ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ภารกิจที่ทาทูอีน
กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว
ณ กาแล็กซี อันไกลแสนไกล
STAR WARS
THE SHADOW EMPIRE TRILOGY
EPISODE VII
SHADOW EMPIRE
หลังจากที่กองทัพกบฏอันนำโดยเจ้าหญิงเลอา ออร์กานา และ ฮัน โซโล ได้บุกเข้าทำลายดาวมรณะเป็นผลสำเร็จ และสองอัศวินเจไดพ่อลูก ลุคและอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ได้โค่นล้มจักรพรรดิลง จักรวรรดิที่ขาดผู้นำก็ระส่ำระสาย ยังความหวังมาให้เหล่าผู้คนว่านี่จะเป็นวาระสุดทายของจักรวรรดิ
แต่โชคร้ายที่จักรวรรดิได้คาดเดาเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อจักรวรรดิล่มสลาย จักรวรรดิเงาซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยจักรวรรดิก็เข้าครอบครองกาแลกซีแทนในทันที และเริ่มดำเนินการสำเร็จโทษกองทัพกบฏ กองทัพกบฏทั้งหมดถูกประหารชีวิต จักรวรรดิเงาดำเนินการนำตัวลุค สกายวอล์คเกอร์ เจไดคนสุดท้าย มาไว้ในความครอบครอง ด้วยหวังว่าจะสามารถก่อตั้งกองทัพอัศวินเจไดอันทรงพลานุภาพมาไว้ในครอบครองด้วย
ด้วยเหตุผลบางประการ ลุคยอมรับข้อเสนอนี้ของจักรวรรดิเงา และเริ่มฝึกสอนเหล่าพาดาวัน ทีละคน ทีละคน จนถึงทุกวันนี้ ที่เข้าสู่ยุครุ่งเรืองของลัทธิเจไดอีกครั้งหนึ่ง และในตอนนี้ หนึ่งอาจารย์และหนึ่งศิษย์กำลังออกปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ทาทูอีน
อุปกรณ์นำร่องผ่านไฮเปอร์สเปซ GT-823 ปรากฏขึ้นที่ระยะนอกวงโคจรของดาวทาทูอีน มันมีลักษณะคล้ายกับวงแหวนรูปร่างรีที่อยู่ในแนวนอน ตรงปลายทั้งสองข้างของวงรีมีตัวขับดันความเร่งสูงติดอยู่เพื่อที่จะเร่งความเร็วให้ถึงระดับที่สามารถเข้าสู่ไฮเปอร์สเปซได้ ระหว่างปลายทั้งสองข้างมีแกนหลักเชื่อมอยู่ และตรงกลางของแกนหลักนี้เองที่มีขอสำหรับยึดติดกับยานที่จะเดินทางผ่านไฮเปอร์สเปซ และยานลำที่ยึดอยู่กับ GT-823 นี้ ก็คือ JD-525 ยานรบสำหรับอัศวินเจได รุ่นบังคับสองบุคคล และสองบุคคลนั้น ก็คือเจไดมาสเตอร์ เคิร์ธ คาธาร์น และพาดาวันหนุ่ม ลิวมัส ลอสการ์ด ซึ่งกำลังจะไปปฏิบัติภารกิจอีกครั้งที่ทาทูอีน
      “ที่นี่หรือครับ ทาทูอีน” ลิวมัสพูดขึ้น
      “ใช่” เคิร์ธพูดพลางขยับคันปลดยาน “ดาวแห่งความแห้งแล้ง แต่เป็นบ้านเกิดของปรมาจารย์ลุค และอัศวินในตำนาน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความครอบครองของพวกฮัทท์”
      เสียงครืนที่เกิดจากการปลดสลักยึดยานดังขึ้นอยู่ภายใน
      “ข้าน่าจะได้ถามท่านก่อนหน้านี้แล้ว แต่ ข้าเคยได้ยินว่าพวกฮัทท์สูญสิ้นไปจากทาทูอีนนานแล้วมิใช่หรือ จากที่ข้าทราบว่า แจบบาเป็นพวกฮัทท์คนสุดท้าย และก็ถูกฆ่าไปตั้งแต่สมัยจักรวรรดิเก่าแล้ว”
      “อย่าพูดถึงจักรวรรดิเก่าเหมือนมันสูญสิ้นไปแล้วอย่างนั้น พาดาวัน” เคิร์ธพูดเสียงเข้ม “จักรวรรดิไม่เคยสูญสิ้น ยังคงยืนหยัดตลอดมา และสำหรับคำถามของเจ้า พวกฮัทท์ไม่ได้สูญสิ้นไปไหน ข่าวที่ว่าแจบบาเป็นฮัทท์คนสุดท้ายนั้นไม่ใช่ความจริง พวกฮัทท์ยังคงตั้งหลักแหล่งอยู่ในระบบดาวระบบใดระบบหนึ่งที่อยู่นอกเหนือการปกครองของจักรวรรดินี้นั่นแหละ หลังจากแจบบาสิ้นไป ทาทูอีนก็เป็นอิสระตลอดมา และทิงกิสก็เป็นฮัทท์อีกคนหนึ่งที่มารับช่วงครองครองทาทูอีนต่อจากนั้น เท่านั้นเอง”
      เคิร์ธขับยานที่พ้นจาก GT-823 เข้าสู่ทาทูอีน ทิ้งมันไว้ให้โคจรรอบทาทูอีน ถ้าเขาไม่กลับมา GT-823 ก็จะโคจรรอบทาทูอีนไปตลอดกาล
      “และเราก็ต้องมากำจัดเขา” ลิวมัสพูดพลางตรวจสอบระบบนำร่อง
      “แค่ขับไล่เท่านั้นแหละ พาดาวัน” เคิร์ธพูด “แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็นั่นแหละ เราต้องกำจัด”
      ยานรบเจไดเร่งความเร็วเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ลิวมัสเปิดม่านกันความร้อนไว้ที่หน้ายาน ซึ่งม่านนี้จะช่วยกันไม่ให้ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีกับชั้นบรรยากาศทำอันตรายกับยานจนลุกไหม้ และด้วยวิธีนี้ ก็ทำให้ยานสามารถผ่านชั้นบรรยากาศมาได้โดยสวัสดิภาพ
      “มอส เอสป้า อยู่ทางซ้าย” เคิร์ธพูดพลางหักคันบังคับไปตามทางที่เขาบอก “ส่งแผนที่มาซิ”
      “ครับ อาจารย์” ลิวมัสทำตามโดยไม่ขัด การทำตามคำสั่งของผู้อื่นโดยไม่ขัดเป็นนโยบายการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งเขาก็คิดว่ามันง่ายดี และคงจะไม่หันไปใช้นโยบายการใช้ชีวิตแบบอื่นอีก
      ที่อยู่เบื้องล่างอัศวินเจไดทั้งสองคือชนพื้นเมืองชาวทาทูอีน อันที่จริงจะบอกว่ามีแต่ชาวทาทูอีนก็ไม่ถูกนัก จะกลับกันเสียมากกว่า ตอนนี้ชาวทาทูอีนแท้ ๆ ที่อยู่บนดาวทาทูอีนนี่มีน้อยเหลือเกิน เพราะดาวดวงนี้เต็มไปด้วยพ่อค้า นักเดินทางที่แวะพักระหว่างทาง สลัดอวกาศ สวะอวกาศ และขยะอวกาศมากมายจนมองผ่าน ๆ นี่แทบจะไม่เห็นชาวทาทูอีนแท้ ๆ เลยสักคน
      ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของอัศวินเจไดผู้เป็นตำนานถึงสองคน แถมยังเป็นที่พำนักในบั้นปลายของโอบีวัน เคโนบิ อีกต่างหาก
      ลิวมัสพักจากหน้าจอนำร่องมาดูข้างนอก ที่เขามองเห็นมีแต่ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา เคิร์ธขับย้านพ้นมอส ไอส์ลีย์ไปแล้ว และต้องข้ามทะเลทรายนี้ไปจึงจะถึงมอส เอสป้า ถึงแม้บริเวณนี้จะเป็นทะเลทราย แต่ก็มีคนทำไร่ความชื้นอยู่เต็มไปหมด บริเวณนี้นี่เองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักในวัยเยาว์ของลุค สกายวอล์คเกอร์ ซากของบ้านหลังนั้นถูกทำลายไปแล้วโดยจักรวรรดิเก่า และยิ่งเวลาผ่านมานานขนาดนี้ คงไม่เหลืออะไรให้สังเกตอีกแล้วว่าตรงไหนคือบ้านหลังนั้น
      จักรวรรดิเก่านั่นเองหรือ ที่เป็นคนที่จ้องจะทำลายปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์
      ลิวมัสนั่งคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ในวัยเยาว์ทำอะไรผิดจึงต้องถูกตามล่าจากจักรวรรดิเก่า? แม้ข้อมูลในตำราเรียนจะอธิบายว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดในกระบวนการปฏิรูปวงการเจไดโดยละทิ้งอัศวินรุ่นเก่าและแทนที่ด้วยอัศวินรุ่นใหม่ แต่สำหรับลิวมัสแล้ว มันฟังดูใกล้เคียงกับคำว่า ฆ่าล้างกาแลกซีเหลือเกิน จักรวรรดิเก่าไม่ยอมให้มีเจไดหน้าไหนเหลือรอดมีชีวิตมาได้สักคน จะเว้นก็แต่อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ผู้เป็นบิดาของปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์
      ทำไมอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ จึงเป็นอัศวินเจไดเพียงผู้เดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษให้พ้นจากการตามล่าโดยจักรวรรดิเก่า? ทำไมอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ต้องเข้าร่วมกับจักรวรรดิเก่าในฐานะลอร์ดเวเดอร์ และเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูปวงการเจได? ทำไมปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ จึงต้องประดาบกับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ผู้เป็นบิดาแท้ ๆ ของตนเอง? ทำไมปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ต้องเข้าร่วมกับกองทัพกบฏที่มุ่งหวังจะทำลายล้างจักรวรรดิเก่า? ทำไม? ทำไม? และทำไม?
