ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Café Mania (P.II) หนุ่มฮอตตัวร้ายป่วนหัวใจยัยจอมยุ่ง

    ลำดับตอนที่ #3 : Café Mania (P.II) ☕️ 02...50%

    • อัปเดตล่าสุด 27 มิ.ย. 65


    Lucas’s Girl

    ~02~

    (…50%)

     

     

                ฉันเปียกไปทั้งตัว

                แน่นอนว่าลุคก็เปียกด้วย

                ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังบ้าไปแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าเขินมากกว่าที่อยู่ในสภาพแบบนี้ เราสองคนจับมือกันเดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก

                ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันถึงรู้สึกว่าหัวใจเต้นแปลกไป ในที่สุดลุคก็จามออกมาเบา ๆ เมื่อเราเดินตากฝนกันอยู่นาน

                ฉันนี่เป็นตัวซวยที่ทำให้เขาพลอยลำบากไปด้วยสินะ แย่จัง รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ

                สายตาของฉันได้แต่มองแผ่นหลังกว้างตึงของคนตรงหน้า ลุคที่ตัวเปียกเพราะสายฝนทำให้เขาดูแปลกไปจากเดิม

                ไม่รู้สิ… เขาดูน่ามองมากขึ้น ไหล่กว้าง เสื้อเชิ้ตที่เปียกลู่ติดตัว เรียวแขนแข็งแรง มือใหญ่ที่กุมมือฉันอยู่

                ทุกอย่างที่เป็นเขา ช่างต่างกับผู้ชายคนอื่นที่ฉันเคยเจอมาอย่างน่ากลัว

                “แวะซื้อร่มสักคันแล้วกันนะ” แล้วจู่ ๆ ลุคก็หันมาบอกกับฉันกะทันหัน

                ฉันที่กำลังมองตามเขาเพลินก็ถึงกับสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะหันมา ดวงตาของเขาต่างไปจากเคย หัวใจของฉันก็ไม่เคยเต้นจังหวะมานี้มาก่อนเลย

                “เธอไม่เข้าใจภาษาไทยหรือไง ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ลุคยกมือขึ้นเสยผมเปิดหน้าผากขึ้น เพราะสายฝนทำให้ผมของเขาลู่ไม่เป็นทรง ยิ่งทำแบบนี้สาว ๆ ก็ยิ่งมองเขาใหญ่

                “อื้อ ได้สิ” ฉันบอกเป็นเสียงตะกุกตะกักแล้วก็แกล้งเบือนหน้าไปทางอื่น

                ทำยังไงดีล่ะทีนี้ หัวใจของฉันเต้นแปลกไปมากแล้ว มันแทบจะทะลุหน้าอกมายังไงยังงั้นแหละ แปลกจัง ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่เนี่ย

                “เธอนี่ท่าทางจะเพี้ยนใหญ่แล้ว ไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหรอเนี่ย” ลุคพูดพลางส่ายหน้าไปมา ก่อนที่เขาจะดึงมือของฉันให้เดินไปตามทางเรื่อย ๆ

                ฝนตกแบบนี้ทุกคนต่างหลบเข้าที่ร่มกันหมด ยกเว้นเราสองคนนี่แหละที่เดินตากฝนกันอยู่แบบนี้ บอกตามตรงนะ กระโปรงตัวที่ฉันใส่อยู่เนี่ย มันจะหลุดออกจากสะโพกฉันอยู่แล้ว ไหนจะเสื้อแจ็กเก็ตนี่อีก มันอุ้มน้ำเอาไว้จนทำให้หนาวสั่นไปทั้งตัว

                สาบานว่าฉันจะใส่ชุดบ้านี่เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจะสับมันออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนใส่ในถังขยะซะ

                ลุคเดินไปซื้อร่มจากแผงที่ตั้งขายตามทางเดินจากนั้นก็กาง โดยดึงฉันให้เข้าร่มด้วย เขาน่าจะซื้อมันมาสองคันนะ เบียดกันแบบนี้แล้วก็ไม่ต่างจากเดินตามฝนมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด

                ฉันเดินตัวสั่นไปกับเขาเรื่อย ๆ นึกว่าลุคจะพาไปที่ไหนสักที่ เพื่อให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นเฉอะแฉะนี่ออกจากตัวแล้วก็พาไปส่งที่สถานีขนส่งซะอีก

                แต่ก็นะ ลุคกลับพาฉันขึ้นไปในรถของเขาซะอย่างนั้น ฉันกำลังจะอ้าปากถาม เขาก็เอาเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนึ่งโยนมาให้หลังจากที่เปิดประตูเบาะหลังรถแล้ว ซึ่งข้างหลังดูเละเทะมาก ไม่สามารถนั่งได้เลยนอกจากเบาะหน้าเท่านั้น

