คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Simmons`s Eyes εїз | Re-write Ver. Ep02
Simmons`s Eyes Ep02
~Please Don’t Indifferent to Me~
“เฮ่ย ซิมม์มาแล้วโว้ย…” เสียงของเพื่อนผู้ภักดีพากันโห่ร้องขึ้นมาเมื่อผมปรากฏตัวขึ้นที่ห้องของคาร์โล แน่นอนว่าที่นี่มียัยผู้หญิงปัญญาอ่อนที่ทำได้แค่ร้องไห้อย่างเดียวอย่างปันหยีอยู่ด้วย
ผมบอกไปแล้วใช่ไหมว่าเกลียดท่าทางแบบนี้ของยัยนี่มากแค่ไหนน่ะ
เอาเหอะ ไหนๆ ก็มาถึงแล้วนี่วะ! ผมสบถในใจอย่างสุดจะทน
“นั่นไง ของแก…” ร็อบบุ้ยใบ้ให้ผมหันไปมองปันหยี แต่ผมเงื้อมือขึ้นหมายจะชกมันแทน
แต่คุณเพื่อนผู้น่ารักเอียงคอหลบได้อย่างง่ายดายเหมือนเดิมนั่นแหละ มันหัวเราะและพาตัวเองหลบไปอีกทาง คดีของมันน่ะหนักกว่าคนอื่นทุกคนเลย
“ไม่ใช่ของกู!” ผมพูดเสียงแข็ง แต่ละคนเลยทำหน้าแบบ… กวนเบื้องล่างสุดๆ อาย่างที่อยากจะอาไม้หน้าสามฟาดมันแรงๆ สักที
“พูดเงี้ยปันหยีน้ำตาตกเลยนะเว้ย…” คำพูดของร็อบทำให้ผมปรายตามองเธอ
ซึ่งปันหยีก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย เธอก็แค่ก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา นั่งเหงื่อแตกเหมือนอบซาวน่า ไงล่ะ น่าหงุดหงิดไหม เหมือนปลาทูน่าในกระป๋องน่ะ บ้าบอคอแตก!
“เธอก็เหมือนกัน ตามคนอื่นมาแบบนี้ได้ไง!”
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่คุยอะไรกับยัยนี่แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ เหมือนผมอยากจะ อยากจะ อยากจะด่าสักตั้งแต่ก็ทำไม่ได้ พูดได้มากสุดก็แค่นี้แหละ
ไอ้งี่เง่าซิมมอนส์เอ๊ย! ผมด่าตัวเองอย่างสมเพชใจ
“ใช่ๆ ตามมาทำไมก็ไม่รู้ คนอะไรไม่รูจักระวังตัวบ้างเลย…” ไอ้ร็อบพูดเสริม ซึ่งผมก็หัวเราะทันที
“เชี่ย… เวลามึงหัวเราะอ่ะ เหมือนเฟรดดี้จากเรื่องศุกร์สิบสามเลย ขอล่ะซิมม์ สยองว่ะ!”
“คนละเรื่องเดียวกันเลย บ้าเอ๊ย!” คาร์โลหันไปต่อว่า ที่ไอ้ร็อบสามารถเอาหนังคนละเรื่องมามิกซ์กันได้อย่างลงตัว
หรือสรุปได้ว่า ผมเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวของหนังสองเรื่องพร้อมกันเลย… เริ่ดค่า…
“…”
ปันหยีที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นานแล้วรีบขยับตัวและทำท่าจะเดินหนี แต่ว่าเดมอนเดินไปขวางทางเอาไว้ มันเป่าหมากฝรั่งเล่นทำเหมือนเป็นเรื่องสนุกมาก
เธอหันมามองผมแวบหนึ่งเหมือนจะขอความช่วยเหลือ แต่ผมบอกไปแล้วใช่ไหมว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดมากแค่ไหนน่ะ
“นั่งก่อนดีกว่า ซิมม์มันยังคุยงานไม่เสร็จเลย เดี๋ยวค่อยให้มันไปส่งที่คอนโด…” เดมอนบอก ซึ่งมันก็ดีเหมือนกัน เพราะผมคนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเธอพักอยู่ที่ไหนกันแน่
หลังจากเกิดเรื่องหลายอย่าง… รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่เห็นเธอเลย ผมไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลยจริงๆ…
“ฉันต้องกลับแล้ว” ปันหยีพูดเสียงสั่นๆ และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเธอ
ไม่รู้สิ… มันพูดยากนะ ทั้งที่เราเคยอยู่ด้วยกันมาตลอดรวมทั้งสิตางศุ์ด้วย แต่ตอนนี้เราสามคนต่างคนต่างอยู่ และเหมือนจะห่างไกลกันไปเรื่อยๆ
“น่า… ไปนั่งเถอะ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเธอหรอก…” เดมอนพูดและไล่ต้อนให้เธอถอยหลังไปเรื่อยๆ
ปันหยีดูกลัวมาก เธอน้ำตาคลอและเดินถอยร่นไปเรื่อยๆ จนชนกับโซฟาและนั่งลงทั้งอย่างนั้น ทุกคนหัวเราะยิ่งทำให้เธอขวัญเสียมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายผมก็เดินเข้าไปใกล้ปันหยี เห็นเธอชักขาขึ้นชันบนโซฟาและกอดขาตัวเองไว้แน่น เพราะโซฟาอยู่ติดกับผนังเธอเลยหนีไปไหนไม่ได้ คนอื่นๆ ก็ล้อมกรอบเอาไว้เห็นแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน
เมื่อผมเข้าไปใกล้ยิ่งทำให้ปันหยีสั่นไปทั้งตัว ดวงตาของเธอแดงก่ำ เหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังสั่นเทาหวาดกลัว ผมเลยนั่งลงที่กับพื้นหันหลังชนกับโซฟาที่เธอนั่งอยู่ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเพื่อนฝูงผู้น่ารักทุกคน
“เริ่มงานสิวะ ชักช้าหาอะไรวะ!”
