ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DRIFT CLASSROOM : 5-1\'s Stories

    ลำดับตอนที่ #1 : ลางร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 46


        สิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าผมคือผืนแผ่นดินอันรกร้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมพัดมามิขาดระยะ กลิ่นอายของแผ่นดินช่างแห้งแล้ง



        หาได้เหมือนผืนแผ่นดินที่ผมเคยพบเห็นไม่



        ถนนหายไปไหน?



        อาคารหายไปไหน?



        รถราหายไปไหน?



        ผู้คนหายไปไหน?



        ด้วยความสับสนที่ปั่นป่วนในจิตใจ ผมหันหลังกลับไปดูอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่า ที่นี่คือสถานที่ที่ผมกำลังคิดอยู่แน่หรือเปล่า



        ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนของผมหรอกหรือ?



        ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ผมเคยอาศัยอยู่หรอกหรือ?



                                                     Based on Comic and TV Series by Umesu Kasuo

                                               LONG LOVE LETTER : DRIFT CLASSROOM

                                                                    { 5-1’s Stories }




    ย้อนกลับไปเมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว



        ผมยืนอยู่บนพื้นดินที่แตกระแหง สิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าผมคือผืนแผ่นดินอันรกร้างว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมพัดมามิขาดระยะ กลิ่นอายของแผ่นดินช่างแห้งแล้ง ดูแล้วไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้



        แต่ก็มีผม ผมยืนอยู่ในโรงเรียน รู้สึกถึงความแปลกแยกได้อย่างเด่นชัด เบื้องหลังคือโรงเรียน สัญลักษณ์แห่งอารยธรรม ภายในแผ่นดินที่รกร้างว่างเปล่ายิ่งกว่าถูกทำลายด้วยระเบิดนิวเคลียร์



        ผมได้ยินเสียงกริ่ง



        มันดังขึ้นเรื่อย ๆ



        มันดังขึ้น ดังขึ้น ดังขึ้น ผมต้องเอามือปิดหู เมื่อผมมองขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นลูกไฟสีเหลืองขนาดมหึมากำลังพุ่งตรงมาที่ผม มันสว่างจ้าจนผมแสบตา ผมหลับตาลง และ...



        ผมสะดุ้งขึ้นจากเตียง



        หลังจากที่ตบนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้องมาได้ครู่หนึ่งให้หยุดดังได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังสะลึมสะลืออยู่ ผมก็ค่อย ๆ นึกถึงความฝันเมื่อครู่นี้



        ผมยืนหน้าโรงเรียน...ข้างหน้าเป็นผืนดินรกร้างว่างเปล่า...มีลูกไฟดวงโตหล่นลงมาจากท้องฟ้า...



        ฝันแปลกจริง ... สงสัยจะเป็นเพราะเมื่อคืนเพิ่งดู LOVE LOVE LETTER มาแน่ ๆ เลย แน่นอน มันจบไปตั้งแต่วันที่เจ็ดแล้ว แต่ผมอัดวิดีโอไว้ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า



        ไร้สาระชะมัด ผมพลิกตัวหมายจะนอนหลับต่อ ท่ามกลางสติที่ยังสะลึมสะลืออยู่นั้นผมพยายามคิดว่าทำไมวันนี้ผมต้องตั้งนาฬิกาปลุกให้ทำงานตั้งแต่เช้าเช่นนี้ด้วยนะ?



        อึดใจต่อมาหลังจากความเบลอเริ่มวิ่งพล่านไปกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอังคารที่ 14 ตุลาคม!



        มีนัดทำประชุมทำอุปกรณ์ทำกีฬาสี!



        และแน่นอนว่าในฐานะประธานสี ผมมีหน้าที่ต้องไปควบคุมกระบวนการทำงาน!



