ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #45 : Puurit`s Eyes ☔ Re-write Ver. Ep.04

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 41.58K
      168
      30 ก.ค. 62


    Puurit’s Eyes 04

    I’d Rather Be Wrong, Than Hope That I’m Right

               

                “แก อีดาหวัน ก็ดี ริชจะได้รู้ว่าแกไม่ใช่คนอย่างที่เขาคิด! เธอตะโกนเมื่อฉันเผลอฟาดมือเข้าใส่จนเลือดกำเดาของเธอไหลออกมามากจนน่ากลัว จากนั้นกลัวสาวๆ ก็พากันยกโขยงส่งเสียงโวยวายออกไปหาภูริชทันที

             ฉันยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาดู หลังจากเผลอทำร้ายคนอื่นเข้าอย่างไม่ตั้งใจ…

             แต่อันที่จริงฉันอาจจะตั้งใจก็ได้ เพียงแต่ระงับอารมณ์ไม่ไว้อยู่ เลยฟาดอีกฝ่ายไปซะสุดแรงแบบนั้น เพราะเคยเรียนยูโดมาก่อน คงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่าเธอคนนั้นปัดป้องไม่ทันและคงเจ็บเอาเรื่อง หลังจากยืนนิ่งอยู่นานฉันก็เดินออกไปเพราะยังไงก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

             เสียงของพวกนั้นดังไม่หยุดตอนที่เดินออกไป ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งหนวกหูมากเท่านั้น

             “นั่นไง นายต้องจัดการแทนฉันนะ อะไรกัน ก็ทางมันแคบเผลอไปชนไหล่เข้านิดเดียวฟาดหน้ากันแบบนี้เลยเหรอ”

             “ใช่ๆ ดั้งหักขึ้นมาจะว่าไง เพื่อนฉันทำหมดไปเกือบแสนเลยนะ!”

             “ยัยบ้า ฉันไม่เคยทำดั้งย่ะ นี่ของแท้พ่อแม่ให้มาต่างหาก”

             นอกจากจะทะเลาะกับคนอื่นแล้ว พวกเธอก็ยังทะเลาะกับพวกตัวเองอีกด้วย ฉันไม่รู้จะหลบหรือซ่อนตัวตรงไหนได้อีก ก็เลยจำต้องเดินเข้าไปใกล้พวกเธออย่างช่วยไม่ได้

                “ดูสิ ดูแฟนของนายทำหน้านะริช เธอไม่ได้รู้สึกผิดอะไรสักนิดเลย!” ผู้หญิงที่ถูกฉันทำร้ายตะโกนเสียงดัง แต่มันไม่ใช่ความจริงเลย

                พวกเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่รู้สึกผิด ว่าฉันไม่เสียใจที่ทำลงไปน่ะ

                “พวกเราไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย ก็มันเขินนี่นาถ้าคนหนึ่งจะไปเข้าห้องน้ำ ผู้ชายก็อยู่เยอะ มันก็เขินนี่ แล้วพวกเราก็สวมชุดว่ายน้ำแบบนี้ ผิดเหรอที่พวกเราจะไปไหนด้วยกันเป็นกลุ่มน่ะ!

                คำพูดพวกนั้นฟังขัดแย้งกัน ในเมื่อพวกเธอดูไม่ได้ขัดเขินพวกผู้ชายเลยสักคนเดียว แถมยังเต้นกันสนุกแล้ว พอมีคนหนึ่งจะเข้าห้องน้ำ คนที่เหลือก็เกิดอายขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ ฉันล่ะสับสนแทนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

                “ต้องจัดการแฟนนายให้ด้วยนะ ดูสิ หน้าฉันเป็นรอยเลย”

                ก็นะ คนเรียนศิลปะป้องกันตัวมาน่ะ ร่างกายมันมีปฏิกิริยาตอบสนองเองอยู่แล้ว ไม่รู้หรอกว่าเผลอฟาดเข้าใส่ตอนไหน ฉันเม้มปากและมองภูริชที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่ไม่คุ้นเคย

                “จริงอย่างที่พวกนี้เล่ารึเปล่า” เขาถามเสียงเรียบ ทำให้ฉันอึดอัดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

             “ดูหน้าฉันสิ!

                “ฉันไม่ได้ถามเธอ” ภูริชหันไปตะคอกผู้หญิงคนนั้น แล้วหันมามองฉันอีกครั้ง

                “ว่างดาหวัน”

                “ไม่มีใครเป็นพยานให้ฉันหรอกนะ แต่ฉันบอกนายได้ ว่าฉันไม่ได้เป็นคนหาเรื่องก่อน พวกเธอมาหาเรื่องฉันเอง แล้วฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายด้วย”

                “ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะ หน้าฉันยังแหกขนาดนี้เลย” ผู้หญิงคนนั้นยังอุตส่าห์พูดแทรก แต่พยายามพูดเสียงเบาๆ ไม่ให้ภูริชโมโหไปมากกว่านี้

                “พวกนี้มาหาเรื่องเธอเหรอ”

                “นายเชื่อมั้ยล่ะ” ฉันถาม พลางสบตากับเขาไม่คิดจะหลบไปไหน

                “นายเคยเชื่อฉันสักครั้ง นายเคยถามฉันสักครั้งมั้ยภูริช” ฉันถามไป ไม่รู้ว่าทำไมไม่ถามเขาแบบนี้ตั้งแต่แรก มัวมาคิดมากทำตัวขี้ขลาดแบบนั้นมาตลอดทำไมกันก็ไม่รู้

             “ถ้าเธอพูดฉันก็ยอมเชื่ออยู่แล้ว” ภูริชเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะถลกแขนเสื้อของฉันขึ้น จนเห็นรอยหยิกรอยข่วนที่ถูกซ่อนเอาไว้ เขาหันไปมองผู้หญิงพวกนั้นด้วยสายตาไม่พอใจ

                “พวกเราไม่ได้ทำนะ”

                “ฉันไม่ได้โง่นะ นี่แฟนฉัน อยู่ด้วยกันกอดกันทุกคืน ฉันจะไม่เห็นรอยแผลพวกนี้เลยเหรอ แล้วนี่แผลใหม่ด้วย เลือดมันยังซิบๆ อยู่เลยนะ” เขาพูดเสียงดัง ฉันเลยก้มหน้าลงมอง และเห็นว่าแขนเสื้อมันมีเลือดซึมออกมาเป็นจุด ภูริชคงสังเกตเห็นแล้วถลกมันขึ้นดู

                “ยัยนั่นอาจจะข่วนตัวเอง ทำร้ายตัวเองก็ได้” ผู้หญิงคนนั้นยังไม่เลิกพูด ภูริชเลยถอนหายใจ ก่อนจับมือฉันชูไปต่อหน้าพวกเธอ

                “ดาหวันไม่เคยไว้เล็บยาว จะเอาเล็บที่ไหนไปจิกเธอ!

                “ก็

                “นี่อยากว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งกันเหรอวะ อยากเอางั้นมั้ย?” ภูริชถามอย่างไม่พอใจ พวกผู้ชายที่เป็นเพื่อนของเขาเลยเข้ามาห้าม

                “เฮ้ย ใจเย็นๆ เหอะว่ะ”

                “ถ้าแฟนพวกมึงถูกทำแบบนี้มั่งล่ะวะ จะให้ใจเย็นได้เหรอ แล้วอย่างดาหวันเนี่ยนะจะหาเรื่องคนอื่นก่อน หน้าพวกแกยังแทบไม่กล้ามองเลยด้วยซ้ำ” เขาตะคอก และทำให้ทุกคนเงียบไป ฉันเลยกระตุกแขนของเขาเบาๆ ให้หันมามอง

                “ช่างมันเถอะ ฉันเองก็ทำแรงเกินไปจริงๆ นั่นแหละ” หน้าผู้หญิงคนนั้นแดงเป็นปื้น พรุ่งนี้คงช้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนรอยหยิกข่วนพวกนี้ก็ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่ด้วย

                “ช่างมันได้ไงวะ” ภูริชขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ

                “แต่ฉันก็ซัดหน้าผู้หญิงคนนั้นจนเลือดกำเดาไหลเลยนะ” ฉันบอก ภูริชเลยถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เขาหันไปมองทางนั้นแล้วลากฉันออกมา ทำให้บรรยากาศบนเรือกร่อยไปในทันที