                “อะไรเหรอ ให้มาทำไมน่ะ” ฉันถามอย่างสงสัย เพราะไม่ใช่ตัวที่เขาซื้อให้ในห้างน่ะ

                พอฉันถามไปแบบนี้ ลุคก็ชักสักหน้าใส่ทันที นี่ฉันพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ

                ฉันกะพริบตามองเขาปริบ ๆ ลุคก็ถอนหายใจเหมือนกำลังเหนื่อยแสนเหนื่อย

                “ถอดแจ็กเก็ตเชย ๆ ของเธอออกซะ แล้วสวมนี่เข้าไป หนาวแล้วใช่มั้ยล่ะมันชุ่มน้ำจนเปียกหมดแล้วนี่”

                ฉันเลยเกาหัวและหัวเราะแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนที่เขาจะเดินอ้อมไปยังที่นั่งคนขับ

                “อ้อ… ถอดเสื้อตัวในออกด้วยเลย เดี๋ยวเป็นไข้อีก”

                อึก… ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

                ฉันมองซ้ายมองขวาแล้วก็ถอดเสื้อออกจากตัว จากนั้นก็หยิบแจ็กเก็ตตัวใหญ่ของผู้ชายขึ้นมาสวมทับ แล้วก็เปิดประตูเบาะหน้าข้างคนขับอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

                “เราจะไปไหนกันเหรอ” ฉันถามเสียงพร่า ทั้งอายทั้งเกรงใจลุคที่ต้องคอยดูแลมาคลอด เพราะท่าทางเขาเหมือนไม่ได้พาฉันไปที่สถานีขนส่งเลย

                “ไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอ?”

                ฉันส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบให้เขาไป

                “กลับบ้านไง”

                รู้สึกว่าหน้าฉันร้อนวาบขึ้นมาทันทีเลย แถมยังรู้สึกเขินกับคำพูดของลุคมากด้วย

                นี่… แกอย่าเข้าใจผิดเลยนะมีมี่ ไม่งั้น จะได้เป็นฝ่ายเสียใจซะเองแน่…

     

     

                แล้วลุคพาฉันกลับมาที่คอนโดของเขาจริง ๆ แบบที่ฉันเองก็นึกไม่ถึง

                ถ้าฉันไม่ได้ตาฝาดไปแล้วละก็นะ เห็นลุคยิ้มที่มุมปากด้วย ไม่รู้ว่ากำลังถูกใจเรื่องอะไรอยู่ ฉันเดินตัวสั่นเพราะหนาวมาก น้ำฝนที่เย็นจัดทำให้หน้าซีดแล้วก็สั่นไปทั้งตัว

                ลุคเปิดห้องแล้วก็รอให้ฉันเข้าไปก่อน จากนั้นเขาถึงเดินตามหลังเข้ามา

                ฉันเป่าลมจากปากใส่มือตัวเองไม่หยุด หวังให้ไอร้อนในปากช่วยให้มืออุ่นขึ้นมาบ้าง มือมันแข็งจนเจ็บ จะเป็นไข้ไหมเนี่ย แถมอากาศที่นี่แตกต่างจากบ้านของฉันแบบสุดกู่เลยด้วย

                “ไปอาบน้ำก่อนไป เฮ้อ…” เขาถอนหายใจก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาให้ฉัน

                ฉันรับไว้แล้วก็มองไปรอบตัวไม่รู้ว่าจะใช้ห้องน้ำห้องไหนดี ในห้องนอนของลุคมีห้องน้ำในตัวด้วย แล้วก็ข้างนอกก็มีห้องน้ำอีกห้องหนึ่ง แต่ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะใช้ห้องไหนดี

                “เข้าไปในห้องฉันแล้วกัน ส่วนเสื้อผ้าก็รื้อ ๆ หาจากตู้เสื้อผ้าในห้องนั่นแหละ”

                เหมือนว่าลุครู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเลยพูดมาแบบนี้และดันหลังฉันให้เดินเข้าไปในห้องนอนของเขา

                ฉันรีบอาบน้ำทันทีเพราะรู้สึกแสบผิวบ้างแล้ว น้ำฝนที่นี่ดูไม่เป็นมิตรกับผิวยังไงก็ไม่รู้ มันแสบจัง

                จากนั้นฉันก็ไปรื้อเสื้อนอนกับกางเกงขาสั้นของลุคมาสวม และเพราะว่าตัวฉันยังสั่นอยู่ ก็เลยหยิบเขาเสื้อฮู้ดตัวใหญ่ของเขามาสวมอีกตัว