      “ถึงแล้วลิวมัส ที่นี่คือมอส เอสป้า ย่านการค้าของที่นี่”
      เสียงของเคิร์ธปลุกลิวมันให้หลุดจากภวังค์ นี่เขาเผลอไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ลิวมัสเอาสองมือตบศีรษะของเขาหนึ่งครั้งเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นอย่างเต็มที่ แล้วส่ายหน้าอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง
      “เผลอหลับรึไง” เสียงของมาสเตอร์เคิร์ธแว่วมา
      “เปล่าครับ อาจารย์ ผมเพียงแต่...”
      “ไม่ต้องแก้ตัวหรอกน่า” เคิร์ธพูดพลางลดระดับยาน “ทีหลังอย่าเผลออีกนะ”
      ลิวมัสทำหน้าหงอย
      “ครับ อาจารย์”
      ยานลงแตะพื้น ขาทั้งสามรองรับยานไว้ได้อย่างมั่นคง ตัวปรับระดับความดันของอากาศภายในและภายนอกยานเริ่มทำการปรับความดันอากาศให้เท่ากันก่อนที่ฝาครอบยานจะเปิดออก เมื่อฝาครอบยานเปิดออกแล้ว เคิร์ธเป็นคนแรกที่ลงจากยาน ตามด้วยลิวมัส ทันทีที่เท้าของลิวมัสลงแตะพื้นทราย เขาก็มองเห็นอาคารหลังมหึมาเบื้องหน้า
      หนึ่งอาจารย์ และหนึ่งศิษย์ กำลังยืนอยู่ต่อหน้าที่พำนักของมหาอำนาจแห่งทาทูอีน
      ทิงกิส เดอะ ฮัทท์
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      ทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพนักพิงอย่างเต็มที่ เวลาเบา ๆ ที่จะใช้พักผ่อนกับเขาบ้างแบบวันนี้หาได้ไม่ง่ายนัก โดยปกติแล้วเขาใช้เวลาทุกวันหมดไปกับการสะสางเรื่องร้องเรียนที่ถูกส่งมาจากเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น ซึ่งพวกนี้รับเรื่องร้องเรียนมาจากชาวบ้านอีกทอดหนึ่ง
      ชาวบ้านพวกนี้วัน ๆ ไม่ทำอะไร นอกจากเอาแต่ส่งเรื่องร้องเรียนมาให้เขาสะสาง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ หลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่เขาใช้เวลาในการสะสางน้อยกว่าเวลาที่เขาใช้คิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องมาร้องเรียนกับเขาด้วยหรือ? อย่างเช่น ส้วมตัน น้ำไม่ไหล ไฟกระพริบ หรือเตาปฏิกรณ์ส่งเสียงดังน่ารำคาญ แต่นาน ๆ ที ก็มีเรื่องที่เป็นเรื่องเป็นราวหน่อยถูกส่งมาบ้างเหมือนกัน อย่างการแพร่ระบาดของไข้หวัดเทอร์บิสในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นต้น แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็นึกเรื่องอื่นไม่ออกอีก
      ไม่ละ เขาไม่อยากจะคิดอะไรให้หนักสมอง ตลอดเวลาที่เขาถูกส่งมาดูแลทาทูอีนนี้ ไม่เคยมีปัญหาใดที่เขาแก้ไม่ได้ นอกจากปัญหาส่วนตัว เช่นความเมื่อยล้า และไขมันที่เริ่มสะสมอย่างหนาแน่นไปทั่วร่าง ตั้งแต่แก้ม ไปจนถึงหาง ที่ตอนนี้อวบอ้วนเหมือนท่อนซุงท่อนเขื่องบนเอนดอร์
      “ขอเพลงหน่อย” เขาพูดกับดรอยด์ล่ามเป็นภาษาฮัทท์
      “จะจัดให้ทันทีครับ นายท่าน” ดรอยด์ล่ามนั้นรับคำเป็นภาษาฮัทท์ แล้วจึงส่งต่อคำสั่งไปเป็นภาษากลาง ซึ่งเขาฟังไม่รู้เรื่อง
      เขาเคยพยายามฝึกพูดภาษากลางมาครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลวเมื่ออวัยวะในการออกเสียงของเขาไม่เอื้ออำนวยให้ออกเสียงในภาษากลางได้ และก็ยิ่งทำให้เขาหน่ายที่จะเรียนรู้การฟังภาษากลาง ยิ่งเดี๋ยวนี้ดรอยด์ล่ามดี ๆ หาง่ายเหมือนหาเม็ดทรายกลางทะเลทราย ก็ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ภาษาอื่นอีกเลย
      เสียงเพลงดังขึ้น ทิงกิสเหยียดหางออกเต็มที่ด้วยความผ่อนคลาย ท่วงทำนองของเพลงนั้นพัดพาจิตใจของเขาให้พ้นจากจักรวาลอันงี่เง่านี้ไปสู่ภพที่สุขสบายอย่างไม่มีที่ใดเทียบได้ และความคิดเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือ ขออย่าให้มีสิ่งใดมาขัดความสุขนี้เลย ได้โปรดเถิด
      “ขออภัยครับ นายท่าน มีแขกมาขอพบครับ” เสียงดรอยด์ล่ามดังขึ้นที่ข้างหูเขา
      ทิงกิสลืมตาตื่นจากภวังค์ “เกิดอะไรขึ้นนะ” เขาพูด
      “มีแขกครับ”
      แขกบ้าอะไรในเวลาอย่างนี้ เขากำชับยามเฝ้าประตูไว้แล้วนี่ว่าวันนี้เขางดรับแขก
      “แขกเป็นใคร?” เขาถาม
      ดรอยด์ล่ามพูดคุยกับยามสองสามประโยค แล้วจึงหันกลับมาพูดกับเขา
      “เจ้าหน้าที่จากจักรวรรดิเงาครับ”
      สติสัมปชัญญะของทิงกิสฟื้นคืนเต็มที่ทันที จักรวรรดิเงางั้นรึ! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนของจักรวรรดิมาถึงที่นี่แล้วยังมีชีวิตอยู่ แล้วยิ่งยามของเขามาแจ้งข่าวเพื่อขอคำอนุญาตเชิญคนของจักรวรรดิเข้ามาพบเขาในฐานะแขกนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
      เขารู้สึกไม่ค่อยดีเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงต้องลองเสี่ยงกันสักตั้ง อาจจะมีการเล่นตลกอะไรก็ได้
      “ให้เข้ามา” เขาพูด
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      “อย่างนี้ดีแล้วหรือครับอาจารย์” ลิวมัสถามขึ้น “ทิงกิสจะไม่สงสัยเอาหรือครับที่บอกเขาไปว่าเราเป็นคนของจักรวรรดิเงา”
      “ถ้าเจ้าได้ใช้เวลาฝึกฝนในพลังอีกสักนิด เจ้าก็จะรู้เองว่านี่คือทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด พาดาวัน” เคิร์ธพูด “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหลอกเขาว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่เก็บค่าไฟ หรืออะไร การทำแบบนั้นจะทำให้ทิงกิสบอกปัดพวกเราไปเสียมากกว่า และการใช้พลังบอกยามให้ไปรายงานกับทิงกิสว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่จักรวรรดินั้น ย่อมทำให้คนที่อยู่วงการมืออย่างทิงกิสตื่นตกใจ และร้อนตัวที่จะเรียกเราเข้าไปพบ”
      “ข้าไม่ค่อยเข้าใจวิธีคิดของพวกฮัทท์เลย” ลิวมัสพูด
      ยามชาวเทนคอร์ที่เพิ่งเดินหายเข้าไปเมื่อครู่นี้โผล่หน้าออกมาทางช่องเล็ก ๆ ที่ประตูอีกครั้งหนึ่ง เขาพูดเป็นภาษาถิ่น เคิร์ธกับลิวมัสฟังได้ความว่า ทิงกิสเชิญพวกเขาให้เข้าไปข้างในได้
      “เห็นไหม” เคิร์ธพูดพลางหันมามองศิษย์ของเขา
      ประตูเหล็กยักษ์ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ทรายร่วงกราวลงมาตามช่องเปิดที่อยู่ตรงปลายประตู ใช้เวลาไม่นานนักกว่าที่ประตูจะเปิดกว้างพอที่ศิษย์และอาจารย์จะสามารถเดินเข้าไปได้ และพวกเขาก็ไม่รอช้า เคิร์ธใชพลังกับยามเฝ้าประตู ยามนั่นเดินไปปิดประตูลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
