ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Café Mania (P.II) หนุ่มฮอตตัวร้ายป่วนหัวใจยัยจอมยุ่ง

    ลำดับตอนที่ #4 : Café Mania (P.II) ☕️ 02...100%

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 65


    Lucas’s Girl

    ~02~

    (…100%)

     

     

                ผู้ชายคนนี้จะน่ารักเกินไปแล้วนะ ทำไมต้องมาทำให้รู้สึกหวั่นไหวด้วยเนี่ย

                ไม่ว่าจะเรื่องอะไร มันก็ทำให้ฉันไม่เหลือสายตามองคนอื่นนอกจากเขาเลย…

                “รู้มั้ย เข้าใจที่บอกไปมั้ย” ลุคถามซ้ำแล้วก็ยื่นมือมาจับแก้มทั้งสองข้างของฉันด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นเขาก็ออกแรงทำมือขึ้นลงให้ฉันพยักหน้าสองสามครั้ง

                ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรไปแล้วนะ ฉันมองเขาอย่างงุนงงปนขัดเขินแต่ก็ยอมพยักหน้าตามไปด้วย

                ไม่อย่างนั้นคืนนี้ลุคอาจจะเตะฉันให้ออกจากห้องชุดของเขาก็ได้ ยิ่งตอนนี้ฉันดันเป็นคนต่างด้าวหลงเข้าเมืองอยู่ด้วย

                แต่ก่อนที่เราสองคนจะทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น ฉันก็ต้องหันไปตามเสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินมาจากด้านหลัง

                “ไหน มาแล้วเหรอ น่ารักจัง!”

                แล้วก็เห็นผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากหลังร้านพอดี เขาตัวสูงใหญ่มากแถมยังหน้าตาดีมากอีกด้วย ท่าทางจะอายุมากกว่าฉันกับลุคอยู่หลายปี

                ฉันยกมือขึ้นไหว้สวัสดีเมื่อไม่รู้จะวางตัวยังไง จากนั้นก็ส่งยิ้มหวานไปให้ด้วย แล้วลุคก็ยิ่งทำหน้าบึ้งเข้าไปอีก

                ฉันกำลังคิดว่าลุคโกรธเรื่องอะไรอีก ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาสั่งไม่ให้ฉันยิ้มให้ใคร แต่ก็นะ… แต่พี่ชายคนนี้ยิ้มให้ฉันอยู่นี่นา แล้วจะให้หยิ่งเชิดใส่พี่เขาได้ยังไงกัน

                “มีมี่…นี่พี่เชน มาสเตอร์ที่ร้านนี่น่ะ มาสเตอร์ นี่มีมี่น่ะฮะ เพิ่งมาถึงเมื่อกี้” ลุคแนะนำเราทั้งสองให้รู้จักกันเสียงห้วน ๆ จนฉันอดที่จะทำหน้าเสียไม่ได้

                ทำไมลุคเป็นคนแบบนี้เนี่ย ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่พี่เชนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำเอาฉันงุนงงสับสนใหญ่ว่าทั้งสองคนนี้กำลังส่งสัญญาณอะไรกันอยู่หรือเปล่า

                “ไปเปลี่ยนชุดนะ” ลุคส่งชุดมาให้ฉันด้วยสีหน้าที่ดุเอาการ จนฉันชักไม่แน่ใจว่าตัวเองไปเหยียบหางเขาเข้าหรือยังไง

                ยิ้มมั่งก็ได้นะ ลูคัส…

                “อย่ายิ้มให้คนอื่นนะ”

                เฮ้อ… อยู่กับลุคแล้วฉันเหนื่อยจัง

                เหนื่อยที่ว่านี่ คือหัวใจมันเต้นแปลกไปน่ะสิ

                ก็เพราะคำพูดแปลก ๆ ของเขานั่นแหละ ชวนให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว

                หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแบ้ว ฉันเดินออกมาจากห้องแต่งตัว แต่ยังหมุนผ้ากันเปื้อนกับตัวอย่างงง ๆ ก็เห็นลุคเอียงคอมองมาอย่างสนใจ

                นี่เขาถือทัพพีมาด้วยทำไมกัน จะเอามาเคาะหัวฉันเหรอ

                “มาเดี๋ยวช่วยผูกให้” เขาก็ยังถือทัพพีมันอยู่นั่นแหละ แล้วก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันด้วย