                หวังว่าลุคคงไม่โกรธหรอกนะ ก็เสื้อนอนเนื้อผ้ามันค่อนข้างบางมากนี่นา

                เฮ้อ… ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่กันแน่นะ

                และเมื่อเดินออกมาจากห้องนอนก็เห็นลุคอาบน้ำเสร็จแล้วเหมือนกัน เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรสักอย่างอยู่ในห้องครัว ฉันเดินไปหาเขาแล้วก็ต้องกระสับกระส่ายน้อย ๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรดี จนลุคหันมามองแล้วก็หลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าไปมา

                อะไรน่ะ ท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน

                “ให้ฉันช่วยนะ” ฉันบอกเขาแล้วก็ถลกแขนเสื้อฮู้ดให้ขึ้นสูงขึ้น ขืนไม่ทำอะไรสักอย่างได้ประหม่าตายแน่

                แต่เพราะว่าแขนฉันเล็กหรือไงไม่รู้ มันเลยเลื่อนลงไปที่ข้อมือตามเดิมจนได้ เอ๊ะ! เสื้อตัวนี้นี่มันยังไงกันเนี่ย

                “ทำเป็นจริงง่ะ” ลุคหันมามองเหมือนจะไม่เชื่อ แต่ฉันพยักหน้าทำสีหน้าจริงจัง

                “ฉันทำได้นะ ตอนเรียนอยู่ฉันก็ทำอาหารกินเองประจำ”

                …เมื่อไหร่กันล่ะ ฉันซื้อกินตลอดเลยละ

                ก็ท่าทางลุคดูเก่ง ทำอะไรเป็นไปหมดเลยนี่นา ไม่อยากถูกว่าที่ไม่ยอมหยิบจับช่วยอะไรเลย เห็นแบบนี้งานคหกรรมในครัวฉันก็ได้เกรดดีมาเหมือนกันนะตอนมอต้นน่ะ

                “งั้นหุงข้าว จัดการเลย” เขาพยักพเยิดหน้าไปทางขวามือของเคาน์เตอร์ทำกับข้าว

                “โอเค…” ฉันบอกแล้วยิ้มอย่างแข็งขัน

                ว่าแต่หุงข้าวเนี่ย… ต้องใส่น้ำประมาณไหนนะ?

                ฉันตักข้าวจากถังข้าวใต้เคาน์เตอร์ลงไปในหม้อครึ่งหม้อ น่าจะพอแล้วมั้ง…

                ก็ฉันไม่กล้าถามลุคอะ เอาไงเอากันวะ แค่หุงข้าวแค่นี้ไม่ยากเกินไปหรอก ว่าแล้วฉันก็เทน้ำลงในหม้อด้วย

                แล้วน้ำต้องใส่ประมาณไหนกันล่ะ พอหันไปมองลุคเขาก็กำลังทำซุปอยู่ ฉันเลยกะ ๆ เอา คงจะได้แล้วละ

                จากนั้นฉันก็เดินไปหาลุคพร้อมกับมองเขาไปด้วย เผื่อว่าจะมีอะไรให้ช่วย

     

     

                “ไหงทำหน้างั้นล่ะ” ลุคถามฉันพลางกลั้นหัวเราะไปด้วย

                อะไรน่ะ เขากำลังขำเรื่องอะไร ฉันยกมือเกาหัวอย่างสงสัยก็เห็นลุคมองฉันด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด

                อีกละ หัวใจของฉันมันแปลกไปอีกแล้ว อาการแบบนี้น่ะ ฉันคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนะ

                ใช่… ฉันมั่นใจว่านี่คือครั้งแรกที่มันเต้นแบบนี้

                “ให้ฉันทำอะไรต่อดี แล้วนั่นซุปเหรอ” ฉันถามไปเรื่องอื่นเพื่อให้ลุคเลิกมองมาด้วยสายตาแบบนั้นสักที

                มันเป็นสายตาที่ทำให้มือไม้อ่อนไปหมดเลย

                “อือ ซุปน่ะ ฉันรู้ว่าเธอหนาวมากเลยกะทำซุปอุ่น ๆ ให้ แล้วจะทำไข่เจียวให้ด้วย อืม แล้วก็อะไรอีกนะทำแฮมเบิร์กอีกอย่างแล้วกัน พอดีคุณรุอิ เชฟที่ร้านทำงานพิเศษฉันสอนมาน่ะ อยากจะลองทำอยู่เหมือนกัน”

                ผู้ชายคนนี้เก่งจัง จะหยิบจะจับอะไรก็ดูคล่องแคล่วไปหมดเลย

                “ยังไงก็ช่วยหั่นหัวหอมให้ทีนะ มะเขือเทศ ผักชีด้วย ในตู้เย็นน่ะ อ้อ หยิบเนื้อในช่องฟรีซมาด้วยค่ะ”