      สภาพภายในที่พำนักของทิงกิส เดอะ ฮัทท์ นี่สวยงามกว่าที่ลิวมัสคิดเอาไว้พอสมควร โถงทางเดินนี้สว่างไสวด้วยคบไฟซึ่งเป็นผลผลิตที่ยังหลงเหลืออยู่ของรสนิยมโลว์เทคแห่งพวกฮัทท์ และตกแต่งด้วยของประดับชั้นดีที่ลิวมัสเข้าใจว่าพวกฮัทท์คงใช้เวลาสะสมมาหลายชั่วอายุ
      ลิวมัสได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากที่ที่อยู่ถัดจากทางเดินนี้ไป ไม่นานนักลิวมัสก็มาถึงที่นั้นที่ดูเหมือนกับห้องโถง ห้องโถงนั้นสว่างไสวกว่าทางเดินเป็นอันมากด้วยแสงไฟจากไฟฟ้า ทางด้านซ้ายลิวมัสมองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเวทีแสดงดนตรีพร้อมทั้งเครื่องดนตรีเก่าคร่ำคร่ามีฝุ่นจับเขรอะ ซึ่งครั้งหนึ่งคงเคยครึกครื้นไปด้วยบรรดานักแสดงทั่วสารทิศ แต่นี่กลับร้างไปราวกับว่าทิงกิสไม่เคยจัดงานมหรสพให้ตนเองเลย เสียงดนตรีที่ได้ยินอยู่นี้ก็คงดังมาจากแถบบันทึกเสียง คนระดับทิงกิสน่าจะมีอิทธิพลมากพอที่จะเรียกนักดนตรีจากไหนก็ได้มาแสดงมหรสพให้เขารับชมนี่นา แต่ทำไมที่เขาเลือกก็มีเพียงแค่เสียงดนตรีอู้ ๆ จากแถบบันทึกเสียงนี่? คำถามอีกข้อหนึ่งผุดขึ้นในใจของลิวมัสอีกแล้ว แต่เขาก็คงต้องเก็บเงียบไว้ตามเคย
      ลิวมัสมองผ่านไปยังทางขวาของห้องโถง ทิงกิสอยู่ที่นั่นเอง ในสายตาของลิวมัสแล้ว พวกฮัทท์ก็เหมือนกันไปหมด คือมีรุปร่างเหมือนหนอนอ้วน ๆ ผสมกิ้งก่าหน้าตาน่าเกลียด ใบหน้าใหญ่ ดวงตาโตแต่กลับหรี่เล็กมองเห็นรูม่านตาเป็นเส้นขีดยาว และปากที่กว้างราวกับจะเขมือบเขาลงไปได้ทั้งตัวโดยไม่ต้องกลืน
      “ท่านทิงกิส เดอะ ฮัทท์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับแขกอันทรงเกียรติจากจักรวรรดิ ไม่ทราบว่าท่านแขกผู้มีเกียรติมีธุระอันใดกับท่านทิงกิส เช่นนั้นหรือ?” ดรอยด์สีทองล่ามที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทิงกิส พูดเป็นภาษากลาง ซึ่งลิวมัสเข้าใจว่า คงเป็นบทพูดที่เอาไว้ต้อนรับแขกทุกคนที่มาเยือน
      “ไม่ต้องเหนื่อยหรอก ทรีพีโอ” เคิร์ธพูดกับดรอยด์ล่ามตัวนั้น “ข้าสามารถเจรจาภาษาฮัทท์ได้”
      “ขอบพระคุณ” ดรอยด์ล่ามนั้นโค้งตัวเล็กน้อย แล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
      “ท่านรู้จักดรอยด์ล่ามตัวนั้นด้วยหรือครับ?” ลิวมัสกระซิบกับเคิร์ธ
      แต่เคิร์ธไม่ตอบ เขาเริ่มพูดกับทิงกิสเป็นภาษาฮัทท์ “ท่านทิงกิส” เขาพูด “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน”
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      ชิชะ! แขกจากจักรวรรดิเจ้านี้สนทนากับเขาด้วยภาษาฮัทท์กระนั้นรึ! เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากจริง ๆ ระหว่างดีใจกับตระหนกหลังจากที่ไม่ได้พูดคุยด้วยภาษานี้มาหลายปี ทิงกิสคิด
      “ข้าก็ยินดีเช่นกัน แขกจากจักรวรรดิ” เขาพูด “ไม่ทราบว่าจักรวรรดิมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอันใด จนถึงกับต้องส่งทูตมาเจรจากับข้า ผู้อยู่นอกเงื้อมมือของพวกเจ้า”
      แขกจากจักรวรรดิคนสูงพูดขึ้นอีกครั้ง “พวกข้าไม่มีธุระอันใด นอกจากเพียงจะขอให้ท่านโปรดละทิ้งการครอบครองทาทูอีน และส่งทาทูอีนกลับเข้าสู่ความดูแลของจักรวรรดิอีกครั้ง เพื่อความผาสุกของประชาชน”
      “ความผาสุกของประชาชน! น่าหัวเราะ” แล้วเขาก็หัวเราะจริง ๆ ด้วย “จักรวรรดิเงาเคยปกครองประชาชนให้มีความสุขได้ที่ไหนกัน? พูดก็พูดเถอะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจักรวรรดิเคยมาสนอกสนใจประชาชนตาดำ ๆ ที่รอคอยความช่วยเหลืออยู่นี่บ้างไหม? สาธารณสุขท้องถิ่นที่จักรวรรดิจัดให้ก็ห่วยแตก ระบบชลประทานที่จักรวรรดิจัดขึ้นบนดาวแห้งแล้งแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ประชาชนยังคงขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ เดือดร้อนพวกตระกูลของข้าให้ต้องลงมาดูแล และท่านคงไม่รู้ ว่าพวกประชาชนก็ยินดีจะอยู่ภายใต้การดูแลของข้าเสียด้วย! เพราะพวกเขาได้รับสิ่งที่ไม่เคยได้รับจากจักรวรรดิ นั่นคือความสุขในการใช้ชีวิต
      “ตลอดเวลาที่จักรวรรดิปกครองพวกเขา เหล่าประชาชนมีแต่ใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวว่าวันใดพวกขาจะถูกจับไปประหารในฐานะ ‘มีพฤติกรรมอันส่อแววกบฏ’ เมื่อไหร่เท่านั้นเอง นี่ยังไม่นับการที่พวกเขาต้องถูกขูดรีดภาษีจากจักรวรรดิเกินเหตุจนเงินสกุลอิมพีเรียมไม่มีค่าที่นี่อีกต่อไป! และยังมีความเดือดร้อนอีกสารพัดอันเนื่องมาจากความล้มเหลวในระบอบการปกครองของจักรวรรดิ ได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเจ้ายังจะให้ข้าละทิ้งประชาชนผู้น่าสงสารของทาทูอีนไปอีกกระนั้นรึ?”
      แขกจากจักรวรรดิทำท่าเหมือนจะหัวเราะ แต่เขาก็ไม่หัวเราะออกมา กลับพูดต่อว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องโกหกของท่าน ทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ลูกเด็กเล็กแดงทั่วอิมเพอรานต่างก็รู้กันดีทั้งนั้นว่าพวกฮัทท์นั้นปลิ้นปล้อน และสับปลับเป็นที่หนึ่ง! ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของแจบบา เดอะ ฮัทท์ ผู้จบชีวิตอย่างน่าอนาถ หลังจากที่กล้าแหยมเข้าไปยุ่งกับจักรวรรดิ”
      “อย่าได้พูดถึงแจบบาเช่นนั้นเป็นอันขาด!” ทิงกิสไม่ได้โมโหขนาดนี้มานานแล้ว “ท่านแจบบาเป็นผู้ที่ยอมสละชีพอย่าทรงเกียรติในการต่อสู้กับจักรวรรดิเก่าอันชั่วร้าย ข้าไม่ยอมให้ท่านพูดเช่นนั้นกับท่านแจบบาเป็นอันขาด!” ทิงกิสหยิบดาบแสงที่อยู่ในลิ้นชักข้างตัวเขาขึ้นมา
      “ข้าก็ไม่ยอมให้ท่านพูดถึงจักรวรรดิเก่าราวกับมันสูญสิ้นไปแล้วอย่างนั้นเช่นกัน!” แขกจากจักรวรรดิหยิบดาบแสงของเขาขึ้นมา และเมื่อเป็นดังนั้น อีกคนหนึ่งก็หยิบขึ้นมาเช่นกัน “และจะว่าไป ข้าสนใจแต่เพียงคำสั่งที่มีมาเท่านั้น ซึ่งคำสั่งนั้นก็คือ ให้ขับไล่ท่านออกจากทาทูอีน หรือมิเช่นนั้นก็ต้องกำจัดท่านเสีย”
      “ข้าพร้อมอยู่แล้ว เจ้าจักรวรรดิชั่ว!” ทิงกิสปล่อยดาบขึ้นมาทันที แสงสีส้มสว่างวาบขึ้นต่อหน้าเขา
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      “เกิดอะไรขึ้นหรือครับอาจารย์?” ลิวมัสถามขึ้นหลังจากที่ทิงกิสปล่อยดาบแสงออกมา
      “การเจรจาล้มเหลว” เคิร์ธพูดพลางปล่อยดาบ แสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นตรงหน้า “เป้าหมายภารกิจเปลี่ยนเป็นกำจัดทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ในทันที คุ้มกันข้าด้วย พาดาวัน!”