                เฮ้อ… ฉันว่าลุคอาจจะเก็บกดจากอะไรสักอย่างมาก็ได้นะ ทำไมเขาทำท่าพิลึกแบบนี้อยู่เรื่อยเลยละ ยิ่งรู้จักกันก็ยิ่งเห็นอะไรที่แปลกไปเรื่อย ๆ อย่าตีฉันด้วยทัพพีเชียวนะ จะโกรธจริงด้วย

                “มันต้องทบซ้ายก่อนนะ แล้วก็ขวาตาม จากนั้นก็ผูกเป็นโบแบบนี้” ลุคทำอย่างคล่องแคล่วโดยที่ยังถือทัพพีอยู่นั่นแหละ ฉันมองเขาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

                “อือ ยิ้มอีกละ บอกว่าอย่ายิ้มแบบนี้!”

                ฉันว่าผู้ชายคนนี้มีอาการแปลก ๆ ทางจิตนิดหน่อย เชื่อฉันสิ

                “ลุค! นี่มันงานบริการนะ จะไม่ให้ยิ้มได้ไงกัน จะให้แยกเขี้ยวใส่ลูกค้าเหรอ…”

                คำสั่งนี้มันยังไงกันคะ ลูกค้าจะได้รีวิวร้านแบบติดลบไหมคะ ผู้ชายคนนี้นี่

                แต่ก็นะ… ฉันแทบจะกลั้นยิ้มไม่ได้เลย ชักจะหมั่นไส้ตัวเองแล้วสิ

                “งั้นไปช่วยงานในครัวเลยไป ไม่ต้องไปเสิร์ฟมันละ”

                “นายอยากให้ฉันทำหม้อหุงข้าวที่นี่พังอีกเหรอ” ฉันถามแล้วก็เห็นลุคบึ้งขึ้นมาอีกรอบ

                “เออ ไปเสิร์ฟนั่นแหละ ระวังไอ้พวกแก้วค็อกเทลด้วยนะ กับจานสปาเกตตี มันแพงมากเลยละถ้าทำตกแตก”

                ฉันถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยินคำเตือนนั้น

                ท่าทางเงินงวดแรกที่จะมาจากงานที่คาเฟ่นี้จะไม่ได้ได้มาอย่างง่าย ๆ ซะแล้ว

                อย่างฉัน มีมี่คนนี้น่ะนะ พูดแล้วอยากจะร้องไห้ ฉันว่าตัวเองต้องทำจานตกไม่ต่ำกว่าสามใบแหง

                “ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ” เขาบอกแล้วก็ยิ้มให้ฉันไปด้วย

                “ค่าแรงเยอะมั้ยอะ” ฉันยังมีกะใจจะถามเรื่องพรรค์นี้อีกนะ

                ยัยบ้ามีมี่…

                ก็ฉันไม่อยากจะรบกวนกระเป๋าสตางค์ของลุคอีกแล้วนี่นา แค่นี้เขาก็หมดกับฉันไปหลายตังค์แล้วนะ ถ้าไม่เกรงใจฉันก็คงเป็นคนที่ไร้มารยาทเห็นแก่ตัวที่สุดในสามโลกแล้ว

                เมื่อฉันถามไปแบบนี้ลุคก็ยิ้มแล้วก็ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว

                หมายถึงสองร้อยบาทเหรอ

                “สองพัน”

                และพอเขาบอกว่าสองพัน ตาฉันก็โตขึ้นมาโดยฉับพลัน

                สองพันเลยเหรอ!

                “เป็นไง ได้เยอะใช่มั้ยล่ะ ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ สู้ ๆ!”

