ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #52 : Puumate's Eyes 💔 Eps.03 [Completed...120%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 35.56K
      143
      6 ส.ค. 63

    http://i.imgur.com/h49OexA.jpg

    Puumate’s Eyes 03

    I Still Need Your Warmth to Find the Will to Fight

     

             “เอ้า! ร้องไห้ เป็นอะไรน่ะ” ตอนที่ภูเมษกลับมา เขาตกใจบอกกับฉันแบบนั้น ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเสียน้ำตาไปตอนไหน รีบยกมือเช็ดน้ำตาออกจากหน้าอย่างรวดเร็ว

             “ไม่ต้องมาเช็ดหรอก เห็นแล้วว่าร้องไห้” ภูเมษวางเสื้อผ้าลงให้ที่เตียง ฉันเลยมองหน้าเขาด้วยความเสียใจ

             “ถามอะไรหน่อยได้มั้ย?” เสียงของฉันเริ่มสั่นเครือ มือก็เริ่มจะสั่นตามจนต้องยึดกับผ้าห่มเอาไว้แน่น

             “คิดอะไรไม่เข้าเรื่องอีกแล้วใช่มั้ย” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูว่าไม่พอใจ

             “นายมีแฟนแล้วเหรอ” ฉันกลั้นใจถามออกไป ก่อนจะไม่เหลือความกล้าอีกแล้ว

             ภูเมษมองมาเหมือนจะถามว่าฉันป่วยหรือเปล่า คิ้วของเขาเลิกสูง ก่อนจะยกแขนกอดอกมองอย่างหงุดหงิด

             “มีแล้ว” เขาตอบอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ฉันก็ได้แต่สะอึกพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน

             “แล้วก็นั่งหน้าบื้ออยู่ตรงนี้ด้วย” แล้วนาทีต่อมาฉันก็หน้าหงาย แทบจะหงายหลังล้มลงไปนอนอีกทีเพราะถูกเขาจิ้มหน้าผากเข้าแรงๆ

             “” ฉันได้แต่ตกใจพูดอะไรไม่ออก และเป็นภูเมษที่อธิบายให้ฟังก่อนที่จะเข้าใจผิดไปคนเดียวอีก

             “ก็พี่เพลงไง แล้วจะให้ใครเป็นแฟนฉันอีกล่ะ”

             “แต่ฉันไม่เคยมาที่นี่ แล้วฉันก็เห็นชุดของผู้หญิงอยู่ในตู้เสื้อผ้าของนายด้วย” ฉันเกลียดตัวเองที่อ่อนแออ่อนไหวง่าย กายคงจะเกลียดฉันมากแน่ที่เป็นคนโลเลได้ขนาดนี้

             “นั่นเหรอ มันก็แบบ” เขายกมือลูบท้ายทอยตัวเอง เหมือนทำตัวไม่ถูก

             นั่นไงล่ะ เขามีคนอื่นอยู่แล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ร้ายกาจเอาแต่ใจ แล้วก็เห็นแก่ตัวอย่างน่ารังเกียจแบบนี้

             “มันก็ของเธอไง ฉันซื้อไว้ ตั้งใจจะให้ใส่เมื่อคืนนั่นแหละ แล้วไปงานปาร์ตี้วันเกิดของฉันด้วยกัน แต่เราเลิกกันก่อนนี่” ภูเมษถอนหายใจมองฉันเหมือนว่าฉันเป็นเด็กที่ทำทุกอย่างเสียเรื่องไปหมด

             แต่เขาเองไม่ใช่เหรอ ที่ไม่ยอมชัดเจน ฉันเองก็โง่ที่คิดว่าเซ็กซ์มันจะช่วยผูกมัดเขาเอาไว้ได้ เมื่อคืนก็อีก ฉันอยากลองเสี่ยงอีกครั้งเพื่อว่าจะได้ครอบครองเขา เป็นที่รักของเขา แต่เห็นแบบนี้แล้วก็แน่ใจได้เลยว่าฉันมันโง่จริงๆ ที่ปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

             คิดว่าคำพูดของภูเมษมันเป็นจริงเหรอ ผู้ชายอย่างภูเมษน่ะเหรอจะซื้อเดรสผู้หญิงเอาไว้ให้ฉัน แล้วเขาจะพาฉันไปเจอกับเพื่อนของเขา ตลกมาก ตลกจนน้ำตาไหลเลย

             “ไม่เชื่อเหรอวะ” ภูเมษเริ่มขึ้นเสียงเพราะฉันเอาแต่นิ่งไม่อยากจะเชื่อคำพูดของเขาอีก

             “มันตลกนะที่บอกว่านายซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงเอาไว้ให้ฉันน่ะ”

             “โอ๊ย แล้วจะให้ฉันซื้อแต่ถุงยางไว้รอเธอรึไงวะ ไม่ได้โกหก มันเรื่องจริง”

             “แล้วทำไมนายเพิ่งมาทำดีกับฉันตอนนี้ล่ะ ที่ผ่านมานายไม่เคยอยากให้ฉันเจอกับเพื่อนนายไม่ใช่เหรอ” ฉันเริ่มร้องไห้ มันคงทุเรศน่าสมเพชและน่ารำคาญมากน่าดู สายตาของภูเมษมันบอกแบบนั้นเมื่อตอนที่เขามองมา

             “เจอแล้วเป็นไง เมื่อคืนเห็นแล้วใช่มั้ยว่าเพื่อนๆ ของฉันน่ะมันเป็นยังไง พวกมันพูดอะไรแต่ละอย่างให้เกียรติเธอมั่งมั้ย อยากจะเจอบ่อยๆ แล้วถูกล้อเหมือนเป็นแค่เซ็กส์ทอยอย่างนั้นรึไงวะ!” ภูเมษเริ่มตะคอก และทำให้ฉันสะอึกไปครู่หนึ่งกับสิ่งที่ได้ยิน

             “แต่” ฉันพูดเป็นเสียงกระซิบ ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด เสียงก็เริ่มแผ่วเบาขาดหายตามไปด้วย

             “ยังจะแต่อะไรอีก ที่ไม่อยากให้เจอไอ้พวกนั้นก็เพราะแบบนี้ไง เจอหน้ากันก็แซวแต่เรื่องบนเตียง ไม่ชอบ!

             “แต่ถ้านายปฏิบัติกับฉันดีๆ ให้เกียรติฉัน ไม่ทำแต่เรื่องอย่างว่า เพื่อนของนายก็คงไม่พูดแบบนี้” น้ำตาของฉันมันไหลอย่างห้ามไม่อยู่ เกลียดที่ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งเห็นภาพของตัวเองชัดขึ้น

             “ก็มันงานยุ่ง กว่าจะปลีกเวลามาเจอกันน่ะมันก็ยาก”

             “นายเลยมาหาได้แค่ตอนกลางคืนแล้วก็ไป” ฉันสะอื้น ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่

             “เข้าใจหน่อยดิวะ เรียนปีสุดท้ายแล้วมันก็หนักนะ ฉันก็พยายามแล้วไง เธอเองก็ช่วยพยายามเข้าใจฉันหน่อยได้มั้ย” ใบหน้าของเขาแดงก่ำและดูบึ้งตึงมาก ฉันเริ่มน้ำตาไหล เพราะรู้ว่าเขากำลังรำคาญมากแค่ไหน

             “ให้เข้าใจยังไง นายมาหาฉันตอนกลางคืน มานอนด้วยแล้วก็ไป ฉันมาหานายไม่ได้ มาเจอนายไม่ได้ เจอเพื่อนนายก็ไม่ได้ ฉันคือตัวอะไรล่ะ”

             “ไม่เข้าใจเหรอวะ ผู้ชายทุกคนก็รู้สึกดีกับผู้หญิงที่ชอบด้วยกันทั้งนั้น เวลาอยู่ใกล้มันก็อยากกอดอยากทำอะไรต่อมิอะไร โว้ย เธอนี่มันงี่เง่าจริงๆ เพราะอยากอยู่ด้วยไง แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็อยากอยู่ด้วย” ร่างกายของภูเมษเริ่มสั่นเทา เขาพยายามระงับอารมณ์โกรธด้วยการสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ

             “ก็เพราะเซ็กส์ไม่ใช่รึไง

             “กูไม่คุยด้วยแล้ว ตามใจแล้วกัน!” ภูเมษหันหลังให้ฉันแล้วเดินปึงปังออกไปอย่างหัวเสีย

             เขากระแทกประตูปิดอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามมา ฉันสะดุ้งแล้วก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดและสับสน

             ฉันเข้าใจอะไรผิดเหรอ ฉันพยายามมาหลายครั้งแล้ว ทำดีกับเขาทุกอย่างไม่งี่เง่าไม่เรียกร้องหรือเอาแต่ใจ แต่เขาก็เห็นฉันมีค่าแค่เรื่องบนเตียงอย่างเดียวเท่านั้น  ชีวิตของฉันครึ่งหนึ่งมันพังไปแล้ว ต่อให้อีกกี่ปีต่อจากนี้ฉันก็ไม่มีวันลืมเรื่องของเขาจากใจ