      “ครับ อาจารย์” ลิวมัสร้องพลางเปิดดาบ แสงสีเหลืองสว่างขึ้น ไม่ทันที่เขาจะคิดอะไร แสงลำสั้น ๆ สีแดง ๆ ก็วิ่งเฉียดผ่านศีรษะเขาไป ลิวมัสหันไปข้างหลัง คนของทิงกิสจำนวนมากกำลังเล็งปืนมาที่เขา เขายกดาบในมือขึ้นมาปัดลำแสงอีกครั้งโดยอัตโนมัติ และไม่มีเวลาให้หยุดพัก เพราะจำนวนคนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นหมายถึงจำนวนกระบอกปืนด้วยเช่นกัน
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      เคิร์ธตั้งการ์ดดาบขึ้นในขณะที่ทิงกิสกระโดดจากที่นั่งลงมายังพื้น ฮัทท์คนนี้ว่องไวกว่าที่คิดเยอะ ไม่ทันที่เคิร์ธจะเปิดฉากโจมตี ทิงกิสก็วาดดาบเข้าหาเขาทางด้านข้างทำเอาเคิร์ธต้องเบี่ยงตัวรับแทบไม่ทัน
      “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านได้รับการฝึกฝนในศิลปะของเจไดด้วย” เคิร์ธพูดในขณะที่งัดดาบของทิงกิสขึ้น
      “ข้าเป็นมากกว่าที่เจ้าคิด เจไดหนุ่ม” ทิงกิสยิ้มเยาะ แล้วจึงสะบัดดาบ ทำเอาเคิร์ธกระเด็นออกไป “ไม่นึกเลยว่าจักรวรรดิเงาจะเสียดายงบประมาณจนดูถูกฝีมือข้าส่งอัศวินมาเพียงสองคน”
      “คนเดียวก็เกินพอแล้ว ฮัทท์” เคิร์ธพุ่งเข้าใส่ทิงกิส
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาจากรอบทิศทางมุ่งมายังลิวมัสคนเดียว เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อนนะ? ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นในห้องทดสอบ ที่มีดรอยด์ฝึกฝนสิบห้าตัววนไปวนมารอบ ๆ ตัวเขา คอยยิงลำแสงมาจากทุกทิศทุกทางเท่าที่ AI ของมันจะสามารถพาไปได้
      ถ้าจำไม่ผิดเขาสอบตกในการสอบครั้งนั้น
      แต่ครั้งนี้เขาจะพลาดไม่ได้ ถ้าเขาพลาด คนที่จะตายไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอาจารย์คาธาร์นด้วย และถ้าอาจารย์คาธาร์นตาย ก็เท่ากับภารกิจล้มเหลว และนำมาซึ่งความสูญเสียอีกมากมายเกินที่เขาจะจินตนาการได้
      ลิวมัสปัดลำแสงอีกชุด แล้วหันหลังไปใช้พลังกระแทกพลปืนล้มลงไป หลายคนเหมือนกัน เขาตามไปใช้ดาบแสงเก็บกวาดได้พวกที่กำลังหลบหนีอีกสามคน พลปืนที่เหลือกรูตรงมาที่เขา ไม่ถึงอึดใจเขาตัดแขนทิ้งไปได้ห้าคน ขาดกลางตัวไปคนหนึ่ง หน้าผากเป็นรูไปอีกสอง และนอนสลบไปอีกนับสิบ คงไม่เหลือแล้วมั้ง
      เสียงปืนดังขึ้นทางด้านซ้ายของเขา ท่าทางจะยังเหลืออีก ลิวมัสหันกลับไป โอไม่
      อาจารย์คาธาร์นกำลังต่อสู้กับทิงกิสและพลปืนอีกสองคน
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      “ดาบเดียวคงไม่พอสำหรับเจ้ากระมัง เจไดหนุ่ม” ทิงกิสพูดในขณะที่เขารับดาบของเคิร์ธอย่างคล่องแคล่วผิดกับรูปร่าง อันที่จริงเขาเป็นฝ่ายรุกจนเคิร์ธต้องถอยกรูดเลยด้วยซ้ำ เมื่อเขาต้องแบ่งเวลาไปรับลำแสงที่พลปืนของทิงกิสยิงมา “อยากได้ดาบอีกสักเล่มไหม? เอาไปไว้ในท้องเจ้าน่ะ”
      “ไม่ต้องหรอก ฮัทท์ ขอบคุณ” เคิร์ธยังคงพอจะต่อสู้กับทิงกิสได้ แต่จะได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว
      ทิงกิสฟาดดาบลงมาเต็มแรง เคราะห์ดีที่เคิร์ธรับเอาไว้ทัน แต่ทิงกิสไม่ยอมละดาบนี้ เขากดแรงลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ เคิร์ธก็พยายามต้านไว้ แต่ลำแสงที่เฉียดตัวเขาไปมาอาจจะโดนตัวเขาเมื่อไหร่ก็ได้
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =     
      ลิวมัสผ่าพลปืนสองคนนั่นขาดกลางลำตัวได้ทันท่วงทีก่อนที่พวกนั้นจะยิงโดนเคิร์ธ เมื่อเคิร์ธไม่ต้องคอยหลบลำแสง เขาก็ค่อยมีเวลามาตั้งสมาธิกับการต่อสู้ได้มากขึ้น เขาสะบัดดาบ ทิ้งตัวออกด้านข้าง หมายว่าจะแทงทิงกิสเข้าข้างหลัง แต่ก็ใช่ว่าทิงกิสจะไม่รู้ว่าเคิร์ธจะเล่นแบบนี้ เขาใช้หางปัดขาของเคิร์ธจนเขาสะดุดหกล้มดาบหลุดมือไปไกลไม่ใช่น้อย เคิร์ธพยายามใช้พลังดึงมันกลับมา แต่ก็คงไม่ทันกับดาบของทิงกิสที่พุ่งตรงลงมายังใบหน้าของเขา ถ้าหากทิงกิสไม่หยุดมือเสียก่อน เขาก็คงจะไปอยู่อีกภพหนึ่งแล้ว
      ทิงกิสชะงักไปพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่แล่นวาบมาจากโคนหาง เขาหันหลังกลับไป และพบว่าหางของเขาเหลือเพียงโคนเท่านั้น
      “รู้มั้ย ตอนนี้เจ้าดูเหมือนอะไร” ลิวมัสพูด(ถึงเขารู้ว่าพูดไปทิงกิสก็ฟังไม่ออก) “เจ้าดูเหมือนตุ๊กแกหางกุดไม่มีผิด ฮัทท์”
      ทิงกิสเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวและอับอาย(แม้จะฟังไม่ออกแต่เขาจับนัยเหยียดหยามได้ในน้ำเสียงและสีหน้า) สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขา คืออัศวินเจไดหนุ่ม ลิวมัส ลอสการ์ด ที่ยังเป็นเพียงแค่พาดาวันเท่านั้น
      “บังอาจ!!!!!” ทิงกิสคำรามด้วยบันดาลโทสะ(ซึ่งลิวมัสก็คงฟังไม่รู้เรื่อง) เขาฟาดฟันดาบแสงใส่ลิวมัสไม่มียั้ง แต่ลิวมัสรับได้ทุกดาบ และยังโต้กลับคืนมาอีกด้วย
      ลิวมัสรุกเข้าไป รุกเข้าไป และรุกเข้าไป ทิงกิสก็ถอยร่นจนไปติดอยู่ตรงซอกหลังบัลลังก์ของเขา ลิวมัสฟาดดาบอีกหนึ่งครั้ง ติดเอามือและดาบแสงของทิงกิสออกมาด้วย เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทิงกิสดังไปทั่วบริเวณ ในห้วงสำนึกสุดท้าย ทิงกิสขอสาปแช่งจักรวรรดิเงา ขอให้จักรวรรดิเงาจงพินาศ! แล้วดาบของลิวมัสก็บั่นคอของทิงกิสหลุดออกจากร่าง
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
ณ กาแล็กซี อันไกลแสนไกล
STAR WARS
THE SHADOW EMPIRE TRILOGY
EPISODE VII
SHADOW EMPIRE
หลังจากที่กองทัพกบฏอันนำโดยเจ้าหญิงเลอา ออร์กานา และ ฮัน โซโล ได้บุกเข้าทำลายดาวมรณะเป็นผลสำเร็จ และสองอัศวินเจไดพ่อลูก ลุคและอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ได้โค่นล้มจักรพรรดิลง จักรวรรดิที่ขาดผู้นำก็ระส่ำระสาย ยังความหวังมาให้เหล่าผู้คนว่านี่จะเป็นวาระสุดทายของจักรวรรดิ
แต่โชคร้ายที่จักรวรรดิได้คาดเดาเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อจักรวรรดิล่มสลาย จักรวรรดิเงาซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยจักรวรรดิก็เข้าครอบครองกาแลกซีแทนในทันที และเริ่มดำเนินการสำเร็จโทษกองทัพกบฏ กองทัพกบฏทั้งหมดถูกประหารชีวิต จักรวรรดิเงาดำเนินการนำตัวลุค สกายวอล์คเกอร์ เจไดคนสุดท้าย มาไว้ในความครอบครอง ด้วยหวังว่าจะสามารถก่อตั้งกองทัพอัศวินเจไดอันทรงพลานุภาพมาไว้ในครอบครองด้วย