End Simmons talk…
ฉันนั่งกอดเข่ามองดูกลุ่มผู้ชายที่เกลียดฉันยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ…
มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย น้ำตาเอ่อซึมครั้งแล้วครั้งเล่าและต้องซับมันออกอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าสมเพช…
พวกซิมมอนส์กำลังคุยงานกันอยู่น่าจะเป็นเพลงของ The Moxie กลุ่มของเขานั่นแหละ
กลุ่มของเขา… และสิตางศุ์ และที่ตรงนั้น ไม่ใช่ที่ของฉัน
แล้วกันปันหยี ทำไมเธอต้องมาเศร้าเมื่อคิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่เป็นเหมือนพี่สาว ฉันมันเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจที่คิดริษยาผู้หญิงคนนั้น และมันน่าสมเพชที่สุด
“ไงสิตางศุ์… อยู่ไหนน่ะ” ซิมมอนส์คุยโทรศัพท์ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
แต่ฉันได้ยินเสียงชัดเจนที่สุดก็คือตอนที่เขาเรียกชื่อของสิตางศุ์
ใช่… ฉันรู้นี่มันงี่เง่า แต่จะทำยังไง ในเมื่อฉันก็จัดการกับความรู้สึกนี้ไม่ได้เลย ฉันเกลียดตัวเองแทบบ้าอยู่แล้ว
“ไม่มาเหรอ เราอยู่กันครบเลยนะ” น้ำเสียงของซิมมอนส์นั้นฟังดูอ่อนหวานนุ่มนวล ไม่เหมือนกับตอนที่เขาคุยกับฉันเลยสักนิด
ถ้าเขาแค่เพียงพูดดีๆ กับฉันบ้างแค่เล็กน้อย ฉันคงไม่เป็นแบบนี้… แค่คิดหัวใจก็แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ฉันทนฝืนความอ่อนล้าของร่างกายไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องไถลตัวลงกับโซฟา ซุกตัวลงอย่างนั้นด้วยความเหน็บหนาวเกินจะต้านทาน ฉันนี่มัน…
“งั้นเหรอ โอเค ได้แล้วล่ะ แต่หมู่นี้เราไม่เจอกันเลยนะ” ซิมมอนส์พูดเสียงอ่อนหวาน ขณะที่คนอื่นๆ ก็พูดแทรกกันเป็นระยะ
ทุกคนดูใส่ใจสิตางศุ์ พูดจาหยอกล้อหัวเราะกัน ไม่เหมือนกับกรณีของฉันที่เหมือนพวกเขามองด้วยความสนุกสนานหัวเราะด้วยความสมเพช…
ให้ตาย เจสซี่ เธออยู่ไหน ตอนนี้ฉันต้องการเธอมากกว่าอะไรทั้งนั้น…
ฉันอยากบอกตัวเองอย่าไปคิดอิจฉาสิตางศุ์เลยแต่ก็ทำไม่ได้ ฉันรู้ว่ามันน่าสมเพชมากแค่ไหน แต่จะให้ทำยังไง เพราะไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีค่าไม่มีความหมายในสายตาของซิมมอนส์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ฉันซุกตัวเข้าไปในโซฟา เช็ดน้ำตาโดยไม่ให้ใครเห็น และบอกตัวเองว่าอีกไม่นานความรู้สึกพวกนี้ก็จะจางหายไปเอง
ก็ได้แค่หวังอย่างนั้น…
“คิดถึงน่ะสิ มาเจอกันมั่งเหอะ นัดกินข้าวกันสักพักก็ได้” ซิมมอนส์ยังหัวเราะ เสียงของเขาเป็นเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของฉัน เขาจะรู้บ้างไหมว่าการที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะความใจร้ายของเขา
“โอเค ชวนโจแอลมาด้วยก็ได้ ฉันคิดถึง อยากเจอเธอ…”
ไม่ว่าจะพยายามข่มตาให้หลับยังไงฉันก็หลับไม่ลง ในหัวคิดแต่เพียงใบหน้าของของสิตางศุ์
และจินตนาการใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนหวานของซิมมอนส์ เขายิ้มให้เพียงผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น เป็นผู้หญิงที่ฉันไม่อาจจะเอาชนะได้
“ใช่สิตางศุ์… ฉันคิดถึงเธอ”
ฉันไม่รู้ว่าฉันหลับไปตั้งแต่ตอนไหน มารู้สึกตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกซิมมอนส์ พอลืมตาขึ้นก็เห็นว่าพวกเขากำลังวุ่นวายกับงานอยู่
ซิมมอนส์หันมามองฉันทำเอาสะดุ้ง ฉันเลยตั้งใจจะลุกจากโซฟาและกลับซะที แต่พอจะเหวี่ยงเท้าลงไปสายตาคมกริบของเขาก็หรี่ลงจนไม่กล้าขยับตัวอีก
“หิวแล้วใช่ไหม?” เขาถาม เล่นเอาตอบคำถามอะไรไม่ออก ฉันไม่รู้จะทำยังไงนอกจากชักขากลับและกอดเข่าไว้แน่น
“เธอนี่มันน่าโมโห…” ซิมมอนส์ว่า ฉันเลยหน้าเสียใจเสีย รู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่สมควรจะอยู่ที่นี่เลย
“เอาไป… ฉันยังทำงานไม่เสร็จ เดี๋ยวจะไปส่ง” เขาส่งกล่องพิซซามาให้ ฉันเลยรับมันมา ไม่อย่างนั้นซิมมอนส์คงโยนมันจนหกเลอะเทอะโซฟาแน่
“ฉันกลับเองได้…”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเงียบอยู่นานแค่ไหน รู้ได้อย่างเดียวว่าเพิ่งได้พูดคำแรก คนอื่นๆ หันมาทำหน้าแปลกใจ ซิมมอนส์ก็เลิกคิ้วสูงมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ตลกละ… ตอนแรกเธอเดินอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง… แล้วก็ถูกลากตัวมานี่น่ะ!” เขาว่า ฉันเลยเงียบเถียงไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
“บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวจะไปส่ง กินซะ แล้วก็ช่วยเงียบด้วย”
“เห… ปันหยีก็เงียบอยู่แล้วนี่ คิดว่าเป็นใบ้แล้วซะอีก” คาร์โลหัวเราะ พาให้คนอื่นหัวเราะตามไปด้วย มีแค่ซิมมอนส์คนเดียวเท่านั้นที่หน้าเครียดอยู่คนเดียว
“ปากจัดว่ะ หยีหน้าเสียไปเลย” เท็ดพูด ฉันไม่รู้จะทำยังไงนอกจากเปิดกล่องพิซซาดูเพราไม่รู้จะทำอะไรมากกว่านั้นแล้ว และเห็นหน้าพิซซาเข้า…
ไม่ต้องบอกหรอกนะว่ามันเป็นรสโปรดของใคร ถ้าไม่ใช่ รสโปรดของสิตางศุ์… ฉันนี่มันทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชมากเหลือเกิน
“งั้นมาทำงานกันเถอะ ท่าทางซิมม์มันคงอยากกลับห้องเต็มแก่แล้ว” เสียงแซวของใครสักคนดังขึ้น ฉันได้แค่เกลียดชังจับใจ ฉันดูเหมือนของเล่นสำหรับพวกเขา ไม่เหมือนสิตางศุ์ที่เป็นที่รักของพวกเขาเลย
ฉันไม่ได้กินพิซซา ซิมมอนส์เองหันมามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเมินหน้าไปทำงานของเขาต่อ ฉันเลยยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูและกดเล่นเพื่อฆ่าเวลา รอให้เขาทำงานเสร็จแล้วก็ได้กลับ
ซิมมอนส์ดูเกลียดรำคาญฉันยิ่งกว่าอะไร เพราะงั้นฉันเลยแน่ใจว่าเขาคงไม่ทำอะไร แต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจอะไรอยู่ดี ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนฝันร้ายที่ลบไม่ออก ในขณะที่ฝันดีเกิดขึ้นแค่ชั่ววูบแล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย
ทำไมคนเราถึงได้น่าสงสารอย่างนี้ ทำไมถึงควบคุมหัวใจไม่ได้เลย…
ฉันมัวแต่เหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนจะเห็นข้อความในแชตเฟซบุ๊ค เป็นข้อความใหม่ที่ถูกส่งมาจากสิตางศุ์ ที่ฉันพยายามหลบหน้าไม่ยอมรับสายหรือยอมนัดเจอเลยสักครั้ง
Sitang S. Pannakul
หยี… อยู่กับซิมม์เหรอ
ฉันเห็นรูป ของเธอนอนอยู่ในห้องของคาร์โล ร็อบอัพรูปเธอลงในกลุ่ม The Moxie ฉันเลยเห็นน่ะ คือ ฉันตกใจ
หยี ตอนนี้เธออยู่กับซิมม์จริงๆ ใช่ไหม แล้วคบกันเหรอ ช่วยอธิบายหน่อย ฉันอยากคุยกับเธอนะ