             “ขอโทษนะ ที่ทำให้นายหมดสนุกเลย” ฉันบอกแล้วก็ถอนหายใจ ตอนที่นั่งลงแล้วภูริชช่วยทำแผลให้

                Dammit!” เขาสบถไม่หยุด แล้วทำแผลไปด้วย ฉันก็กลัวว่าจะทำให้เขาปิดใจกับเพื่อนด้วย

                “ฉันไม่น่ามาเลย”

                “ยัยพวกนั้นต่างหากไม่น่ามาเลย ฉันชวนเพื่อนมา แต่เพื่อนมันพ่วงเอาผู้หญิงคนอื่นมาด้วย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอ”

                ถึงจะแปลกใจที่ภูริชบอกขอโทษฉัน แต่ระยะหลังมานี้เจอมาหลายอย่างจนไม่แปลกใจแล้ว

                “นายน่าจะมากับเพื่อน”

                “ฉันจะมากับเธอ!” ภูริชแทรกก่อนที่ฉันจะพูดจบ เขายกท่อนแขนของฉันสูงขึ้น เพราะรอยข่วนมันเลยไปถึงใต้ท้องแขน

                เอ่อ ท่าทางแบบนี้มันก็น่าอายเหมือนกันนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้

             ภูริชโน้มหน้าเข้ามาชิดเรื่อยๆ พาให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนน่ากลัว เขาใกล้ซะจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวเป่าตามแขน ฉันรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ยิ่งตอนที่เราสบตากัน หัวใจก็เหมือนจะหยุดเต้นขึ้นมาซะอย่างนั้น ช่องท้องของฉันมันร้อนวาบปั่นป่วน เหมือนผีเสื้อกระพือปีกในนั้นเป็นร้อยเป็นพันตัว

                ยิ่งตอนที่เขาจูบแขนและรอยแผลนั้น หัวใจมันก็แทบจะละลายให้ได้

             “รอยบนตัวของเธอ ฉันทำได้คนเดียวเท่านั้น จำไว้ ดาหวัน

     

                แน่นอนว่าบรรยากาศบนเรือเจื่อนลงอย่างชัดเจน ถึงจะไม่ได้มีใครพูดเรื่องการทำร้ายร่างกายกันอีก แต่พวกผู้หญิงก็จับกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่งและมองฉันด้วยสายตาเป็นอริชัดเจน ส่วนพวกผู้ชายไม่ได้คิดมาก ถ้าคุยกันแล้วทุกอย่างคือจบ ไม่มาคิดเล็กคิดน้อยอะไร

                ภูริชตัวติดฉันเป็นตังเมจากที่ติดมากอยู่แล้ว ขนาดจะเข้าห้องน้ำก็ยังตามไปด้วย มันดูอึดอัดไปหน่อย แต่ก็ดี เพราะจะได้ไม่ต้องมีเรื่องอีก

                “เรียนยูโดก็มีประโยชน์เหมือนกันเนี่ย” ภูริชบอกตอบที่ขับเรือกลับไปเพราะใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว

                ฉันแอบขำ อันที่จริงตอนเรียนมันสนุกดีเหมือนได้ปลดปล่อยอารมณ์อะไรแบบนี้ ไม่ได้คิดหรอกว่าจะได้เอามาใช้ป้องกันตัวจริงจัง แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะช่วยได้จริงๆ ด้วย

                “แต่จะให้ดี ก็ไม่น่าจะให้ใครมาหยิกมาข่วนแบบนั้นเลยนะ”

                “ก็” ฉันตอบอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะเบาๆ

                ภูริชก็ไม่ได้ซักอะไรอีก เขาบังคับเรือให้แล่นกลับไปอย่างนิ่วนวล สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทำให้ความรู้สึกชวนหงุดหงิดจางหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ มิน่าล่ะ การพักผ่อนผู้คนถึงเลือกที่จะมาเที่ยวทะเลกันอย่างนี้

                “ง่วงมั้ย ก่อนกลับอยากจะกินอะไรก่อนมั้ย?” ภูริชถามอย่างใส่ใจ ส่วนฉันก็ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี

                ฉันรู้แล้วว่าภูริชน่ะหนักแน่นจริงจังกับฉัน ส่วนฉันสิ เบาหวิว ใจไม่มั่นคง กลัวไปสารพัดทั้งที่เรื่องมันก็ยังไม่เกิดขึ้นซะหน่อย

                ก็นั่นแหละ คนมีแผล ทำยังไงมันก็มีแผลเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คงไม่ใช่แค่ภูริชคนเดียวที่ระอาใจ ตัวฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละฉันตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเอง ไม่ใช่เพื่อนภูริช แต่เพื่อตัวฉันเองด้วย

             ภูริชเลือกจะพักที่โรงแรมแทนที่จะกลับคอนโดเลย ส่วนเพื่อนของเขาขอกลับคอนโดล่วงหน้าก่อนแล้ว เพราะภูริชบอกว่าเพลียเพราะขับเรือมาทั้งวัน ฉันเลยต้องพักกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

                “ทำไมเธอทำหน้าเศร้าตลอดเลยเวลาอยู่กับฉัน

                ภูริชถามเมื่อเราอยู่ด้วยกันตามลำพังแล้ว

                “ฉันก็ไม่รู้” ฉันส่ายหน้า ให้คำตอบทั้งเขาและตัวเองไม่ได้

             “ไม่ใช่แค่เรื่องที่เรามาเที่ยวกันวันนี้ แต่ที่ผ่านมาเธอเอาแต่หน้าเศร้าแล้วก็ร้องไห้ เธอบอกเลิกฉัน เธอหนีห่างจากฉันโดยที่ไม่มีเหตุผล ช่วยบอกให้ฉันเข้าใจหน่อยได้มั้ยดาหวัน ว่าเธอกลัวอะไรอยู่

                ภูริชดึงฉันให้แทรกอยู่หว่างขาเมื่อตอนที่เขานั่งลงที่เตียง แล้วรั้งให้ฉันเข้าไปใกล้ด้วย

                “ฉันองก็เหนื่อยเหมือนกันนะดาหวัน ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ถ้าเธอโกรธ หรือรู้สึกยังไงก็บอกมาเถอะ ฉันน่ะ ยอมรับฟังเธอทุกอย่างนะ

                รับฟังแต่สุดท้ายเขาก็บังคับเหมือนเดิมนั่นแหละ

             “ฉันแค่เหนื่อยน่ะ นายไม่ได้ผิดหรอก ฉันต่างหาก”

                “แล้วถ้าเธอไม่พูด ฉันจะเข้าใจมั้ยดาหวัน มีอะไรก็บอกมาสิ เราคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ

                “ฉันไม่มั่นใจน่ะ

                “เรื่อง?” ภูริชถาม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย และทำฉันกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง

                แต่ในเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าแล้ว และภูริชเองก็บอกว่า ไม่ว่าจะยังไงเราก็จะยังคบกันต่อไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

                และเขาเองก็ชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นฉันเลยยอมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด

             “ฉันกลัวว่าสุดท้ายแล้ว เราก็จะเหมือนกับตอนที่เรียนไฮสคูล

                “แล้ว” สายตาของภูริชเต็มไปด้วยความคาดหวัง จนฉันเองก็รู้สึกผิดที่ต้องพูดไปแบบนี้ แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดี

                “ฉันดีใจมากเลยนะที่นายมาขอคบกับฉัน มองเห็นผู้หญิงเรียบๆ ที่ไม่เคยมีใครสนใจเลยแบบฉัน ตอนแรกๆ ฉันก็มีความสุข มีความสุขมากจริงๆ”

                “แล้วตอนหลังเธอไม่มีความสุขเลยอย่างนั้นเหรอ” เขาทำหน้าเศร้า แต่ฉันเองนี่แหละที่เศร้าซะจนทนสบตากับเขาไม่ได้

             “เพราะนายใจดีไง ฉันเลยเจ็บปวด

                “แล้วมันไม่ดีตรงไหน” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ และพูดต่อ