                “ค่า…” ฉันรีบคำอย่างมึน ๆ เขาสั่งเหมือนฉันทำอาหารเป็นเลยเนอะ

                ฉันหยิบเนื้อมาให้ลุค และตัวเองก็จัดการกับผักที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ถ้าบอกว่าฉันไม่ชอบมะเขือเทศเขาจะโมโหหรือเปล่านะ

                พอเริ่มหั่นหัวหอมมันก็เกิดอาการขึ้นอีกแล้ว ใครที่ทำอาหารเป็นน่าจะรู้นะว่ามันทำให้เราร้องไห้ได้ ฮึก น้ำตาฉันไหลแล้ว แสบตาจัง

                ลุคหันมามองฉันเป็นระยะ แล้วก็หัวเราะออกมาในบางครั้งด้วย เออสิ ท่าทางฉันงุ่มง่ามเงอะงะใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องบอก ฉันรู้ดี

                “ทำไมเธอหั่นใหญ่แบบนี้ล่ะ ฉันบอกหั่นเป็นทรงลูกเต๋าก็จริง แต่นี่มันขนาดลูกเต๋าที่เอาไว้เล่นไฮโลเลยนะ”

                เขารู้จักไฮโลด้วยล่ะ ท่าทางจะเล่นเก่งไม่น้อยเลยนะคะ

                “แล้วอะไรน่ะ ทำไมหัวหอมมันหนาแบบนี้ล่ะ เธอจะเคี้ยวได้มั้ย ถ้าจะหั่นแบบนี้ผ่าครึ่งก็พอดีกว่า”

                ก็บอกแล้วว่า… ฉันทำอาการเก่ง

                “มะเขือเทศเละแล้ว เวลาหั่นให้ดันลงไปเบา ๆ อย่ากดแรงสิ มะเขือเทศก็บี้หมดน่ะสิ”

                อืม… ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงานในครัวจริง ๆ แล้วละ

                และในที่สุดฉันก็ต้องมานั่งกอดเข่าบนโซฟาดูรายการทีวีอย่างเลื่อนลอย ภาพที่เห็นในจอไม่ได้ผ่านเข้ามาในสายตาเลยแม้แต่น้อย

                ฉันนี่มันตัวเกะกะเป็นภาระอย่างเดียวเลยไม่ใช่เหรอเนี่ย…

                “มีมี่!”

                แล้วฉันก็ต้องหันขวับไปมองลุคทันทีเมื่อเขาเรียก

                “มีอะไรให้ช่วยเหรอ?” ฉันถามเสียงสูงสดใสกลับไป ไม่อยากให้รู้ว่าเมื่อกี้ทำหน้าเหมือนหมาหงอยอยู่

                ลุคยกหลังมือปิดปากแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ

                แย่ละ… หัวใจของฉันเต้นแรงเกินไปแล้ว แค่เห็นผู้ชายหัวเราะแบบนี้แล้วหัวใจเต้นแรง ฉันต้องป่วยอะไรสักอย่างแน่

                “มาช่วยตีไข่หน่อยสิ นั่งหงอยอยู่ได้”

                “ก็นายไล่ฉันไม่ใช่รึไง” ฉันบ่นพึมพำ แต่ก็เดินตรงไปยังห้องครัวอีกครั้ง

                “เธอนี่ขี้งอนจริงนะ”

                ฉันไม่ได้สนใจคำพูดของลุคเท่าไหร่นัก หยิบส้อมมาตีไข่ทันที เพราะเขาใส่ไข่ปรุงรสและผักลงไว้ให้แล้ว

                ส่วนเขาก็กำลังนวดเนื้อบดอยู่อย่างตั้งใจ ท่าทางเหมือนพ่อครัวมากฝีมือ ไม่เหมือนฉันที่แค่ตีไข่ก็ยังทำมันหกเลอะเทอะจนได้

                ในที่สุดอาหารก็สำเร็จเรียบร้อย ไม่อยากจะบอกเลยว่าสุดท้ายแล้วฉันก็แต่ตีไข่เท่านั้น เพราะบรรดาผักทั้งหลายนั้นลุคหั่นใหม่หมด แถมแฮมเบิร์กที่ออกมาก็หอมน่ากินมากด้วย ผู้ชายคนนี้ชักจะเวอร์ไปแล้ว

                ทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาจริง ๆ น่ะเหรอ ไม่ใช่แล้วมั้ง

                เห็นเขาแบบนี้แล้วรู้สึกสังเวชใจตัวเองขึ้นมาเลย

                “ไปตักข้าวมาสิ” เขาบอกฉันตอนที่เขายกหม้อต้มซุป แล้วก็แฮมเบิร์กไปวางที่โต๊ะหน้าทีวี