        ผมหยิบนาฬิกามาดูอีกครั้ง มันชี้บอกเวลา 7.43



        มายก็อด เหลือเวลาอีกแค่สิบเจ็ดนาทีเท่านั้น ผมต้องพร้อมอยู่รอเพื่อน



        ผมปัดผ่าห่มแล้วดีดร่างออกจากเตียง เท้าเปล่าย่ำลงบนพื้นปูน มือซ้ายคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วจึงผลักประตูออกกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปยังห้องน้ำที่ชั้นล่าง



        สายตาของผมกวาดผ่านนาฬิกาติดผนังที่หน้าห้องน้ำ เหลืออีกสิบหกนาที ... เห็นทีผมคงจะต้องทำทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเสียละกระมัง



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        หลังจากใช้เวลาไปพอสมควร ผมก็สะพายกระเป๋าขึ้นบ่า เหลือบมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ... เหลืออีกสี่นาที ... ผมคิดว่าน่าจะทัน หลังจากที่ผมเหลือบดูความเรียบร้อยของบ้านวูบหนึ่งแล้ว ก็ก้าวเท้าออกจากบ้าน ปิดประตู ล็อกกุญแจ และออกวิ่งไปยังโรงเรียนทันที!



        จะเรียกว่าเป็นโชคดีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ บ้านของผมอยู่ใกล้โรงเรียน – ใกล้มากจนแทบจะชะเง้อจากหน้าต่างห้องนอนไปเห็นโรงเรียนได้ เสียแต่ว่ามีอาคารหลังอื่น ๆ บังอยู่เท่านั้น



        ข้อดีของมันก็คือ ทำให้ผมเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนได้โดยใช้เวลาเพียงนิดเดียว



        แต่ข้อเสียของมันก็คือ มันทำให้ผมมักจะตื่นช้ากว่าที่ควรจะเป็น...เป็นประจำ



        มันจะเป็นคำสาปของคนบ้านใกล้โรงเรียนหรือเช่นไรก็ไม่ทราบ เพื่อนผมอีกคนหนึ่งที่อยู่ห้องเดียวกัน – ณัฐ – เขาก็มีบ้านที่ใกล้โรงเรียนไม่แพ้กัน และเขาก็มักจะมาโรงเรียนแทบไม่ทันเข้าแถวเสมอ ๆ (แต่ผมมาทันเข้าแถวเป็นประจำนะ)



        โอย เหนื่อยเหลือเกิน ตอนนี้ผมอยู่ในสวนสันติภาพ มองเห็นประตูทางออกฝั่งโรงเรียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้ว ผมวิ่งรวดเดียวจากบ้านมาถึงที่นี่ เหนื่อยไม่แพ้การฝึก รด. เลยทีเดียว



        โอ้ พูดถึง รด. พรุ่งนี้ผมก็ต้องไปฝึกอีกแล้ว อ๊าก ไม่จริง โอ๊ว โน



        โอ การฝึก รด. น่ะ มันพรุ่งนี้ ตอนนี้ผมต้องไปให้ถึงโรงเรียนก่อน ผมหลุดออกจากสวนสันติภาพมาได้แล้ว มองเห็นประตูโรงเรียนอยู่ตรงหน้า ผมหยุดยืนเพื่อรอข้ามถนน ให้รถโล่งพอเสียก่อน



        แผลผ่าตัดที่ขาขวาเจ็บวาบอีกแล้ว



        ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำใจไม่ให้นึกถึงอุบัติเหตุในครั้งนั้น มันพรากชีวิตนักเรียนไปจากผมนับเดือน และยังมอบรอยแผลเป็นหน้าตาน่ารำคาญใจเอาไว้อีกต่างหาก



        โอ๊ย คิดอะไรไร้สาระอีกแล้ว ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย ผมนี่ ตอนนี้ผมมองซ้ายมองขวา เห็นรถโล่งว่างดี รถแท็กซี่คันนั้นก็ยังอยู่ไกล คิดว่าคงไม่สร้างปัญหาอะไรให้ผมอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเปิดไฟเลี้ยวก็เถอะ



        ผมข้ามถนนมาได้อย่างสวัสดิภาพ ทันทีที่เท้าแตะถึงขอบบาทวิถีก็ออกวิ่งทันที ประตูโรงเรียนอยู่ห่างไปสิบเมตร แปดเมตร ห้าเมตร สองเมตร เมตรเดียว และ



        ตุ้บ!



        โอ๊ย ผมชนกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง นี่ผมชนใครเข้ารึนี่?



