแทงเข้ามาทั่วร่างของผม ผมพยายามจะขยับ อยากแหกปากร้อง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น พร้อมกับความหนาวทรมานเกินจะทานทน



        แล้วสติผมก็ดับวูบไป



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =



        ร้อน!



        ผมรู้สึกเหมือนกับถูกแผดเผา ราวกับถูกโยนลงไปในกองเพลิงบรรลัยกัลป์ ผมปวดแสบปวดร้อน ทรมานเกินจะทานทน ผมแหกปากร้อง ดิ้นพราด แล้วพลันก็รู้สึกถึงพันธนาการที่ท่อนแขน ขา และลำตัว ผมรู้ตัวว่ากำลังลืมตาอยู่ แต่ภาพที่เห็นกลับขุ่นมัว เสียงที่ได้ยินก็บางเบา จนยากจะจับถ้อยความได้



        ครั้งนี้สติของผมไม่ดับวูบไปเหมือนครั้งก่อน เมื่อเวลาผ่านไป ความแสบร้อนนั้นก็ค่อยบรรเทาลง สายตาก็เริ่มดีขึ้น ผมพอจะมองเห็นอะไรบางอย่างแล้ว คล้ายกับมีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า ผมอยากจะพูด อยากจะคุยกับเขา ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น



        แต่จะด้วยความอ่อนเพลียหรืออะไรก็ตาม สติของผมหายไปอีกครั้ง



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =



        เสียงเพลงท่วงทำนองแปลกหูหากแต่ฟังสบายค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในโสตสัมผัสของผม แสงสว่างค่อย ๆ แรงขึ้นจนผมเริ่มแสบตา และไม่สามารถทนหลับต่อไปได้ จนต้องตื่นขึ้น



        ภาพที่ผมเห็นมันช่างสว่างจนแสบตาจริง ๆ ผมต้องกระพริบตาหลายครั้ง จึงพอจะสังเกตได้ว่านั่นคือฝ้าเพดานสีขาว และที่ผมแสบตาก็เป็นเพราะฝ้าเพดานสว่างราวกับส่องแสงได้ด้วยตัวมันเอง ซึ่งเมื่อผมกระพริบตาอีกที และภาพที่เห็นชัดขึ้นอีกนิด ก็เริ่มจะรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะเพดานนั้นไม่มีหลอดไฟอยู่เลย



        ผมเอี้ยวคอไปด้านข้าง มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบตรงกล้ามเนื้อคอจนถึงกับต้องหลับตาปี๋ แต่เมื่อความเจ็บปวดคลายลง และผมลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าผมกำลังอยู่บนเตียงทรงประหลาด ข้าง ๆ มีเครื่องเรือนรูปร่างไม่คุ้นตา และถัดออกไปก็คือผนังห้อง ที่ถ้าดูดี ๆ แล้วจะพบว่ามีส่วนหนึ่งเป็นประตูที่ออกแบบมาให้ดูแล้วช่างกลมกลืนกับผนังห้องยิ่งนัก



        ที่นี่ที่ไหน?



        คิดแล้วผมก็พยายามยันตัวขึ้น ก่อให้เกิดความเจ็บแปลบแบบเดียวที่กับที่เกิดขึ้นบนคอของผมเมื่อกี้นี้ขึ้นทั่วร่าง ทำเอาน้ำตาของผมแทบไหล แต่ยังไม่ทันที่ผมจะยันตัวขึ้นสำเร็จ ก็ปรากฏอะไรบางอย่างขึ้นตรงหน้าผมพร้อมกับเสียงดัง ติ๊ง เบา ๆ มันเหมือนกับหน้าจอทีวีที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ไม่มีตัวเครื่อง ไม่มีอะไรทั้งนั้น เหมือนกับเป็นแผ่นภาพปรากฏขึ้นเฉย ๆ ในหน้าจอนั้นเป็นภาพผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง สีสันบนภาพนั้นแม้จะไม่สวยสดนักหากแต่ว่าชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผมเห็นองค์ประกอบอื่น ๆ ที่พอจะบ่งได้ว่าเธอคงเป็นนางพยาบาลแน่ ๆ แม้จะแปลกไปจากที่ผมเคยเห็นสักเล็กน้อย เช่น นางพยาบาลที่ผมเคยเห็นไม่เหน็บอะไรแปลก ๆ หน้าตาเหมือนหูฟังซาวน์อะเบาท์ทรงประหลาดไว้ข้างหูแบบนั้น และไม่แต่งปากด้วยลิปสติกสีฟ้า



        “สวัสดีค่ะ คุณคมกฤษ ตอนนี้คุณเพิ่งจะตื่นจากภาวะหลับเย็นได้สิบชั่วโมง ทางโรงพยาบาลไม่แนะนำให้คุณเคลื่อนไหวร่างกายมากนักนะคะ กล้ามเนื้อของคุณยังไม่ฟื้นตัวดีนัก”



        ตกว่าผมชื่อคมกฤษสินะ จะว่าไปตั้งแต่ตื่นขึ้นมานี่ผมนึกอะไรไม่ออกเลย แล้วที่พยาบาลคนนี้พูดว่า ‘หลับเย็น’ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?