ข้อความที่สิตางศุ์ส่งมาทำให้ฉันปั่นป่วนไปหมด ยิ่งรู้ยิ่งพบว่าตัวฉันเป็นเหมือนตัวตลกในสายตาของกลุ่มซิมมอนส์ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองแทบจะขาดใจตายให้ได้
สุดท้ายฉันตัดสินใจลบความเป็นเพื่อนกับสิตางศุ์ ซิมมอนส์ และเดมอน ซึ่งเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก เพราะไม่อยากจะให้ตัวเองต้องว้าวุ่นใจมากไปกว่านี้ ฉันรู้ ฉันมันขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเรื่องทุกเรื่อง แต่ตอนนั้นที่สิตางศุ์พาฉันไปหาซิมมอนส์จนฉันถูกข่มเหง… ฉันกลัวไปทุกอย่างนั่นแหละ
เมื่อทนความอึดอัดใจไม่ได้อีกต่อไป ฉันก็ตัดสินใจเดินลงจากโซฟาโดยมีสายตาของซิมมอนส์หันมอง
“จะไปไหน” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฉันเลยตอบไปด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน
“ฉันจะเข้าห้องน้ำ…”
พอบอกไปแบบนั้นซิมมอนส์ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ฉันเลยเดินเข้าห้องน้ำไปโดยที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องงาน หรือไม่ก็อะไรสักอย่างที่ฉันไม่ได้เป็นส่วนร่วมด้วย
หลังจากออกมาจากห้องน้ำทุกคนก็ยังไม่ได้สนใจมองฉัน สุดท้ายฉันก็ค่อยๆ ย่องออกจากห้องนี้ได้ในที่สุด และพบว่าเย็นมากจนน่าตกใจ ไม่สิ มันค่ำมากแล้วต่างหากล่ะ…
ฉันรีบเดินจ้ำออกมาไม่อยากถูกจับได้ตอนนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนโดของคาร์โลตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่
“ให้ตายเถอะ น่าจะเชื่อเจสตั้งแต่แรก…” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วก็ลากเท้าออกมาจากโครงการคอนโดที่อยู่ลึกเอาเรื่อง ยิ่งเดินเท่าไหร่ก็ยิ่งกลัว เพราะมีคนงานก่อสร้างกำลังเดินเท้าออกจากสนามที่เหมือนกำลังก่อสร้างอะไรบางอย่างอยู่ด้วย
ฉันกลัวจนเหงื่อซึม ร่างกายร้อนไปหมด แล้วก็แขนขาอ่อนแรงแทบจะล้มลงให้ได้ ฉันได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงฝีเท้าไล่หลังมา ได้ยินเสียงซุบซิบที่ไม่น่าไว้ใจก็กลัวจนแทบจะร้องไห้ ก่อนจะเดินเป็นวิ่งเพื่อออกไปถึงถนนใหญ่ให้ได้ แต่พวกนั้นยังเดินตามมาไม่หยุด จนกระทั่งมาถึงหน้าทางเข้าโครงการคอนโดซึ่งมันก็เปลี่ยวมากแทบไม่มีรถวิ่งผ่านเลยด้วยซ้ำ
“เจส… เจส ฉันจะทำยังไงดี…” ฉันกลัวจนร้องไห้ แล้วก็หาที่ซ่อนตัวทันที
ฉันหวังว่าพวกคนงานก่อสร้างจะไปซะทีแล้วจะได้กลับห้องไปนอนพัก ไม่ออกมาข้างนอกตามคำสั่งของเจสซี่ สาบานเลย ว่าฉันจะไม่ขัดคำสั่งของเธออีกแล้ว ขอแค่… ขอแค่ฉันไม่ถูกข่มขืนอีกครั้งก็พอ
“ฮือ… เจส ฉันกลัว” ฉันยกมือปิดปากแน่น อยากให้ใครสักคนเข้ามาช่วยฉันให้พ้นจากสถานการณ์น่ากลัวนี่เสียที
“เจส… ฉันกลัว…”
แล้วฉันก็แทบกรีดร้องออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ ซึ่งเป็นเสียงที่ตั้งไว้เพื่อผู้ชายที่ชื่อซิมมอนส์คนเดียวเท่านั้น
~แค่อยากได้ยินคำพูดเดียว พูดจากใจเพียงครั้งเดียว[1]~
น้ำตาของฉันไหลด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต ลนลานปิดเสียงมันไม่ได้เพราะความกลัว
สุดท้ายก็หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อถูกฝ่ามือสากกร้านจับลงที่ไหล่ ตามด้วยเสียงแหบพร่าน่ากลัว…
“น้อง…”
“ขอบคุณมากค่ะ…” ฉันยกมือไหว้พวกพี่ๆ คนงานก่อสร้างด้วยความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และรู้สึกผิดอย่างมากด้วยที่ก่อนหน้านี้มองพวกเขาเป็นเหมือนยักษ์มาร เพราะพวกเขามีน้ำใจและอาสาพาออกมาส่งนอกโครงการคอนโดนี่อีกที เพราะถนนก่อนหน้านี้ไม่มีรถวิ่งผ่านเลย
พวกเขาตั้งใจจะบอกว่าที่ตรงนั้น(ที่ฉันซ่อนก่อนหน้านี้นั่นแหละ)ว่ารถไม่วิ่งผ่าน และช่วยเดินมาส่งอีกฝากหนึ่งของถนนเลยซึ่งก็ไกลเอาเรื่อง
ตอนแรกฉันกลัวมากยังไม่ยอมไว้ใจอะไรง่ายๆ แต่พวกเขายอมเดินนำหน้าห่างๆ จนกระทั่งมาถึงถนนด้านนอกนี่แหละ ฉันถึงได้รู้ว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้มันผิดหมด
“ขอบคุณจริงๆ ค่ะ…”
“ค่ำมากแล้ว เดินทางไปไหนมาไหนระวังด้วย” พวกเขายังเป็นห่วงตอนที่มีรถแท็กซี่มาจอดเทียบ ฉันส่งยิ้มขอบคุณก่อนจะขึ้นแท็กซี่เงียบๆ ระหว่างนี้ซิมมอนส์ยังโทรมาไม่หยุด ไม่รู้ว่าเขาจะตามมาจิกทึ้งอะไรนักหนา ฉันถอนหายใจแล้วก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
กว่าจะผ่านวันนี้ไปได้มันช่างยาวนานและเหน็บหนาวมากเหลือเกิน
ใช้เวลาไม่นานนักฉันก็กลับมาถึงคอนโดของเจสซี่แล้ว เจสซี่บอก ไม่สิ ต้องบอกว่าออกคำสั่งให้ฉันพักที่นี่เท่านั้นและห้ามออกไปไหนด้วย ตอนแรกมันก็รู้สึกอึดอัดหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันรู้แน่ชัดแล้วว่าคนที่หวังดีและห่วงใยฉันมากที่สุดน่ะคือเจสซี่คนเดียวเท่านั้น
แต่สำหรับคนอื่นแล้ว ฉันไม่กล้าพูด และไม่อยากรับรู้ด้วย
ที่นี่เป็นที่ที่ไม่มีใครรู้… เอ่อ ฉันหมายถึงที่บ้านน่ะ บ้านใหญ่ที่มีคุณพ่อคุณแม่ของซิมมอนส์อยู่
พอเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ออกมาอยู่หอของมหาวิทยาลัย ไม่ได้อยู่คอนโดเหมือนซิมมอนส์หรือสิตางศุ์ เพราะฉันไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้ใครไปมากกว่านี้ ไม่ว่าทางนั้นจะทักท้วงเท่าไหร่แต่ฉันก็ไม่สบายใจ คิดว่าที่ได้รับมาตั้งแต่เด็กๆ ก็มากพอที่จะชดใช้ให้ไม่ไหวแล้ว
ฉันสนิทกับคุณพ่อและคุณแม่ เคยคิดว่าสนิทกับสิตางศุ์ด้วย…
แต่ก็นั่นแหละ เรื่องเศร้าๆ แบบนั้นลืมมันไปจะดีกว่า
ฉันถอดรองเท้าไว้ในตู้รองเท้า ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น และไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ที่ฟังดูแสนจะน่ารำคาญนั่นด้วย
“เจส… คิดถึงจัง…” ฉันพึมพำ สิ่งเดียวที่ต้องการตอนนี้คืออยู่อย่างสงบแล้วก็ไม่ต้องเจอเรื่องพวกนี้อีกตลอดไป
Simmons`s talk…
“บ้าเอ๊ย!” ผมสบถด้วยความหงุดหงิด เมื่อต่อสายไปหาปันหยีแล้วเธอไม่รับสาย เคยใช่ไหม ความหงุดหงิดที่ไม่มีคนรับสายทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญแท้ๆ ตอนนี้ผมเขียนเพลงเสร็จแล้ว เหลือแค่ไลน์กีต้าร์ เสียงกลองและเครื่องดนตรีอื่นๆ เท่านั้น หันมาตั้งใจจะพาเธอกลับบ้าน แต่มองดูอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าผลุบหายไปตั้งแต่ตอนไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ เพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ด้วย
แล้วพอโทรไปก็ไม่รัยสาย ยัยบ้าเอ๊ย!
