คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : HUNTER [X] LUPINE ✖ 01 The Horizon is Drifting Away...50%
1
The Horizon is Drifting Away
(...50%)
“รู้รึเปล่าว่านายไม่ใช่คนแรกที่แตะตัวฉันได้…” ฉันเบ้ปากใส่คนตัวสูงตรงหน้า ตอนที่เราเดินออกมาจากตัวหอคอยได้แล้ว
และขอโทษที หมอนี่ไม่ได้ฟังฉันเลยสักคำ
แต่ก็ยังออกนอกทะเลสาบไม่ไหวหรอกนะ มันยังเร็วไปที่จะมั่นใจว่าทำงานสำเร็จแล้ว
ความจริงฉันก็ตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ เขาเข้ามาประชิดตัวได้แบบนั้น แถมฉันยังไม่รู้ตัวเลยด้วย ทักษะการโจมตีและความว่องไวของหมอนี่ไม่ธรรมดาเลยละ พริบตาเดียวฉันก็ลงมาเดินบนหญ้าที่พื้นดินได้แล้ว ไม่รู้ว่าเขามาได้ยังไงแต่ก็ไม่เลวเลย
ขณะที่ฉันมึนหัวไปหมด เพราะถูกแบกใส่บ่าทำเหมือนเป็นกระสอบอะไรสักอย่างที่ไม่น่าพิสมัยเลย
เขาไม่ยอมพูดจาอะไรสักคำตอนที่เราลงมาถึงที่นี่แล้ว หน้าตาของเขาก็มองไม่เห็นชัดเพราะความมืดที่ปกคลุม แต่เชื่อสิว่าเขาน่ะหน้าต้องโหดเหมือนมหาโจรแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ลากคอฉันออกมาจากคอหอยที่สูงลิบนี่ได้หรอก
“เธอก็แปลกนะ ไม่โวยวายสักคำ” เขาว่ามาหลังจากที่เงียบไปนาน
ฟังจากน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของเขาในความมืดแล้ว น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน แต่เก่งเหลือเชื่อเลยแฮะ
“ฉันอยากจะไปจากที่นี่ยังไงล่ะ” ฉันยกมือขึ้นป้องเหนือคิ้วตัวเองเพราะฝนเริ่มลงเม็ดมาแล้ว
อย่างนี้ท่าทางการหลบหนีครั้งนี้คงจะไปได้สวย เพราะฝนจะช่วยชะล้างกลิ่นและรอยเท้าของเราให้จางหายไปยังไงล่ะ
“แต่ฉันไม่คิดงั้น” เขาพูดก่อนจะตวัดอะไรบางอย่างปิดปากฉันไว้ และตามด้วยข้อมือสองข้างประกบติดกันแน่นด้วยความว่องไวไร้สุ้มเสียง เร็วสุด ๆ จนฉันยังไม่ทันได้หายใจเข้าปอดด้วยซ้ำ
ให้ตาย! ฉันรู้กลไกที่จะออกไปจากที่นี่ได้โดยปลอดภัยนะ ทำแบบนี้เขาจะผ่านไอ้ทะเลสาบที่เต็มไปด้วยจระเข้นั่นได้ยังไง ขืนไปกับหมอนี่ฉันได้ถูกจระเข้ลากไปวังบาดาลใต้น้ำแน่
เขามองไม่ออกเหรอว่าฉันอยากจะไปจากที่นี่ แต่ไม่ได้อยากตายตรงนี้น่ะ
แล้วฉันก็ต้องตาถลนเมื่อเขาแบกร่างของฉันพาดไหล่พาเดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังทะเลสาบที่กว้างหลายกิโลเมตร ตายแน่ฉัน คำทำนายนั่นอะไรจะมาเร็วขนาดนี้
ดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ไม่นานจะร่วงโรยลงผิวน้ำ และดับสิ้นไปกัลปวสาน
ดวงอาทิตย์… หมายถึงชีวิตยังไงล่ะ
แต่จะว่าไปผู้ชายก็ฉลาดเหมือนกันนะ เพราะรอบนอกสนามหญ้าที่เป็นลานกว้างมองเห็นรอบทิศทางสามร้อยหกสิบองศาน่ะ จะล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบ ปกติจะมีเรือของพวกพ่อบ้านเข้ามาทำความสะอาดและเก็บซากของพวกผู้บุกรุก ที่เรือจะแขวนกระดิ่งเอาไว้เป็นสัญญาณบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่แน่เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่นั่นจะทำให้จระเข้ไม่เข้ามาโจมตีเรือ
ส่วนเรื่องอาหารจะมีเครื่องบินขนาดเล็กมาส่งอาหารสดกักตุนไว้ให้ จะมีพ่อครัวคอยช่วยดูแล ส่วนการออกนอกหอคอยแต่ละครั้งก็ทำได้เพียงแค่ออกไปดูดวง หรือไม่ก็ตอนที่ต้องออกไปไหนมาไหนพร้อมกับพ่อบ้าน และเป็นทางเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์อย่างเดียวเท่านั้น
แล้วหมอนี่นี่มันยังไง
นักล่าค่าหัวที่เก่งพอสมควรต้องมาตายตรงนี้น่ะเหรอ ทั้งที่อุตส่าห์บุกชิงตัวฉันออกมาจากหอคอยได้แล้วน่ะนะ
อีกทั้งฉันต้องตายด้วย ไม่เอาด้วยหรอกนะ!