     

             ฉันยืนรอให้กายมารับที่หน้าคอนโดของภูเมษอยู่ใกล้ๆ กับภูเบศที่ยังทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนเหมือนเดิม

             ภูเบศเข้ามาที่ห้องชุดของพี่ชายเขาตอนสายๆ แล้วเอาเสื้อผ้ามาให้ด้วย เขาบอกว่าเป็นห่วงและยังติดใจอยู่เลยตามมาดู นอกจากนั้นก็ส่งกระเป๋าถือรวมถึงโทรศัพท์มือถือที่ฉวยเอามาจากห้องของฉันมาคืนด้วย ฉันเลยโทรไปขอให้กายมารับ

             “ยังไม่ดีกันอีกเหรอ Makeup Sex[1] ไม่ได้ผล” ภูเบศถามด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา แต่เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้ไร้เดียงสา แต่ว่าเขาเป็นปีศาจร้ายตัวพ่อเลยต่างหาก

             “ไหงมองแบบนั้นล่ะพี่เพลง เวลาทะเลาะกันมันก็ต้องมี Makeup Sex ตามหลังป่ะ ผู้หญิงจะแกล้งงอน ทำเป็นโกรธเพื่อให้ผู้ชายมาง้อไม่ใช่เหรอ”

             “ใช่ที่ไหนกันล่ะ” ฉันบอกพลางจ้องเขาเขม็ง พี่น้องคู่นี้ไปเอาความมั่นใจอะไรผิดๆ แบบนี้มาจากไหน ผู้หญิงทุกคนบนโลกจะต้องการแค่เรื่องนั้นเหรอ ฉันแค่ต้องการฐานะที่ชัดเจน ไม่ใช่อยู่เหมือนกับวัตถุทางเพศแบบนี้ แล้วฉันผิดเหรอที่ต้องการจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักกันน่ะ

             แต่สุดท้ายมันก็เป็นฉันแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้น ที่คิดว่าเป็นคนรักของภูเมษ เป็นแฟนของเขา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย การคิดเองเออเองมันก็เจ็บแบบนี้ล่ะนะ ทำเอาหัวใจขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเลย

             “ทะเลาะอะไรกันนักหนาเนี่ย คุยกันดีๆ ไม่เป็นเหรอ ว่าพี่ดาหวันกับไอ้พี่ภูริชว่าลุ้นยากแล้ว คู่ไอ้เมษกับพี่เพลงยากกว่าอีก” ภูเบศส่ายหน้า ฉันได้แต่ถอนหายใจภาวนาขอให้กายมารับไวๆ เพื่อจะได้ไปจากสถานการณ์อึดอัดนี่ซะที

             เหมือนว่ากายจะรู้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในภาวะยากลำบากอยู่ ไม่นานฉันก็เห็นรถที่แสนคุ้นตาโฉบเข้ามาใกล้ เห็นแบบนั้นฉันก็รีบบอกลาภูเบศแล้วรีบออกมาทันที แต่ว่าเดินได้แค่สองก้าวฉันก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ซะก่อน

             “เบศ ฉันต้องไปแล้ว” ฉันคิดว่าคนที่รั้งเอาไว้คือภูเบศ แต่กลายเป็นว่าภูเมษ ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้นแทน

             “ห้ามไปนะ” ภูเมษมาถึงตอนไหนก็ไม่รู้ เขาบีบข้อมือของฉันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

             “เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะ” เขาบอกอย่างเอาแต่ใจ ภูเบศมองฉันแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าเดินเลี่ยงออกไปเงียบๆ

             ไม่นานกายก็ลงจากรถแล้วยืนคุมเชิงใกล้ๆ ไม่ได้พูดอะไร เหมือนจะให้ฉันเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อจากนี้

             “ห้ามไปนะ” ภูเมษยังเอาแต่พูดคำเดิมจนฉันไม่กล้าขยับตัว มองเขาแล้วจะร้องไห้ ฉันรู้ดีว่าตัวเองยังมีเขาอยู่เต็มหัวใจ แต่จะให้ทนกับสภาพนี้ต่อไปมันก็ไม่ไหว ฉันเหมือนกับหมอนข้างที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ตอนที่เขาเข้านอน สิ่งที่เขาทำมันเกินที่ใจจะรับจริงๆ

             “คุยไปมันก็เหมือนเดิม” ฉันพยายามแกะมือของเขาออกจากแขน แต่ภูเมษก็ยิ่งออกแรงมากขึ้นจนฉันนิ่วหน้า

             “เฮ้ย มันเกินไปแล้วนะเว้ย!” กายพาตัวเองเข้ามาแทรกกลาง และแกะมือของภูเมษออกไปจากข้อมือของฉันได้

             “อย่าเสือก” ภูเมษหันไปตะคอกใส่กายอย่างหยาบคาย แต่กายก็ร้ายกาจเหมือนกัน เขายอมถอยซะที่ไหนกันล่ะ

             “ก็ไม่อยากเสือกหรอก แต่นี่เพื่อนกู!

             กายดันให้ฉันไปหลบอยู่หลังของเขา และเป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับภูเมษเอง

             “ไม่เอาดิ อย่าเสือกดิวะ คนจะคุยกัน”

             “มึงพอเหอะ มึงไม่ได้เต็มใจจะคบกับเพื่อนกูจริงจังตั้งแต่แรกแล้ว มาตอนนี้นึกเสียดายขึ้นมาเหรอ แค่เพลงมันดูสวยขึ้นเนี่ยนะ” กายพูดออกไปอย่างไม่ไว้หน้า เป็นคำพูดที่แม้แต่ฉันเองก็ไม่กล้าจะเอ่ยปากถาม

             “มันไม่เกี่ยวกันเลย พี่เพลงก็คือพี่เพลง” ภูเมษเถียงกลับ แต่ฉันไม่เห็นหน้าเขาเพราะหลังของกายบังเอาไว้

             “โหย โคตรจะตลก มึงไม่เคยพาเพลงไปไหนเลย ไม่เคยทำอะไรที่คนเป็นแฟนกันทำกัน พอเพลงมันอยากเลิกกับมารั้งไว้ ไม่ตลกตัวเองบ้างเหรอวะ”

             “อะไรที่เป็นแฟนกัน ได้ข่าวว่ากูก็ทำหมดแล้วนะ”

             ฉันหน้าชาสะอึกอึ้งกับคำตอบของภูเมษ แต่มันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่คู่รักหรือแฟนเขาทำกันน่ะ เราก็ทำกันไปหมดแล้ว เพียงแค่ว่าเราอาจจะเป็นแค่เซ็กเฟรนด์ไม่ใช่บอยเฟรนด์เกิร์ลเฟรนด์ มันก็เท่านั้น

             “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะมึง ไม่ให้เกียรติผู้หญิงแบบนี้ ใครเค้าอยากจะกลับไปคบด้วยวะ” กายผลักอกภูเมษอย่างอารมณ์เสีย ฉันต้องดึงแขนเพื่อนเอาไว้แทบไม่ทัน

             “ก็มึงพูดเหมือนกูเป็นคนนอก กูกับพี่เพลงคบกันนะ ไม่ใช่เรื่องของมึงเลย”

             “งั้นเลือกมาเลยเพลง ว่าจะเอาไง” กายดึงตัวฉันออกมาให้เจอหน้ากับภูเมษ แล้วถามเสียงแข็งจนน่ากลัว

             ฉันเงยหน้าสบตากับเพื่อนสนิทแล้วก็ส่ายหน้า ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่าทางของตัวเองมันแปลว่าอะไร รู้แค่ว่าฉันอยากจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

             “เธอจะเลือกเพื่อนสุดที่รักของเธอ หรือเธอจะเลือกฉัน พี่เพลง” ภูเมษถามเสียงเครียด

             และไม่ใช่แค่น้ำเสียงเท่านั้น แต่สายตาของเขาก็แข็งกร้าวมากพอกัน

             “ยังจะต้องคิดมากอีกเหรอเพลง วันที่แกทำงานที่คณะจนดึกดื่นแล้วใครไปรับแก วันที่แกปวดท้องประจำเดือนจนเป็นลมใครที่ไปรับแล้วดูแลแก วันที่แกโทรขอให้มันไปรับที่คณะเพราะเป็นไข้แล้วฝนตกหนักมันไปรับแกบ้างมั้ย มันมาหาแกตอนไหน ตอนกลางคืน มาเพื่ออะไรวะ!” กายพูดอย่างฉุนๆ ฉันเลยหันไปผลักอกเพื่อนแรงๆ เพื่อให้เขาหยุดพูด