                “หรือจะให้ฉันทำเหมือนพวกแบดบอย เธอถึงจะได้พอใจ!?” ภูริชดูไม่เข้าใจมากจริงๆ ฉันเลยส่ายหน้าแล้วพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ

             “ไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่นายไม่ได้ใจดีกับฉันคนเดียวน่ะ

                ” ริมฝีปากของภูริชขยับทำเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูด และมองฉันด้วยสายตาที่สับสนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

                “เพราะนายไม่ได้ใจดีกับฉันแค่คนเดียวยังไงล่ะ นายใจดีกับทุกคน ดังนั้นต่อให้เป็นแฟน มันก็ไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นเลย” ฉันบอกออกไปในที่สุด ภูริชเองก็ฉุดให้ฉันนั่งทับบนตักของเขา วงแขนของเขาโอบประคองไว้หลวมๆ ไม่ได้รัดแน่นเหมือนทุกครั้ง

                เราสบตากัน และเหมือนได้ยินคำถามมากมายจากสายตาของเขาแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย

             “ใจดีกับผู้หญิงอื่นนี่หมายความว่ายังไง ตลอดเวลาที่เราคบกันเราก็อยู่ด้วยกันตลอด มีตอนไหนที่ฉันทิ้งเธอบ้าง” ภูริชดูสับสนมาก คล้ายกับจะพูดบางอย่างออกมา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

                “ตอนมีเรื่องกับปรายฟ้าน่ะ นายจำเธอได้มั้ย?” ฉันถาม

                ภูริชไม่ได้ลังเลหรือครุ่นคิดเลยสักนิด เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วราวกับจำได้ดี ฉันเองก็ยิ่งเจ็บปวด

                “นายใจดีมากเลย ไม่พูดไม่ว่าอะไร ทำให้ปรายฟ้าตามมาระรานฉัน ทุกคนคิดว่านายเจ๋งที่มีอะไรกับปรายฟ้าทั้งที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว และฉันยังโง่ที่ยอมคบกับนาย” ฉันพูด น้ำตามันก็ร่วงหล่นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

                “พวกผู้ชายมองนายเหมือนเป็นไอดอลเลย นอกจากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนายก็ยังมีผู้หญิงคนอื่นได้อีก”

                “แต่เธอก็รู้ว่ามันไม่จริง ฉันไม่ได้มีอะไรกับยัยนั่น วันที่เกิดเรื่องเราก็อยู่ด้วยกันตลอด” ภูริชแย้ง ทำท่าไม่เห็นด้วย

                “ใช่ เรารู้ แต่คนอื่นไม่ได้รู้ด้วยนี่ ปรายฟ้าน่าสงสารมาก ขณะที่ฉันน่าสมเพช เพราะอย่างนั้นฉันเลยห่างออกมาตอนที่เราเรียนจบ ฉันไม่เคยบอกนายเลย แต่ฉันทนไม่ไหวกับสายตาของทุกคนที่มองมาเหมือนฉันเป็นคนผิด และปรายฟ้าถูกฉันทำร้าย ฉันทนสายตาและเสียงซุบซิบพวกนั้นไม่ได้จริงๆ” น้ำตาของฉันร่วงลงมา ไม่คิดจะเช็ดมันออกไป ภูริชเองก็เอาแต่นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น

             “ตอนนี้มันก็เหมือนย้อนกลับไปตอนนั้นเลย ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถูกทุกคนรุมประณาม นายว่ามันยุติธรรมมั้ย ถ้าเราจะคบกัน มีทางเดียวคือนายต้องเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนตัวตนของนายเพื่อฉัน แต่นายทำได้มั้ยล่ะภูริช คำตอบน่ะ เราก็รู้กันอยู่แล้ว” ฉันอยากจะหัวเราะ แต่ติดที่มันยังเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดนี่แหละ ถึงทำอย่างใจคิดไม่ได้

                “ก็จริงอย่างที่เธอพูดนะดาหวัน ฉันเปลี่ยนตัวเองไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ” ภูริชพูดหลังจากเงียบไปนาน

                ฉันถอนหายใจ เท่านี้ก็จบสักที ความรู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ คนอย่างภูริชไม่มีทางจะเปลี่ยนเพื่อคนอย่างฉันหรอก แต่อย่างน้อยการเลิกราครั้งนี้ก็คงไม่ได้เลวร้ายจนมองหน้ากันไม่ติด

                “เธอยังแค้นปรายฟ้าใช่มั้ย?” ภูริชถามต่อ ทั้งที่ฉันคิดว่าทุกอย่างมันจบแล้วซะอีก

                “ฮะ…?” ฉันทวนถามอย่างไม่เข้าใจ นี่เรายังคุยกันไม่จบเหรอ

                “เอางี้มั้ยล่ะ ฉันจะแก้แค้นยัยนั่นให้เธอ ที่มันทำเธอเจ็บปวดจนถึงตอนนี้”

                “ภูริช หมายความว่าไง” ฉันยังไม่ได้คำตอบ ภูริชก็ผลักฉันเอนตัวลงนอนบนเตียงอย่างรุนแรง และเขาก็ตามมาคร่อมจนขยับตัวไม่ได้

                “ฉันจะทวงสิ่งที่ฉันควรจะได้จากเธอตั้งแต่ที่เราคบกันตอนนี้ และฉันจะแก้แค้นแทนเธอให้”

                “อะไรนะ หมายความว่ายังไง” ฉันพยายามดิ้นแต่ร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าหลายเท่าจนขยับไม่ได้ หัวใจฉันเต้นแรงแต่มันไม่ใช่เพราะความหวามหวานเหมือนครั้งก่อนๆ แต่เป็นเพราะความกลัวที่เหมือนไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน

                “ถ้ายัยนั่นอยากนักสร้างเรื่องว่ามีอะไรกับฉัน ฉันก็จะสนองให้ ส่วนเธอก็ต้องเป็นของฉัน!

                “ภูริช!” ฉันตะโกนเรียกหัวใจเหมือนร่วงไปกองที่พื้น เมื่อเขารวบแขนทั้งสองข้างของฉันไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว และใช้อีกข้างหยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาใครสักคน

                “เออ มึงอยู่ไหน มึงรู้จักคนที่ชื่อปรายฟ้ามั้ย ที่เคยเรียนกับเราตอนไฮสคูล เออ จัดการยัยนั่นซะ ขอบใจ!

     

             “อึก” ความรู้สึกแรกนับตั้งแต่ลืมตาคือความเจ็บที่แล่นกระแทกเข้าหัวอย่างรุนแรง ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงยกมือขึ้นกุมหัวและร้องครางออกมาด้วยความเจ็บ ยังไม่ทันได้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีแขนแข็งแรงตวัดรัดรอบเอวเอาไว้อย่างทันได้ตั้งตัว

                ทั้งร่างกายของฉันร้อนวาบและสั่นสะเทือนแทบจะทรงตัวไม่ไหวเมื่อมีสัมผัสที่ร้อนจนแทบลวกผิวแตะลงที่แผ่นหลังและเรื่อยไปถึงสะโพก พยายามจะแกะท่อนแขนที่รัดแน่นเหมือนกันปลอกเหล็กออกเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น

                …!” ฉันหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นเพียงแค่กลุ่มเส้นผมที่เส้นที่ยุ่งไม่เป็นทรงซุกซบอยู่กับแผ่นหลังของฉัน และสัมผัสร้อนๆ ที่ทำให้สะดุ้งสุดตัวนั้นก็คือริมฝีร้อนๆ ของใครคนหนึ่งที่กำลังระรานทั่วแผ่นหลังของฉันอยู่

                สายตาของฉันกวาดมองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ทุกอย่างที่เป็นภูริชดึงดูดสายตาได้จนน่ากลัว

                ฉันไม่รู้ว่าเขาหลับจริงหรืออยากแกล้งกันแน่ พยายามจะผลักแขนออกแต่ก็ทำได้ไม่ง่ายเลย

                “อื้อ อย่าดิ้นสิ!” ภูริชบอกเสียงดุๆ แล้วรั้งให้ฉันนอนลงด้วยอีกครั้ง

                “ดิ้นอะไร ฉันเหนื่อยนะ” เขาปรือตาขึ้นแล้วจ้องมอง ฉันใจอ่อนยวบไปหมดเมื่อเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วจูบแก้มแล้วซุกหน้าอยู่อย่างนั้นจนตัวอ่อนระทวยไปหมด