ด้วยเหตุผลบางประการ ลุคยอมรับข้อเสนอนี้ของจักรวรรดิเงา และเริ่มฝึกสอนเหล่าพาดาวัน ทีละคน ทีละคน จนถึงทุกวันนี้ ที่เข้าสู่ยุครุ่งเรืองของลัทธิเจไดอีกครั้งหนึ่ง และในตอนนี้ หนึ่งอาจารย์และหนึ่งศิษย์กำลังออกปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่ทาทูอีน
อุปกรณ์นำร่องผ่านไฮเปอร์สเปซ GT-823 ปรากฏขึ้นที่ระยะนอกวงโคจรของดาวทาทูอีน มันมีลักษณะคล้ายกับวงแหวนรูปร่างรีที่อยู่ในแนวนอน ตรงปลายทั้งสองข้างของวงรีมีตัวขับดันความเร่งสูงติดอยู่เพื่อที่จะเร่งความเร็วให้ถึงระดับที่สามารถเข้าสู่ไฮเปอร์สเปซได้ ระหว่างปลายทั้งสองข้างมีแกนหลักเชื่อมอยู่ และตรงกลางของแกนหลักนี้เองที่มีขอสำหรับยึดติดกับยานที่จะเดินทางผ่านไฮเปอร์สเปซ และยานลำที่ยึดอยู่กับ GT-823 นี้ ก็คือ JD-525 ยานรบสำหรับอัศวินเจได รุ่นบังคับสองบุคคล และสองบุคคลนั้น ก็คือเจไดมาสเตอร์ เคิร์ธ คาธาร์น และพาดาวันหนุ่ม ลิวมัส ลอสการ์ด ซึ่งกำลังจะไปปฏิบัติภารกิจอีกครั้งที่ทาทูอีน
      “ที่นี่หรือครับ ทาทูอีน” ลิวมัสพูดขึ้น
      “ใช่” เคิร์ธพูดพลางขยับคันปลดยาน “ดาวแห่งความแห้งแล้ง แต่เป็นบ้านเกิดของปรมาจารย์ลุค และอัศวินในตำนาน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ในความครอบครองของพวกฮัทท์”
      เสียงครืนที่เกิดจากการปลดสลักยึดยานดังขึ้นอยู่ภายใน
      “ข้าน่าจะได้ถามท่านก่อนหน้านี้แล้ว แต่ ข้าเคยได้ยินว่าพวกฮัทท์สูญสิ้นไปจากทาทูอีนนานแล้วมิใช่หรือ จากที่ข้าทราบว่า แจบบาเป็นพวกฮัทท์คนสุดท้าย และก็ถูกฆ่าไปตั้งแต่สมัยจักรวรรดิเก่าแล้ว”
      “อย่าพูดถึงจักรวรรดิเก่าเหมือนมันสูญสิ้นไปแล้วอย่างนั้น พาดาวัน” เคิร์ธพูดเสียงเข้ม “จักรวรรดิไม่เคยสูญสิ้น ยังคงยืนหยัดตลอดมา และสำหรับคำถามของเจ้า พวกฮัทท์ไม่ได้สูญสิ้นไปไหน ข่าวที่ว่าแจบบาเป็นฮัทท์คนสุดท้ายนั้นไม่ใช่ความจริง พวกฮัทท์ยังคงตั้งหลักแหล่งอยู่ในระบบดาวระบบใดระบบหนึ่งที่อยู่นอกเหนือการปกครองของจักรวรรดินี้นั่นแหละ หลังจากแจบบาสิ้นไป ทาทูอีนก็เป็นอิสระตลอดมา และทิงกิสก็เป็นฮัทท์อีกคนหนึ่งที่มารับช่วงครองครองทาทูอีนต่อจากนั้น เท่านั้นเอง”
      เคิร์ธขับยานที่พ้นจาก GT-823 เข้าสู่ทาทูอีน ทิ้งมันไว้ให้โคจรรอบทาทูอีน ถ้าเขาไม่กลับมา GT-823 ก็จะโคจรรอบทาทูอีนไปตลอดกาล
      “และเราก็ต้องมากำจัดเขา” ลิวมัสพูดพลางตรวจสอบระบบนำร่อง
      “แค่ขับไล่เท่านั้นแหละ พาดาวัน” เคิร์ธพูด “แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็นั่นแหละ เราต้องกำจัด”
      ยานรบเจไดเร่งความเร็วเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ลิวมัสเปิดม่านกันความร้อนไว้ที่หน้ายาน ซึ่งม่านนี้จะช่วยกันไม่ให้ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีกับชั้นบรรยากาศทำอันตรายกับยานจนลุกไหม้ และด้วยวิธีนี้ ก็ทำให้ยานสามารถผ่านชั้นบรรยากาศมาได้โดยสวัสดิภาพ
      “มอส เอสป้า อยู่ทางซ้าย” เคิร์ธพูดพลางหักคันบังคับไปตามทางที่เขาบอก “ส่งแผนที่มาซิ”
      “ครับ อาจารย์” ลิวมัสทำตามโดยไม่ขัด การทำตามคำสั่งของผู้อื่นโดยไม่ขัดเป็นนโยบายการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งเขาก็คิดว่ามันง่ายดี และคงจะไม่หันไปใช้นโยบายการใช้ชีวิตแบบอื่นอีก
      ที่อยู่เบื้องล่างอัศวินเจไดทั้งสองคือชนพื้นเมืองชาวทาทูอีน อันที่จริงจะบอกว่ามีแต่ชาวทาทูอีนก็ไม่ถูกนัก จะกลับกันเสียมากกว่า ตอนนี้ชาวทาทูอีนแท้ ๆ ที่อยู่บนดาวทาทูอีนนี่มีน้อยเหลือเกิน เพราะดาวดวงนี้เต็มไปด้วยพ่อค้า นักเดินทางที่แวะพักระหว่างทาง สลัดอวกาศ สวะอวกาศ และขยะอวกาศมากมายจนมองผ่าน ๆ นี่แทบจะไม่เห็นชาวทาทูอีนแท้ ๆ เลยสักคน
      ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของอัศวินเจไดผู้เป็นตำนานถึงสองคน แถมยังเป็นที่พำนักในบั้นปลายของโอบีวัน เคโนบิ อีกต่างหาก
      ลิวมัสพักจากหน้าจอนำร่องมาดูข้างนอก ที่เขามองเห็นมีแต่ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา เคิร์ธขับย้านพ้นมอส ไอส์ลีย์ไปแล้ว และต้องข้ามทะเลทรายนี้ไปจึงจะถึงมอส เอสป้า ถึงแม้บริเวณนี้จะเป็นทะเลทราย แต่ก็มีคนทำไร่ความชื้นอยู่เต็มไปหมด บริเวณนี้นี่เองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักในวัยเยาว์ของลุค สกายวอล์คเกอร์ ซากของบ้านหลังนั้นถูกทำลายไปแล้วโดยจักรวรรดิเก่า และยิ่งเวลาผ่านมานานขนาดนี้ คงไม่เหลืออะไรให้สังเกตอีกแล้วว่าตรงไหนคือบ้านหลังนั้น
      จักรวรรดิเก่านั่นเองหรือ ที่เป็นคนที่จ้องจะทำลายปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์
      ลิวมัสนั่งคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ในวัยเยาว์ทำอะไรผิดจึงต้องถูกตามล่าจากจักรวรรดิเก่า? แม้ข้อมูลในตำราเรียนจะอธิบายว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดในกระบวนการปฏิรูปวงการเจไดโดยละทิ้งอัศวินรุ่นเก่าและแทนที่ด้วยอัศวินรุ่นใหม่ แต่สำหรับลิวมัสแล้ว มันฟังดูใกล้เคียงกับคำว่า ฆ่าล้างกาแลกซีเหลือเกิน จักรวรรดิเก่าไม่ยอมให้มีเจไดหน้าไหนเหลือรอดมีชีวิตมาได้สักคน จะเว้นก็แต่อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ผู้เป็นบิดาของปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์
      ทำไมอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ จึงเป็นอัศวินเจไดเพียงผู้เดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษให้พ้นจากการตามล่าโดยจักรวรรดิเก่า? ทำไมอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ต้องเข้าร่วมกับจักรวรรดิเก่าในฐานะลอร์ดเวเดอร์ และเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูปวงการเจได? ทำไมปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ จึงต้องประดาบกับอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ผู้เป็นบิดาแท้ ๆ ของตนเอง? ทำไมปรมาจารย์สกายวอล์คเกอร์ต้องเข้าร่วมกับกองทัพกบฏที่มุ่งหวังจะทำลายล้างจักรวรรดิเก่า? ทำไม? ทำไม? และทำไม?