             ฉันไม่อยากร้องไห้ แต่สิ่งที่กายพูดมาทั้งหมดมันเป็นความจริง

             “หน้าที่ของคนที่เป็นแฟนกันน่ะ ทำไมฉันต้องรับผิดชอบหมดเลยวะเพลง แม้แต่ซื้อผ้าอนามัยก็ฉันว่ะ แล้วไอ้คนที่ประกาศตัวว่าเป็นแฟนแกมันทำอะไรมั่งวะ”

             น้ำตาของฉันไหลแล้วก็นิ่งไป ปฏิเสธไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว

             “เออ มันก็จริงที่ฉันไม่มีเวลาให้เธอนะพี่เพลง แต่ฉันก็มีแค่เธอคนเดียว” ภูเมษพูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน

             “กูก็ไม่อยากจะสอดหรอกนะ แต่ถ้ามีแค่เพลงคนเดียวแต่ทิ้งขว้างเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ก็อย่าเลยเหอะ มึงไปเลือกผู้หญิงแบบที่มึงไม่อยากรับผิดชอบ แค่เอาไว้ซั่มอย่างเดียวก็มีถมเถ อย่าเอาความสูงส่งของแกมาเปื้อนเพลงเลยว่ะ เพลงมันโง่มองผู้ชายไม่ออก เพราะงั้น อย่ายุ่งกับเพื่อนกูเลย”

             กายไม่ยอมให้ฉันได้พูด เขาเลือกจะดึงตัวของฉันไปที่รถของเขา แล้วก็มีเสียงของภูเมษไล่หลังมา

             “เพลงถ้าเธอไป ฉันก็จะไม่อยู่รอเธออีกต่อไปนะ” ภูเมษพูด ทำให้ฉันต้องหันไปมองด้วยความเจ็บปวดแกมไม่เข้าใจ

             “ถ้าเธอเลือกไอ้กายแทนที่จะเลือกฉัน ก็ไปซะ แล้วอย่ากลับมาอีก

             ฉันคิดว่าตัวเองจะเจ็บมากกว่านี้ แต่ไม่เลยนะ มันไม่ได้เจ็บมากอย่างที่คิด หรือเพราะว่ามันชินจนหัวใจด้านชาไปหมดแล้วก็ไม่รู้

             ฉันส่งยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ก่อนจะพูดบอกกับเขาด้วยคำคำหนึ่ง

             “Bye~

     

             กายไม่ยอมไว้ใจให้ฉันอยู่คนเดียว เขาพาฉันกลับมาที่ห้องชุดส่วนตัวของเขา หลังจากที่อาบน้ำทานอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะขึ้นเตียงอย่างอ่อนเพลีย

             “เธอเป็นไข้ นอนพักซะ” กายเอาแผ่นเจลลดไข้แปะหน้าผากให้ ก่อนจะมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

             “ฉันจะไม่ถามนะว่าเพราะอะไร ของแบบนี้มันก็รู้ๆ อยู่” เขาพูดอีกคำ ฉันเลยได้แต่ยื่นมือกุมสาบเสื้อนอนเอาไว้แน่น ซึ่งมันเป็นเสื้อผ้าของกายที่เขาให้ยืมใส่ก่อน

             “เพิ่งจะมาปิดเอาตอนนี้ ไม่สายไปหน่อยเหรอ” เขาถามอย่างไม่พอใจ ฉันเลยยิ้มแหยแล้วพูดอ่อน

             “ฉันปวดหัวมากเลย ขอนอนพักก่อนได้มั้ย”

             “จะพูดว่าไม่ได้ ได้เหรอ เออ นอนเหอะ ตอนเย็นจะปลุกมากินข้าว ถ้าตัวร้อนหรือเป็นอะไรมากก็บอกด้วยล่ะ วันนี้ฉันไม่ได้ออกไปไหน อยู่ข้างนอกแถวๆ นี้แหละ เรียกได้ตลอด”

             “ขอบคุณนะ” ฉันส่งยิ้มให้เพื่อนอย่างใจจริง แต่สีหน้าของกายก็ยังดูเครียดและไม่พอใจมากอยู่ดี ฉันไม่กล้าเซ้าซี้กวนใจเขาเลยหลับตาลง กายเองก็ไม่กวนช่วยดึงผ้าห่มมาคลุมให้แล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ

             เมื่อได้อยู่คนเดียวฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภูเมษหรือกาย พวกเขาเหมือนกันมากจริงๆ เรื่องความเอาจริงเอาจังและเอาแต่ใจตัวเองอย่างถึงที่สุด คนที่อยู่ใกล้ก็พลอยรู้สึกเหมือนตัวลีบเล็กลงเรื่อยๆ อย่างน่าสงสาร

             “เรื่องของตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลย” ฉันพึมพำกับตัวเองก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย

             ฉันหลับไปนานโดยไม่รู้สึกตัวเลย พออยู่กับกายแล้วฉันรู้สึกปลอดภัยแล้วก็สบายใจ เลยหลับง่ายไม่กระสับกระส่ายเหมือนตอนที่อยู่คนเดียว ฉันตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ กลัวว่าจะนอนเพลินเกินไป มานอนที่ห้องของกายแบบนี้ก็เกรงใจ กลัวว่ากายเองก็อยากจะนอนพักบ้าง

             ฉันตื่นนอนอย่างสะลึมสะลือ เดินขยี้ตาออกไปข้างนอก แล้วเจอกับกายเข้าพอดี

             “ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวดิ หิวยัง” กายพูดแล้วพยักหน้าให้ฉันตามไปที่ห้องครัว

             “ฉันมาคิดดูอีกที ไอ้ภูเมษคงไม่ยอมปล่อยพี่เพลงง่ายๆ แน่ เลยต้องทำอะไรสักหน่อย”

             “ทำอะไร พูดเรื่องอะไรเหรอ” ฉันยกมือขยี้ตาแล้วถามกายอย่างไม่เข้าใจ

             พอเดินไปถึงที่ห้องครัว ฉันก็ชะงักนิดหน่อยเพราะเจอเวอร์นอนและเขาก็โบกมือพลางยิ้มอย่างสดใสให้ มันคงเสียมารยาทมากถ้าไม่ยิ้มตอบ

             “ก็คิดว่าช่วงนี้ต้องหาไม้กันหมาสักระยะ ไอ้คนนั้นจะได้ไม่มายุ่งกับพี่เพลงอีก”    

             “หา?” ฉันครางอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันไปมองเวอร์นอนที่ยิ้มหวานเหมือนกับคาราเมลอีกครั้งอย่างไม่สบายใจ

             “นี่ไงไม้กันหมา เอ๊ย ไม่ใช่ แฟนของแก”

             “ฮะ!?” ฉันอุทานอย่างตกใจ กลัวว่าตัวเองจะเข้าใจอะไรผิดไป

             “เวอร์นอนจะเป็นแฟนของพี่เพลง กายพูดเสียงสูง ส่วนฉันก็เบิกตากว้างเหมือนไข่ห่าน พอรู้สึกตัวอีกทีก็รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน

             “ไม่เอา ไม่ดี!” ฉันรีบปฏิเสธเสียงหลง เขาเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่านิสัยของภูเมษเป็นยังไง ฉันเองก็ไม่อยากจะเจอเรื่องยุ่งยากแบบนี้ด้วย ให้มันจบลงง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือไง

             “ไม่เอาเหมือนกัน ถ้าแกไม่มีแฟน หมอนั่นไม่ยอมหยุดแน่”

             “แต่แบบนี้ก็ไม่ดี ไม่เอา ไม่เอาจริงๆ” ฉันพยายามขอร้อง นี่มันเรื่องส่วนตัวมันชีวิตของฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมทุกคนชอบมาบงการก้าวก่ายกันอย่างนี้ด้วย

             “เวอร์นอนมันก็เต็มใจด้วย ก็ดีไม่ใช่เหรอ” กายพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน ฉันเลยหันไปมองเวอร์นอนคนนั้นด้วยความสับสน เขายิ้มให้และยิ้มอย่างนั้นเหมือนจะหลอกหลอนให้ฉันยอมตกลงด้วย

             “ไม่ดีสิ ไม่ดี ทำแบบนี้คนอื่นก็เข้าใจผิดกันไปหมดพอดีว่าเวอร์นอนเป็นแฟนของฉันน่ะ” พูดไปแล้วใจมันก็เต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด ถ้ามันหลุดออกจากหน้าอกได้มันคงหลุดออกมาทางปากแล้ว

             “แบบนั้นก็ดีไม่ใช่เหรอ”

             “ไม่ดีน่ะสิ ไม่เอานะ ไม่เอาจริงๆ ขอฉันอยู่คนเดียวเงียบๆ เถอะนะ ฉันกลัวว่าเวอร์นอนจะมีเรื่องกับภูเมษอีก” ฉันบอก และได้ยินเสียงพูดของเวอร์นอนเป็นครั้งแรกในวันนี้

             “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้ายังไงมาคบกันเลยก็ได้” เวอร์นอนยิ้มหวานตามแบบฉบับของเขา

             ขณะที่ฉันกับกายหันหน้ามองกัน ก่อนจะพูดกับเวอร์นอนเป็นเสียงเดียว

             “ไม่เอา / ไม่ได้!