     

     

                งานบริการนี่เหนื่อยจัง… ฉันคิดและถอนหายใจออกมาเบา ๆ

                วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะมาก พนักงานในร้านก็น้อยมาก จนฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมค่าแรงมันถึงแพงมากนัก ถ้าพี่เชนเจ้าของร้านน่าจะให้เงินเราเพิ่มสักพันนึงจะดีมาก ก็เพราะตอนนี้ไหล่ของฉันจะหลุดออกจากข้อต่อแล้ว…

                ร้าน Café Mania แห่งนี้ดูภายนอกเหมือนจะเป็นร้านอาหารตะวันตก แต่ที่ไหนได้มันเป็นกึ่ง ๆ คลับด้วย มีรายการค็อกเทลยาวเหยียดเลย

                อยากจะบอกว่าฉันไม่เข้าใจออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งไปเลย เลยเขียนไปทั้งอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพีทที่ทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์จะโมโหมากหรือเปล่านะ

                ก็ตอนนี้เขาทำหน้าเหมือนจะเข้ามางับหัวฉันอยู่แล้ว ฮึก…

                “เอ่อ… พีทมีคนสั่งพิงก์เจนสามที่น่ะ แล้วก็แอริโซนาด้วยนะ”

                “พิงก์จิน…”

                “จ้ะ พิงก์จิน…”

                ฮึก… พีททำหน้านิ่งมากเลยตอนที่พูดแก้ชื่อค็อกเทลที่ฉันบอกผิดไป

                ก็คนไม่เคยดื่มนี่นาแล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าอันไหนเรียกว่าอะไร แถมชื่อค็อกเทลพวกนี้มีเยอะมาก มากจนฉันไม่รู้ว่าเขาจำมันได้ยังไง ถึงพีทจะทำหน้าหงุดหงิดยังไง แต่เวลาที่เขาเขย่าผสมค็อกเทลนี่เท่สุด ๆ ไปเลย จนกลบเรื่องความน่ากลัวนั้นไปได้

                แต่จะว่าไป คนที่ชงค็อกเทลให้ฉันจนเมาปลิ้นครั้งที่แล้วคือลุคนี่นา

                อืม… ไม่ว่าจะคนไหนก็เหมือนกันสินะ ร้ายกาจเหมือนกันไปหมดเลย

                วันนี้ที่ร้านคาเฟ่แห่งนี้มีฉัน พี่เชน ที่เป็นมาสเตอร์เจ้าของร้าน คาเมล พีท ลุค พ่อครัว และผู้ช่วยพ่อครัวอีกสองคนเท่านั้น เห็นแล้วใช่ไหมว่าคนน้อยมากแค่ไหน

                แล้วที่สำคัญลูกค้าเยอะสุด ๆ บางทีที่บาร์เครื่องดื่มว่างพีทก็จะออกมารับออร์เดอร์ด้วย แบบว่าคนเยอะมากมายมหาศาลเลยละ แต่ฉันมักจะเด้งตัวออกไปรับออร์เดอร์ลูกค้าต่างชาติซะมาก มีเหตุผลมีอยู่ไม่กี่ข้อ

                หนึ่ง พวกเขาไม่รู้จักเมนูที่ร้านเหมือนฉัน ยกเว้นลูกค้าประจำนะ

                สอง ฉันคิดว่าฉันพูดกับฝรั่งรู้เรื่องกว่าคนไทย

                ก็แหม คนไทยที่เป็นผู้หญิงสวย ๆ ทำไมถึงสั่งอาหารไม่ตรงตามเมนูเลยละ

                มีออฟชันอะไรไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมดเลย โอย… งานบริการนี่มันหนักเอาการเลยนะ

                “เหนื่อยมั้ย” คาเมลช่วยฉันเก็บโต๊ะแล้วก็ถามอย่างใจดีเมื่อเห็นสีหน้าของฉัน

                ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของฉันเหมือนปลาตายหรือเปล่า แต่มันเหนื่อยมากเลยละ

                เขาว่ากันว่างานหนักทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นมันคงจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้กล้ามแขนฉันเป็นมัด ๆ แล้วแน่เลย มันเหนื่อยเอาเรื่องเลย

                “ก็นิดนึง นายทำงานพวกนี้ทุกวันเลยเหรอ” ฉันชวนคุยบ้างเพราะคาเมลเป็นคนชวนฉันคุยซะมาก ถ้ายังไม่ยอมพูดกับเขาแล้วละก็ คาเมลต้องคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงจอมหยิ่งแน่

                “สัปดาห์ละสี่วันน่ะ” คาเมลบอกแล้วก็ยิ้มจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มของเขา

                เวลาเขายิ้มแล้วน่ารักจัง เหมือนหนุ่มน้อยที่คอยอ้อนพี่สาวคนสวยให้ตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย

                “สี่วันเหรอ โหย ได้ค่าแรงตั้งแปดพันสุดยอดเลย!”