                “ได้!” ฉันรับคำอย่างแข็งขันแล้วก็เปิดหม้อหุงข้าว มันน่าจะสุกนานแล้วละ

                แต่ทว่า…

                “อ๊า! อะไรเนี่ย”

     

     

                ข้าวไหม้…

                ดังนั้นเราสองคนเลยนั่งดูรายการทีเพื่อรอให้ข้าวสุกอีกครั้ง ลุคเหมือนจะโมโหนิด ๆ ที่ฉันทำหม้อหุงข้าวเละไปด้วย เขาเลยไปหยิบหม้อหุงข้าวใบใหม่มาใช้ และไม่ยอมให้ฉันได้แตะต้องอะไรอีกเลย

                “ฉันขอโทษ” ฉันบอกเสียงอ่อยอย่างนี้ไม่รู้กี่คำแล้ว แต่ลุคก็แกล้งเบือนหน้าไปทางอื่นแทน

                “เอ่อ… ฉันไม่รู้ เอ่อ กะไม่ถูก ว่ามันต้องใส่น้ำแค่ไหนน่ะ”

                ยิ้มให้ฉันหน่อยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด

                “เหรอ เธอใส่ข้าวลงไปในหม้อเยอะมาก รู้ตัวมั้ยที่เธอหุงไปนั่นมันกินได้แปดคนเลย”

                “ฉันขอโทษ ลุค คือ…” ฉันร้องครวญครางในขณะที่ลุคไม่สนใจฉันเลย

                “ไม่ ฉันจะไม่ให้เธอแตะอะไรในครัวอีกแล้ว ไม่ ๆ ๆ!”

                “โธ่… นายก็สอนฉันสิ นะ อย่าโกรธสิ เดี๋ยวฉันเก็บตังค์มาใช้นายคืนก็ได้” ฉันพูดเหมือนจะอ้อนขอโทษ หวังให้เขายิ้มให้สักนิด

                แต่ลุคก็ยังทำหน้าบึ้งอยู่ดีนั่นแหละ ฉันก็ไม่ตั้งใจเลยนะ

                ฉันเอาแต่ขอโทษเขาอยู่นานสองนาน ส่วนลุคก็แค่ส่ายหน้าไปมาดึงดันไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น ขอโทษจนกระทั่งข้าวหุงสุก ไม่นานเขาก็ยกโถที่ตักข้าวมาที่ห้องรับแขก คือ ขนาดข้าวที่เขาหุงยังสวยเลย…

                ฉันแพ้ผู้ชายคนนี้อย่างราบคาบโงหัวไม่ขึ้นเลย…

                และเมื่อได้ทานอาหารที่ลุคทำฉันก็แทบหลั่งน้ำตาออกมา อร่อยแบบบรรยายไม่ได้เลย!

                ซุปที่กลืนเข้าไปทำให้ฉันรู้สึกอุ่นจากด้านในอย่างไรอย่างนั้น ทั้งอร่อยทั้งอบอุ่น ฉันนั่งทานแล้วก็มองลุคไปด้วย ผู้ชายคนนี้นี่เก่งไปซะทุกอย่างเลยนะ แถมยังหน้าตาดีมากซะด้วยสิ แบบนี้มีแฟนแล้วแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัยเลย

                ว่าแต่ฉันมาพักอยู่กับเขาแบบนี้ แฟนเขารู้เข้าจะไม่แย่เหรอเนี่ย

                “ลุค…” ฉันลองเรียกอย่างระมัดระวัง ก็เห็นลุคเลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนจะถามกลับ

                “อะไร” เสียงเขายังห้วนอยู่ ยังโมโหอยู่อีกเหรอ

                “แฟนนายน่ะ เอ่อ เธอจะไม่ว่าอะไรเหรอ… ที่ฉันมาพักกับนายแบบนี้”

                ฉันพูดเสียงเบาแล้วก็มองดูปฏิกิริยาของลุคไปด้วย เขาเงยหน้าขึ้นมาชักสีหน้าใส่ฉันอีกหน

                “ฉันยังไม่มีแฟน”

                ฉันตักซุปเข้าปากแล้วกัดช้อนไว้อย่างนั้น เพราะเหมือนมุมปากมันคอยแต่จะยกขึ้นให้ได้

                ไม่เอาไม่ดี ห้ามยิ้มเด็ดขาดเลยนะ มีมี่…

                “ไม่ต้องมายิ้ม น่าเบื่อจริง กิน ๆ เข้าไป” เขาเลื่อนจานแฮมเบิร์กมาตรงหน้าฉันแล้วก็คะยั้นคะยอให้ทานเข้าไป