     

             เรื่องก็จบลงอย่างงงๆ ตรงที่กายไม่บังคับขู่เข็ญให้ฉันคบกับเวอร์นอนเพื่อเป็นไม้กันหมาอะไรนั่นอีก ฉันเองก็ขอตัวกลับห้องพักของตัวเอง กลัวว่าอยู่กับกายและเวอร์นอนต่อไปคงได้ทะเลาะกันเรื่องเดิมอีก

             ทำไมไม่เอาล่ะ ฉันก็อยากดูแลพี่เพลงจริงๆ นะ เวอร์นอนถามอย่างสงสัย นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายแวววาวเหมือนลูกแมวตัวน้อย

             แต่ฉันมีประสบการณ์จากเรื่องของภูเบศมาแล้ว เพราะงั้น ไม่ว่าจะผู้ชายคนไหน พวกเขาก็เหมือนกันทุกคนนั่นแหละ และที่น่ากลัวที่สุดคือภูเมษนี่แหละ

             ไม่เอา กูยังจำได้นะ วันนั้นมึงจูบพี่เพลง ตอนนั้นแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำไป นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนแล้ว ไม่!’ กายบอกเสียงแข็ง ฉันเองก็เห็นด้วย คือไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองสวยหรือว่าน่ารัก แต่ผู้ชายน่ะ ขอให้เกิดอารมณ์อย่างว่าขึ้นมาเถอะ ไม่สนใจหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวยไหม

             ไม่ทำแบบนั้นแล้วก็ได้ สัญญาเลย เวอร์นอนยกนิ้วขึ้นมาทำสัญลักษณ์การสัญญา และยังยิ้มหวานไม่เปลี่ยน

             ไม่เอาดีกว่า มาคิดดูแล้ว ถ้ากูมีแฟนแล้วเลิกกัน จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็มีแฟนใหม่ทันที กูก็คงไม่โอเคเหมือนกัน ในที่สุดกายก็เข้าใจในสิ่งที่ฉันกังวลแล้ว ฉันเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

             แต่รู้สึกแบบนั้นได้แค่ไม่ถึงสิบวิ เวอร์นอนก็ทำให้ฉันกับกายต้องเหวออีกรอบ

             งั้นฉันขอเดินหน้าจีบเธอเต็มตัวเลยนะ แกก็ห้ามยุ่งด้วยกาย เขาบอกและจ้องหน้าฉันจริงจัง รอยยิ้มหวานๆ ชวนให้สับสนว่าเขาคิดอะไรอยู่หายไป เหลือแค่แววตาที่จ้องมาเหมือนจะมองฉันให้ทะลุ

             ฮะ!? แกว่ายังไงนะ กายมองหน้าเพื่อนสนิทของเขาอย่างงุนงง ฉันเองก็ตกใจไม่ต่างกัน

             ก็ฉันชอบพี่เพลงไง ในเมื่อแกไม่ยอมให้ฉันเป็นแฟนหลอกๆ ของพี่เพลง งั้นฉันขอเป็นแฟนจริงๆ ของพี่เพลงเลยก็แล้วกัน รอยยิ้มของเวอร์นอนกลับมาอีกครั้ง เขาหันไปมองหน้ากายที่ยังเหวออยู่

             แกคิดว่าวันนั้นที่ฉันจูบพี่เพลงน่ะ แค่อารมณ์พาไปรึไง ก็อาจจะจริงแบบนั้น แต่ฉันชอบพี่เพลง และพร้อมจะเอาจริงด้วย เวอร์นอนบอกกับกายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ฉันก็เลยรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ คล้ายกับเป็นไข้หวัดใหญ่ แล้วก็วางตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

             เพราะชอบเลยจูบไง ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องแปลกใจ…’ เขาพูดต่อเมื่อกายยังเอาแต่อึ้ง

           ‘รู้ตัวมั้ยเวอร์นอน ตอนนี้มึงก็ไม่ต่างจากภูเมษเลย ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่เคยคิดถึงพี่เพลงว่าจะรู้สึกยังไง กายพูดหลังจากที่เขาเงียบไปนาน และถูกย้อนกลับมาด้วยประโยคเดิม

             มึงเองก็เหมือนกันแหละ เขาไปวุ่นวายกับชีวิตของพี่เพลง ทำให้พี่เพลงกับไอ้ภูเมษนั่นยิ่งเลวร้ายไม่ใช่เหรอ เวอร์นอนย้อนกลับมาเสียงเรียบ ทั้งฉันและกายก็เลยเงียบกริบกันกันไป

             นี่มันเป็นเรื่องของพี่เพลงนะ เพราะงั้นต้องให้พี่เพลงตัดสินสิ ไม่ใช่มึง…’ เวอร์นอนบอก กายเลยมองหน้าฉันเหมือนจะถามทางสายตาว่าเขาทำให้ฉันเจ็บอีกคนใช่ไหม

             เพราะอย่างนั้นเราเลยยุติเรื่องทั้งหมดเอาไว้เท่านั้น กายมาส่งฉันที่ห้องชุดและพวกเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนั้นกันอีก

             “ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็บอกนะพี่เพลง รีบโทรหาเลย ไม่สบายแล้วต้องอยู่คนเดียวมันอันตราย” กายบอกหลังจากที่ฉันลงจากรถแล้ว

             กายมีธุระข้างนอกกับเวอร์นอนนั่นแหละ แล้วเขาก็กลัวว่าเวอร์นอนจะมาวุ่นวายกับฉันเลยพามาส่งที่ห้องชุด เพราะห้องของเขา เพื่อนๆ ในกลุ่มมีกุญแจสำรองเข้านอกออกในได้ทุกเวลา และมันคงไม่ปลอดภัยกับฉันเท่าไหร่

             “รู้แล้ว ฉันก็ไม่ได้ป่วยอะไรมาก แค่เป็นหวัดแค่นี้เอง” ฉันพึมพำ ตั้งแต่เลิกกับภูเมษกายก็ดูห่วงฉันมาก

             หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ฉันอาการคงย่ำแย่มากไม่อย่างนั้นกายคงไม่เป็นห่วงฉันมากขนาดนี้แน่

             “ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนมั้ย เผื่อกลางคืนอาการจะแย่ขึ้น” เวอร์นอนโบกมือส่งยิ้มหวานให้ กายเลยผลักหน้าเพื่อนของเขาไปอีกทาง

             “ไม่ต้องยุ่งเลยไอ้เวอร์นอน พอแล้ว อย่ายุ่งกับเพื่อนกูเลยนะ คนนี้เป็นเพื่อนกูจริงๆ กูหวง ไม่อยากให้ใครยุ่ง”

             “ครับๆ ไม่ทำแล้วก็ได้” เวอร์นอนยอมแพ้แต่ก็ยังส่งยิ้มให้ไม่เปลี่ยน

             “ขึ้นไปนอนพักได้แล้วพี่เพลง แล้วยังไงพรุ่งนี้จะแวะมาหา ถ้าไข้ไม่ลดจะพาไปโรงพยาบาล”

             “ขอบใจนะ ขับรถดีๆ ด้วยล่ะ” ฉันถอยออกมาอีกก้าวแล้วโบกมือลา

             กายมองหน้าฉันอย่างเป็นกังวล แล้วก็ขับรถออกไป เวอร์นอนยังอุตส่าห์โผล่หน้าออกมาจากรถแล้วโบกมือมาฉันได้อีก ฉันหลุดหัวเราะออกไป ไม่ปฏิเสธเลยว่าอยู่กับคนอื่นแล้วรู้สึกผ่อนคลายกว่าอยู่กับภูเมษมาก

             แล้วกันสิ ฉันเผลอคิดถึงเขาคนนั้นอีกแล้ว

             ฉันได้แต่บอกให้ตัวเองเข้มแข็ง แล้วก็กลับเข้าห้องอย่างอ่อนเพลียอยู่บ้าง เกลียดการป่วยและความอ่อนแอจริงๆ แต่มันก็บอกได้ว่าฉันน่ะยังมีลมหายใจอยู่ และยังเดินต่อไปข้างหน้าได้

           ฉันไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน และตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังรบกวนมันปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอย่างไม่เต็มใจ อาการปวดหัวที่ลามไปทั่วตัวมันรุมเร้าจนขยับตัวอย่างใจคิดไม่ได้ ควานมือไปทั่วเตียงเพื่อตามหาแต่ไม่เจอ แล้วเสียงก็เงียบไปแล้วด้วย ฉันเลยไม่สนใจแล้วก็หลับต่อ

     

    Guy`s talking…

           ผมมองดูข้อความไลน์ที่เพลงส่งมาให้ หลังจากที่ผมโทรไปหาแล้วเธอไม่ยอมรับสาย

     