                “แหงละ ที่นี่นอกจากค่าแรงจะดีแล้วงานยังหนักบัดซบอีกต่างหาก” ว่าแล้วคาเมลก็หัวเราะร่าออกมา เขาดูร่าเริงจังผิดกับลุคลิบลับเลย

                “อีกอย่างที่นี่คัดหน้าตาพนักงานด้วย” พูดจบคาเมลก็อมยิ้มอีกที

                ฉันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะจะว่าไปแล้ว ทั้งพี่เชน มาสเตอร์เจ้าของร้าน ลุค คาเมล พีท ทุกคนกินกันไม่ลงจริง ๆ ในเรื่องของความหล่อน่ะนะ

                “ความจริงที่นี่มีพนักงานคนอื่นด้วยนะ ก็มี เออ…” คาเมลเก็บจานอย่างเป็นระเบียบคล่องแคล่วพร้อมกับพูดไปด้วย

                โต๊ะที่เราช่วยกันเก็บอยู่นี่ฉันแทบจะไม่ได้หยิบอะไรติดมือไปไว้หลังร้านเลย มันอยู่ที่มือของคาเมลหมดแล้วละ สุดยอดไปเลย

                “ที่ร้านก็มีไอ้ชิน ไอ้ชุณห์ น้องชายของมาสเตอร์น่ะ แล้วก็ไอ้ริคแล้วก็ไอ้วินซ์อีกคนหนึ่งด้วย”

                น้องชายพี่เชน…

                “พวกเขาหน้าตาเหมือนพี่เชนมั้ย ฉันมายถึงชินกับชุณห์น่ะ” ฉันถามอย่างอยากรู้แล้วก็เดินไปหลังร้านพร้อมกับเขา

                “หล่อสิ… แต่ไอ้ชินมีแฟนแล้วละ วันนี้มันก็โดดงาน สงสัยทะเลาะกับแฟนแหง ฮ่า ๆ อย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้เลยนะ แบบว่าแฟนไอ้ชินเป็นผู้หญิงที่ไม่สู้คนอื่นเลย ถ้ามีคนมายุ่งกับแฟนตัวเองน่ะ แล้วทั้งคู่ก็จะทะเลาะกันง่าย ๆ ถึงไอ้ชินจะไม่มองผู้หญิงอื่นก็เหอะ แล้วไอ้ชินก็จะพานไม่มาทำงานอย่างวันนี้ไง”

                “อ๋อ…” ฉันลากเสียงแล้วก็พยักหน้าไปด้วย

                ก็อย่างว่าละนะ ผู้ชายหน้าตาดีก็มักจะมีแฟนแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

                แต่ลุคนี่สิ หน้าตาเขาก็ออกจะดีนี่นา แล้วทำไมเขาถึงไม่มีแฟนนะ

                และเมื่อพูดถึงลุค ก็เห็นลุคที่กำลังถือกระทะในมือจ้องหน้าฉันกับคาเมลนิ่ง ๆ อยู่พอดี เฮ้อ~ ห้ามยิ้มให้ใคร…

                ทำแบบนี้ มันหมายความว่ายังไงกัน อย่ามาทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเลยได้ไหม…

                “ฉันว่าเธอก็เป็นของต้องห้ามที่ฉันยุ่งด้วยไม่ได้แล้วแน่ ๆ” พูดจบคาเมลก็หัวเราะชอบใจออกมาคนเดียว

                คนนี้ก็อีกคน อย่ามาทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจะได้ไหม…

     

     

                “น้องมีมี่พูดอังกฤษคล่องจัง เรียนอะไรมาเหรอ” พี่เชนถามฉันตอนที่เรานั่งพักเบรกกัน

                คุณลูกค้าเจ้าขา อย่าเพิ่งเข้ามาเลยนะ ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้ว แขนขาอ่อนแรงไปหมดแล้ว ฮือ…

                “อ๋อ มี่ เอ่อ ฉัน เอ่อ… เรียกตัวเองยังไงดีนะ” ฉันยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง เมื่อไม่รู้ว่าควรจะเรียกแทนตัวเองกับพี่เชนยังไงดี

                “มี่ก็ได้ น่ารักดี” พี่เชนยิ้มมาให้ฉันอย่างใจดี ฉันเลยยิ้มตอบกลับไปบ้างแต่ไม่นานก็ค่อย ๆ หุบลง เพราะอะไรนั้นทุกคนคงจะรู้ดี