        “อ้าว โต้ง”



        เสียงฟังคุ้นหูพิกล ใครกันนะ ผมคลำศีรษะดูว่าโนตรงไหนหรือเปล่าอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นดู ผมเห็นแสงสว่าง โอ๊ะ ไม่ใช่สิ เด็กหนุ่มหน้าตาคุ้น ๆ ... แน่นอนก็ต้องคุ้นสิ นี่คือแก๊ป เพื่อนของผมอีกคนหนึ่งนี่นา



        “แก๊ป!” ผมร้องออกไปอย่างลืมตัว



        “ก็เออสิ นี่เพิ่งมาเหรอ?” แก๊ปถามขึ้น ผมมองผ่านไหล่แก๊ปไป มองเห็นใหม่และภายืนอยู่ใกล้ ๆ ข้างหลังลิบ ๆ เห็นสันติกำลังเดินมา



        “เพิ่งตื่น ... เอ้ย เพิ่งมาน่ะ” ผมตอบ เกือบหลุดปากบอกความจริงไปเสียแล้ว “มีใครมาบ้างหรือยัง?”



        “มากันให้พรึ่บแล้ว” แก๊ปตอบ “โต้งแหละ มาช้า”



        “อ้าว ก็นัดไว้แปดโมงไม่ใช่เหรอ?” ผมงง



        “บ้าน่า” ใหม่ร้อง “นัดไว้เจ็ดโมงไม่ใช่เหรอ โต้งน่ะแหละเป็นคนบอกให้พวกเรามากันเช้า ๆ จะได้ทำงานเยอะ ๆ แล้วค่อยไปเรียนอุ๊รอบบ่าย ตอนนี้ทุกคนบ่นกันให้แซ่ดเลยว่าสงสัยโต้งจะไม่มาซะแล้ว”



        ผมหน้าซีด จำไม่ได้ว่าบอกพวกเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าให้มาตอนเจ็ดโมง



        “ระวังรถ” เสียงสันติบอก ผมหันไปมองข้างหลัง คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน มองเห็นรถแท็กซี่บุคคลสีเขียวเหลืองกำลังแล่นเข้ามาในโรงเรียน คันเดียวกับที่ผมเห็นตอนจะข้ามถนนนี่นา ใครบางคนนั่งอยู่ที่เบาะหลัง แต่พวกผมมองไม่ทัน อีกอย่าง ผมไม่ค่อยสนใจด้วย



        เมื่อแท็กซี่คันนั้นผ่านไปแล้ว ผมก็หันกลับมามองหน้าแก๊ปต่อ และพยายามพูด แต่พูดไม่ค่อยได้อย่างใจคิดเท่าไรนัก เหงื่อที่หน้าเริ่มออกอีกแล้ว



        “เรา...เราจำไม่ค่อยได้ว่านัดไว้ตอนไหนอะ...ไม่ใช่แปดโมงเหรอ?”



        ผมได้ยินเสียงภาหัวเราะเบา ๆ



        ตามด้วยเสียงแก๊ปบอกว่า “ล้อเล่นน่า นัดแปดโมงน่ะแหละถูกแล้ว แต่พวกเรามากันก่อนเท่านั้นเอง”



        ปัดโธ่เอ๊ย ทำเอาผมขวัญหนีดีฝ่อหมด



        “ก็...ก็แล้วไป แล้วนี่จะไปไหนกัน?” ผมถาม



        “ไปเซเว่น” แก๊ปตอบ “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ไปด้วยกันมั้ย?”



        นั่นสินะ จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหมือนกัน โอ้ ไม่สิ มันยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อเย็นวานผมก็ยังไม่ได้กินอะไร ผมไปเรียนพิเศษตั้งแต่เช้า ดูหนังตอนบ่ายรวดเดียวสามเรื่องให้สมกับที่ไม่ได้ดูมานาน พอผมกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาของละครญี่ปุ่นเรื่อง LONG LOVE LETTER พอดี กว่าผมจะดูจบ ก็เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว และผมก็ต้องรีบนอน เพื่อวันนี้จะได้ตื่นแต่เช้า



        แต่ก็อย่างที่คุณทราบ ผมตื่นสาย อ้าว นอกเรื่องไปใหญ่แล้ว



        “ไปสิ” ผมตอบ



        “งั้นก็ไป” แก๊ปพูด แล้วเดินผ่านประตูโรงเรียน ไปยังเซเว่น-อีเลฟเว่นที่อยู่ไม่ไกลนัก ผมเดินตามไป โดยมีพวกใหม่ ภา และสันติอยู่ข้างหลัง คุยกันจนผมได้ยินเสียงจ้อกแจ้กชัดเจน แต่ผมฟังไม่ออกหรอก