                บ้าจัง… เขารู้ด้วยว่าฉันยิ้มอยู่

                แต่ฉันก็อารมณ์ดีมาก มีอาหารวางให้บนจานก็กินไม่หยุด ดูไปดูมาลุคก็น่ารักเหมือนกัน ถ้าเขาขยันยิ้มสักหน่อยแล้วละก็ แฟนคลับเขาต้องเยอะแน่ เพราะขนาดฉันยังหวั่นไหวเป็นครั้งคราว

                ไม่สิ ฉันหวั่นไหวแทบไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วต่างหาก

                ว่าแต่… อีกไม่นานฉันก็ต้องกลับบ้านแล้วสิ

                ถึงจะเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่ต้องมารู้ว่าแฟนที่คบกันมานานไม่ซื่อสัตย์แต่แรก แต่นอกจากนั้นแล้ว ก็ถือเป็นความทรงจำที่ดีไม่น้อยเลย

                เอ่อ คือ ไม่ใช่แค่เรื่องของลุคนะ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องน่ะ เอ่อ ยังไงก็ช่างมันแล้วกัน…

                “โทรไปหาที่บ้านยัง เค้าติดต่อไม่ได้แบบนี้ต้องเป็นห่วงแย่แล้ว”

                ฉันสะดุดกึกเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากลุค ฉันยิ้มออกมาบาง ๆ แล้วโคลงศีรษะไปมา ยังไงดีนะ พูดถึงเรื่องนี้ก็ยังเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ น่ะ

                “ฉันอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ปีสองแล้วละ อยู่คนเดียวน่ะ ตัวคนเดียว” ฉันบอกแล้วยิ้มให้ลุค

                สีหน้าของเขาดูตกใจมาก แล้วก็เหมือว่าจะทำอะไรไม่ถูกตามไปด้วย

                “ไม่ต้องตกใจหรอก ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ” ฉันบอกแล้วยิ้มให้เขาไปด้วย

                ฉันชินแล้ว… จริง ๆ นะ

                “ขอโทษ ฉันไม่รู้…”

                “ไม่เป็นไรหรอก ก็นายไม่รู้นี่นา” ฉันบอกกับลุค ซึ่งไม่ได้คิดโกรธเขาเลยสักนิด

                “ขอโทษนะ…”

                “แค่ยิ้มให้ฉันก็พอ แล้วก็ยกโทษเรื่องหม้อหุงข้าวที่ฉันทำไหม้ด้วยน้า…”

                “ไม่มีทาง!”

                ทำไมใจดำขนาดนี้เนี่ย ออกจะหล่อแท้ ๆ…

     

     

                ตอนบ่ายของวันต่อมา ลุคแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก เขาบอกว่ามีเรียนตอนบ่ายสองแล้วก็คงจะเข้าทำงานที่ร้านเลย ให้ฉันหาอะไรกินเองตามสบาย

                แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากไข่ดาวไหม้ ๆ น่ะ ซึ่งตอนนี้ฉันก็กำลังขัดหม้อหุงข้าวที่ไหม้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่น่ะ

                เมื่อคืนหลังจากที่ทานข้าวด้วยกันแล้ว ลุคบอกว่าเดี๋ยวจะลองคิดเรื่องให้ฉันกลับบ้านดูอีกที เขาบอกว่าเดินทางกลับด้วยรถทัวร์มันอันตรายเกินไป ฉันเองก็เข้าใจนะ

                แล้วลุคยังบอกอีกว่าจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้ ขอดูสายการบินกับราคาก่อนอะไรทำนองนั้น

                ช่วงนี้ลุคไม่มีเงินมั้ง แถมเมื่อวานเขายังซื้อเสื้อผ้าของใช้ให้ฉันอีกตั้งหลายอย่าง ฉันเลยไม่กล้าถามเซ้าซี้น่ะ เพราะตัวเองก็รบกวนเขาอยู่ทุกเรื่องเลยไม่กล้าถาม

                ฉันทำกระเป๋าหาย บัตรเอทีเอ็มเลยหายไปด้วย ซึ่งฉันไม่ได้ทำธุรกรรมออนไลน์เอาไว้เพื่อความสบายใจของตัวเอง เพราะงั้นเลยกดเงินผ่านมือถือที่ตู้เอทีเอ็มไม่ได้ เวรกรรมอย่างแท้จริง…

                เมื่อคืนก่อนจะเข้านอน เราดันดูหนังผีด้วยกันอีก ลุคเอาแต่หัวเราะในคอเหมือนโรคจิตตอนที่ผีโผล่ออกมา ลุคน่ากลัวกว่าผีอีก เอ่อ… แต่จะบอกเรื่องนี้ให้เขาไม่รู้ไม่ได้เด็ดขาดเลย

                ฉันนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงของลุคหลายตลบ ส่วนเจ้าของเตียงก็นอนที่โซฟาด้านนอก