      “ถึงแล้วลิวมัส ที่นี่คือมอส เอสป้า ย่านการค้าของที่นี่”
      เสียงของเคิร์ธปลุกลิวมันให้หลุดจากภวังค์ นี่เขาเผลอไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ลิวมัสเอาสองมือตบศีรษะของเขาหนึ่งครั้งเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นอย่างเต็มที่ แล้วส่ายหน้าอย่างแรงอีกครั้งหนึ่ง
      “เผลอหลับรึไง” เสียงของมาสเตอร์เคิร์ธแว่วมา
      “เปล่าครับ อาจารย์ ผมเพียงแต่...”
      “ไม่ต้องแก้ตัวหรอกน่า” เคิร์ธพูดพลางลดระดับยาน “ทีหลังอย่าเผลออีกนะ”
      ลิวมัสทำหน้าหงอย
      “ครับ อาจารย์”
      ยานลงแตะพื้น ขาทั้งสามรองรับยานไว้ได้อย่างมั่นคง ตัวปรับระดับความดันของอากาศภายในและภายนอกยานเริ่มทำการปรับความดันอากาศให้เท่ากันก่อนที่ฝาครอบยานจะเปิดออก เมื่อฝาครอบยานเปิดออกแล้ว เคิร์ธเป็นคนแรกที่ลงจากยาน ตามด้วยลิวมัส ทันทีที่เท้าของลิวมัสลงแตะพื้นทราย เขาก็มองเห็นอาคารหลังมหึมาเบื้องหน้า
      หนึ่งอาจารย์ และหนึ่งศิษย์ กำลังยืนอยู่ต่อหน้าที่พำนักของมหาอำนาจแห่งทาทูอีน
      ทิงกิส เดอะ ฮัทท์
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      ทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพนักพิงอย่างเต็มที่ เวลาเบา ๆ ที่จะใช้พักผ่อนกับเขาบ้างแบบวันนี้หาได้ไม่ง่ายนัก โดยปกติแล้วเขาใช้เวลาทุกวันหมดไปกับการสะสางเรื่องร้องเรียนที่ถูกส่งมาจากเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น ซึ่งพวกนี้รับเรื่องร้องเรียนมาจากชาวบ้านอีกทอดหนึ่ง
      ชาวบ้านพวกนี้วัน ๆ ไม่ทำอะไร นอกจากเอาแต่ส่งเรื่องร้องเรียนมาให้เขาสะสาง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ หลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่เขาใช้เวลาในการสะสางน้อยกว่าเวลาที่เขาใช้คิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องมาร้องเรียนกับเขาด้วยหรือ? อย่างเช่น ส้วมตัน น้ำไม่ไหล ไฟกระพริบ หรือเตาปฏิกรณ์ส่งเสียงดังน่ารำคาญ แต่นาน ๆ ที ก็มีเรื่องที่เป็นเรื่องเป็นราวหน่อยถูกส่งมาบ้างเหมือนกัน อย่างการแพร่ระบาดของไข้หวัดเทอร์บิสในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นต้น แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็นึกเรื่องอื่นไม่ออกอีก
      ไม่ละ เขาไม่อยากจะคิดอะไรให้หนักสมอง ตลอดเวลาที่เขาถูกส่งมาดูแลทาทูอีนนี้ ไม่เคยมีปัญหาใดที่เขาแก้ไม่ได้ นอกจากปัญหาส่วนตัว เช่นความเมื่อยล้า และไขมันที่เริ่มสะสมอย่างหนาแน่นไปทั่วร่าง ตั้งแต่แก้ม ไปจนถึงหาง ที่ตอนนี้อวบอ้วนเหมือนท่อนซุงท่อนเขื่องบนเอนดอร์
      “ขอเพลงหน่อย” เขาพูดกับดรอยด์ล่ามเป็นภาษาฮัทท์
      “จะจัดให้ทันทีครับ นายท่าน” ดรอยด์ล่ามนั้นรับคำเป็นภาษาฮัทท์ แล้วจึงส่งต่อคำสั่งไปเป็นภาษากลาง ซึ่งเขาฟังไม่รู้เรื่อง
      เขาเคยพยายามฝึกพูดภาษากลางมาครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลวเมื่ออวัยวะในการออกเสียงของเขาไม่เอื้ออำนวยให้ออกเสียงในภาษากลางได้ และก็ยิ่งทำให้เขาหน่ายที่จะเรียนรู้การฟังภาษากลาง ยิ่งเดี๋ยวนี้ดรอยด์ล่ามดี ๆ หาง่ายเหมือนหาเม็ดทรายกลางทะเลทราย ก็ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ภาษาอื่นอีกเลย
      เสียงเพลงดังขึ้น ทิงกิสเหยียดหางออกเต็มที่ด้วยความผ่อนคลาย ท่วงทำนองของเพลงนั้นพัดพาจิตใจของเขาให้พ้นจากจักรวาลอันงี่เง่านี้ไปสู่ภพที่สุขสบายอย่างไม่มีที่ใดเทียบได้ และความคิดเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือ ขออย่าให้มีสิ่งใดมาขัดความสุขนี้เลย ได้โปรดเถิด
      “ขออภัยครับ นายท่าน มีแขกมาขอพบครับ” เสียงดรอยด์ล่ามดังขึ้นที่ข้างหูเขา
      ทิงกิสลืมตาตื่นจากภวังค์ “เกิดอะไรขึ้นนะ” เขาพูด
      “มีแขกครับ”
      แขกบ้าอะไรในเวลาอย่างนี้ เขากำชับยามเฝ้าประตูไว้แล้วนี่ว่าวันนี้เขางดรับแขก
      “แขกเป็นใคร?” เขาถาม
      ดรอยด์ล่ามพูดคุยกับยามสองสามประโยค แล้วจึงหันกลับมาพูดกับเขา
      “เจ้าหน้าที่จากจักรวรรดิเงาครับ”
      สติสัมปชัญญะของทิงกิสฟื้นคืนเต็มที่ทันที จักรวรรดิเงางั้นรึ! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนของจักรวรรดิมาถึงที่นี่แล้วยังมีชีวิตอยู่ แล้วยิ่งยามของเขามาแจ้งข่าวเพื่อขอคำอนุญาตเชิญคนของจักรวรรดิเข้ามาพบเขาในฐานะแขกนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
      เขารู้สึกไม่ค่อยดีเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงต้องลองเสี่ยงกันสักตั้ง อาจจะมีการเล่นตลกอะไรก็ได้
      “ให้เข้ามา” เขาพูด
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      “อย่างนี้ดีแล้วหรือครับอาจารย์” ลิวมัสถามขึ้น “ทิงกิสจะไม่สงสัยเอาหรือครับที่บอกเขาไปว่าเราเป็นคนของจักรวรรดิเงา”
      “ถ้าเจ้าได้ใช้เวลาฝึกฝนในพลังอีกสักนิด เจ้าก็จะรู้เองว่านี่คือทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด พาดาวัน” เคิร์ธพูด “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหลอกเขาว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่เก็บค่าไฟ หรืออะไร การทำแบบนั้นจะทำให้ทิงกิสบอกปัดพวกเราไปเสียมากกว่า และการใช้พลังบอกยามให้ไปรายงานกับทิงกิสว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่จักรวรรดินั้น ย่อมทำให้คนที่อยู่วงการมืออย่างทิงกิสตื่นตกใจ และร้อนตัวที่จะเรียกเราเข้าไปพบ”
      “ข้าไม่ค่อยเข้าใจวิธีคิดของพวกฮัทท์เลย” ลิวมัสพูด
      ยามชาวเทนคอร์ที่เพิ่งเดินหายเข้าไปเมื่อครู่นี้โผล่หน้าออกมาทางช่องเล็ก ๆ ที่ประตูอีกครั้งหนึ่ง เขาพูดเป็นภาษาถิ่น เคิร์ธกับลิวมัสฟังได้ความว่า ทิงกิสเชิญพวกเขาให้เข้าไปข้างในได้
      “เห็นไหม” เคิร์ธพูดพลางหันมามองศิษย์ของเขา
      ประตูเหล็กยักษ์ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ทรายร่วงกราวลงมาตามช่องเปิดที่อยู่ตรงปลายประตู ใช้เวลาไม่นานนักกว่าที่ประตูจะเปิดกว้างพอที่ศิษย์และอาจารย์จะสามารถเดินเข้าไปได้ และพวกเขาก็ไม่รอช้า เคิร์ธใชพลังกับยามเฝ้าประตู ยามนั่นเดินไปปิดประตูลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