             Pleng-Pin :: ฉันปวดหัว ขอนอนต่อนะ

             Guy  :: โทษที เป็นห่วงน่ะ นอนต่อเถอะ

     

             ผมถอนหายใจแล้วก็สอดโทรศัพท์ลงกับกระเป๋ากางเกงตามเดิม เมื่อเห็นสายตาของเวอร์นอนมองมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น

             “พี่เพลงไม่รับสายเหรอ” เวอร์นอนถามด้วยสีหน้าแววตาที่แสนไร้เดียงสา ผมจิ๊ปากครางในคอมองอย่างไม่พอใจ

             “จะรู้ไปทำไม”

             “เอ้า ก็บอกแล้วไงว่าฉันน่ะจะเดินหน้าจีบพี่เพลง ต่อให้แกไม่พอใจไม่อยากให้ไปยุ่งก็เหอะ” เวอร์นอนยิ้มหวาน

             บอกตามตรงนะ ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่เห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้วต่อให้โกรธมากแค่ไหนก็ถ่มน้ำลายใส่หน้ามันไม่ลง ต่อให้อยากทำแบบนั้นใจแทบขาดก็ตาม

             “ผู้หญิงมีอีกเป็นร้อย ทำไมมาชอบคนนี้วะ บอกแล้วไงว่าคนนี้เป็นเพื่อนรักของกูจริงๆ พี่เพลงเป็นเด็กดี อย่าทำร้ายพี่เพลงเลย”

             “แล้วมึงเอาอะไรมาตัดสินล่วงหน้าว่ากูจะทำให้พี่เพลงผิดหวังเสียใจวะ ถ้ามึงชอบผู้หญิงสักคนแล้ว มึงคิดเหรอว่ามึงจะทำร้ายจิตใจเค้าน่ะ”

             “แล้วทำไมมึงชอบพี่เพลงวะ รู้ก็รู้ว่าพี่เพลงเจอผู้ชายแย่ๆ มา หมอนั่นคงทำอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว บอกตามตรงกูกลัวใจมึงว่ะ ไม่ได้คิดว่าพี่เพลงแปดเปื้อนหรืออะไรหรอกนะ แต่กลัวว่าวันนึงมึงจะเปลี่ยนใจจากพี่เพลง เอาเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างเพื่อจะทิ้งพี่เพลง กูทำใจไม่ได้ว่ะ ไม่อยากเห็นพี่เพลงต้องร้องไห้อีก” ผมถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ แล้วบอกในสิ่งที่คิดอยู่ในใจ

             “นั่นแหละ แล้วมึงเอาอะไรมาคิดว่ากูจะทำแบบนั้น”

             “ก็ไม่รู้ไงว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง และถ้ามึงทำให้พี่เพลงเจ็บแล้วเลิกคบกัน มึงกับกูก็คงต้องเลิกคบกันด้วย” ผมบอกอย่างตรงไปตรงมา

             “ถามจริง นี่มึงชอบพี่เพลงรึเปล่าวะ ทำท่าแบบนี้มันเหมือนหวงก้างว่ะ พี่เพลงจะรักจะชอบใครทำไมต้องผ่านมึงก่อนด้วย” เวอร์นอนมองผมอย่างจับผิด ผมเลยส่ายหน้า

             “เพลงน่ะ เป็นคนเดียวที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เคยมีความลับกับใคร กูอยู่ชายล้วนมาตลอดก่อนจะเข้ามหาลัย เพราะงั้นเพลงเลยเหมือนน้องสาวเหมือนคนในครอบครัว ก็เหมือนกับมึงที่กูสนิทด้วยเหมือนพี่น้องกันจริงๆ กูถึงได้ไม่อยากให้มึงมายุ่งกับเพลง แล้วทำให้เราสองคนแตกหักกันยังไงล่ะ” ผมก็ไม่รู้ว่าเวอร์นอนจะเข้าใจเหตุผลของผมไหม แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

             “แต่กูก็มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะงั้นกูถึงอยากพิสูจน์ให้มึงเห็นนี่ไง ว่ากูไม่ได้แค่เล่นๆ กับพี่เพลง กูจริงใจนะเว้ย แล้วเรื่องที่ก่อนหน้านี้พี่เพลงจะมีแฟนมากี่คน กูไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผู้หญิงก็คนเหมือนกันป่ะวะ แล้วพี่เพลงก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย”

             ผมถอนหายใจ รู้สึกสังหรณ์ใจลึกๆ ว่าวันหนึ่งผมก็อาจจะทะเลาะกับเวอร์นอนเพราะเรื่องของเพลง ซึ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเลยจริงๆ

             “กูจะให้มึงเห็นเอง ว่ากูจริงจังกับพี่เพลงแค่ไหน

             ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะมีคนอื่นเรียกซะก่อน เวอร์นอนเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อด้วย ผมเลยลืมๆ เรื่องนี้ไป

             “กายขอยืมโทรศัพท์หน่อย แบตกูหมดว่ะ” เวอร์นอนเรียกผมอีกครั้ง ระหว่างที่ผมให้ความสนใจกับเกมฟุตบอลอยู่ ได้ยินแบบนั้นผมก็เลยส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้มันไปหลังจากที่ปลดล็อกหน้าจอให้เรียบร้อยแล้ว

             “ขอบใจ” เวอร์นอนบอก น้ำเสียงของมันดูแปลกไปจากเดิมนิดหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากฟุตบอลบนหน้าจอขนาดใหญ่ตรงหน้าแทน

             “ขอบใจจริงๆ เลย กาย~

    End Guy talk…

     

           ฉันงัวเงียตื่นขึ้นกลางดึกเพราะคอแห้งจนแสบไปหมด อยากจะหาน้ำดื่มเผื่อว่ามันจะช่วยได้ แล้วจะหายาอมแก้เจ็บระคายคอด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่ายังมีติดห้องหรือเปล่า พอลุกขึ้นก็แปลกใจนิดหน่อยที่เห็นขวดน้ำวางไว้ที่โต๊ะเล็กข้างหัวเตียง จำไม่ได้ว่าเอามาวางไว้ตรงนี้ตอนไหน แต่ก็อาจจะเป็นตอนที่กินยาแก้ไข้ฉันเลยไม่สนใจอะไรอีก ดื่มน้ำได้นิดหน่อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนตามเดิม

             แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาในห้อง ตอนแรกก็กลัว แต่พอนึกอีกทีน่าจะเป็นกายเพราะเขาบอกว่าจะมาดูอาการ เอ๊ะ ว่าแต่กายบอกว่าจะแวะเข้ามาตอนไหนนะ หรือว่ายังไง ฉันคิดแล้วก็หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย

             “อื้อ มันเย็น” ฉันต้องครางเมื่อกายหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าและซอกคอให้ ฉันวูบวาบไปหมด

             “ไม่เอา ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกกาย”

             “ใครบอกว่าฉันเป็นไอ้กาย!” เสียงแข็งๆ และมือที่ลูบเรื่อยเข้าไปจากซอกคอไปที่หน้าอก ทำฉันลืมตาตื่นด้วยความตกใจ

             “ภูเมษ!” ฉันอุทาน เขาเป็นคนที่ไม่คิดว่าจะอยู่ตรงนี้ คงจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกเลยด้วยซ้ำไป

             “เออ ทีหลังน่ะ หัดเรียกให้ถูกคน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก”

             ฉันไม่ได้สนใจแล้วว่าภูเมษจะพูดอะไร ลนลานจะลุกขึ้นแต่ก็ปวดหัวจนเคลื่อนไหวได้ช้าลง เป็นผลให้เขาขยับเข้ามาใกล้ได้มากกว่าเดิม

             “นายมาได้” ฉันถามไม่จบประโยค จำไม่ได้เลยตอนนี้กุญแจสำรองห้องของฉันอยู่ที่ไหนกันแน่

             “มาคิดดูอีกที มันเสียหน้ามากที่ถูกใครประณามว่าฉันมันเลว ทำร้ายรังแกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนได้ลงคอ” ภูเมษพูดแต่ฉันไม่เข้าใจว่าเขาหมายความถึงอะไรกันแน่

           ” มีหลายคำถามที่อยากจะถามอยากจะพูด แต่ว่าฉันก็พูดไม่ออกจนแล้วจนรอด

             “อีกอย่าง ฉันเองก็อยากจะให้เพื่อนคนอื่นๆ เลิกพูดเรื่องของเธอแค่เรื่องบนเตียง เพราะงั้นฉันจะเริ่มใหม่

             “เริ่มอะไร” เสียงฉันสั่นพร่าตะกุกตะกัก ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาขึ้นเตียงมากอดเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน

             “ก็เริ่มทำดีกับเธอใหม่น่ะสิ ตอนนี้ฉันเก็บหน่วยกิตวิชาเรียนหมดแล้ว มีเวลาว่างเต็มที่เลยด้วย เพราะงั้นจะไม่มีอีกแล้วที่แวะมาหาเธอได้ตอนกลางคืน เพราะต้องทำวิจัย ลงแลป อะไรๆ อีก ฉันมีเวลาว่างจะคอยตอแยเธอตลอดทั้งวันทั้งคืนเลย”