                โอเค… ที่นอนไม่หลับไม่ใช่เพราะหนังผี แต่เป็นเพราะรู้สึกผิดที่ต้องมารบกวนกับลุค ซึ่งเราต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอย่างสิ้นเชิง

                แล้วใครบ้างจะไม่รู้สึกผิดน่ะ

                ฉันรู้สึกตัวเองน่ารังเกียจยังไงไม่รู้แฮะ หลังจากที่ขัดหม้อหุงข้าวจนมันเอี่ยมอ่องตามเดิมแล้ว ฉันก็เดินสำรวจภายในห้องชุดชุดหรูแห่งนี้ไปด้วย ห้องเขาก็รกอยู่นะ มีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักเพียบเลย ฉันเลยจัดการทำความสะอาดห้องไปด้วยเพื่อตอบแทนน้ำใจของลุค

                ความจริงก็คือฉันรู้สึกผิดน่ะ เลยอยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับลุคสักหน่อย ตอนที่กำลังจัดข้าวของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นมา ฉันมองอย่างไม่สบายใจพลางเม้มปากแน่น เพราะไม่กล้ารับสาย เผื่อพ่อแม่เขาโทรเข้ามาแล้วฉันรับสาย แย่กันพอดี…

                แต่เมื่อสัญญาณมันตัดไปเสียงของลุคก็ดังขึ้นในระบบตอบรับอัตโนมัติ

                (มีมี่นี่ลุคนะ หลับอยู่เหรอ ถ้าได้ยินรับสายด้วย)

                โอ๊ะโอ… ลุคเองหรอกเหรอ ฉันวางของในมือลงแล้วเดินตรงไปที่โทรศัพท์ทันที ไม่นานเขาก็โทรกลับเข้ามาอีกครั้ง

                “ลุคเหรอ” ฉันกรอกเสียงลงไปทันที

                (อื้อ มีมี่ เฮ้อ~ ให้ตายสิ)

                ฉันเริ่มงงเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาเป็นอะไร

                “มีอะไรรึเปล่า”

                (นั่งแท็กซี่มาที่ร้านหน่อยสิ ร้านที่เธอมาเมาที่นี่น่ะจำได้มั้ย?)

                “จำได้แต่ไปไม่ถูก…” ฉันบอกเขาอย่างเสียใจ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่านะ

                (เออ… งั้นเดี๋ยวฉันให้เพื่อนไปรับนะ ถ้าเห็นรถเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงมาจอด แล้วมันบอกว่าชื่อคาเมลก็มากับมันก็แล้วกัน)

                รถเฟอร์รารี่สีแดงเพลิง… อืม เหมือนอยู่คนละโลกกับฉันคนนี้เลย

                “ไปไหนเหรอ” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง

                (มาที่ร้านน่ะ เอาเสื้อของฉันมาใส่ก่อนแล้วกัน อย่าใส่กระโปรงนั่นล่ะ รีบลงมาเดี๋ยวฉันจะโทรไปหาเพื่อนให้ไปรับเธอก่อนนะ) แล้วลุคก็ตัดสายทิ้งไป ฉันเกาหัวก่อนจะเดินไปหาเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวสุดหรูอย่างทำตัวไม่ค่อยถูกนัก

                พอเห็นแบบนี้ก็ยิ่งแน่ใจเลยว่าโลกของลุคกับโลกของฉันมันแตกต่างกันมากแค่ไหน อย่างฉันคงไม่มีทางได้อยู่ห้องหรู ๆ แบบนี้หรอกมั้ง

                แล้วกัน คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วสิ เลือกเสื้อผ้าดีกว่า

                มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลยแฮะ ฉันเลือกตัวที่เล็กที่สุดแต่มันก็ยังหลวมโพรกพรากอยู่ดี แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วฉันก็เดินลงมาข้างล่างทันที

                ว่าแต่ลุคจะหลอกพาฉันไปขายที่ไหนหรือเปล่านะ ฉันเลยสะบัดศีรษะไล่ความคิดบ้า ๆ พวกนั้นออกจากหัวไป แล้วก็รีบเดินลงไปทันที

                แล้วก็เห็นรถสปอร์ตสีแดงแสบตาคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว เจ้าของจะดูดีเหมือนรถไหมนะ ฉันได้แต่คิดในใจแล้วก็เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเห็นผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งกำลังยืนพิงประตูและสูบบุหรี่อยู่

                เขาคนนั้นมีใบหน้าที่ดูดีที่สามารถเรียกว่าสวยเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้ดูบอบบางเพราะร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง แถมการแต่งตัวก็ดูดีจนคนที่ผ่านไปมามองเขากันทุกคน เขาจะใช่คาเมลที่ลุคบอกมาหรือเปล่า

                แล้วนี่ทำไมเขามาเร็วจัง แล้วฉันควรทำไงดีนะ

     

     

                “มีมี่เหรอ?”