      สภาพภายในที่พำนักของทิงกิส เดอะ ฮัทท์ นี่สวยงามกว่าที่ลิวมัสคิดเอาไว้พอสมควร โถงทางเดินนี้สว่างไสวด้วยคบไฟซึ่งเป็นผลผลิตที่ยังหลงเหลืออยู่ของรสนิยมโลว์เทคแห่งพวกฮัทท์ และตกแต่งด้วยของประดับชั้นดีที่ลิวมัสเข้าใจว่าพวกฮัทท์คงใช้เวลาสะสมมาหลายชั่วอายุ
      ลิวมัสได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากที่ที่อยู่ถัดจากทางเดินนี้ไป ไม่นานนักลิวมัสก็มาถึงที่นั้นที่ดูเหมือนกับห้องโถง ห้องโถงนั้นสว่างไสวกว่าทางเดินเป็นอันมากด้วยแสงไฟจากไฟฟ้า ทางด้านซ้ายลิวมัสมองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเวทีแสดงดนตรีพร้อมทั้งเครื่องดนตรีเก่าคร่ำคร่ามีฝุ่นจับเขรอะ ซึ่งครั้งหนึ่งคงเคยครึกครื้นไปด้วยบรรดานักแสดงทั่วสารทิศ แต่นี่กลับร้างไปราวกับว่าทิงกิสไม่เคยจัดงานมหรสพให้ตนเองเลย เสียงดนตรีที่ได้ยินอยู่นี้ก็คงดังมาจากแถบบันทึกเสียง คนระดับทิงกิสน่าจะมีอิทธิพลมากพอที่จะเรียกนักดนตรีจากไหนก็ได้มาแสดงมหรสพให้เขารับชมนี่นา แต่ทำไมที่เขาเลือกก็มีเพียงแค่เสียงดนตรีอู้ ๆ จากแถบบันทึกเสียงนี่? คำถามอีกข้อหนึ่งผุดขึ้นในใจของลิวมัสอีกแล้ว แต่เขาก็คงต้องเก็บเงียบไว้ตามเคย
      ลิวมัสมองผ่านไปยังทางขวาของห้องโถง ทิงกิสอยู่ที่นั่นเอง ในสายตาของลิวมัสแล้ว พวกฮัทท์ก็เหมือนกันไปหมด คือมีรุปร่างเหมือนหนอนอ้วน ๆ ผสมกิ้งก่าหน้าตาน่าเกลียด ใบหน้าใหญ่ ดวงตาโตแต่กลับหรี่เล็กมองเห็นรูม่านตาเป็นเส้นขีดยาว และปากที่กว้างราวกับจะเขมือบเขาลงไปได้ทั้งตัวโดยไม่ต้องกลืน
      “ท่านทิงกิส เดอะ ฮัทท์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับแขกอันทรงเกียรติจากจักรวรรดิ ไม่ทราบว่าท่านแขกผู้มีเกียรติมีธุระอันใดกับท่านทิงกิส เช่นนั้นหรือ?” ดรอยด์สีทองล่ามที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทิงกิส พูดเป็นภาษากลาง ซึ่งลิวมัสเข้าใจว่า คงเป็นบทพูดที่เอาไว้ต้อนรับแขกทุกคนที่มาเยือน
      “ไม่ต้องเหนื่อยหรอก ทรีพีโอ” เคิร์ธพูดกับดรอยด์ล่ามตัวนั้น “ข้าสามารถเจรจาภาษาฮัทท์ได้”
      “ขอบพระคุณ” ดรอยด์ล่ามนั้นโค้งตัวเล็กน้อย แล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
      “ท่านรู้จักดรอยด์ล่ามตัวนั้นด้วยหรือครับ?” ลิวมัสกระซิบกับเคิร์ธ
      แต่เคิร์ธไม่ตอบ เขาเริ่มพูดกับทิงกิสเป็นภาษาฮัทท์ “ท่านทิงกิส” เขาพูด “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน”
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      ชิชะ! แขกจากจักรวรรดิเจ้านี้สนทนากับเขาด้วยภาษาฮัทท์กระนั้นรึ! เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากจริง ๆ ระหว่างดีใจกับตระหนกหลังจากที่ไม่ได้พูดคุยด้วยภาษานี้มาหลายปี ทิงกิสคิด
      “ข้าก็ยินดีเช่นกัน แขกจากจักรวรรดิ” เขาพูด “ไม่ทราบว่าจักรวรรดิมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอันใด จนถึงกับต้องส่งทูตมาเจรจากับข้า ผู้อยู่นอกเงื้อมมือของพวกเจ้า”
      แขกจากจักรวรรดิคนสูงพูดขึ้นอีกครั้ง “พวกข้าไม่มีธุระอันใด นอกจากเพียงจะขอให้ท่านโปรดละทิ้งการครอบครองทาทูอีน และส่งทาทูอีนกลับเข้าสู่ความดูแลของจักรวรรดิอีกครั้ง เพื่อความผาสุกของประชาชน”
      “ความผาสุกของประชาชน! น่าหัวเราะ” แล้วเขาก็หัวเราะจริง ๆ ด้วย “จักรวรรดิเงาเคยปกครองประชาชนให้มีความสุขได้ที่ไหนกัน? พูดก็พูดเถอะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจักรวรรดิเคยมาสนอกสนใจประชาชนตาดำ ๆ ที่รอคอยความช่วยเหลืออยู่นี่บ้างไหม? สาธารณสุขท้องถิ่นที่จักรวรรดิจัดให้ก็ห่วยแตก ระบบชลประทานที่จักรวรรดิจัดขึ้นบนดาวแห้งแล้งแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ประชาชนยังคงขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ เดือดร้อนพวกตระกูลของข้าให้ต้องลงมาดูแล และท่านคงไม่รู้ ว่าพวกประชาชนก็ยินดีจะอยู่ภายใต้การดูแลของข้าเสียด้วย! เพราะพวกเขาได้รับสิ่งที่ไม่เคยได้รับจากจักรวรรดิ นั่นคือความสุขในการใช้ชีวิต
      “ตลอดเวลาที่จักรวรรดิปกครองพวกเขา เหล่าประชาชนมีแต่ใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวว่าวันใดพวกขาจะถูกจับไปประหารในฐานะ ‘มีพฤติกรรมอันส่อแววกบฏ’ เมื่อไหร่เท่านั้นเอง นี่ยังไม่นับการที่พวกเขาต้องถูกขูดรีดภาษีจากจักรวรรดิเกินเหตุจนเงินสกุลอิมพีเรียมไม่มีค่าที่นี่อีกต่อไป! และยังมีความเดือดร้อนอีกสารพัดอันเนื่องมาจากความล้มเหลวในระบอบการปกครองของจักรวรรดิ ได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเจ้ายังจะให้ข้าละทิ้งประชาชนผู้น่าสงสารของทาทูอีนไปอีกกระนั้นรึ?”
      แขกจากจักรวรรดิทำท่าเหมือนจะหัวเราะ แต่เขาก็ไม่หัวเราะออกมา กลับพูดต่อว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องโกหกของท่าน ทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ลูกเด็กเล็กแดงทั่วอิมเพอรานต่างก็รู้กันดีทั้งนั้นว่าพวกฮัทท์นั้นปลิ้นปล้อน และสับปลับเป็นที่หนึ่ง! ท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของแจบบา เดอะ ฮัทท์ ผู้จบชีวิตอย่างน่าอนาถ หลังจากที่กล้าแหยมเข้าไปยุ่งกับจักรวรรดิ”
      “อย่าได้พูดถึงแจบบาเช่นนั้นเป็นอันขาด!” ทิงกิสไม่ได้โมโหขนาดนี้มานานแล้ว “ท่านแจบบาเป็นผู้ที่ยอมสละชีพอย่าทรงเกียรติในการต่อสู้กับจักรวรรดิเก่าอันชั่วร้าย ข้าไม่ยอมให้ท่านพูดเช่นนั้นกับท่านแจบบาเป็นอันขาด!” ทิงกิสหยิบดาบแสงที่อยู่ในลิ้นชักข้างตัวเขาขึ้นมา
      “ข้าก็ไม่ยอมให้ท่านพูดถึงจักรวรรดิเก่าราวกับมันสูญสิ้นไปแล้วอย่างนั้นเช่นกัน!” แขกจากจักรวรรดิหยิบดาบแสงของเขาขึ้นมา และเมื่อเป็นดังนั้น อีกคนหนึ่งก็หยิบขึ้นมาเช่นกัน “และจะว่าไป ข้าสนใจแต่เพียงคำสั่งที่มีมาเท่านั้น ซึ่งคำสั่งนั้นก็คือ ให้ขับไล่ท่านออกจากทาทูอีน หรือมิเช่นนั้นก็ต้องกำจัดท่านเสีย”
      “ข้าพร้อมอยู่แล้ว เจ้าจักรวรรดิชั่ว!” ทิงกิสปล่อยดาบขึ้นมาทันที แสงสีส้มสว่างวาบขึ้นต่อหน้าเขา
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      “เกิดอะไรขึ้นหรือครับอาจารย์?” ลิวมัสถามขึ้นหลังจากที่ทิงกิสปล่อยดาบแสงออกมา
      “การเจรจาล้มเหลว” เคิร์ธพูดพลางปล่อยดาบ แสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นตรงหน้า “เป้าหมายภารกิจเปลี่ยนเป็นกำจัดทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ในทันที คุ้มกันข้าด้วย พาดาวัน!”