        “ทำไมถึงมาเช้าล่ะแก๊ป” ผมถาม



        แก๊ปหัวเราะหึ แล้วตอบว่า “เราเอางานมาส่งน่ะ”



        “เอางานมาส่ง?” ผมทำคิ้วขมวด อาการอัตโนมัติที่ผมมักจะทำเป็นประจำเวลาสงสัยอะไรบางอย่าง อาจจะดูเหมือนผมทำหน้าซีเรียส แต่ว่าไม่ใช่นะ ผมเป็นอย่างนี้ของผมเอง “ส่งงานอะไรเอาป่านนี้”



        “ฟิสิกส์กลุ่มสันติน่ะ” แก๊ปพยักเพยิดไปทางสันติ ซึ่งก็ท่าทางจะได้ยินว่าผมกับแก๊ปคุยอะไรกัน จึงยิ้มตอบ “อาจารย์บอกให้แก้แล้วแก้อีก เพิ่งจะได้ก็คราวนี้เอง”



        “ไม่ใช่ว่าอาจารย์เขาต้องส่งคะแนนไปตั้งนานแล้วเหรอ?” ผมสวนกลับ



        ตอนนี้ผมมาถึงหน้าเซเว่นแล้ว แก๊ปเป็นคนเดินไปก่อน เอามือผลักประตู แล้วพูดว่า “ไม่รู้สิ อาจารย์เขาคงมีวิธีจัดการของเขามั้ง”



        “งั้นเหรอ” ผมพูดอยู่ในลำคอ คงไม่มีใครได้ยินหรอก



        งาน งาน งาน ถ้าจะพูดถึงแล้ว ชีวิตนักเรียน ม.ปลาย ที่ผ่านมาของผมนั้นหนักหนาสาหัสมาก งานที่ได้รับมอบหมายนั้นมีมากชิ้น และมากเรื่อง หลายชิ้นเป็นงานใหญ่ที่ต้องอดตาหลับขับตานอนทำกันเป็นอาทิตย์ มหาเวสสันดรชาดกนั่นก็งานหนึ่ง ฟิสิกส์นั่นก็งานหนึ่ง ไหนจะเป็นช่วงเลือกตั้งประธานสีอีก แค่ห้าเดือนที่ผ่านมานี้ผมทำงานไปมากพอ ๆ กับงาน ม.ต้น ทั้งสามปีรวมกันเลยทีเดียวก็ว่าได้



        ถ้าไม่ต้องทำงานพวกนี้อีกก็ดีน่ะสิ



        “ยืนทำอะไรอยู่น่ะโต้ง”



        ผมได้ยินเสียงใหม่ ผมรู้สึกตัว นี่...เมื่อครู่นี้ผมเหม่อไปอย่างนั้นรึ



        “หา...อ้อ เบลอไปหน่อยน่ะ โทษที”



        สงสัยจะยังไม่ตื่นดีนัก



        “ไม่ไหวเลยนะ” คราวนี้เป็นเสียงภา



        “ขอโทษ ขอโทษ” ผมพูด แล้วเดินเข้าเซเว่นไป



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        ตั้งแต่ผมเข้าโรงเรียนนี้มา เซเว่น-อีเลฟเว่น สาขานี้ก็ตั้งรอท่าผมอยู่แล้ว เด็กโรงเรียนเราจะรู้จักมันในนาม “เซเว่นหลังโรงเรียน” ที่ต้องเติมคำว่า ‘หลังโรงเรียน’ เข้าไปด้วยนั้น คงเป็นเพราะมีเซเว่น-อีเลฟเว่นอีกสาขาหนึ่งอยู่ที่หน้าโรงเรียน แต่คงเป็นเพราะไกลเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ความนิยมใช้บริการที่สาขานั้นน้อยกว่าสาขาหลังโรงเรียนนี้จนเทียบกันแทบไม่ได้



        เซเว่นหลังโรงเรียนนี้นับได้ว่าเป็นสถานที่ช่วยชีวิตแห่งที่สองของนักเรียนโรงเรียนของผมรองลงมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ติดกัน คราใดที่โรงอาหารโรงเรียนไม่เปิดทำการด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะด้วยว่าวันนั้นเป็นวันสอบ วันนั้นเป็นวันหยุด วันนั้นเป็นวันปิดภาคเรียน หรืออะไรก็แล้วแต่ เหล่าเด็กนักเรียนที่มาโรงเรียนในวันนั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเช่นกัน จะเพราะมาทำงาน จะเพราะมาเที่ยว จะเพราะนัดเพื่อนไว้เฉย ๆ ก็จะต้องพึ่งร้านก๋วยเตี๋ยวหลังโรงเรียน หากเคราะห์หามยามร้าย ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่เปิดอีก หรือว่าเช้าเกินไปจนร้านยังไม่เปิดเช่นวันนี้ ที่พึ่งของพวกเราก็คือ เซเว่น-อีเลฟเว่น



        เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่พบก็คือเคาน์เตอร์บริการ ซึ่งมีไว้สำหรับชำระเงินค่าสินค้า ซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์ทั้งหลายแหล่ ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์(สามอย่างนี้พวกเราไม่ค่อยได้ใช้บริการกัน) เดินไปอีกนิดหนึ่งทางซ้ายจะเป็นแผงเทป-ซีดีเพลง ส่วนนี้พวกเราไม่ค่อยได้ใช้บริการเช่นกัน ออกจะหนักไปทางบริโภคแผ่น MP3 (จากห้างชื่อดังตัวอักษรย่อ พ.) เสียมากกว่า ตรงไปอีกก้าวจะเห็นแผงไส้กรอกอยู่ทางขวา โดยปกติจะเห็นสารพัดไบท์อบอยู่ตลอดเวลา ถัดไปเป็นซุ้มเครื่องดื่ม มีเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นให้เลือก ตรงไปอีกเป็นตู้แช่เย็น ข้างในมีทั้งไส้กรอก หมูยอ แฮม อะไรประมาณนี้อัดแน่นอยู่ ตู้ข้าง ๆ ที่เป็นตู้แช่เย็นเช่นกันก็เต็มไปด้วยเครื่องดื่ม ทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ เบียร์(ห้ามซื้อ) เหล้า(ห้ามซื้อ) หากกลับหลังหัน ณ บัดนั้นก็จะเห็นกองของขบเคี้ยวอยู่ตรงหน้า เลือกกันแทบไม่หวาดไม่ไหว



        เมื่ออ้อมมาทางด้านซ้ายของร้าน จะเห็นส่วนของเครื่องอุปโภค ที่เห็นเด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นกระดาษทิชชู รองลงมาก็จะเป็นผ้าอนามัย สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน และอื่น ๆ อีกจิปาถะ เลยไปอีกจะเห็นลูกอมนานาชนิดเรียงรายกันเต็มแผง ข้างล่างลงมาเป็นช็อกโกแลตหลากหลายประเภท ทั้งราคาถูกและราคาแพง เลยไปอีกเกือบสุดร้านเป็นเครื่องสำอาง รวมทั้งสเปรย์ระงับกลิ่นกายและแปรงสีฟัน มาจนสุดหน้าร้านอีกครั้งทางขวาจะเป็นลังไอศกรีมหลากประเภท และแผงหนังสือที่ถึงแม้จะไม่หลากหลายนักแต่ก็พอแก้ขัดได้ด้วยหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ที่พร้อมจะให้หยิบไปอ่านได้ในพริบตา



        แทบทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ไม่ถึงสิบตารางเมตรนี้ มันเป็นความสะดวกสบายเหลือล้นที่ยากจะหาอะไรมาทดแทนจริง ๆ



        บางทีผมก็เคยคิดว่าถ้าไม่มี ‘เซเว่นหลังโรงเรียน’ แล้ว ชีวิตของนักเรียนโรงเรียนของเราจะเป็นอย่างไร



        มันคงเป็นชีวิตที่ยากลำบากพิลึก



    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

        “เฮ้ย ซื้ออะไรนักหนา” แก๊ปร้องทักผม



        “ไม่รู้สิ วันนี้อยากซื้อเยอะ ๆ” ผมตอบ แล้ววางตะกร้าที่เต็มไปด้วยขนมปังเป็นสิบก้อน ขนมขบเคี้ยวอีกเป็นสิบถุง และอื่น ๆ อีกมากมายจนพูนตะกร้า



        “อยากซื้อเยอะ ๆ เหรอ... แต่เราว่าแบบนี้มันบ้าเกินไปนะ” ใหม่พูดสนับสนุนแก๊ป “ยังกะจะมาค้างที่โรงเรียนแน่ะ นี่อย่าลืมนะว่าพอบ่ายเราก็ต้องไปเรียนอุ๊แล้ว ไม่ได้มีเวลากินมากมายอะไรหรอกนะ”