                แล้วฉันก็เป็นฝ่ายสะดุ้งซะเอง เมื่อได้ยินผู้ชายหน้าสวยคนนี้ถามมา

                “ลุคบอกแล้วน่ะ ว่าเธอตัวเล็ก ๆ หน้าตื่น ๆ เหมือนแมว ขึ้นมาสิ” เขาบอกแล้วก็เปิดประตูให้ฉันด้วย

                สาว ๆ แถวนี้มองเขาเป็นตาเดียว แม้แต่ฉันเองก็เผลอจ้องอย่างเสียมารยาท เพื่อนของลุคนี่ดูดีทุกคนเลยหรือเปล่าหนอ

                “ไม่เชื่อเหรอ แป๊บ!” เขาบอกแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรสองสามที ก่อนจะยื่นมาให้ฉัน

                ฉันรับมาอย่างระมัดระวังแล้วก็ยกขึ้นแนบหูตัวเอง

                (มีมี่ นี่ลุคนะ นั่นน่ะคาเมลเพื่อนฉันเอง มาหาฉันที)

                หัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินลุคพูดคำว่า ‘มาหาฉันที’

                บ้าจริงมีมี่… ตั้งสติหน่อยได้ไหมเนี่ย

                แค่คำพูดไม่กี่คำของลุคกลับทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ สติกระเจิดกระเจิงไปหมดเลยเหรอ ไม่เข้าใจตัวเองเลย

                “อืม แล้วเจอกันนะ” ฉันบอกก่อนจะตัดสายแล้วก็ส่งมือถือคืนกับเจ้าของไป

                “ขึ้นรถสิ ไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้ลุคมีผู้หญิงของตัวเองแล้ว”

                “ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับลุคนะ” ฉันรีบเถียงหน้าตาร้อนผ่าว เพราะไม่ได้เป็นอะไรกับลุคจริง ๆ น่ะสิ

                ถ้าลุคมาได้ยินเข้าแล้วปฏิเสธเสียงแข็ง ฉันเองก็ต้องเป็นฝ่ายเสียใจแน่ ยังไงก็ขอเป็นคนพูดด้วยตัวเองเถอะ ไม่อยากได้ยินจากปากลุคนี่นา

                “อ่า ๆ ไม่เป็นก็ไม่เป็น ขึ้นรถเร็วเดี๋ยวจะถึงเวลาทำงานแล้ว”

                “ทำงาน?” ฉันทวนคำอย่างงุนงง

                “ใช่! ทำงาน”

                ตลอดทางที่เรานั่งรถมาด้วยกัน ทำให้รู้ว่าคาเมลเป็นคนอัธยาศัยดีร่าเริง เขาชวนคุยโดยไม่ให้ฉันเกร็งมากเกินไป ในที่สุดฉันก็เริ่มจะผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว

                คาเมลบอกว่าวันนี้ที่ร้านไม่มีคนมาช่วยเลย ลุคเลยให้เขาที่กำลังออกมาจากบ้านพอดีมารับฉันไปที่ร้านด้วยกัน

                แล้วลุคก็อยากให้ฉันไปช่วยงานด้วย ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปช่วยหรือป่วนกันแน่

                และเมื่อมาถึงร้านฉันก็ยังคุยกับคาเมลต่อไม่หยุด เขามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับฉัน จนเราสนิทกันในเวลาสั้น ๆ แล้วไม่ทันไรก็เห็นลุคที่ใส่ชุดเชฟกำลังกอดอกทำหน้าบึ้งอยู่ซะแล้ว

                คาเมลหยุดพูดกะทันหันก่อนจะเอามือมาปิดปากไว้เหมือนกลั้นหัวเราะ จากนั้นเขาก็เดินเลี่ยงไปอีกทางทันที

                เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้นกับคาเมลกันนะ ฉันมองตามเขาอย่างงุนงง ก่อนจะเดินไปหาลุคที่อยู่ในชุดเชฟสีขาวที่ดูแปลกตา แล้วก็ดูดีมากด้วย

                “ลุค…” ฉันทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่ลุคกลับทำหน้าบึ้งซะอย่างนั้น

                มีอะไรอย่างนั้นเหรอ ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าน่ะ

                “เป็นอะไรไปเหรอ?” ฉันถามแล้วก็เอียงคอไปมาด้วย

                “ห้ามยิ้มให้ผู้ชายอื่น!”

     

    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว

    มู่เลยนำมาทำ E-Book เอง

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb

    กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลย

    ขอบคุณจากใจค่ะ


     

    หรือ >>Click!!<<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×