“รับมั้ย!?” ร็อบถาม ผมก็ส่ายหน้าไปมาทันที
“ไม่!” ผมบอกเสียงเครียด คนอื่นเลยโทรช่วย
“ถามยามรึยังวะ!” ใครสักคนขึ้น คงจะถามคาร์โลเจ้าของคอนโด
“กูโทรอยู่ เงียบหน่อยสิวะ!”
ผมเองก็ร้อนอกร้อนใจ โทรหาก็ไม่รับสายเล่นเอาหงุดหงิดจนอยากจะทนจริงๆ!
“รับสิวะ ปันหยี รับสิวะ!” ผมตะคอกอย่างเดือดดาล สักพักหนึ่งคาร์โลก็โวยวายขึ้นมาทันที
“อะไรวะ!” เท็ดว่าเสียงดัง ท่าทางมันตกใจไม่น้อย และทำให้ผมตกใจตามไปด้วย
“ยามบอกว่าปันหยีเดินไปกับใครไม่รู้ ท่าทางเหมือนคนงานก่อสร้าง!” คาร์โลว่า และทำให้มือไม้ของผมอ่อนแรงจนทำโทรศัพท์หลุดออกจากมือโดยไม่รู้ตัว
“อะไรนะ!”
และไม่ใช่แค่เสียงของผมคนเดียวเท่านั้นที่ตะคอกถาม แต่คนอื่นๆ ก็ถามเป็นเสียงเดียวกันตามไปด้วย เหงื่อของผมไหลและกลัวจนพูดไม่ออก
“ยามบอกว่ายัยนั่นไปกับคนงานก่อสร้าง!”
ผมไม่ทนฟังอีกต่อไป ลุกจากโซฟาคว้ากุญแจรถกับเสื้อแจ็คเก็ตเดินลิ่วออกมาอย่างรวดเร็ว ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้หญิงคนนั้นอะไรจะทั้งบ้าทั้งโง่แบบนั้นกันล่ะ ยัยบ้าเอ๊ย!!
เสียงเพื่อนคนอื่นโวยวายตามหลังมา แต่ผมไม่สนใจ ที่สนใจน่ะ คือยัยบ้าหน้ามึนที่ตามผู้ชายออกไปต้อยๆ ต่างหาก ยัยนั่นโง่จริงๆ ด้วยสินะ ถึงได้ตามหลังคนอื่นไปอย่างนั้น อยากจะด่าให้สาแก่ใจกว่านี้แต่ใจห่วงมันก็มีอิทธิพลมากกว่าจนไม่เป็นอันทำอะไร
“รับสิวะ!” ผมบ่นไปด้วยตอนที่ยกโทรศัพท์ต่อสายไปหาปันหยีด้วย และแน่นอนว่าผู้หญิงบ้าคนนี้ไม่ยอมรับสาย ให้ตายเถอะ
คาร์โลกับเท็ดตามผมมาด้วย คาร์โลก็ติดต่อกับยามของโครงการคอนโด ส่วนเท็ดก็ช่วยผมต่อสายโทรไปหาปันหยี
ยัยบ้านั่น โธ่เว้ย!
“ไม่รับว่ะ ลองเอาเบอร์แปลกๆ โทรไปหน่อยมั้ย” เท็ดถามขึ้น สีหน้ามันเต็มไปด้วยความกังวลจนผมรู้สึกแย่ตามไปด้วย
เวลาแบบนี้ไม่ได้ต้องการความเห็นใจเลย ต้องการแค่ความช่วยเหลือเท่านั้น และต้องเป็นความช่วยเหลือแบบเร่งด่วนด้วย
“ยามบอกว่าปันหยีเดินออกไปกับคนงานก่อสร้างว่ะ ไม่รู้ถูกขู่หรือจี้ให้ไปด้วยมั้ย แต่ว่าตามไปแน่ๆ แต่ภาพจากกล้องวงจรมีถึงแถวๆ นี้ กล้องตัวหน้ามันเสียว่ะ!” คาร์โลบอก หน้าเสียซะจนผมไม่กล้าสบถอะไรออกมา เมื่อรู้แบบนั้นเราสามคนเลยเดินออกไปดูจนถึงถนนด้านนอก ไม่เจอทั้งปันหยีและกลุ่มคนงานก่อสร้างอะไรที่ว่านั่นเลย
“ถ้าเจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่นะ!!” ผมคำรามอย่างหัวเสีย ได้แต่คาดโทษเอาไว้แต่ไม่รู้เลยว่าต้องไปตามหาเธอได้จากที่ไหนกันแน่
สุดท้ายเบอร์โทรของเธอก็ติดต่อไม่ได้เลย ผมได้แต่คลุ้มคลั่งที่เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจเจ็บแปลบและไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้
“ทำไมเธอบ้าแบบนี้วะ!!” ผมอยากจะเป็นบ้าตาย แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก
แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมไม่สามารถลบภาพความน่ากลัวออกจากหัวได้…
Simmons talk…
เชื่อเลย…
ฉันหลับไปนาน และหลับไปได้ยังไงไม่รู้ ขนาดหลับในห้องของคาร์โลมาตั้งนานแล้วแท้ๆ บ้าจริงเลย ทำไมมันถึงได้อ่อนเพลียขนาดนี้กันก็ไม่รู้…
ฉันตื่นขึ้นและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา แต่พบว่าแบตหมดไปแล้ว ไม่อยากจะชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์ ด้วยเหตุผลอะไรที่ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…
แค่กลัวว่าซิมมอนส์จะโทรมาล่ะมั้ง และที่กลัวมากกว่านั้นคือกลัวว่าจะได้ยินคำว่า ‘เกลียดชัง’ จากปากของเขา คนอย่างฉันกลัวได้แค่นี้นี่แหละ
อีกนานกว่าเจสซี่จะถึงแอลเอ ฉันเลยไม่มีเหตุผลอะไรให้รีบชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์ตอนนี้ ฉันเปิดแมคบุ๊คเพื่อเปิดโปรแกรมไลนทิ้งเอาไว้ เผื่อว่าเพื่อนคนอื่นๆ จะติดต่อมา เพราะส่วนมากฉันจะติดต่อกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่สนิทผ่านทางไลน์เท่านั้น
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เทซีเรียลกับนมลงในถ้วยก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องรับแขกอีกครั้ง มือมันก็ซนนัก เปิดเฟซบุ๊คขึ้นมาตามความเคยชิน และก็เห็นข่าวในหน้ารวมขึ้นมา เรื่องราวที่เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊คคุยกันมากที่สุดมักจะอยู่ด้านบนเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน…
ทุกคนดูเหมือนจะชื่นชอบวง The Moxie และมีข่าวของพวกเขาอยู่ตรงนั้นเสมอ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน
สิ่งที่ฉันเห็นเป็นอย่างแรกก็คือรูปถ่ายของ The Moxie แฟนเพจซึ่งคนโง่เจ็บแล้วไม่จำอย่างปันหยีนี่แหละที่ไปกดถูกใจไว้ ดังนั้นเลยมีข่าวให้เห็นอยู่เสมอ
ในข่าวนั้นเป็นรูปข้อมือของซิมมอนส์… ที่จำได้เป็นเพราะสร้อยข้อมือสลักคำว่า S. เอาไว้
ที่น่าตกใจคือภาพมือของซิมมอนส์ที่เปื้อนด้วยเลือดและห้อช้ำไปหมด เห็นแล้วก็ตกใจที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนอย่างเขาเอาแต่ใจอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว คงไม่แปลกที่จะเป็นแบบนี้ นอกจากภาพแล้วก็ยังมีคำบรรยายภาพเอาไว้ด้วย ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนอัพโหลดและเขียนคำบรรยายนี้…
The Moxie official
1 hour ago
I finding you S.