        “ข...ขอ...ขอโทษนะครับ” เสียงของผมก็ใช้การไม่ค่อยได้ดีนัก “ม...ไม่ทราบว่า...”



        “อีกสักครู่จะมีเจ้าหน้าที่ไปพบคุณ และจะอธิบายให้คุณฟังเองนะคะ”



        “ด...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนสิครับ...ผ...ผม...”



        “ขอให้มีความสุขกับโรงพยาบาลศิรินภานะคะ”



        พลันจอภาพตรงหน้าผมนั้นก็หายวับไปพร้อมเสียงดัง วูบ เบา ๆ พอดีกับที่ประตูที่ผมเห็นลาง ๆ เมื่อครู่นี้เปิดเลื่อนออกทางข้าง พร้อมกับที่มีร่างคนร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูนั้น แสงจากด้านนอกดูท่าทางจะสว่างกว่าในห้องนี้ไม่ใช่เล่น เพราะผมมองรูปลักษณ์ของร่างนั้นไม่ใคร่จะชัดนักเลย



        “คุณคมกฤษ อนันตภพ สินะครับ” เจ้าของร่างนั้นพูด



        “ก็...ท่าทางจะ...ใช่...ครับผม” ผมตอบออกไป เสียงของผมดีขึ้นนิดหน่อย



        “ท่าทางจะใช่หรือครับ?” เขาพูดพลางเดินมาทางผม เอามือแตะปุ่มหรือไม่ก็อะไรสักอย่างตรงขอบประตูนั้นแล้วพริบตาต่อมาก็มีเก้าอี้กลมสีขาวผุดขึ้นมาจากพื้นตรงข้างเตียงผม เขาเดินตรงมาที่เก้าอี้นั้น พอเขานั่งลงเท่านั้นแหละ ประตูก็ปิดลงทันที แสงจากข้างนอกหายไป ทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น ชายคนนี้ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินวัยสามสิบกว่า ใส่เสื้อสูทสีขาว กางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อไม่ผิดเพี้ยน สีหน้าดูท่าทางจะน่าไว้วางใจ แต่ผมรู้สึกได้ว่าคิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ผมได้ยินเสียงเขาพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า “มีผลกับสมองจริง ๆ สินะ”



        “อะไรนะครับ?”



        “อ้อ เปล่าครับ เปล่า ไม่มีอะไร เอ้อ ผมขอแนะนำตัวก่อน” เขาล้วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อ หยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง ผมเดาเอาเองว่าคงเป็นนามบัตร แต่ผมก็เดาผิด เขาเอานิ้วลูบ ๆ บัตรใบนั้น พลันมีหน้าจอแบบที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ปรากฏขึ้นตรงเหนือบัตรนั่น ผมชะโงกดูนิดหนึ่ง เห็นแต่ตัวอักษรเป็นพรืด “ผมชื่อสตีฟ ฉายแสง เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัทชีวิตนิรันดร์ คุณคมกฤษได้เข้าใช้บริการกับเราเมื่อหกสิบห้าปีที่แล้วนะครับ”



        “หกสิบห้าปี? ขอโทษครับ ปีนี้...”



        “วันนี้วันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2057 ครับ อ้อ พ.ศ. 2600 เลขสวยดีครับ ผมชอบ ถึงทุกวันนี้จะไม่มีคนใช้ พ.ศ. แล้วก็ตามเถอะ ต่อนะครับ ปี ค.ศ.1992 คุณคมกฤษลงชื่อเข้าขอรับบริการจากเรา ในกรณีที่คุณคมกฤษเสียชีวิต คุณยินยอมให้เรานำคุณเข้าสู่ภาวะหลับเย็น เพื่อรอวันที่จะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง



        ”จนเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2004 คุณคมกฤษประสบอุบัติเหตุรถชน อาการสาหัส นำส่งโรงพยาบาลแล้วแต่ก็ไม่รอด ญาติ ๆ ของคุณได้ส่งร่างของคุณมายังเราตามที่คุณทำพินัยกรรมเอาไว้” สตีฟพูดจบแล้วก็ละสายตาจากบัตรนั้น พร้อมกับเก็บมันลงกระเป๋า



        “เดี๋ยวครับ” ผมขัด “ผมเนี่ยนะ ไม่รอด”



        “ใช่ครับ บริษัทเรามีไว้เพื่อการนี้ไงครับ เรานำร่างของคุณเข้าสู่ภาวะหลับเย็น เราล้างของเหลวในร่างกายของคุณออกแล้วแทนที่ด้วยสารสังเคราะห์ที่ไม่ขยายตัวเมื่อถูกความเย็น เราไม่อยากให้เซลล์ของคุณต้องแตกโพละหรอกนะครับ หลังจากนั้นก็เก็บคุณเอาไว้ที่อุณหภูมิต่ำ ... ต่ำมากทีเดียวแหละ คุณนึกภาพไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้นผมจะไม่อธิบายอะไรมาก วิทยาการในตอนนั้นยังนำคุณกลับมาไม่ได้ แต่ในวันนี้เราทำได้แล้ว และคุณเป็นคนแรกเสียด้วย!”