      “ครับ อาจารย์” ลิวมัสร้องพลางเปิดดาบ แสงสีเหลืองสว่างขึ้น ไม่ทันที่เขาจะคิดอะไร แสงลำสั้น ๆ สีแดง ๆ ก็วิ่งเฉียดผ่านศีรษะเขาไป ลิวมัสหันไปข้างหลัง คนของทิงกิสจำนวนมากกำลังเล็งปืนมาที่เขา เขายกดาบในมือขึ้นมาปัดลำแสงอีกครั้งโดยอัตโนมัติ และไม่มีเวลาให้หยุดพัก เพราะจำนวนคนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นหมายถึงจำนวนกระบอกปืนด้วยเช่นกัน
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      เคิร์ธตั้งการ์ดดาบขึ้นในขณะที่ทิงกิสกระโดดจากที่นั่งลงมายังพื้น ฮัทท์คนนี้ว่องไวกว่าที่คิดเยอะ ไม่ทันที่เคิร์ธจะเปิดฉากโจมตี ทิงกิสก็วาดดาบเข้าหาเขาทางด้านข้างทำเอาเคิร์ธต้องเบี่ยงตัวรับแทบไม่ทัน
      “ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านได้รับการฝึกฝนในศิลปะของเจไดด้วย” เคิร์ธพูดในขณะที่งัดดาบของทิงกิสขึ้น
      “ข้าเป็นมากกว่าที่เจ้าคิด เจไดหนุ่ม” ทิงกิสยิ้มเยาะ แล้วจึงสะบัดดาบ ทำเอาเคิร์ธกระเด็นออกไป “ไม่นึกเลยว่าจักรวรรดิเงาจะเสียดายงบประมาณจนดูถูกฝีมือข้าส่งอัศวินมาเพียงสองคน”
      “คนเดียวก็เกินพอแล้ว ฮัทท์” เคิร์ธพุ่งเข้าใส่ทิงกิส
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาจากรอบทิศทางมุ่งมายังลิวมัสคนเดียว เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อนนะ? ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นในห้องทดสอบ ที่มีดรอยด์ฝึกฝนสิบห้าตัววนไปวนมารอบ ๆ ตัวเขา คอยยิงลำแสงมาจากทุกทิศทุกทางเท่าที่ AI ของมันจะสามารถพาไปได้
      ถ้าจำไม่ผิดเขาสอบตกในการสอบครั้งนั้น
      แต่ครั้งนี้เขาจะพลาดไม่ได้ ถ้าเขาพลาด คนที่จะตายไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอาจารย์คาธาร์นด้วย และถ้าอาจารย์คาธาร์นตาย ก็เท่ากับภารกิจล้มเหลว และนำมาซึ่งความสูญเสียอีกมากมายเกินที่เขาจะจินตนาการได้
      ลิวมัสปัดลำแสงอีกชุด แล้วหันหลังไปใช้พลังกระแทกพลปืนล้มลงไป หลายคนเหมือนกัน เขาตามไปใช้ดาบแสงเก็บกวาดได้พวกที่กำลังหลบหนีอีกสามคน พลปืนที่เหลือกรูตรงมาที่เขา ไม่ถึงอึดใจเขาตัดแขนทิ้งไปได้ห้าคน ขาดกลางตัวไปคนหนึ่ง หน้าผากเป็นรูไปอีกสอง และนอนสลบไปอีกนับสิบ คงไม่เหลือแล้วมั้ง
      เสียงปืนดังขึ้นทางด้านซ้ายของเขา ท่าทางจะยังเหลืออีก ลิวมัสหันกลับไป โอไม่
      อาจารย์คาธาร์นกำลังต่อสู้กับทิงกิสและพลปืนอีกสองคน
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
      “ดาบเดียวคงไม่พอสำหรับเจ้ากระมัง เจไดหนุ่ม” ทิงกิสพูดในขณะที่เขารับดาบของเคิร์ธอย่างคล่องแคล่วผิดกับรูปร่าง อันที่จริงเขาเป็นฝ่ายรุกจนเคิร์ธต้องถอยกรูดเลยด้วยซ้ำ เมื่อเขาต้องแบ่งเวลาไปรับลำแสงที่พลปืนของทิงกิสยิงมา “อยากได้ดาบอีกสักเล่มไหม? เอาไปไว้ในท้องเจ้าน่ะ”
      “ไม่ต้องหรอก ฮัทท์ ขอบคุณ” เคิร์ธยังคงพอจะต่อสู้กับทิงกิสได้ แต่จะได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว
      ทิงกิสฟาดดาบลงมาเต็มแรง เคราะห์ดีที่เคิร์ธรับเอาไว้ทัน แต่ทิงกิสไม่ยอมละดาบนี้ เขากดแรงลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ เคิร์ธก็พยายามต้านไว้ แต่ลำแสงที่เฉียดตัวเขาไปมาอาจจะโดนตัวเขาเมื่อไหร่ก็ได้
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =     
      ลิวมัสผ่าพลปืนสองคนนั่นขาดกลางลำตัวได้ทันท่วงทีก่อนที่พวกนั้นจะยิงโดนเคิร์ธ เมื่อเคิร์ธไม่ต้องคอยหลบลำแสง เขาก็ค่อยมีเวลามาตั้งสมาธิกับการต่อสู้ได้มากขึ้น เขาสะบัดดาบ ทิ้งตัวออกด้านข้าง หมายว่าจะแทงทิงกิสเข้าข้างหลัง แต่ก็ใช่ว่าทิงกิสจะไม่รู้ว่าเคิร์ธจะเล่นแบบนี้ เขาใช้หางปัดขาของเคิร์ธจนเขาสะดุดหกล้มดาบหลุดมือไปไกลไม่ใช่น้อย เคิร์ธพยายามใช้พลังดึงมันกลับมา แต่ก็คงไม่ทันกับดาบของทิงกิสที่พุ่งตรงลงมายังใบหน้าของเขา ถ้าหากทิงกิสไม่หยุดมือเสียก่อน เขาก็คงจะไปอยู่อีกภพหนึ่งแล้ว
      ทิงกิสชะงักไปพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่แล่นวาบมาจากโคนหาง เขาหันหลังกลับไป และพบว่าหางของเขาเหลือเพียงโคนเท่านั้น
      “รู้มั้ย ตอนนี้เจ้าดูเหมือนอะไร” ลิวมัสพูด(ถึงเขารู้ว่าพูดไปทิงกิสก็ฟังไม่ออก) “เจ้าดูเหมือนตุ๊กแกหางกุดไม่มีผิด ฮัทท์”
      ทิงกิสเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยวและอับอาย(แม้จะฟังไม่ออกแต่เขาจับนัยเหยียดหยามได้ในน้ำเสียงและสีหน้า) สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขา คืออัศวินเจไดหนุ่ม ลิวมัส ลอสการ์ด ที่ยังเป็นเพียงแค่พาดาวันเท่านั้น
      “บังอาจ!!!!!” ทิงกิสคำรามด้วยบันดาลโทสะ(ซึ่งลิวมัสก็คงฟังไม่รู้เรื่อง) เขาฟาดฟันดาบแสงใส่ลิวมัสไม่มียั้ง แต่ลิวมัสรับได้ทุกดาบ และยังโต้กลับคืนมาอีกด้วย
      ลิวมัสรุกเข้าไป รุกเข้าไป และรุกเข้าไป ทิงกิสก็ถอยร่นจนไปติดอยู่ตรงซอกหลังบัลลังก์ของเขา ลิวมัสฟาดดาบอีกหนึ่งครั้ง ติดเอามือและดาบแสงของทิงกิสออกมาด้วย เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทิงกิสดังไปทั่วบริเวณ ในห้วงสำนึกสุดท้าย ทิงกิสขอสาปแช่งจักรวรรดิเงา ขอให้จักรวรรดิเงาจงพินาศ! แล้วดาบของลิวมัสก็บั่นคอของทิงกิสหลุดออกจากร่าง
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น