ฉันกดปิดเฟซบุ๊กไป เพราะชื่อ S. นั้นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าหมายถึงสิตางศุ์อยู่แล้ว ชื่อในกลุ่ม The Moxie น่ะ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องคิดอะไรให้มากเลย…
“เฮ้อ… อย่าคิดไปมากกว่านี้เลยปันหยี ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ใช่คนคนนั้นอยู่แล้ว” ฉันหัวเราะกับตัวเองแล้วก็ตักซีเรียลเข้าปากอย่างแกนๆ
หลังจากตั้งตัวตั้งสติได้แล้วฉันเลยหยิบเอาโทรศัพท์ไปเสียบชาร์จแบตเตอรี่ ไม่นานหน้าจอก็สว่างวาบและเครื่องก็เปิดขึ้น ฉันหัวเราะทั้งที่ไม่ขำเลยเมื่อเห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายกว่าร้อยสาย ส่วนมากเป็นเบอร์ของซิมมอนส์ ต่อมาฉันก็เลือกที่จะบล็อกเบอร์ของเขาไม่ให้ติดต่อกันได้อีก รวมถึงเบอร์อื่นๆ ที่โทรเข้ามาด้วย ส่วนมากเป็นเบอร์ของกลุ่มเพื่อนเขานั่นแหละ
“เราอยู่กันละเส้นทางน่ะ ดีแล้ว… บายนะซิมม์” ฉันบอก ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ตามเดิม
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อความส่งเข้ามาเรื่อยๆ ว่ามีเบอร์ของซิมมอนส์โทรเข้ามา เพียงแต่มันไม่สามารถต่อสายมาถึงฉันติดได้ก็เท่านั้น
“ฉันไม่อยากเจ็บปวดไม่อยากวุ่นวายใจอีกแล้ว เราอยู่กันคนละเส้นทางน่ะดีแล้ว…”
หลังจากขลุกอยู่ที่ห้องได้วันหนึ่งและได้คุยกับเจสซี่แล้วฉันก็ลงไปซื้อของ…
น่าหัวเราะไหมล่ะ เพราะรู้สึกสบายใจมากขึ้น คล้ายๆ กับว่าเจสซี่เป็นเหมือนคุณแม่มาลี[2]ยังไงอย่างนั้น ถึงจะร้ายแต่เธอใจดีมากกว่าอะไรทั้งนั้น ฉันล่ะคิดถึงเธอมากจริงๆ
กว่าจะกล้าออกจากกห้องก็ปาเข้าไปเป็นวัน ปันหยีน่ะน่าสมเพชมากจริงๆ และเพราะอย่างนั้นฉันเลยเลือกที่จะซื้อของในซูเปอร์ใกล้ๆ คอนโด เพราะไปกลับได้สะดวกไม่ต้องนั่งรถออกไปแค่เดินไปก็ได้แล้ว ฉันซื้อของตุนไว้มากจำนวนหนึ่งเพราะไม่อยากออกมาอีกในเร็วๆ นี้
ฉันสมเสื้อสเวตเตอร์ตัวใหญ่โคร่งๆ แล้วก็สวมแว่นตาด้วย ถึงจะแน่ใจก็เถอะว่าไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ฉันก็อยากจะปกป้องตัวเองจากอะไรที่ก็ยังไม่รู้จัก
ระหว่างทางที่เดินเลือกซื้อของ ฉันมองเห็นกระจกและมันสะท้อนเงาของตัวเองออกมา ฉันมองแล้วก็แน่ใจว่าคงไม่มีใครจำได้ เพราะขนาดตัวเองก็ยังจำแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป
แล้วจะมีบ้างไหมนะ คนที่คอยมองแต่ฉัน คนที่เห็นตัวตนของฉันจริงๆ…
“เฮ้อ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนะปันหยี” ฉันบอกตัวเองแล้วก็เลือกซื้อของต่อ อะไรที่คิดก่อนหน้านี้น่ะไม่มีทางที่จะหาเจอหรอก ฉันเป็นแค่เงามืดที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น…
แต่ฉันก็ต้องใจเต้นแรงอีกครั้ง เมื่อมีใครคนหนึ่งคว้าต้นแขนเอาไว้และบีบแน่นจนสัมผัสได้ถึงชีพจรจากเส้นเลือดตรงต้นแขนที่มันเต้นแรงอย่างน่ากลัว…
ฉันเบิกตากว้างไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนที่อยู่ตรงหน้าอีกแล้ว
“…” ฉันอ้าปากค้างกะพริบตาถี่ เป็นนานกว่าจะหายใจได้และพบว่าตัวเองกลั้นหายใจเกือบนาที
“ยาหยี! เธอจริงๆ ด้วย!!” เสียงทุ้มหนักเรียกสติฉันกลับคืนมา และทำให้ยิ่งตกใจเป็นเท่าตัว
“… ดอม” ฉันกระซิบ เหมือนพูดมาจากที่ที่ห่างไกลแสนไกล
“ใช่… ฉันเอง ดอมินิก ยาหยี ฉันคิดถึงเธอชะมัด!” จบคำพูดนั้นตัวฉันก็ถูกดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนของเขาอย่างแนบแน่น
“ดอม…”
“ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ คิดถึงชะมัดเลย…” ดอมกอดฉันแน่นแล้วก็โยกไปมาเล่นเอาเวียนหัวไปหมด แน่ล่ะ พอมากอดกันกลมในซูเปอร์มาร์เก็ตแบบนี้เลยมีคนมองเป็นตาเดียว
“ดอม พอก่อน ฉันหายใจไม่ออก ปล่อยก่อนได้มั้ย ที่นี่เมืองไทยนะ” ฉันบอกดังนั้นดอมเลยปล่อยตัวฉัน แต่ก็ยังจ้องมองไม่ละสายตา
“คิดถึงว่ะ…”
“นายเนี่ยนะคิดถึงฉัน ฟังแล้วกลัวชะมัดเลย…” ฉันหัวเราะและมองเขาอีกครั้ง
ผู้ชายตรงหน้า ฉันรู้จักเขาดีทีเดียวล่ะ… เพราะครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นลูกบุญธรรมที่บ้านของดอม แต่ไม่รู้ทำไม ไปๆ มาๆ ฉันกลับกลายเป็นลูกบุญธรรมบ้านของซิมมอนส์ซะอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าครอบครัวของดอมต้องกลับอเมริกาและมีปัญหาเรื่องสัญชาตินิดหน่อยล่ะมั้ง เท่าที่ฉันรู้มาน่ะนะ
ประมาณว่าพ่อของดอมเป็นคนอเมริกัน ส่วนแม่ของดอมเป็นคนไทยแต่ยังมีสัญชาติไทยอยู่อะไรทำนองนี้ พอย้ายไปอเมริกาเลยมีเรื่องวุ่นนิดหน่อย มันก็เลยจบลงอย่างนั้น แต่เท่าที่จำได้ครอบครัวของดอมน่ารักและดีกับฉันมากเลยล่ะ ฉันเคยแอบไปร้องไห้คนเดียวด้วย เพราะอยากอยู่กับเขา ไม่อยากอยู่กับซิมมอนส์ที่เอาแต่แกล้งฉันน่ะ
“ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วนะรู้รึเปล่า…”
“เพิ่งรู้นี่แหละ” ฉันหัวเราะ ดอมก็หัวเราะตามไปด้วย
“นั่นสินะ เราเพิ่งได้มาเจอกันนี่นา แต่ฉันน่ะจำเธอได้ทันทีเลยนะ”
“ขอบคุณ” ฉันบอกขอบคุณไปจากใจจริง
“เป็นไง สบายดีนะ ย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอ” ดอมถามแล้วก็ช่วยฉันเข็นรถเข็นไปด้วย เล่นเอาตกใจทำตัวแทบไม่ถูก เพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับฉันมาก่อนน่ะ