        “ขอโทษครับ ผมยังงงอยู่” ผมไม่ได้โกหกนะ ผมงงจริง ๆ



        “ผมก็เหนื่อยใจนะ” ดูสตีฟเหนื่อยจริง ๆ นั่นแหละ “ผมไม่อ้อมค้อมนะ คุณเป็นคนที่ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว คุณคมกฤษ แต่ด้วยวิทยาการยุคปี 57 นี้ เราสามารถคืนชีวิตให้กับคุณได้ ปัญหาก็คือ คุณเป็นคนแรกที่ฟื้นกลับมาในลักษณะนี้ได้สำเร็จ ช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้เราได้พยายามคืนชีวิตให้กับผู้ใช้บริการไปแล้วสามราย รายแรกไม่แม้แต่จะกระดิก วิธีการละลายของเราผิดพลาด เซลล์ของเขาไหม้ไปแทบหมด ส่วนรายที่สองนั้นเกือบได้แล้ว แต่เรากะจังหวะหยุดหลอมและหล่อเย็นผิดพลาด กลายเป็นว่าเซลล์ของเขาที่ฟื้นขึ้นมาแล้วแข็งกลับไปอีกรอบ แล้วยังแตกหักอีกด้วย รายที่สามนี่เราเสียดายมาก ระบบชีวิตของเขากลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่สมองของเขาเสียหายถาวร เพิ่งมีคุณนี่แหละ ที่ตื่นมาพูดได้แบบนี้ เพราะฉะนั้นผมบอกตรง ๆ เลยว่าผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับคุณดีเหมือนกัน คุณนี่ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้เลยนะครับ”



        ผมหายงงแล้ว แต่อึ้งแทน



        “ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่น เรื่องพินัยกรรม เรื่องบริษัท...อะไรนะ...อะไรนิรันดร์เนี่ย เรื่องรถชน ไม่มีอยู่ในหัวของผมเลยนะครับ จะว่าไปก็อย่าว่าแต่เรื่องพวกนั้นเลย เอาแค่ชื่อผม ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เองจากนางพยาบาล”



        “พยาบาลอะไรครับ? ... อ้อ คุณคงหมายถึงเทคเนิร์ซนั่น โอเค ผมไม่ว่าคุณหรอกนะ โลกของคุณมันเมื่อหกสิบปีก่อน ตกลงว่าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับสมองทางความทรงจำนิดหน่อยนะครับ ถือว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสามรายที่ผมบอกไปเมื่อครู่นะ” สตีฟหยิบบัตรใบเดิมออกมา ถือไว้ใกล้ปาก แล้วพูดเบา ๆ แต่ผมก็ยังได้ยิน “ความทรงจำกระทบกระเทือนระดับเบาแบบอี มีแนวโน้มจะใช้ชีวิตได้ตามปกติ”



        สตีฟเก็บบัตรใบนั้นลงกระเป๋าอีกครั้ง แล้วพูด “เอาละ คุณคมกฤษ ตอนนี้ผมขอให้คุณใช้ชีวิตอยู่ในห้องพักนี้สักพักก่อน เราจะตรวจร่างกายคุณวันละครั้ง พอให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณฟื้นตัวดีแล้ว เราค่อยมาพูดถึงเรื่องการออกไปข้างนอกอีกที ระหว่างนี้เชิญพักตามอัธยาศัยนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไร...” เขาชี้ไปทางโต๊ะตัวเล็กๆ ข้างเตียง ที่เดียวกับที่ภาพนางพยาบาลคนเมื่อกี้ปรากฏขึ้น พอดูดีๆ แล้ว บนโต๊ะนั้นมีปุ่มอยู่ปุ่มหนึ่ง “...เรียกหาเจ้าหน้าที่ได้เสมอนะครับ”



        ครั้นพูดจบ สตีฟก็ลุกขึ้นเดินไปทางประตู เขาเอามือแตะขอบประตูทีหนึ่ง เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่หายไปพร้อมๆ กับที่ประตูเปิดออก แสงจากข้างนอกสาดเข้ามาอีกครั้ง แต่ไม่ทำให้ผมแสบตามากเหมือนทีแรก สงสัยร่างกายของผมคงจะค่อยๆ ฟื้นตัวจริงๆ



        สตีฟหันกลับมาหาผม “ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่นะครับ” แล้วเดินออกจากประตูไป ประตูปิดลงทันที แล้วในห้องนี้ก็เหลือผมเพียงคนเดียว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×