             “เดี๋ยวนะ นายพูดอะไรนะ” ฉันยกมือดันอกกว้างของเขาเอาไว้ แต่ก็ทำได้ยากลำบากเหลือเกิน ในหัวฉันมันร้อนไปหมดแล้วหมุนติ้วเหมือนลูกข่างเลยด้วย

             “ฉันไม่เคยถูกใครก่นด่าหยาบคายแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะจากไอ้เบศ เพราะงั้น

             สายตาน่ากลัวของภูเมษมองมาอย่างไม่น่าไว้ใจ ฉันก็รู้ตัวว่าไปไหนไม่รอดอยู่ เหมือนแหย่ขาข้างหนึ่งเข้าปากของเขาไปแล้ว ใจมันเต้นแรงจนน่ากลัว สมองว่างเปล่าจนคิดหาทางออกไม่ได้

           “เพราะงั้นเริ่มต้นจากตอนนี้เลย ปวดหัวมากใช่มั้ย ไม่อยากเป็นไข้ใช่มั้ย”

             ฉันพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ด้วยซ้ำ

             “งั้นให้ฉันจูบเธอ แล้วเอาหวัดมาติดฉันแทนดีกว่า ว่ามั้ย?

     

             บอกตามตรงว่าการรับมือกับผู้ชายที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาร้ายกาจเอาแต่ใจมากแค่ไหนมันเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ

             ตอนนี้ภูเมษวนเวียนในห้องของฉันเหมือนเป็นเจ้าของห้องซะเอง ทั้งที่เมื่อก่อนเขาแทบไม่อยู่กับฉันนานเกินสี่โมงเลยด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เขาอยู่ด้วย แล้วทำตัวเหมือนแฟนแสนดีที่ดูแลคนป่วยทุกฝีก้าว แต่ฉันยังจำได้นะว่าเขาบอกอะไรก่อนหน้านี้

             มาคิดดูอีกที มันเสียหน้ามากที่ถูกใครประณามว่าฉันมันเลว ทำร้ายรังแกคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนได้ลงคอ

           นั่นคือสิ่งที่เขาพูด และมันทำฉันเจ็บเอาเรื่องเลยล่ะ

             “ออกไปข้างนอกเถอะ” ภูเมษเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งแล้วส่งเสียงดัง

             “อะอะไร” ฉันถามเสียงสั่นตะกุกตะกัก ตั้งแต่ถูกจูบ หัวฉันก็ปั่นป่วนไปหมด ไม่ใช่แค่ที่หัวด้วย ยังรวมถึงหัวใจ ร่างกาย มันเหมือนไม่ใช่ร่างกายของฉันเลย

             “มากินข้าว”

             “ฉันไม่หิว” ฉันดึงผ้าห่มมาปิดปากเอาไว้ อยู่ๆ ก็รู้สึกหวงตัวขึ้นมาไม่อยากให้เขาแตะต้อง นั่นเพราะเราเลิกกันแล้ว แต่มันก็แค่ความหมายของฉัน ภูเมษอาจไม่คิดแบบเดียวกัน

             “หรือจะอยู่ในห้องนี้ต่อไป แบบนั้นก็ดีนะ นั่งๆ นอนๆ บนเตียง สนุกดีเหมือนกันนี่” เขาทำท่าจะเดินเข้ามา ฉันก็รีบขยับตัวลงจากเตียงอย่างลนลานอย่างรวดเร็ว

             “ไปก็ได้” ฉันรีบลงจากเตียง แต่รู้สึกว่าอาการหวัดดีขึ้นค่อนข้างมาก อาจเพราะว่าภูเมษมาช่วยดูแลก่อนหน้านี้

             “แบบนี้สิเด็กดี มากินข้าว กินยาสักหน่อย แล้วค่อยมานอนต่อ” ภูเมษทำเหมือนห่วงมาก และมันขุ่นเคืองในใจจนฉันต้องกำหมัดแน่น

             ก่อนหน้านี้ฉันเคยต้องการเขา อยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แล้วเขาไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ

             แล้วตอนนี้เขากลับมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะฉันดูดีขึ้นไม่เหมือนคุณป้าแบบแต่ก่อน หรืออาจจะมาจากการที่รู้สึกเสียหน้า ที่ทำเลวต่อแฟนจนเพื่อนพากันประณามหรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นมันทำฉันเจ็บปวดมากจริงๆ

             “ภูเมษ” ฉันเรียกเขาอย่างอ่อนแรง

             ภูเมษเลยขยับตัว ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องอีกก้าวหนึ่งพลางถาม

             “ไง จะพูดหรือถามอะไร” เขานิ่งมากเหลือเกิน ซะจนฉันหายใจไม่ออก

             “ทำไมนายถึงทำแบบนี้เหรอ”

             “อะไร” เสียงภูเมษเริ่มแข็งกระด้างมากขึ้น สายตาก็เริ่มเพ่งมองด้วยความไม่พอใจ

             “นายไม่ต้องสนใจฉันก็ได้นี่ ว่าฉันจะป่วยหรือเป็นไข้ หรืออะไรสักอย่าง นายทำอย่างที่นายอยากทำเหมือนแต่ก่อนเถอะ พอนายทำแบบนี้แล้วมันเหมือนว่านายไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

             การเสแสร้งแกล้งทำ มันอยู่ได้ไม่นานหรอก อีกเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันก็จะเจ็บปวดเหมือนเดิม

             “เธอคิดว่าตอนนี้ฉันแกล้งทำเป็นดีกับเธอเหรอ” เขาหรี่ตามอง คิ้วขมวดใบหน้าเริ่มบึ้งตึงเย็นชา

             “อย่าทำแบบนี้เลย ถ้านายจะมาทำดีกับฉันเพียงแค่อยากดูดีในสายตาของทุกคน คนที่เจ็บปวดคือฉัน” ฉันบอกเสียงเครือ ความรู้สึกสับสนเจ็บปวดมันรุมเร้าจนฉันไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้ว ไม่ว่าคนคนนั้นเป็นภูเมษ หรือกายก็ตาม

             “ฉันบอกแบบนั้นเหรอ” ภูเมษถาม ฉันก็พยักหน้าทั้งน้ำตา

             “ใช่นายบอก”

             “ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้นายต้องการอะไรจากฉัน ตอนที่ฉันต้องการนาย นายทิ้งขว้างไม่สนใจฉันเลย แต่พอฉันไม่ต้องการ อยากอยู่คนเดียวอย่างเข้มแข็งไม่น่าสมเพชนายก็กลับมา ภูเมษได้โปรด ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ฉันบอกเสียงเครือ น้ำตาแม้จะไม่ไหลออกจากตาแต่มันล้นในอกของฉัน ความข่มขื่นนี่ไม่รู้จะจางหายไปตอนไหน ฉันได้แต่ภาวนาขอร้องให้มันจบเสียที

             “มันสายเกินไปที่ฉันจะกลับมาเหรอ เพราะเธอมีคนใหม่แล้ว?

             “ไม่เลย ฉันไม่เคยมีใครทั้งนั้นนอกจากนาย แต่เพราะว่าฉันไม่อยากจะเสียใจอีกแล้ว เราจากกันด้วยดีจะได้ไหม”

             “งั้น” ภูเมษเงียบไปนานแล้วก็พูดออกมาในที่สุด

             “ฉันจะกลับไปก่อน ออกมากินข้าวด้วยล่ะ ฉันทำเอาไว้ในห้องครัว กินยาด้วย ฉันกลับไปก่อนก็ได้” เขายอมถอยง่ายๆ ไม่เหมือนกับภูเมษคนเดิมที่รู้จักเลย

             พออยู่คนเดียวแล้วฉันก็เดินไปที่ห้องครัว นั่งกินข้าวกินยาเงียบๆ กับความรู้สึกสับสนที่ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะจบลงได้ยังไงดี ฉันนั่งกินข้าวอยู่พักหนึ่ง ก็ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพราะมีข้อความส่งเข้ามา เป็นไลน์จากกายฉันเลยกดอ่าน

     

           Guy  :: เวอร์นอนซื้อข้าวเข้าไปให้น่ะ ลงไปรับหน่อยนะ มันคงใกล้ถึงคอนโดเธอแล้ว อีกสักห้านาทีลงไปเจอมันด้วยแล้วกัน

             Pleng-Pin :: เวอร์นอนเหรอ ทำไมล่ะ ฉันกินข้าวแล้วนะ

             Guy  :: เหอะน่า เวอร์นอนมันเป็นห่วงเธอมากนะ ลงมาเอาเหอะ เดี๋ยวมันเสียความรู้สึก

             Pleng-Pin :: อือ เข้าใจแล้ว

     

           ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเวอร์นอนจะมาหาทำไม ถ้าเป็นกายก็พอว่า เพราะเราสนิทกันอยู่แล้ว เวลาไม่สบายหรือมีปัญหาอะไรก็จะมีกายที่คอยเป็นห่วงและดูแลเสมอ ถึงจะแปลกใจแต่ฉันก็เลือกที่จะลงไปหาเวอร์นอนหลังจากที่ผ่านไปราวๆ ห้านาที

             ตอนที่เดินออกมาจากลิฟต์ฉันก็กระชับเสื้อคลุมแล้วเจอกับเวอร์นอนพอดี ฉันส่งยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา

             “กายไม่มาด้วยเหรอ” ฉันถามอย่างเขินๆ ไม่เคยได้คุยกับผู้ชายแบบนี้มานานแล้ว เพื่อนส่วนมากก็เป็นผู้หญิง นอกจากกายกับภูเมษแล้วฉันก็ไม่รู้จักหรือสนิทกับใครอื่นเลย

             “ไม่ล่ะ มันติดพนัน เอ๊ย ติดพันดูบอลอยู่” เขาพูดติดตลกแล้วลุกขึ้นยืน

             เวอร์นอนตัวสูงมากจนฉันต้องเงยหน้าเพื่อจะได้มองตาเขา ฉันใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงจะไม่ได้คิดอะไรก็เถอะ แต่มีผู้ชายใจดีแถมยังยิ้มหวานส่งยิ้มให้บ่อยๆ แบบนี้ หัวใจมันก็จะพังเอาง่ายๆ

             “พอดีฉันจะกลับคอนโดน่ะ แล้วกายมันพูดก่อนหน้านี้ด้วยว่าเธอไม่สบาย เลยเป็นห่วง แล้วก็ซื้อของเข้ามาเยี่ยม”

             “อ้อ ขอบคุณนะ” ฉันบอกอย่างเงอะงะเขินจนแทบวางมือไม่ถูก ยื่นมือไปรับของมาจากเวอร์นอนอย่างขอบคุณ

             “พักผ่อนด้วยล่ะ ฉันไปล่ะ” เขาโบกมือลาและยิ้มสดใสเหมือนกับทุกครั้งนั่นแหละ

             ฉันโบกมือตอบอย่างเก้ๆ กังๆ เขินก็เขิน อึดอัดก็อึดอัด พอเขาไปแล้ว และมาอยู่ในลิฟต์แล้วนั่นแหละ ฉันถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เริ่มสังหรณ์ใจแปลกๆ เพราะไม่ว่าจะใครก็เปลี่ยนไปกันหมด

             ไม่ว่าจะเป็นตัวเวอร์นอนเอง กาย หรือแม้แต่ภูเมษ

             เฮ้อเอาเถอะ อย่าไปคิดมากเลย ฉันปลอบตัวเองแล้วก็พยายามจะสงบใจ ถึงแม้ว่าจะทำได้ยากเหลือเกิน

     

    Puumate`s talking…

           ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย บุหรี่ที่สูบเสมอตอนเครียดๆ หรืออารมณ์เสีย ตอนนี้ก็ยังไม่อยากจุดเลย

             นั่นเพราะว่าผมเพิ่งจะเห็นคู่แข่งคนสำคัญไปเจอกับพี่เพลงมา แล้วแบบนี้จะให้ยิ้มอารมณ์ดีได้ยังไงกัน

             ผมเดินขึ้นรถอย่างหงุดหงิด กล่องของขวัญไม่รู้กี่กล่องที่ผมพยายามบรรจงห่อให้พี่เพลง ถูกเธอโยนทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า บ้าชะมัด เธอกำลังทำให้ผมคลั่ง

             หลังจากที่เห็นเวอร์นอนขับรถออกไปแล้ว ผมก็พอจะวางใจขับรถออกมาบ้าง แต่ไม่ได้กลับห้อง เพราะมันหงุดหงิดขัดใจไปหมด อยากหาใครสักคนมาระบายอารมณ์มากกว่า และผู้โชคดีก็คือเพื่อนๆ สุดห่ามของผมเอง

             “ไปเจอแฟนมา ทำไมทำหน้าหมางๆ แบบนั้นวะ” ต้นเรือ ทักเมื่อผมนั่งลงที่โต๊ะในร้านโปรดที่ชอบมานั่งดื่มกับเพื่อนๆ ตอนเครียดๆ หรือสังสรรค์เฮฮากันอยู่เสมอ

             “หน่วยกิตก็เก็บเสร็จหมดแล้ว วิจงวิจัยก็ผ่านหมดแล้ว แล้วเครียดอะไรอีกวะ”
             “เพราะพวกมึงนั่นแหละ” ผมคว้าแก้วเหล้าของเพื่อนสักคนมาดื่ม ไม่สนใจว่าใครจะโวยวาย
    และคงเป็นของไอ้ต้นหนล่ะมั้ง เพราะมันโวยวายมากกว่า

             “พวกกู พวกกูเนี่ยนะ” ต้นหนมันถามกลับด้วยความสงสัย

             “วันเกิดกูจำไม่ได้รึไง พวกมึงเอาแต่พูดเรื่องถุงยางมั่งล่ะ เซ็กส์ทอยมั่งล่ะ พี่เพลงเกลียดหน้ากูจะแย่แล้ว” ผมบ่นอย่างกลุ้มใจ แล้วมีมือหนึ่งมาตบบ่าเบาๆ

             “มันไม่ใช่เรื่องตลกนะ พี่เพลงเอาแต่ถามว่ากูไม่จริงจังด้วยเหรอ เลยไม่พามาเจอเพื่อนบ้าง เพราะพวกมึงเป็นแบบนี้ไง กูเลยไม่อยากให้พี่เพลงมาเจอ ยิ่งเมาพวกมึงยิ่งห่าม อีกอย่าง ช่วงหลังมานี่กูงานยุ่งมากทั้งแลปทั้งวิจัย ไหนจะต้องเก็บหน่วยกิตอีก เหนื่อยชิบหาย มาเจอพี่เพลงตอนที่งอแง ทะเลาะกันเลย โดนบอกเลิกบอกไล่มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเนี่ย” ผมถอนหายใจ ทิ้งน้ำหนักพิงกับพนักเก้าอี้สายตาเลื่อนลอยไปไกล บอกตามตรงว่ามันทั้งเสียศูนย์ทั้งเสียเซลฟ์เลยที่ถูกแฟนบอกเลิก เจ็บดีพิลึก

             “กูก็ไม่อยากซ้ำเติมหรอกนะ แต่มึงดูไม่ค่อยสนใจพี่เพลงเท่าไหร่นี่หว่า อีกอย่าง ในกลุ่มเราเนี่ยมันก็ปากหมาอยู่แล้ว ยิ่งดื่มยิ่งมอม เออๆ มันความผิดของพวกเราก็จริง แต่มึงก็ไม่เห็นสนใจพี่เพลง พวกกูคงจะรู้หรอกว่ามึงจริงจังด้วย” ต้นกลมองผมอย่างสมเพช แล้วคำพูดของมันก็ทำให้ผมหงุดหงิดมากจริงๆ

             “ทำไมจะไม่จริงจังวะ บางวันมีเวลาว่างแค่ไม่ถึงห้าชั่วโมงกูก็พยายามเจียดเวลาไปหาแล้วก็ต้องกลับไปทำงานต่อ พี่เพลงก็ด่ากู หาว่ากูมีแต่เรื่องอย่างว่า กูแค่อยากเจอหน้า พอเจอแล้วมันก็อยากกอด พอกอดก็ได้เรื่อง สรุปกูผิดอีก”

             “มึงก็ไม่หาเวลาพาไปเที่ยวบ้างวะ เป็นกู กูก็คิดว่ะ” ไอ้ต้นปืน ด่าผมอีกคน ผมนึกว่ามันจะไม่ว่าอะไรและเข้าใจผมดีที่สุดแล้วนะ แต่มันก็แบบ...