“อ๋อ อยู่กับเพื่อนน่ะ พอดีเพื่อนกลับบ้านที่แอลเอฉันเลยอยู่ที่นี่คนเดียว แต่เดี๋ยวเปิดเทอมเพื่อนก็กลับมาละ” ฉันบอก แล้วก็เลือกของใส่ในรถเข็นไปด้วย
“พ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยมั้ย ฉันก็อยากไปหาพวกท่านเหมือนกัน” ฉันชวนคุย น่าแปลกทั้งที่เราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่ความรู้สึกทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“อืม แต่ตอนนี้พวกท่านไปเที่ยวบาหลีกันน่ะ เดี๋ยวคงกลับ ขอเบอร์หน่อยได้มั้ย ไม่ได้ติดต่อกันตั้งนาน เมื่อก่อนฉันคงทำอะไรๆ ทุเรศไว้เยอะเลย” ดอมหัวเราะและทำให้ฉันหัวเราะตามไปด้วย
เรื่องที่เขาว่ามาน่ะมันก็มีบ้างแต่ฉันไม่ได้เก็บเอามาคิดเป็นอารมณ์ เพราะตอนนั้นยังเด็กกันมาก เราทุกคนเลยทำอะไรตามใจไม่ได้คิดถึงจิตใจของคนอื่นนัก
“ไม่หรอก…” ฉันหัวเราะ
“ว่าแต่ยังชื่อ ลูกหยี อยู่รึเปล่าเนี่ย…” ดอมเอียงคอถาม ยิ่งทำให้ฉันประหลาดใจเป็นเท่าตัว เพราะเขาจำรายละเอียดเกี่ยวกับฉันได้มากกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก
“เปล่า ไม่ได้ชื่อนั้นแล้ว แต่ก็คล้ายๆ กันแหละ ชื่อ ปันหยี” ฉันตอบไป และดอมก็ทำหน้าพิกลกลับมาทันที
“ปันหยี ฟังดูยู่ยี่พอๆ กับลูกหยีเลย จำได้ว่าตอนที่เธอไปอยู่กับฉัน แล้วเจ้าหน้าที่บ้านเมตตาอะไรนั่นขอให้แด๊ดกับมัมช่วยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ยาหยี แล้วนี่ เธอจะได้กลายเป็นที่รักไง” ดอมถาม แล้วก็จ้องมองฉันแน่วนิ่งจนรู้สึกไม่ถูกและไม่กล้าสบตามองด้วย ไม่ชอบความรู้สึกพวกนี้เลยจริงๆ
“ปันหยี? แปลว่าอะไร…”
“มันเป็นชื่อเกาะทางใต้ของเมืองไทยน่ะ พ่อแม่บุญธรรมครอบครัวใหม่ตั้งให้ตอนที่ฉันย้ายเข้าไปอยู่ด้วยตอนแรกๆ น่ะ” ฉันอธิบายเรื่องให้ดอมฟัง และไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักเพราะเรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ชีวิตฉันถึงจะยังทุลักทุเลอยู่ แต่ไม่นานมันคงดีกว่านี้
“พ่อแม่ครอบครัวใหม่บอกว่าถึงจะตั้งชื่อว่ายาหยีที่แปลว่า ‘ที่รัก’ แต่สุดท้ายฉันก็ถูกทิ้งเหมือนเดิม เลยขอตั้งชื่อใหม่ให้น่ะ เป็นเกาะเล็กๆ ที่สวยแล้วก็บริสุทธิ์มาก…”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเธอนะยาหยี” ดอมทำหน้าเศร้าจนฉันต้องรีบอธิบาย
“ฉันรู้ ฉันเข้าใจ อย่าคิดมากอย่างนี้สิ พวกท่านแค่สงสารฉันน่ะ ท่านเข้าใจว่าฉันเข้ากับครอบครัวเดิมไม่ได้ แต่ฉันเข้าใจนะว่าครอบครัวนายก็มีเรื่องวุ่นวายหลายอย่าง ฉันโชคดีมากที่เจอนาย แด๊ด แล้วก็มัม” ฉันบอกจากใจจริงแล้วก็ยื่นมือไปจับมือเขาไว้ ไม่อยากให้ดอมต้องเสียความรู้สึกอีก
“แต่ยังไงฉันก็จะเรียกเธอว่ายาหยีเหมือนเดิม…”
“อือ…” ฉันบอกแล้วก็ยังหยิบของใส่รถเข็นต่อไป
“แล้วเบอร์โทรล่ะ” ดอมทวง ฉันเลยนึกขึ้นมาได้
“อ้อ ลืมไปโทษทีนะ” ฉันหัวเราะก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็ส่งให้เขาไป
“กดเบอร์นายสิ ฉันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้โทษทีนะ”
ดอมเงยหน้ามองฉันแล้วก็หัวเราะ เขาโคลงศีรษะไปมาแล้วก็พึมพำบางอย่างที่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก
“เธอนี่เบ๊อะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“นิสัยอย่างนี้มันแก้ยาก…” ฉันตอบไปก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะขึ้นมาอีก
“แล้วครอบครัวใหม่เป็นไงบ้าง…” ดอมถามขึ้นมา แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้หัวใจฉันเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ฝืนยิ้มตอบเขาได้ตามปกติ
“ฉันย้ายออกมาอยู่กับเพื่อนน่ะ ฉันรู้สึกว่าเข้ากับลูกชายและลูกสาวบุญธรรมอีกบ้านหนึ่งไม่ได้ มีหลายเรื่องเกิดขึ้นน่ะเลยขอออกมาอยู่คนเดียว”
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันยังคาอยู่ในหัวใจของฉัน และยากที่จะสลัดมันออกด้วย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ฉันเสียใจที่ทำที่อยู่เธอหายและติดต่อไม่ได้ ฉันพยายามถามจากบ้านเมตตา แต่ทางนั้นก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน” สายตาของดอมเต็มไปด้วยความเสียใจ และมักจะเป็นแบบนี้เสมอจนฉันอุ่นใจเวลาอยู่ใกล้เขา
“ก็นะ… ฉันอาจจะเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้มากเท่าไหร่นัก นายก็รู้ ฉันขี้กลัว ขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม” ตอบจบฉันก็รับโทรศัพท์กลับมา ซึ่งดอมบันทึกเบอร์ของเขาไว้ในเครื่องของฉันเรียบร้อยแล้ว
-Dominic ♥-
“เดี๋ยวนะ หัวใจนี่มันอะไรกันน่ะ” ฉันถาม ดอมก็เอาแต่หัวเราะ
“ฉันต้องไปแล้ว… เพื่อนโทรมาตามตัวแล้ว ไว้เจอกันนะ”
“บาย…” ฉันโบกมือลงดอม หัวใจอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นเมื่อรู้ว่ายังมีใครอีกคนที่รักและเป็นห่วงฉันจากใจจริง
“แล้วเจอกันยาหยี…”
แล้วดอมก็ทำเรื่องที่ฉันตกใจนั่นคือจับหน้าฉันไว้ด้วยสองมือแล้วก็จูบหน้าผากหนักๆ เล่นเอาตกใจหมด
“ดอม!”
“เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะยาหยี บาย”
“นายนี่มัน…” ฉันพึมพำตามหลังไป และรู้ว่าทำอะไรเขาไม่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ จากนั้นเลยเลือกของต่อและกลับห้องพักเงียบๆ
ฉันกลับมาถึงห้องพัก จากนั้นเลยเก็บของที่ซื้อมาไว้ในตู้เย็นและห้องเก็บของอื่นๆ เมื่อหาของว่างใส่จานเรียบร้อยแล้วก็กลับมาที่ห้องโถง เปิดแม็คบุ๊คเพื่อรอคุยกับเจสซี่ผ่านทางไลน์เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือข้อความของคนที่เพิ่งทักเข้ามา ฉันแน่ใจว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นอีกแล้วนอกจากเจสซี่และเพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคน มันขึ้นเครื่องหมายว่ามีคนส่งข้อความมา
“หรือจะเป็นดอม…” ฉันพึมพำและเพิ่งแลกเบอร์กับเขาไป ดอมอาจจะเอาเบอร์โทรฉันค้นหา ID ไลน์และทักมาก็ได้ ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าตั้งค่าส่วนตัวในไลน์ไว้ยังไง เดี๋ยวค่อยซ่อน ID ไม่ให้คนค้นเจอดีกว่า
ฉันคิดไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายก็เม้มปากแน่น หน้าร้อนวาบและเย็นวูบขึ้นมาเฉยๆ เมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา
มันถูกส่งมาจากซิมมอนส์…
Simm S.
หยุดบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของฉัน
เพิ่มฉันเป็นเพื่อนเธอในโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกอย่าง
และโทรกลับมาเดี๋ยวนี้!!
ฉันกลืนน้ำลาย ใจหายพูดไม่ออก พยายามจะกำมือตัวเองแต่มันก็ชื้นไปด้วยเหงื่อไปหมด
แน่นอนว่าฉันจะไม่ทำอะไรอย่างที่เขาสั่งทั้งนั้น มันเรื่องอะไรล่ะ ที่ผ่านมาเขาทำร้ายฉันไว้ไม่พอหรือยังไง แค่คิดน้ำตาก็ไหล เขายังต้องการอะไรอีก
ใช่… สิ่งที่ฉันทำเป็นอย่างต่อมาคือการบล็อกไลน์ของเขาด้วย
“ถูกแล้วนี่… ยังต้องคุยอะไรกันอีก” ฉันบอก จากนั้นก็จัดการซ่อน ID ไลน์ของตัวเองไม่ให้ใครหาจากเบอร์โทรเจอ ส่วนเบอร์แปลกๆ ก็ไม่คิดจะรับสาย บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนเบอร์โทรเลยจะดีกว่า
ฉันเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับเจสซี่ แน่นอนว่าเพื่อนรักที่แสนดีและแอบร้ายในบางทีสนับสนุนเต็มที่ให้เปลี่ยนเบอร์ไปเลย แต่ฉันก็ยังกังวลเรื่องของพ่อแม่บุญธรรม พวกท่านอาจจะเป็นกังวลที่จู่ๆ ฉันก็หายไปแบบนี้ คุณแม่มาลีทนไม่ไหวโทรตรงมาจากแอลเอเพื่อเฉ่งฉันทันที
(ยัยโง่ เบอร์ใหม่น่ะเปลี่ยนๆ ไปซะ! แล้วค่อยกลับบ้านไปบอกพ่อแม่บุญธรรมเธอสิ!)
ใช่… ก็ฉันมันโง่นี่นา ไม่ได้ฉลาดเหมือนคนอื่นๆ
“แต่…”
(ระวังแล้วกันว่าไอ้หมาบ้าซิมม์มันจะตามหาเธอจากเบอร์โทรได้ แล้วไม่แน่ว่ามันอาจจะมาเคาะหน้าประตูห้องเลย!)
“เจส…” ฉันคราง
(เปลี่ยนเบอร์ซะยาหยี ไม่งั้นฉันจะกลับไปถลกหนังเธอ) เจสซี่ขู่มามตามสาย ฉันเลยรู้สึกผิดที่เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเธอ ฉันนี่มันโง่งี่เง่าได้ทุกเรื่องเลยสิน่า…
“เธอเรียกฉันเหมือนดอมเรียกเลยแฮะ…” ฉันเผลอหลุดปากพูดออกไปอย่างลืมตัว แน่นอนว่าเจสซี่ปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อชายอื่นจากปากของฉัน
(ดอม! ดอมมันเป็นใคร เล่ามาเดี๋ยวนี้ยาหยี ไม่งั้นฉันฆ่าเธอแน่!)
เสร็จกัน ฉันนี่มันที่สุดของความตัวซวยเลยจริงๆ
(เนื้อหอมมากไปแล้วนะยัยยาหยี ทั้งที่ฉันคุมเธอแจขนาดนี้ยังมีผู้ชายมาติดพันอีกเหรอ เดี๋ยวเถอะ!)