                “มี่เรียนบัญชีอินเตอร์ค่ะ”

                “อ้อ ถึงว่าพูดเก่งมาก แล้วนี่สนใจอยากจะทำงานด้วยกันมั้ย…”

                พี่เชนยังพูดไม่ทันจบ เพราะจู่ ๆ ลุคก็เดินพรวดพราดเข้ามานั่งแทรกกลางโซฟาตัวใหญ่ ที่มีฉันกับพี่เชนนั่งอยู่กันคนละฟากทันที

                อืม… ถ้าเราเป็นแฟนกันฉันคงคิดว่าเขากำลังหึงฉันอยู่แน่

                “สนุกมั้ยมีมี่” ลุคถามฉันพร้อมกับยิ้มไปด้วย

                แล้วฉันควรตอบเขากลับไปว่าไงล่ะ อย่าทำหน้าตาน่ากลัวได้ไหม มันหลอนนะ

                พวกเรานั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานต่อ เพราะดึกแล้วที่ร้านก็เลยคนบางเบาลงไปบ้าง ลุคก็เลยได้เดินออกมาเฉิดฉายอยู่ข้างนอก ทำเอาคาเมลไม่กล้าเข้าใกล้ฉันเลย

                อะไรกันน่ะ ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับลุคนะ ทำไมต้องทำท่ากลัวลุคขนาดนั้นด้วยก็ไม่รู้

                แล้วมันก็ทำให้ฉันเริ่มเขินมากด้วย

                ตอนที่เรากำลังคุยอะไรกันเพลิน ๆ ฉันก็สังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพอดี น่าจะสามขวบได้ละมั้ง น่าตาน่ารักมากทีเดียว เป็นเด็กผู้ชายที่กำลังเดินเตาะแตะเข้ามาในร้าน

                ฉันเห็นลุคยิ้มด้วยละ ก่อนที่เขาจะขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กคนนั้นและอุ้มตัวแกขึ้นมา

                “ว่าไงครับ มากับใครเนี่ยตัวเล็ก” ลุคพูดกับเด็กคนนั้นอย่างเป็นกันเอง จนฉันนึกสงสัยว่าเขารู้จักเด็กคนนี้มาก่อนหรือเปล่า

                “มากับหม่าม้าฮะ หม่าม้าคุยโทสับกะปะป๊าอยู่ตรงนู้นนน” เด็กคนนี้พูดแล้วก็ชี้นิ้วให้พวกเรามองตามออกไปด้านนอก

                ซึ่งก็เห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นจริง ๆ น่าจะเป็นคุณแม่ของเด็กคนนี้นะ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าร้าน เธอมองมาทางนี้และโบกมือให้พวกเราด้วย

                “ม้าบอกว่าให้เข้ามาก่อน จะกินข้าวผัด บอสหิวแล้ว” เด็กคนนี้พูดอ้อน ๆ แล้วก็กอดคอของลุคไว้แน่น

                ‘บอส’ คือชื่อของแกสินะ

                ฉันมองแล้วยิ้มตามเพราะไม่คิดว่าอย่างลุคจะใจดีกับเด็กเล็กได้ขนาดนี้

                “โอเค… งั้นเดี๋ยวเฮียจะทำข้าวผัดให้ละกัน”

                “มีมี่พาน้องไปนั่งตรงนั้นก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันมา”

                “ได้ รู้จักกันมาก่อนเหรอ?” ฉันถามแล้วก็รับเด็กคนนี้มาอุ้มไว้

                โอ๊ย! เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้หนักเอาเรื่องเลยเหมือนกันนะ

                “เปล่า ไม่เคยเจอเลย เห็นว่าน่ารักดี” ลุคพูดแล้วก็เอานิ้วสะกิดแก้มยุ้ย ๆ ของบอสอีกที ก่อนจะเดินกลับเข้าในครัว

                ฉันพาเด็กคนนี้มานั่งด้วยแล้วก็ชวนคุยไปเรื่อย ๆ เด็กเล็กนี่ไร้เดียงสาดีนะ เขาชี้หน้าคาเมลแล้วบอกว่าคาเมลสวยกว่าหม่าม้าของเขาด้วย ฉันเลยหัวเราะเมื่อเห็นหน้าคาเมลเหวอไป