             เออ ไอ้สี่ทหารพวกนี้มันเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ชื่อใกล้กัน แถมยังปากหมาน่ารำคาญเหมือนกันหมดทุกคนด้วย ไม่มีใครเข้าใจผมเลยสักคน

             “งานกูมีน้อยเนาะ เวลานอนยังแทบไม่มี” ผมบ่น รู้สึกมันว่างเปล่าไปหมด ถ้าพี่เพลงพยายามเข้าใจผมสักหน่อย เราคงไม่เป็นแบบนี้

             “กูขอร้องล่ะ ถ้าเจอพี่เพลง พวกมึงอย่าพูดหรือแซวอะไรกับเรื่องบนเตียงเลย กูขอล่ะ พี่เพลงร้องไห้จะเป็นจะตาย แล้วปลอบไม่ได้เนี่ย มันเป็นอะไรที่แย่มาก กูทั้งโกรธทั้งเกลียดตัวเอง มีแฟนคนหนึ่งแต่รักษาไว้ไม่ได้ กูนี่บ้าจริงๆ” ผมยกมือปิดหน้าตัวเอง รู้สึกเหมือนทำอะไรหล่นหายที่ตามกลับคืนมาไม่ได้ ที่สำคัญ มันจะรู้สึกหน่วงๆ แบบนั้นตลอดไปเลยด้วย

             “เออ ทีนี้พวกกูก็รู้แล้วว่ามึงจริงจังกับพี่เพลงมากจริงๆ แต่มึงเคยบอกพี่เพลงแบบที่บอกพวกกูมั้ยล่ะวะ” ต้นกลถาม มันยิ้มๆ เหมือนกำลังสนุกที่ผมกระวนกระวายที่ถูกทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีก

             “บอกสิ ก็บอกไปว่างานยุ่ง ไม่ได้ตั้งใจจะจบที่เตียงอย่างเดียวหรอก แต่แม่ง ดันน่ารัก เนื้อตัวก็นุ่มนิ่มกอดแล้วมันของขึ้นเองนี่หว่า กูก็คนนะ พอกอดแล้วก็ลืมตัวไปหมด” ผมบ่นอุบอิบ จริงๆ นะ ผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นเลย เกลียดตัวเองชะมัดเลย

             “ก็ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น กูถามว่า มึงเคยบอกพี่เพลงมั้ย ว่าพี่เพลงสำคัญกับมึงแค่ไหน ถึงขนาดที่เอาเวลาพักตั้งสามจากห้าชั่วโมงไปหาเพื่อไปกอดแล้วกลับมาทำงานที่ห้องแลปแล้วฮัมเพลง Zombie ไปด้วย มึงบอกได้บอกพี่เพลงมั้ยล่ะ” ต้นกลอธิบายผมเลยเงียบกริบ

             “ว่าแล้วมั้ยล่ะ มึงไม่บอกเค้านี่หว่าว่ารักว่าชอบมากแค่ไหน” ไอ้สี่ทหารเสือได้ทีว่าผมใหญ่

             เฮ้ย อะไรวะ รวมหัวรุมกันนี่หว่า

             “ก็กอดแล้วป่ะ ก็นอนด้วยแล้ว จูบด้วย แถมยังทิ้งคิสมาร์กเอาไว้ตั้งเยอะ!” ผมบอกเสียงฉุนๆ แล้วแกล้งหลบตาพวกมัน

             “ไอ้เหี้ย นั่นเรียกว่าหื่น เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เพลงถึงคิดว่าแกเซ็กจัด ไอ้วันๆ เอาแต่กอดแต่จูบแล้วทิ้งคิสมาร์กแล้วไม่ยอมบอกว่ารักแค่ไหน ผู้หญิงก็เข้าใจคิดว่าเป็นแค่ของตายสิวะ”

             “ทีงี้ทำมาเป็นกูรูเรื่องความรักนะมึงไอ้ปืน” ผมประชด แล้วพวกมันก็หัวเราะ ไอ้เพื่อนเวรเอ๊ย

           “ตอนนี้พวกเราก็รู้แล้ว ว่าที่พี่เพลงบอกเลิกกับมึงเพราะอะไร เพราะว่ามึงไม่เคยบอกรักพี่เพลง ไม่เคยทำตัวเหมือนแฟนนอกจากเรื่องบนเตียงนะ เอาเป็นว่าหยวนๆ เพราะเราเรียนด้วยกันทำงานด้วยกัน หักลบนิดหน่อย มึงควรเดินหน้าง้อพี่เพลง พี่เพลงอยากได้ความรักก็ให้ไปเยอะๆ อยากไปดูหนังฟังเพลงอย่างที่คนเป็นแฟนทำกัน ก็พาไปเลย”

             “คงได้พลหรอกไอ้ต้นเรือ ตอนนี้หน้ากู พี่เพลงยังไม่อยากจะมองเลย” ผมถอนหายใจ หลังจากเครียดเรื่องงานก็เครียดเรื่องแฟนต่อเลย ชีวิตดี๊ดี

             “แถมตอนนี้ไอ้หน้าหล่อเพื่อนสนิทของไอ้กายมันก็ทำคะแนนใหญ่ แถมยังดูใจดีอ่อนโยน แบบเดียวกับที่พี่เพลงชอบเลยด้วย กูโคตรหนักใจ ไอ้หน้าหล่อนั่นคงมีภาษีดีกว่ากูเป็นไหนๆ ก็เป็นถึงเพื่อนสนิทของไอ้กาย” ไม่อยากประชดนะ แต่ไอ้หมอนั่นน่ะ สเป็กที่พี่เพลงชอบมากจริงๆ

             “แต่มึงเป็นถึงแฟนพี่เพลงเลยนะ จะเก่าไม่เก่าไม่รู้ล่ะ แต่มึงเป็นแฟนพี่เพลงนะ พี่เพลงชอบอะไร มึงรู้ดีกว่า มีภาษีดีกว่าแน่” ต้นปืนพูดให้กำลังใจ ผมเลยถอนหายใจแล้วพูดต่อ

             “แต่เชื่อมั้ย ว่ากูไม่เคยดูแลพี่เพลงเลย เวลาพี่เพลงป่วยพี่เพลงไม่สบายกูก็ไม่ว่างตลอด ไอ้กายมันเกลียดกูมากเลยนะ เพราะตอนที่พี่เพลงป่วยก็มีมันคนเดียวที่ดูแล ถึงขนาดซื้อผ้าอนามัยให้เลย” ผมพึมพำ รู้สึกทั้งเกลียดทั้งอิจฉาไอ้กายอย่างบอกไม่ถูก

             “ก็จริงนะ หมอนั่นก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ”

             “ไอ้ต้นหนที่รักครับ กูเครียดจริงๆ นะ ถ้าพี่เพลงจะไปกูก็รั้งไม่ได้” นี่มันเป็นเรื่องที่ผมเจ็บปวดอยู่ลึกๆ

             ผมสามารถไปหาพี่เพลงตอนนี้เลยก็ได้ กอดเธอ ทำให้เธอรู้ว่าผมเป็นเจ้าของตัวของเธอเพียงคนเดียว แต่มันก็ทำได้แค่ร่างกายเท่านั้น หัวใจของเธอมันเริ่มห่างไกลจากผมไปทุกที

             “เอางี้มั้ย กูมีแผนดีๆ ที่จะทำให้พี่เพลงใจอ่อนด้วยล่ะ” ต้นปืนยิ้มหวาน ผมเลือกจะส่ายหน้า บอกตามตรงว่ากลัวความเห็นของเพื่อนๆ ที่รักมาก

             “เอาน่า ไม่มีแผนเกี่ยวกับเรื่องปล้ำเลย พี่เพลงต้องยอมคืนดีกับมึงแน่ๆ” นับรบคว้าคอผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่นแล้วก็กระซิบกระซาบข้างหู คำพูดของมันช่วยให้ผมมีหวัง

             “เอาล่ะ ทีนี้ก็เอาแขนมา”

             “เอาไปทำไมวะ” ผมถามเพื่อนอย่างงงๆ แล้วก็สังหรณ์ใจไปด้วย

             “มึงต้องแขนหักจริงๆ เพื่อความสมจริงสมจังยังไงล่ะวะ เชื่อสิ เดี๋ยวพี่เพลงก็รีบมาหามึงเลย”

             “เฮ้ย ไม่เอา” ผมกอดแขนตัวเองอย่างหวงแหน ขณะที่พวกเพื่อนๆ ที่น่ารักเริ่มทำสายตาน่ากลัว

             “ไอ้ต้นหน ไอ้ต้นกล จับมัน ไอ้ปืนมึงมาช่วยกูหักแขนไอ้เมษกัน!

    End Puumate talk…



    [1] Makeup Sex แปลว่า เซ็กซ์เพื่อขอคืนดี




    ตอนนี้เปิดพรีแล้วค่ะ Puumate`s Eyes บอกหัวใจ ให้(หยุด)รักเธอ

    (ภูเมษ เพลงพิณ)

    โอนเงินจำนวน

    300 บาท (สำหรับส่งแบบลงทะเบียน)

    350 บาท (สำหรับส่งแบบ EMS)

    มาที่บัญชี 037-3-75509-5

    น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์ ธ.กสิกรไทย

    แล้วแจ้งโอน (แนบสลิปโอนเงิน)

    แจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร

    ผ่านอีเมล meejairak.publisher@gmail.com

    คลิกที่อีเมลเลยค่ะ จะลิงก์ไปที่เมลให้เลย

    มู่ขอฝากเอาไว้ด้วยนะคะ แล้วเจอกับภูเบศคนต่อไปเลยค่ะ

    รายละเอียดเพิ่มเติม กดที่รูปได้เลยค่ะ imageimage



    http://i.imgur.com/AMtydqh.jpg
    http://i.imgur.com/Q8lrBXd.jpg

    Song :: 8 Graves - Two Wrongs


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×