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะเจส… ดอมเป็นคนรู้จักฉันน่ะ เขาเป็นคนดีนะ…”
(เธอนี่โง่จริงๆ ไหนเคยบอกว่าไอ้ซิมม์เป็นคนดีไงล่ะ ไหนล่ะคนดี คนดี๊คนดี…)
“เจส…”
เพราะเจสซี่ไม่พอใจและตามเอาเรื่องตลอดเวลา ดังนั้นฉันเลยต้องโทรหาดอมบอกเขาว่ามีคนอยากคุยด้วย เพราะเจสซี่ไม่เชื่อว่าเขาเคยเป็นครอบครัวบุญธรรมให้ฉันก่อนที่จะได้มาอยู่ในครอบครัวของซิมมอนส์ ดังนั้นเลยต้องมาอธิบายกันใหญ่
ฉันวิดีโอคอลคุยกับเจสซี่ โดยมีดอมยิ้มหล่อๆ คุยด้วย อะไรจะทุลักทุเลกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
(งั้นฝากนายด้วยแล้วกัน ยาหยีมีปัญหาบกพร่องเรื่องสมองไม่ค่อยรับคำสั่ง บอกอะไรไม่เคยฟังหรอก พายัยนี่เปลี่ยนเบอร์โทรใหม่ด้วยนะ)
ฉันล่ะเจ็บแสบไปถึงทรวงในเมื่อได้ยินแบบนั้น นี่ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกันนะ ฉันจะคิดว่ามันเป็นคำด่าที่สะเทือนใจฉันมากๆ เลยล่ะ
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมจะช่วยดูแลยาหยีเอง…” ดอมยิ้มกว้าง ฉันเลยได้แต่เป็นส่วนเกิน
พวกเขาเข้ากันได้ดีขนาดนี้ทำไมไม่คบกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ ฉันคิดอย่างเคืองๆ แต่ไม่ได้พูดออกมา เพราะเปิดปากเมื่อไหร่ เชื่อเถอะ โดนถล่มเละแน่
(ฝากด้วยนะ ยัยนั่นสมองมีปัญหา กลัวจริงๆ ถูกใครจี้ใครฉุดอีก ฝากดูด้วย) เจสซี่ออกคำสั่งด้วยมาดของนางพญา ส่วนดอมไม่ได้มีปัญหาหรอก เขายิ้มหวานเอาใจเจสซี่สุดๆ ไม่รู้ว่าชอบเพื่อนคนนี้ของฉันเข้าหรือเปล่า เพราะเจสน่ะทั้งสวยเซ็กซี่มีคนชื่นชอบเธอเยอะ ดูๆ ไปแล้วก็เหมาะสมกันดี
“เพื่อนเธอจี้ดีนะ” ดอมว่า ฉันก็หัวเราะ เมื่อมีคนที่สนิทคุยกันได้ทุกเรื่องความเจ็บปวดทรมานก็ค่อยๆ จางหายไป
“ว่าแต่จะเปลี่ยนเบอร์เหรอ ทำไมล่ะ”
“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ฉันตอบดอม พยายามไม่คิดถึงผู้ชายคนนั้นคนที่ทำให้ฉันตกนรกทั้งเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า
สุดท้ายเรื่องทั้งหมดมันก็จะผ่านไปเอง ฉันให้กำลังใจตัวเอง แต่แล้ว… ร่างกายฉันก็หยุดเคลื่อนไหว หัวใจเต้นกระหน่ำจนเจ็บหน้าอก สมองตายดับไปซะเฉยๆ เมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา ใช่… เขาคือคนที่ฉันพยายามจะหนีห่างจากเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซิมมอนส์…
“เฮ้… ยาหยี เธอได้ยินฉันมั้ยเนี่ย”
ฉันแทบไม่ได้ยินเสียงของดอม สายตาจับจ้องไปยังร่างสูงของคนใจร้ายที่เดินเข้ามา สายตาของเขาเย็นชาว่างเปล่า
และในพริบตานั้น วงแขนแข็งแรงก็สอดเข้ามาที่เอวของฉันพลางกอดรัดฉันเอาไว้แน่น
ฉันลืมหายใจ ไม่รู้ว่าซิมมอนส์จะทำอะไร และวินาทีต่อมาเขาก็ขยี้ริมฝีปากจูบฉันอย่างรุนแรงหนักหน่วง ท่ามกลางสายตาของดอมและเพื่อนๆ ของเขา มันไม่ได้หวานซึ้งตรึงใจอะไรเลย แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและชาหนึบ ฉันสัมผัสได้ถึงคาวเลือดที่ปลายนิ้วก่อนที่เขาจะผละออกห่าง
ฉันเซถอยหลัง ดอมรับตัวฉันไว้ได้ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น ก่อนจะได้ยินเสียงเย้ยหยันที่ทำให้เจ็บปวดเหลือเกิน
“ผู้หญิงคนนี้ของนายเหรอ… แต่บอกอะไรไว้อย่างนะ ยัยนี่ ของเก่าฉันเอง…”
[1] เพลง สักครั้งก็ยังดี ศิลปิน แอมมารี่(Amary)
[2] มาเลฟิเซนต์ (Maleficent) เป็นตัวละครฝ่ายร้ายจากภาพยนตร์เรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) ของวอลต์ดิสนีย์เมื่อปี 1959 นางประกาศตนเป็น "ประมุขแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง" แต่ในภาพยนตร์เรื่อง มาเลฟิเซนต์ กำเนิดนางฟ้าปิศาจ ในปี 2014 เป็นตัวละครตัวเอกและเป็นนางฟ้าที่แสนใจดีเป็นแม่ทูนหัวของเจ้าหญิงนิทรา
Talk 3...
อีซิมม์ร้ายเหมือนเดิม แต่จะทวีความร้ายไปอีก
คงพอๆ กับคอลินกับโนอาห์ ไม่รู้พวกมันบ้าอะไรมาจากไหน
ทำไมไม่พูดดีๆ กับผู้หญิงบ้าง
แต่ปันหยีคงไม่อยากคุยด้วยหรอกเนอะ
ตอนหน้าแซบเวอร์ค่ะ รับประกันเลย ฮิๆ
Talk 2...
ดอมเป็นใครนะ มีความสำคัญอะไรรึเปล่า
แต่บอกใบ้ให้นิดหน่อยก็ได้ค่ะ
เป็นตัวละครที่มีความสำคัญระดับหนึ่งเลยค่ะ
ฮืออออ ใช้อิมเมจนี้แล้วคิดถึงอัลแลนเลย (Wolves Blood)
ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะเออ กอดจูบ
Talk 1...
Song :: สักครั้งก็ยังดี - แอมมารี่(Amary)
Down Load this song >>Click!!<<
มีใครทันเพลงนี้บ้างเนี่ย… ดักแก่มากค่ะ
ฟังเพลงนี้มาตั้งแต่ประถมแล้วมั้งคะ ถ้าจำไม่ผิดนะ
ตอนนี้ไม่ได้ฟังเพลงไทยแล้วค่ะ รู้จักแต่เพลงเก่า
ปล. ซิมม์จะรู้ไหมว่าตอนนี้หยีทำท่าจะแย่แล้วนะเออ
โอ๊ย! ผู้ชายคนนี้เลวจริงๆ สงสารหยี สู้คนบ้างเถอะ เธอไม่ไหวแล้วนะหยี
ตอนนี้ “สำนักพิมพ์ Jai Luck” เปิดพรีหนังสือเล่มแรกของเซต Angel Eyes แล้วค่ะ
เป็นเรื่อง Simmons’s Eyes ค่ะรายละเอียดคลิกที่รูปได้เลยนะคะ มู่ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
และอีกช่องทางการติดต่อที่ Line นี้เลยนะคะ
ความคิดเห็น