                “บอสกี่ขวบแล้วครับ” ฉันถามแล้วก็หยิบกระดาษออร์เดอร์มาพับเป็นรูปนกตามที่แกขอ

                “บอสฉามขวบแล้วคับ”

                ฉันยิ้มพลางส่ายหน้าไปด้วยเพราะความช่างพูดของเด็กคนนี้

                “เรียนเก่งมั้ยเราน่ะ มีแฟนรึยัง” ฉันถามแล้วก็หันหลังไปมองแม่ของน้องบอสด้วย

                เธอหันมามองทางนี้เป็นระยะ แล้วก็ยิ้มไปด้วยแต่ดูเหมือนว่าเธอยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ

                คุณแม่ของน้องบอสยังดูเด็กมาก ท่าทางจะเป็นคุณแม่ยังสาวและสวยมากคนหนึ่งทีเดียว

                “เมื่อวานน้องใบเตยมาขอบอสเป็นแฟน แต่บอสชอบน้องขวัญมากกว่าอะคับ”

                ได้ยินแบบนั้น ฉันกับคาเมลที่นั่งอยู่ด้วยกันก็หัวเราะขึ้นมาทันที

                แหม เจ้าชู้ไม่หยอกเลยนะเนี่ย

                “เอ้า! นกเหินเวหาได้แล้ว” ฉันกางปีกให้นกตัวน้อยแล้วก็ยื่นให้เขาไป

                แกรับไปแล้วก็ขยับปีกเหมือนจะให้มันบิน ปากก็พูด ‘บรืน ๆ ๆ’ ไปด้วย นี่มันเสียงรถไม่ใช่หรือไง ใช่เสียงนกที่ไหนกันล่ะ ฉันเอามือเท้าคางก่อนจะมองเด็กตัวน้อยอย่างมีความสุข

                “จะเอานกไปรับปะป๊าคับ”

                ฉันยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของแก ก่อนจะยิ้มกว้างอีกนิดเมื่อเห็นลุคเดินถือจานข้าวผัดออกมาพร้อมกับน้ำส้มอีกแก้วหนึ่ง

                “ได้แล้วข้าวผัดร้อน ๆ ครับผม” ลุควางจานข้าวผัดที่ร้อนหอมฟุ้งหน้าตาน่าทางตรงหน้าเราทันที

                แล้วน้องบอสก็ละความสนใจจากนกกระดาษมาที่จานข้าวผัดทันที เขาตักเข้าปากเหมือนกำลังหิวจัด จนฉันอดที่จะมองอย่างเอ็นดูไม่ได้

                “แล้วคุณแม่ล่ะ” ลุคถาม ซึ่งฉันก็เงยหน้าขึ้นมาจากน้องบอสแล้วก็เหลียวหลังกลับไปดูคุณแม่ทันที

                “ก็คุยโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น…”

     

     

                หายไป…

                เธอหายไปไหนแล้ว…

                ฉันรู้สึกตกใจแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเธออาจจะเดินไปหยิบของที่รถอะไรทำนองนั้น พอลุกขึ้นจะเดินไปตามหาคุณแม่ของน้องบอส แต่ลุคก็จับข้อมือฉันเอาไว้แน่น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจนฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย 

                “บอสฮะ บอสมากับหม่าม้าสองคนเหรอ” ลุคก้มหน้าลงไปใกล้น้องบอสแล้วก็ถามเสียงอ่อนโยน

                “ฮะ น้องบอสนั่งแท็กซี่มากะหม่าม้า เรากำลังจะไปรับปะป๊าฮะ”น้องบอสตอบแล้วก็ตักข้าวเข้าปากไม่สนใจอะไรนอกจากข้าวผัดน่าอร่อยที่อยู่ตรงหน้า

                “แล้วป๊าของน้องบอสอยู่ที่ไหนฮะ” ลุคถามต่อในขณะที่ฉันเริ่มกัดริมฝีปาก

                รู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะยังไง ๆ ซะแล้วสิ ใจคอฉันไม่ค่อยจะดีเลย

                “ป๊าอยู่บนสวรรค์ฮะ เดี๋ยวน้องบอสจะขี่นกไปกับม้า ไปรับป๊าคับ”