                “ไม่เพลียเหรอ ฉันงี้เพลียจะแย่” เขายังเอาแต่พูดคำพูดที่ทำให้จะเป็นลมตายให้ได้ไม่เลิก ไม่รู้ว่าสนุกนักหรือไงที่ได้แกล้งกันอย่างนี้ ฉันนิ่งเงียบไม่ตอบอย่างเดียว แต่ก็พยายามจะดิ้นด้วย แต่นั่นแหละ เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หายไป ยังสงสัยว่าตัวเองเคยเรียนยูโดมาจริงรึเปล่า

                “ฉันอยากเข้าห้องน้ำ” ฉันบอกพลางสะท้าน เพราะภูริชซุกหน้าลงกับซอกคอ ทิ้งรอยจูบเอาไว้จนเจ็บแปลบ ริมฝีปากเขาดูผิวจนเกิดเสียงที่ฟังเหมือนเสียงปะทัดที่ก้องอยู่ในหัวอย่างไรอย่างนั้น

                “จริงอะ ไม่ได้จะหนีใช่มั้ย?” เขาถาม จนฉันไม่รู้จะตอบยังไง

                “ฉันอยากเข้าห้องน้ำ จริงๆ นะ” ปากฉันมันสั่นไปหมด ทำให้เสียงสั่นพร่าตามไปด้วย

                “ก็ได้” ภูริชพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะช้อนตัวฉันขึ้นมาจากเตียง อุ้มพาไปส่งที่ห้องน้ำอย่างที่ฉันไม่คิดว่าเขาจะยอมทำแบบนี้

             อึก นี่มันเกินไปแล้วนะ ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ

                “เชิญครับ ให้เวลานานสุดสิบห้านาที ถ้าไม่ออกมาฉันจะเข้าไปเอง” รอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์น่าชังทำให้ฉันตอบอะไรไม่ได้ นอกจากผลุบหายเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เพราะจะได้ไม่ต้องทนสบตากับเขาอีกแล้ว

                เสียงหัวเราะนั่นยังตามมาหลอกหลอนจนรู้สึกเวียนหัวอยากจะเป็นลมให้ได้ ฉันตบแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติกลับคืนมา แล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าเปลือยทั้งตัวด้วย บ้าที่สุดเลย

                นอกจากนั้น ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เนื้อตัวของฉันเต็มไปด้วยรอยจูบรอยช้ำนับไม่ถ้วน ไม่บอกคงรู้ว่านี่เป็นฝีมือที่ร้ายกาจของใคร ถ้าเอาหัวแช่น้ำตอนนี้เชื่อเถอะ ว่าควันพุ่งโขมงแน่ ฉันขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำไม่ยอมออกไปเพราะกลัวจะเจอปีศาจร้ายอีก

                แต่ภูริชก็คือภูริช ที่ไม่ว่าจะพยายามต่อต้านหลีกหนียังไงก็ทำไม่ได้ เสียงเคาะประตูดังโครมๆ แบบไม่กลัวจะพังทำให้ฉันยอมเปิดระตูให้ในที่สุด

                “ดื้อ!” เขาพูดคำแรกหลังจากที่ฉันเปิดประตู ฉันได้แต่หน้าตึง เพราะเขานั่นแหละที่เอาแต่ใจ

                “จะว่าไปมุมนี้ก็สวยเหมือนกันนะเนี่ย” ภูริชยิ้มกรุ้มกริ่มระหว่างที่กวาดสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า มองฉันเหมือนจะทะลุผ่านเสื้อคลุมมาได้อย่างนั้นแหละ ฉันรีบเดินหนีจะหาเสื้อมาสวมแต่ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนแล้ว เลยหันไปมองภูริชอย่างเอาเรื่อง

                “เสื้อผ้าฉันอยู่ไหน” เชื่อเถอะว่าเขาเป็นคนทำ แต่ภูริชกลับแค่ยิ้มก่อนตรงเข้ามาอุ้มให้กลับไปนั่งที่เตียง

                “ภูริช!” ฉันโวยวายแต่สู้แรงเขาไม่ไหว เนื้อตัวมันอ่อนระทดระทวยไปหมด เหมือนตุ๊กตาที่เขาจะเชิดยังไงก็ได้

                “กินข้าวก่อนดิ”

                “ฉันอยากกลับแล้ว” ฉันพยายามจะขอร้องอ้อนวอน เห็นรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแล้วมันแบบ โอ๊ย ใจเต้น

                “ฉันไม่กลับ แล้วเธอจะกลับยังไงล่ะ” ภูริชเลิกคิ้วสูง หัวเราะชอบใจที่เอาชนะฉันได้

                “มาๆ ไม่เอาไม่แกล้งละ มากินข้าวก่อน” พอฉันทำท่าจะร้องไห้ภูริชก็เลิกแกล้ง ลากรถเข็นอาหารเข้ามาใกล้

                “ฉันอยากลับบ้านจริงๆ นะ” ฉันยังไม่เลิกอ้อนวอน แต่นั่นแหละ เขาสนใจที่ไหนกันล่ะ

                “มากินข้าว”

                พอพูดถึงเรื่องนี้ ท้องมันก็ร้องขึ้นมาเลย ถึงอยากจะได้เสื้อผ้าคืน แต่ตอนนี้คงจะได้หรอกนะ ภูริชลากฉันไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ดูเขามีความสุขมากซะจนยิ้มไม่หยุด บางครั้งก็ถึงกับหัวเราะ จนทำให้ฉันกลัวใจเขามากจริงๆ

             “รู้งี้ ปล้ำไปนานแล้วก็ดี

                ฮึกเขาอยากให้ฉันสำลักน้ำตายหรือไงกันนะ

     

             ภูริชพาฉันกลับหลังจากนั้น คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเขามีความสุขหัวเราะร่วนตลอดทางกลับมายังไง เป็นฉันซะอีกที่อายจนไม่กล้าสบตามองหน้าด้วย จนต้องแกล้งทำเป็นหลับ ร่างกายก็อ่อนระทวยปวดเมื่อยไปทั้งเนื้อทั้งตัว คงไม่ต้องถามหรอกนะว่ามันเกิดจากอะไร

             แอร์เย็นๆ บวกกับเสียงเพลงที่ขับกล่อมทำให้ฉันผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจริงๆ อย่างที่ไม่ต้องแกล้งทำ แล้วก็ถูกปลุกด้วยฝีมือของผู้ชายที่เดาไม่เคยออกเลยว่าเขาร้ายหรือว่าใจดีด้วยกันแน่

                “ไปนอนต่อในห้องเหอะ ตาเธอแทบลืมไม่ขึ้นแล้ว”

                “อือ” ฉันครางตอบในคอ ยกมือคลึงขมับเพราะมันปวดระบมมากจริงๆ แล้วนึกไม่ออกว่าลืมอะไรรึเปล่า

                จนมาถึงห้องฉันก็เพิ่งนึกออกว่าสิ่งที่ลืมไปน่ะมันคือเรื่องอะไร ไม่รู้ว่าความอับอายมันหายไปไหนหมด ฉันกล้าที่จะจ้องหน้าภูริชนิ่งๆ โดยที่ไม่ได้หลบสายตาเหมือนครั้งก่อนเลย

                “มองอะไร” เขาถาม ฉันเลยตัดสินใจเลือกจะถามออกไป

                “นายทำอะไรปลายฟ้ารึเปล่า” พอถามไป ภูริชก็เลิกคิ้วสูง เขาทำเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ได้หัวเราะ และดูหยิ่งขึ้นมาซะจนไม่กล้าจะถามอะไรต่อ

             “อยากรู้จริงเหรอ” ปลายนิ้วของเขาแตะลงที่คางของฉันก่อนจะลากผ่านเรื่อยลงไปตามต้นคอ ฉันกลืนน้ำลายด้วยความกลัว แต่ก็ไม่คิดหลบเพราะรู้ว่านี่เป็นวิธีการล่าเหยื่อของภูริช ถ้าหนีก็จะเข้าทาง และเขาจะได้ไม่ต้องตอบคำถามอะไรอีก แต่ครั้งนี้ฉันไม่ยอมตั้งใจจะเอาคำตอบให้ได้