        “น่า” ผมตอบกลับไป “ยังไงถ้าเหลือเราเอากลับไปไว้บ้านก็ได้ ยังไงเราก็ต้องซื้ออยู่ดี”



        “งั้นเหรอ” แก๊ปพูดเหมือนจะยอม “งั้นก็ตามใจนะ เราไม่ช่วยถือนา”



        “เออน่า” ผมตอบกลับพร้อมยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ถึงนึกอยากจะซื้อของเสียเยอะแยะแบบนี้ ในขณะที่ผมมองพนักงานหน้าตาเหมือนกับอดหลับอดนอนหยิบของไปผ่านเครื่องตรวจบาร์โค้ดทีละชิ้นแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ผมซื้อของเยอะยังกะจะนอนค้างที่โรงเรียนจริง ๆ เสียด้วยสิ...



        “สามร้อยเจ็ดสิบแปดบาท เจ็ดสิบห้าสตางค์ค่ะ” เสียงพนักงานพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเหมือนจะงัวเงียนิด ๆ ท่าทางว่าเธอจะอดหลับอดนอนมาจริง ๆ เสียด้วยสิ



        “สามร้อยห้าสิบบาทไม่ได้เหรอครับ?” ปากของผมไปโดยอัตโนมัติขณะที่มือล้วงกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา



        “จะบ้าเหรอโต้ง! นี่เซเว่นนะ ไม่ใช่จตุจักร”



        เสียงภาทำให้ผมรู้สึกตัว เออ จริงด้วย เมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็เห็นพนักงานที่อยู่ตรงหน้ายิ้มเซ็ง ๆ ในใจคงคิดว่า ‘ไอ้นี่มันจะเล่นอะไรของมัน’ ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มเจื่อน ๆ แก้เขิน แล้วหยิบธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทสี่ใบยื่นให้



        อึดใจต่อมา ผมก็กำเงินทอนอยู่ในพร้อมกับถุงใส่ของกินที่ผมเพิ่งซื้อมายืนรอพวกแก๊ปอยู่ตรงหน้าเซเว่นแล้ว ไม่นานนักเช่นกันทั้งสี่คนก็เดินออกมาพร้อมถือของกันคนละนิดละหน่อย



        “ไปเหอะ” ผมบอก



        “อือ” แก๊ปรับ



        ผมเดินผ่านร้านข้าวขาหมูมา มองเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ข้างหน้า ทางขวาเป็นรถเข็นขายกุยช่ายเจ้าประจำของพวกเรา



        ผมเห็นรถเข็นขายกุยช่าย... พริบตานั้นผมคิดอะไรบางอย่างออก... นี่แหละ สุดยอด! ถ้าใช้ไอ้นี่ รับรองว่าแสตนด์เชียร์สีเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสีไหนแน่นอน ผมต้องรีบบอกคนอื่น ๆ ก่อนที่จะลืม



        “เดี๋ยวก่อน โต้ง ขอซื้อกุยช่ายก่อน” เสียงภาดังตามผมมาข้างหลัง



        ผมกลับหลังหันแล้วบอกไปว่า “เฮ้ย เข้าโรงเรียนก่อนน่า”



        “เอางั้นเหรอ...” ภาพูด



        “ก็เออสิ เข้าโรงเรียนไปก่อน ตอนนี้เราเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก แต่ต้องขอความเห็นจากคนอื่น ๆ ด้วย เอาไว้คุยเรื่องนั้นเสร็จแล้วค่อยออกมาซื้อก็ได้น่า”



        “แต่ว่า...”



        “เดี๋ยวค่อยมาก็ได้ โรงเรียนเราอยู่นี่ ร้านเขาอยู่นี่ ร้านเขาไม่หายไปไหนหรอกน่า ไปเหอะ”



        ผมเดินผ่านร้านกุยช่ายและร้านก๋วยเตี๋ยวผ่านเข้าโรงเรียนไป รู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่นี้ มันตะหงิด ๆ อยู่ในใจ เหมือนกับว่าผมพูดอะไรบางอย่างผิดไป



        ผมพยายามทำใจให้ได้ว่าผมคิดไปเอง แล้วก้าวเท้าเข้าไปในโรงเรียน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×