                ฉันสะอึก รีบยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้

                ปะป๊าอยู่บนสวรรค์เหรอ นี่หมายความว่ายังไงกัน หัวใจของฉันเต้นแรงขึ้นอย่างน่ากลัว ได้แต่หวังว่าตัวเองคงจะคิดมากไปเองเท่านั้น

                “อยู่กับน้องบอสนะ อย่าเพิ่งบอกว่าคุณแม่หายไป เดี๋ยวฉันจะไปตามหาเอง” ลุคกระซิบที่ข้างหูฉัน แล้วก็เดินไปหาคาเมลที่พยักหน้าให้ทันที

                ไม่นาน ลุค คาเมล และพีทก็เดินออกจากร้านไป เหลือแค่ฉันกับมาสเตอร์สองคน ที่นั่งมองน้องบอสทานข้าวอยู่คนเดียวโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

                “อร่อยมั้ยครับ” ฉันบอกแล้วก็ยื่นหลอดจากแก้วน้ำส้มจ่อที่ริมฝีปากเล็ก ๆ ของแกไปด้วย

                “อร่อยจังคับ” แกบอกแล้วก็ยิ้มไปด้วย จากนั้นก็ดูดน้ำส้มอย่างเอร็ดอร่อย

                ถ้าผู้หญิงคนนั้นจงใจทิ้งลูกของตัวเองจริง ๆ เธอไม่สงสารแกบ้างเหรอ เด็กคนนี้น่ารักมากเลยนะ ทำไมถึงทำได้ลงคอกันนะ

                ไม่สิ อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น เธออาจจะแค่ไปเอาของหรือไปซื้อของอะไรทำนองนั้น ใครจะมาทิ้งลูกชายที่แสนน่ารักขนาดนี้ได้ง่าย ๆ กัน

                แต่เวลาแบบนี้มัน…

                “อยากกินอะไรอีกมั้ย แพนเค้กร้อน ๆ ดีมั้ย?” พี่เชนถามแล้วก็ยกเกาแก๊สพกพาออกมาด้านนอก โชคดีที่ดึกมากและลูกค้าก็เช็คบิลกลับไปหมดแล้วด้วย ทั้งร้านเลยมีแค่น้องบอสเท่านั้น

                “เอาคร้าบบบ น้องบอสอยากราดน้ำผึ้งด้วย”

                “โอเค้! เดี๋ยวมาสเตอร์เชนจะจัดให้ มีมี่เอาน้ำผึ้งในตู้ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัวมาทีนะ แยมอะไรอย่างอื่นด้วยก็ได้” พี่เชนบอกมา ฉันก็ยิ้มพยักหน้าทันที

                ฉันเดินเข้าห้องครัวก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียวอย่างไม่สบายใจ

                ถ้าน้องบอสรู้ว่าคุณแม่ทิ้งไป แกจะร้องไห้ไหมนะ ฉันนิ่งอยู่นานก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วก็หยิบกระปุกน้ำผึ้งและแยมออกมา

                แต่คงไม่มีอะไรหรอก บางทีคุณแม่อาจจะไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อแล้วพวกเราเลยมองไม่เห็นเธอเท่านั้น

                คงไม่มีอะไรหรอก…

                แต่พอเห็นน้องบอสกำลังช่วยพี่เชนทำแพนเค้กกันอยู่สองคน ฉันก็อดที่จะน้ำตาซึมไม่ได้ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ทั้งสองคน

                “น่าทานจัง ท่าทางพี่เชนจะเจอคู่แข่งแล้วนะเนี่ย” ฉันแซวทั้งสองคนแล้วก็วางของในมือลงที่โต๊ะ

                “น่าอร่อยมั้ยคับ อันนี้น้องบอสทำ” นิ้วเล็ก ๆ ชี้ไปยังแพนเค้กอันหนึ่งในกระทะ ทำให้ฉันยิ้มออกมา

                ฉันนั่งมองทั้งคู่ช่วยกันทำและช่วยกันกินอย่างมีความสุข แต่ก็มีความทุกข์แฝงอยู่ด้วยเมื่อไม่มีใครกลับมาสักที

                เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน แป๊บเดียวก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้วลุค คาเมลและพีทกลับมาโดยที่ไม่มีคุณแม่มาด้วย พวกเขาเหงื่อชุ่มไปหมดทั้งตัว ผมเผ้าดูยุ่งไม่เป็นทรงและมีริ้วรอยความกังวลเห็นได้ชัด น้องบอสเงยหน้ามองลุคแล้วก็ยื่นแพนเค้กให้เขา

                “น้องบอสทำไว้ให้คับ”

                “ขอบคุณครับ น้องบอสครับเมื่อกี้คุณแม่บอกว่ามีธุระ คืนนี้น้องบอสไปนอนกับพี่นะครับ”

                ลุคบอกกับน้องบอสอย่างนุ่มนวล หลังจากที่เขามองหน้าเล็กน่ารักนั่นอยู่พักหนึ่ง

                นั่นหมายความว่า

                ผู้หญิงคนนั้น เธอทิ้งเด็กคนนี้ไปแล้วจริง ๆ เหรอ?

     

     

                ฉันเดินหิ้วกระเป๋าเป้ของลุคเดินไปตามทางระเบียงทางเดิน ซึ่งตรงไปยังห้องของเขา

                ไม่มีอะไรหรอก บางทีคุณแม่อาจจะไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อแล้วพวกเราเลยมองไม่เห็นเธอเท่านั้น

                ไม่รู้ว่าฉันคิดโง่ ๆ อะไรอยู่ แต่เอาเถอะ ฉันจะพยายามไม่คิดเรื่องนี้อีกแล้ว

                ตอนที่ลุคเปิดประตูและเปิดไฟในห้อง ฉันก็รู้สึกใจเต้นแรงไม่หยุด แบบนี้เหมือนว่าพวกเรามีลูกด้วยกันเลยสินะ รู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกลแฮะ หน้าร้อนขึ้นหน่อย ๆ ด้วย

                “ฉันจพาน้องบอสไปนอนที่เตียงก่อน ส่วนเธอก็อาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเปลี่ยนกันดูน้อง” ลุคบอกพลางค่อย ๆ วางร่างเล็กของเจ้าหนูน้อยลงนอนกลางเตียง แล้วก็เดินไปหยิบเสื้อนอนตัวใหญ่ของเขาออกมาให้ฉัน

                เมื่อฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมาดูน้องบอสที่ดูดนิ้วเข้าปากหลับสนิทไปแล้ว แต่ฉันไม่กล้าจะดึงนิ้วออกเพราะกลัวจะทำเขาตื่น เลยนอนตะแคงมองเงียบ ๆ ส่วนลุคก็เข้าไปอาบน้ำบ้าง

                เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันฉันก็เลยรู้สึกเหนื่อยล้าจนง่วงเร็วกว่าทุกที จนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

                มารู้สึกตัวก็เมื่อมีหยดน้ำที่เย็นจัดตกกระทบแก้มสองสามหยด ฉันกะพริบตาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นลุคที่โน้มหน้าเข้ามาใกล้ฉันกับน้องบอส ที่ขยับเข้ามานอนซุกหน้าอกฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

                ลุคอยู่ในกางเกงนอนตัวเดียว และมีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กวางอยู่ที่บนศีรษะเพื่อซับผมที่เปียกชื้นเท่านั้น

                “เหนื่อยมากมั้ย?” เขาถามแล้วก็ขยับตัวขึ้นมาบนเตียงด้วย

                ลุคขยับมานอนซ้อนหลังฉันเอาไว้ ยกแขนแข็งแรงของเขาพาดเอวฉันและกอดร่างเล็ก ๆ ของน้องบอสไปด้วย

                “อื้อ… เหนื่อยจัง” ฉันบอกแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง ขณะที่หัวใจเต้นรัวอย่างน่ากลัว

                แต่อะไรบางอย่างบอกฉันว่าสามารถไว้ใจคนคนนี้ได้ ใจฉันเลยสงบลง

                “เหรอ ฝันดีนะ” พูดจบลุกก็เอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟที่ตัวเตียง

                จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดสลัว ก่อนจะรู้สึกว่าอ้อมแขนของลุคกระชับขึ้น

                นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองหลับไปอย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่เป็นมา

                “ฝันดีนะ ลุค…”

     

    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว มู่เลยนำมาทำ E-Book เอง

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลย

    ขอบคุณจากใจค่ะ


     

    หรือ >>Click!!<<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×