                ” ภูริชแกล้งทำเป็นผิวปากแล้วก็ปลดกระดุมเสื้อของฉันออก

                ทั้งที่อากาศมันก็เป็นปกติของมัน แต่ฉันกลับหนาวเยือกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งตอนที่ปลายนิ้วของภูริชแตะลงกับขอบบราเซียร์ จงใจกดปลายนิ้วที่ร้อนไม่ใช่น้อยนั่นลงกับเนินอก ร่างของฉันเริ่มสั่นแต่ก็ยังไม่หนี ปล่อยให้เขาลูบปลายนิ้วกับขอบบราเซียร์ไปเรื่อยๆ

                จนกระทั่งภูริชทำท่าจะโน้มลงมานั่นแหละ ฉันถึงได้สะดุ้ง และผลักหน้าของเขาออกไปได้

                “อะไรวะ!” เขาพูดจาไม่น่ารัก แล้วลากฉันเข้าห้องนอน

                นี่สาบานได้ว่าเพิ่งลุกจากเตียงในโรงแรมได้ไม่นานเลย แล้วจะขึ้นเตียงอีกแล้วเหรอ

                “นายยังไม่ตอบฉันเลยนะ” ฉันบอก เพราะแบบนี้ฉันก็มีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว ถูกรังแกเอาแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ

                “ก็ตามใจฉันก่อนสิ แล้วจะบอก” ภูริชบอกอย่างถือไพ่เหนือกว่า แทบไม่ได้ออกแรงเลยตอนที่ถอดเสื้อผ้าของฉันออกจากตัว

                “ฉันเพลียแล้วก็ปวดไปทั้งตัวเลย สงสารฉันเถอะ” ที่พูดไม่ได้โกหกที่จะรอดไปได้ แต่ร่างกายมันประท้วงด้วยความปวดระบมไปหมดแล้ว ฉันวิงวอนของเขาเสียงเครือ ภูริชเลยถอนหายใจแล้วซบหน้าลงกับบ่าของฉันอยู่อย่างนั้นนานๆ ก่อนจะผละออก

                “ก็ได้” เขาพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็ดีมากแล้วสำหรับคนที่เหยียบเท้าก้าวไปชิดปากหลุมแล้วก้าวหนึ่งอย่างฉัน

                “งั้นก็บอกมาหน่อยสิ นายทำอะไรปลายฟ้ารึเปล่า” ฉันทวงถาม เพราะเขายังไม่ยอมให้คำตอบซะที

                ฉันไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้วภูริชชอบพอกับปลายฟ้าไหม เพราะเขาใจดีกับเธอคนนั้นจริงๆ แทบจะมากกว่าฉันที่เป็นแฟนของเขาเลยด้วยซ้ำไป

                “เดี๋ยวสิ ขอสงบอารมณ์ก่อน”

                ฉันถูกรั้งให้ไปนั่งบนตักของเขาอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจเลย อยากจะบอกให้ปล่อยเพราะบรรยากาศมันเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวอีกแล้ว แต่ก็นั่นแหละ คนอย่างภูริชไม่มีทางจะฟังคนอย่างฉันแน่ ใบหน้าของเขาซบกับบ่าฉันบ้าง แนบแก้มปาก แต่ส่วนมากจะซบตรงซอกคอเหมือนแมวน้อยที่กำลังอ้อนเจ้าของ ไม่วายจะทิ้งรอยจูบเอาไว้หลายจุดจนร่างกายสั่นสะท้าน

                แล้วอย่าคิดว่ามือเขาจะนิ่ง เขาซุกซนไปทั่ว จับตรงไหนก็เหมือนมีกระแสไฟไหลผ่านตรงนั้นจนสะดุ้งเป็นระยะ ภูริชหัวเราะทุกครั้งที่ฉันมีอาการอย่างนี้ นอกจากเขาจะลูบขอบบราเซียจนมันแทบจะลุกติดไฟแล้ว ปลายนิ้วแสนซนของเขาก็ยังลอดผ่านเขาไปในกางเกง แล้วลูบขอบอันเดอร์ฉันด้วย

                “ภูริช” ฉันปรามแล้วก็ดุเขาไปด้วย

                “อะไร ไม่ตามใจฉันเหรอ งั้นไม่พูดแล้ว”

                “นี่ ทำไมนายเป็นคนแบบนี้นะ” ฉันเริ่มหัวเสีย ตอนที่อยู่โรงแรมด้วยกันน่ะ เขาก็ได้ไปตั้งเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ เหมือนภูริชจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ เขาเลยพูดออกมาแบบไม่สนใจเลยว่าคนฟังจะทำหน้ายังไง

                “เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคืน ตอนนี้ฉันอยากและฉันจะเอา มีอะไรมั้ย?

                ฉันอยากจะกรี๊ดเป็นเสียง XXX แต่คงได้ถูกเขาแกล้งกลับมาหนักกว่าเดิมแน่

                ภูริชท้าทายด้วยการเลิกคิ้วสูงใส่ แล้วซบหน้าลงกับอกของฉันต่อหน้าต่อตา เรียวลิ้นร้อนชื้นของเขากวาดเล็มไปทั่วจนลมหายใจเริ่มสะดุด ไม่รู้ว่าบราเซียมันหลุดออกไปตอนไหนด้วย ริมฝีปากของเขาเรื่อยลงไปเรื่อยๆ โดยที่ฉันได้แต่นั่งพิงหัวเตียงหายใจอย่างระทดระทวย

                ให้ตายเถอะ เล่นยูโดเต็มๆ สองชั่วโมงไม่เหนื่อยเท่ารับมือกับภูริชแค่ครึ่งชั่วโมงเลย

             ริมฝีปากของคนใจร้ายดูดผิวตรงหน้าท้องจนมีรอยช้ำสีกุหลาบหลายรอยตรงนั้น เส้นผมหน้านุ่มสีเข้มของภูริชเองก็ระตามหน้าท้องของฉันไปด้วย มันทำให้ลมหายใจสะดุด ไรขนทั่วร่างกายลุกชัน ทุกอย่างถาโถมเข้ามาเหมือนกำลังจะมีอะไรหล่นลงมาทับ ท้องมันร้อนวาบปั่นไปหมด

                “พอเถอะภูริช” ฉันถามยึดใบหน้าและมือของเขาไม่ทัน มันเหมือนว่าภูริชกลายเป็นปลาหมึกที่มีเป็นสิบๆ มือไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากสอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมของเขา จะดึงทึ้งแรงๆ ก็ไม่กล้า กลัวจะทำให้เขาโมโหกว่านี้เลยได้แต่เกร็งจนเจ็บไปทั้งตัว

                “หยุดเถอะนะ” พอภูริชทำท่าจะถอดกางเกงของฉันออก ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ของแบบนี้มันรู้อยู่แล้ว ฉันกลัวเลยพยายามจะขอร้อง แต่คนใจร้ายเอาแต่ใจมีเหรอจะฟังเสียง

                ภูริชเริ่มหงุดหงิดเลยกัดแก้มฉันเบาๆ จนฉันดิ้นเพราะความตกใจ จนใจร้ายก็ยังอุตส่าห์ช้อนสายตามองค้อนอย่างไม่พอใจ นี่ตกลงว่าฉันเป็นผิดงั้นเหรอ

                “เออ รู้แล้ว” เขาพึมพำอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นมา ลากฉันให้นอนลงบนเตียงแล้วถูกกอดเอาไว้จนแนบสนิท ปลายคิ้วของเขาไล้ลูบริมฝีปากที่มันบวมเห่อของฉันหลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะเรื่อยไปถึงแอ่งชีพจรอย่างจงใจ

                “ใจเต้นแรงเชียว” แล้วเขาก็หัวเราะ ตอนที่ฉันเหมือนลูกโป่งที่แทบจะระเบิดออกอยู่รอมร่อ

                “พอใจแล้วใช่มั้ย ทีนี้จะตอบคำถามได้หรือยัง” ฉันเบียดตัวเองเข้าหาเขามากขึ้น ไม่ได้ตั้งใจจะเชิญชวน เพียงแต่ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วเขาจะรังแกลวนลามได้ยากขึ้นเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าฉันคิดผิดหรือเปล่า เมื่อภูริชหันไปลูบไล้แผ่นหลังของฉันแทน

                “ภูริช!” ฉันเรียกเมื่อเขาแกล้งทำเป็นหลับขึ้นมาซะอย่างนั้น

                “อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ!” ฉันโวย นี่ก็สละตัวเองให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ฉันไม่ยอมแน่

             “ก็มันง่วง เมื่อคืนเพลีย” ภูริชแกล้งก้มหน้าลงมากัดปากฉันแรงจนฉันสะดุ้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทั้งที่ก็เห็นต่อหน้าต่อตาว่าเขาทำอะไรตัวเองบ้าง

                “อย่ามาตลกนะ”

                “ไม่ได้ตลกอะ ตอนนี้โคตรหื่น ฉันอยากจะเข้าไปอยู่ในตัวเธออีก ให้ตายเถอะ มัน XXX แล้ว XXX ชะมัด!

                ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องฟังเสียงพูดไม่น่าฟังแบบนั้น รีบยกมือปิดปากของเขาเอาไว้และขอร้องอย่างจริงจังอีกครั้ง

                “ฉันขอร้องล่ะ อย่าล้อแบบนี้เลย แล้วก็ฟังฉันหน่อยได้มั้ย?

                “เธอนั่นแหละที่ฟังฉันหน่อยได้มั้ย ตอนนี้ฉันอึดอัดจะแย่แล้ว” ภูริชแกล้งกัดมือฉันแรงๆ อีกจนชักออกแทบไม่ทัน อยู่กับเขาแล้วหัวใจมันคงพังในเร็วๆ นี้แน่

                “ตอนนี้มันมีอารมณ์อยากฟัดเธออย่างเดียว ถ้าไม่ให้ก็อย่าหวังว่าจะเล่าให้ฟัง แล้วถ้าฉันทนไม่ได้ขึ้นมาล่ะก็” ภูริชเว้นคำพูดเอาไว้ พาให้ไม่สบายใจเลยที่ได้เห็นเขาทำหน้าตาร้ายกาจแบบนั้น

             “ฉันไม่บังคับเอาจากเธอเหมือนเมื่อคืนหรอก” เขาพูดและทำตาเจ้าเล่ห์ ไล้ปากฉันตอนที่เราสบตากัน

                “ฉันจะไปเอาจากแม่ปรายฟ้าของเธอก็แล้วกันนะ ดาหวัน

                “ก็ไปเลยสิ!” ฉันประชด ผู้ชายคนนี้มันยังไง อยากได้อะไรต้องเรื่องของปลายฟ้ามาพูดได้ตลอดเพื่อกดดันฉัน

                “เอาเลย อยากไปก็ไป ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว

                “เอาล่ะๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้” เขาหัวเราะ ทั้งที่ไม่มีเรื่องให้หัวเราะเลยสักนิดเดียว แต่ก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา

                สุดท้ายฉันกลายเป็นฝ่ายที่ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอีก หลุดออกมาจากเขาได้ก็เดินหนี ถ้าอยู่ใกล้ก็ยังวนเวียนอยู่แบบนี้ตลอดนั่นแหละ

                “จะไปไหน” ภูริชยังทำให้ฉันหัวเสียได้อีกเรื่อยๆ จนอยากจะกระโดดเข้าไปชกหน้าให้หายแค้น

                “จะเข้าห้องน้ำ!

                บ้าเอ๊ย เขาจะหัวเราะอะไรนักหนาของเขากันนะ!

     

    Puurit`s talking…

             หลังจากที่กวนใจดาหวันจนเธอหงุดหงิดและผมมีความสุขมากแล้ว ผมก็พาตัวเองลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง

                ดาหวันพลิกตัวหนีเมื่อผมแตะตัวของเธอเข้า เธอครางในคอแล้วซุกหน้าลงไปใต้หมอนเหมือนไม่อยากให้ไปกวนใจอีก ผมมองเธอด้วยความเอ็นดู ก่อนจูบลงไหล่ของเธอเบาๆ ทีหนึ่ง

                ผิวของเธอเย็นชืดเพราะตากแอร์เย็นๆ มานาน ผมเริ่มเป็นห่วง คิดว่าแค่ผ้าห่มคงไม่พอสำหรับดาหวันแน่ เพราะเธอคงจะถีบมันแน่ๆ เพราะอย่างนั้นผมเลยมองหาเสื้อผ้าที่หล่นระพื้น แล้วหยิบเอาเสื้อของตัวเองก่อนสวมให้เธออย่างรวดเร็ว

                ดาหวันครางแต่ก็ไม่ยอมตื่น แล้วก็หลับต่อไป แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย ว่าแอบแวบไปข้างนอกแล้วเธอคงไม่รู้ว่าผมออกไปตอนไหน แล้วก็แค่รีบกลับมาก่อนที่เธอจะตื่น เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว หึๆ

             ผมคิดอย่างนั้นแล้วก็ผิวปากอย่างสบายอารมณ์ เปลี่ยนเสื้อผ้าคว้าแจ็กเก็ตกับกุญแจรถแล้วออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ

                “เออ อยู่ไหนวะ!” ผมโทรไปหาน้องชาย เพราะเราไม่ได้ออกไปแฮงเอาท์ด้วยกันนานมากแล้ว

                (เออ กูก็รอมึงอยู่หน้าคอนโดนี่แหละ รีบมาเร็วเข้า เดี๋ยวยัยนั่นก็ไปซะก่อนหรอก!) ภูเมษด่าผม ซึ่งผมคือพี่ชายของมัน

                แต่เอาเถอะ เราก็ห่างกันแค่ปีเดียว และไอ้น้องชายคนเล็กอย่าง ภูเบศ มันก็อายุน้อยกว่าภูเมษปีเดียวเหมือนกัน ข้อดีของการมีอายุใกล้กันห่างกันแต่ปีเดียวแบบนี้คือมันทำให้เราสนิทกันมาก ข้อเสียคือ มันทำให้พวกเราสนิทกันมากถึงมากที่สุด

                ข้อเสียคือพวกมันแทบไม่คิดว่าเป็นพี่ชาย

                อันที่จริงพวกมันก็เคารพผมนะ แต่พวกมันคิดว่าพวกเราเป็นแฝดกันมากกว่าอะไรทำนองนั้น

             “เออ กูไป เอารถมึงไปใช่มั้ย”

                (เออ ครับ กูรออยู่หน้าคอนโดมึงนี่แหละ) ภูเมษทำเหมือนอยากจะด่าผมมาก ผมเลยหัวเราะก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน

                ไม่นานก็เห็นน้องชายคนดีทำหน้าตาบูดบึ้งรออยู่ที่รถ ไม่รู้ว่าอารมณ์เสียอะไรนักหนา

                “เป็นอะไรวะ” ผมถามเมื่อมันทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนมา

                “กูรอมึงนานไงครับ รอจนจะหลับอยู่แล้ว” มันทำหน้าเนือยแล้วก็ตบเกียร์ออกรถอย่างนุ่มนวล ผิดกับอารมณ์ของมันอย่างมาก

                “มีปัญหาเรียกน้องตลอด ทีมีความสุขไม่เรียกกูสักคำ กูรู้นะว่ามึงเอารถไปเที่ยวมาแต่ไม่บอกกู”

                “โอ๊ย ไอ้เมษ ทำตัวเป็นเมียขี้หึงไปได้ มึงก็เอาเรือออกไปเที่ยวกับเพื่อนเองมั่งดิวะ ทำเหมือนว่าขับรถเองไม่เป็นงั้นแหละ” ผมหัวเราะ ก่อนจะมองหาบุหรี่บนคอนโซลรถแล้วติดมันกับไฟแช็กแล้วก็อัดควันเข้าปอดลึกๆ ภูเมษหันมามองแล้วทำท่าเหมือนจะค้อน ผมเลยเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่า ทำไม?’

             “ได้ข่าวว่าคืนดีกับดาหวันแล้ว” มันถาม ระหว่างที่ขับรถมุ่งหน้าไปยังลานคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ที่มีหลายคนมาชุมนุมกัน พูดเรื่องรถแล้วก็แข่งรถกันบ้างประปราย เป็นแหล่งซ่องสุมของพวกเราตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลแล้ว และตอนนี้ผมก็ยังแวะเวียนมาที่นี่ถ้าพอจะมีเวลาว่าง

                “เออ ไม่มีทางหรอกที่ยัยนั่นจะเอาชนะฉันได้” ผมยิ้มที่มุมปาก รู้สึกสนุกขึ้นมาเมื่อจินตนาการภาพของดาหวันในหัว ไม่รู้สิ ผมชอบผู้หญิงแบบนี้ ชอบที่จะเอาชนะ และได้มันมาอย่างหอมหวาน

             ก็อย่างเช่นเมื่อวานอะไรแบบนี้ ผมคิดแล้วก็หัวเราะ พาให้ภูเมษมันมามองอย่างหวาดๆ

                “ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงวะ” ผมถามน้องชายอย่างไม่พอใจ มันเลยทำท่าสยองๆ ใส่

                “ก็มึงหน้าหื่นนี่หว่า กูไม่ใช่เกย์ แล้วกูเป็นน้องมึงนะ อย่าลืม!” ภูเมษตะคอกใส่ ถ้าไม่ติดว่ามันกำลังขับรถอยู่ เชื่อไหมว่าผมอยากจะยกเท้าถีบมันมากจริงๆ

                “กูคิดถึงเมียกูหรอก อย่ามาคิดอะไรประหลาดๆ แบบนั้น”

                “อย่าเพิ่งเพ้อถึงเมีย มึงเพิ่งออกมาจากห้องนอนไม่ใช่เหรอ!” น้องชายผมตะคอกใส่ไม่หยุด โอ๊ย มันจะรู้ตัวไหมว่าเป็นผู้ชายที่น่ารำคาญที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย

                “เอาน่า มึงก็รู้ว่ากูรอมานานแล้ว ให้กูมีความสุขเหอะ ไม่เจอกันมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกูถึงลืมดาหวันไม่ได้ ที่จริง ตอนที่ห่างๆ กันก็มีผู้หญิงอื่นหลายเป็นสิบๆ คน แต่กูกลับไม่กล้ากับดาหวัน และกูก็ไม่เคยลืมดาหวันเลย ไอ้รักครั้งแรกบ้าบอคอแตกนั่น กูว่ามนตร์ดำมากกว่า” ผมบอกน้องชาย ทำให้มันหัวเราะออกมาได้ในที่สุด หลังจากที่มันเอาแต่ทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมตลอดเวลา

                “รู้ๆ กันอยู่ รักแรกของผู้ชายมันลืมยาก”

                ถ้าผมไม่เจอกับตัวเอง ผมจะเถียงสุดใจเลยว่าที่น้องชายพูดมาน่ะไม่ใช่ความจริงอะไรทั้งนั้น แต่เจอกับตัวเองเข้าเลยแน่ใจว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องโกหกเลย

                “เพราะงี้ใช่มั้ย มึงถึงกันท่าดาหวันมาตลอด ขนาดว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ยังรู้ว่ามีคนมาจีบ ยังกับสตอล์กเกอร์”

                “ก็ช่วยไม่ได้ นั่นแฟนกูนี่ อ้อ ไม่ใช่สิ นั่นเมียกู

                “พูดชัดเจนน่ากลัวเลยนะมึง” ภูเมษหัวเราะ ผมไม่ได้ตอบนอกจากอัดควันสีขาวขุ่นเข้าปอดไปเรื่อยๆ และรอให้เดินทางมาถึงที่หมายไวๆ

                “กูว่า กูกลัวว่ะ” น้องชายตัวดีพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เราเงียบกันไปอึดใจหนึ่ง

                “หือ” ผมครางในคอถาม เพราะไม่เข้าใจว่าภูเมษมันพูดมา

                “กูกลัวว่ากูจะหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งตั้งแต่แรกเห็น เป็นรักครั้งแรกแล้วลืมไม่ลงแบบมึงไง” มันบอก ผมเลยหัวเราะออกมา ไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ผมไม่ได้รังเกียจความรู้สึกนี้จริงๆ

                “ดีนะ ที่เมียมึงน่ารัก โคตรเรียบร้อย แล้วก็เป็นเด็กดีมาก กูไม่อยากจะคิดเลย ว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นปรายฟ้า มันจะเกิดอะไรขึ้น” ภูเมษพูดต่อ ยิ่งทำให้ผมหัวเราะไม่เลิก

                “เห็นแบบนี้กูก็เลือกนะมึง” ผมบอก ภูเมษเลยเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง

                “เออ มาถึงละ ได้เวลาชำระความ”

                เมื่อมาถึงผมก็หัวเราะ ลงจากรถหลังจากที่ภูเมษจอดรถแล้ว

     

                เรามองคนเดินลงมาจากรถแล้วมองหาเพื่อนและคนที่รู้จัก ไม่นานก็เจอเพราะหากันไม่ยาก ส่วนมากก็มีแต่หน้าตาเดิมๆ ตลอด

                “มาช้าว่ะ

                ผมไปเจอกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่ม มันชื่อว่า ออสติน และมันทักผมทันทีที่เราเดินเข้าไปหา

                “โทษไอ้ภูริชมันโน่น!” ภูเมษบอกกับออสติน มันโบ้ยให้เป็นความผิดของผมหน้าตาเฉย

                “อ้าว

                “ก็จริงนี่หว่า มึงเอาแต่กกเมียไม่ยอมลงมาซะที กลัวว่าเมียจะหนีอะไรขนาดนั้น” มันพูดแล้วก็ส่ายหน้า ออสตินเลยหัวเราะ และมองผมเหมือนไม่เชื่อสายตา

                “จริงเหรอวะ” ออสตินถาม ก็แน่ล่ะ ที่ผ่านมาผมเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ไม่เคยมีใครอยู่ด้วยนานขนาดนี้มาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมหลงผู้หญิงมากจนน้องชายบ่น

                “ก็” ผมไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ แต่หัวเราะออกมาเบาๆ เท่านั้น

                “เรื่องจริง ไม่รู้จะอะไรนักหนา ยังกับไม่เคยอยู่ด้วยกัน ทำเหมือนไม่เคยกอดเมียกันงั้นแหละ” น้องชายผมบ่นพลางถอนหายใจ ให้ตาย นี่ผมให้มันรอนานเป็นชั่วโมงเลยหรือไง ทำไมต้องบ่นมากขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้

                “เอาเหอะ ถึงจะตกใจที่ไอ้ภูริชมันหลงผู้หญิง แต่พวกมึงสองคนพี่น้องลืมเรื่องที่มาที่นี่ทำไมแล้วรึไงวะ พูดถึงแต่เรื่องเมียอยู่ได้” ออสตินพูดแทรก ผมเลยหัวเราะพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวไปด้วย

                “อยู่ไหนวะ

                “นั่นไง ที่อยู่กับเจ้าของรถสีขาวมุกน่ะ” ออสตินยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม แล้วพยักพเยิดหน้าให้ผมมองตามไป

                ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น แต่ไอ้ภูเมษเองก็หันไปมองด้วย สายตาของน้องชายตัวร้ายมองไปทางนั้นและมองอยู่นาน ก่อนจะหันมามองหน้าผม

                “ไปเลยมั้ย?” มันถาม ผมเลยตอบไป

                “แล้วจะรออะไร” ผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เป้าหมายอย่างไม่ลังเล

                ผมไม่รู้ว่าออสตินเดินตามมาด้วยทำไม แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร นอกจากเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางสบายๆ บอกตัวเองว่าไม่ได้โกรธไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่ไม่หรอก มนุษย์เรามีรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยกันทั้งนั้น และไม่ได้โกหก ตอนนี้ผมโมโหเอาเรื่องเลยล่ะ

                นอกจากจะเจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว ผมยังเจอผู้หญิงที่ไปล่องเรือด้วยกันมา

                ใช่ยัยพวกที่แกล้งดาหวันจนมีรอยหยิกรอยข่วนนั่นแหละ ยิ่งเห็นมันก็ยิ่งโกรธ แล้วเดินเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล

                “อ้าว ภูริช ไม่ได้เจอกันนาน” แฟนของยัยผู้หญิงคนนั้นทัก ดูเหมือนว่าหมอนี่จะชื่อไมค์ หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ

                “มีธุระอะไรรึเปล่า” หมอนี่ถาม ผมเลยแสยะยิ้มออกมา ซึ่งผู้หญิงคนนั้นไม่กล้าจะมองมาเลย รวมถึงผู้หญิงสองสามคนนั่นด้วย ถ้าได้ยินไม่ผิด เลิกกับบรรดาผัวรัวๆ เลย

                อ้อ ไม่สิต้องบอกว่าเพื่อนผมบอกเลิกพวกเธอมากกว่า ไม่ใช่ว่าเกรงใจผมหรอก แต่พวกมันคงเบื่อและระอาใจกับนิสัยของนางมารร้ายของพวกเธอต่างหาก

                “มีธุระกับแม่นี่น่ะ” ผมบอกกับไมค์ แล้วทิ้งสายตามองไปยังผู้หญิงคนนั้นนิ่งๆ

                “มีอะไรกันเหรอ?” สีหน้าของไมค์ดูลำบากใจขึ้นมาในทันที

                เพราะไมค์เองก็เรียนที่เดียวกับพวกเรามา เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็น่าจะรู้ทุกอย่างนั่นแหละ

             “ไง ปรายฟ้า มองหน้าฉันหน่อยซิ!” ผมบอกและทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาในทันที

                แล้วนางสมุนที่ไปก่อเรื่องบนเตียงทำให้ดาหวันต้องมีแผลก็ทำท่าจะวิ่งหนี ผมเลยพูดดักเอาไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น

                “ลองมีใครขยับตัวจากตรงนี้ดู กูเอาไม่ยั้งแน่!” ผมบอก และนั่นทำให้ทุกคนชะงักไป แล้วก็ไม่กล้าขยับตัวอีก

     

                “ส่วนเธอ ปรายฟ้า” ผมจงใจพูดชื่อของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาอย่างหงุดหงิด แล้วยกแขนเท้าลงกับรถของไมค์พลางเอนตัวไปใกล้กับเธอด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ

             “ยังจำเรื่องเมื่อหลายปีก่อนได้มั้ย” ผมถาม แน่ใจว่าทุกคนไม่มีทางลืมเรื่องนั้นแน่ เพราะมันเป็นข่าวแพร่สะพัดไปอยู่นานหลายเดือน และต่อเนื่องไปหลายปี

                “ฉันอุตส่าห์ใจดี ไม่มีเรื่องกับเธอตั้งแต่ที่เธอกล้าเสือกทำคลิปเหี้ยๆ นั่นออกมา อุตส่าห์อดทนกับหลายๆ เรื่องที่มันทำให้ดาหวันต้องร้องไห้ต้องเสียใจ แต่เธอยังไม่ยอมหยุดแบบนี้ หมายความว่าไง” ผมถามเป็นเสียงกระซิบ แต่ความเงียบทำให้ทุกคนได้ยินมันอย่างทั่วถึงอย่างไม่ต้องสงสัย

                “ทำแบบนี้หมายความว่าไง อยากจะมีเรื่องอีกเหรอ?” ผมถามแล้วพันนิ้วลงกับเส้นผมสีน้ำตาลแดงของเธอเล่น อยากจะกระชากให้มันหลุดติดมือมาเป็นกระจุกแรงๆ

                “นายพูดอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจ” สุดท้ายปรายฟ้าก็พูดอกมาเสียงสั่น เธอช้อนตามองหน้าผมด้วยสายตาที่ไหวระริก ซึ่งอยากบอกว่าคนที่จะทำให้ผมใจอ่อนเพราะสายตาแบบนี้ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

                และคนคนนั้นคือดาหวันอย่างไม่ต้องสงสัย

             “อย่ามาแกล้งตีหน้าเซ่อ เธอไปเจอดาหวันมา พูดจาไร้สาระน่ารำคาญ แล้วลูกสมุนของเธอก็ทำร้ายดาหวันบนเรือของฉัน” ผมบอกเสียงเข้ม ก่อนจะละมือของเธอแล้วเอื้อมไปแตะตรงต้นคอของเธอแทน

                ร่างของปรายฟ้าเกร็งและสั่นไปหมด ไม่มีใครเข้ามาห้าม เพราะต่อให้เข้ามาห้ามผมก็ไม่สนใจทั้งนั้น ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นไมค์แฟนของเธอก็ตาม

                “ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นเลยฉันไม่รู้เรื่อง”

                “ถ้ายังไม่หยุด บอกได้คำเดียวเลยว่าเธอเดือดร้อนแน่ ปรายฟ้า ต่อให้เป็นผู้หญิง กูก็จะไม่สนใจ” พูดจบผมก็ผละออกมา ภูเมษกับออสตินก็ตามมาพร้อมกันด้วย

                แต่ไม่หรอก เรื่องมันไม่จบแค่นี้หรอก มันมีมากกว่านี้ที่เธอไม่รู้

    End Puurit talk…

     

    Prayfha`s talking…

                ฉันร้องไห้ออกมาทันทีเมื่อภูริชเดินออกไปแล้ว

                ไมค์ดูสงสัย ทำท่าจะถามบางอย่างแต่ฉันไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป รีบหนีออกมาทันที โดยมีเพื่อนตามมาด้วย แล้วเรียกฉันด้วยความเป็นห่วง

                “ฟ้า แกโอเคมั้ย?

                “ฉันจะโอเคเหรอ พวกแกก็เห็นว่าเขาทำอะไรฉันบ้าง” ฉันสะอื้น ไม่เคยกลัวอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

                “ไม่ต้องกลัวนะ ตอนที่เขาจับผมแกเมื่อกี้น่ะ ฉันถ่ายรูปเอาไว้แล้ว เอาไปลงเฟซของเขา แท็กให้ทั่ว เชื่อสิ ยังไงยัยดาหวันนั่นก็ต้องหนี เหมือนครั้งก่อนนั่นแหละ แล้วทีนี้ริชก็ไม่รอดหรอก”





      ตอนนี้ในแอพ dek-d ดูเหมือนว่าจะไม่แจ้งเตือนอัปเดตนิยายนะคะ

    ไม่พลาดการแจ้งเตือน รบกวนกดไลค์และเห็นโพสก่อน(see first)ที่แฟนเพจตามนี้เลยนะคะ

    จะได้ไม่พลาดการอัปนิยายค่ะ กดที่รูปได้เลย




    ตอนนี้ #Puurit`s Eyes จบที่หัวใจ เริ่มใหม่เพื่อรักเธอ (ภูริช ดาหวัน)

    เปิดพรีออเดอร์ให้จับจองก่อนแล้วค่ะ มู่ฝากไว้ด้วยนะคะ

    โอนเงิน 300 บาท / หรือ 350 สำหรับการส่งแบบ ems

    เข้าบัญชี กสิกรไทย ชื่อบัญชี น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์

    หมายเลขบัญชี 037-3-75509-5

    แล้วแจ้งโอนมาที่  meejairak.publisher@gmail.com คลิกเลยค่ะ

    หรือที่  https://m.me/meejairakpublishing

    แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตอบกลับ เท่านี้ก็รอรับหนังสือที่บ้านได้เลย

    จัดส่งหนังสือ 6/08/62

    มู่ขอขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รักทุกคนเลยค่ะ imageimage


    BBzKQW6.jpg (700×500)
    CM7mYw3.jpg (700×500)



     

    Talk 1...

    Song :: Taeyeon - I (Feat. Verbal Jint)

    แบบว่าอีริช เลวแตกแล้วสินะ

    ความจริงริชแบบ เหอๆ ไม่ได้ใจดี๊ใจดีเท่าไหร่หรอกค่ะ

    ถ้าดาหวันมารู้ความจริงทุกอย่างตอนหลังช็อก

    นี่หรือคือเทพบุตรแสนดีของฉัน

    มาลุ้นว่าความร้ายกาจที่ริชซ่อนไว้คืออะไรกันแน่

    แต่ตอนนี้ สวดภาวนาให้ปรายฟ้าแป๊บ
     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×