แต่มันกลับไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ผู้ชายคนนี้เดินวนรอบทะเลสาบอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะเดินลุยลงไป และน่าตกใจที่เขารู้ว่าตรงนี้มีทางต่างระดับที่เป็นเหมือนเขื่อนกั้นน้ำที่กว้างราว ๆ แค่ฝ่ามือหนึ่งยาวจรดไปถึงขอบอีกฝั่ง
ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ มันมีไว้เพื่อปล่อยน้ำออก
ความจริงทะเลสาบนี่ไม่ใช่ทะเลสาบจริง ๆ หรอก มันเป็นเหมือนบึงหรือเรียกง่าย ๆ ว่าบ่อเลี้ยงจระเข้มากกว่า ขุดเป็นบ่อลึกลงไปมีขอบกั้นไว้กักเก็บน้ำและปล่อยน้ำเป็นบางเวลา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อันตรายมากที่จะผ่านตรงนี้ไปได้
ฉันเอี้ยวตัวมองคนที่แบกอยู่ด้วยความแปลกใจ เขารู้ความลับนี้ได้ยังไงกันน่ะ
เมื่อพ้นจากทะเลสาบแล้วฉันก็ใจหายอีกครั้ง เมื่อเขาเหวี่ยงฉันให้ตกลงมา ดีว่าเขาช้อนตัวของฉันไว้ในอ้อมแขนทัน ไม่อย่างนั้นหัวได้ฟาดพื้นสลบเหมือดแถวนี้แน่ ๆ เขาผิวปากแผ่วเบาและกวาดสายตามองไปรอบตัว
ไม่มีใครระแคะระคายว่าตอนนี้ฉันถูกจับออกมาแล้วเลย ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่ไม่มีใครเห็นผู้บุกรุกคนนี้
มันก็สนุกดีหรอกนะที่ได้ออกจากหอคอย แต่มันมีความเสี่ยงอยู่สองอย่าง
หนึ่ง ถ้าคุณอีธานรู้ว่าฉันถูกจับตัวมาและระดมคนให้ตามหาฉัน คนที่กำลังอุ้มฉันอยู่ต้องตายแน่ ๆ
หรือสอง หมอนี่พาฉันหนีไปได้ไกลสุดขอบฟ้า แต่ไม่นานฉันจะเป็นฝ่ายตายซะเอง
ฉันหลับตาลงเมื่อฝนเม็ดใหญ่ร่วงกระทบใบหน้า ปากยังถูกปิดไว้แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก คนที่อุ้มอยู่นี่ก็ไม่ได้ถนอมฉันเลยสักนิด ระบมไปหมดแล้วเนี่ย
แล้วฉันก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ในความมืดฉันมองเห็นโครงหน้าของคนที่กำลังอุ้มตัวมาอย่างรางเลือน
งดงามราวกับภาพวาด… ไม่นึกเลยว่าคนที่ใบหน้าปานเทพบุตรจะกลายเป็นนักล่าค่าหัวที่โหดเหี้ยมอย่างนี้
ม้าตัวใหญ่ดุน่ากลัวดุดันสีดำสนิท แต่ดวงตากลับเป็นสีแดงที่เป็นเหมือนเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ ลมหายใจที่พ่นออกมาให้เห็นเป็นละอองฝ้าดูร้อนมากชัดเจน มันวิ่งมาถึงผู้ชายคนนี้และเขาก็จับฉันเหวี่ยงขึ้นหลังม้าตัวนี้ทันที รวมถึงตัวเขาเองที่ก็กระโดดขึ้นอานตามมาด้วย
“อื้อ อือ อื้อ!” ฉันประท้วงในคอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
ตอนนี้ฉันเริ่มจะหายใจไม่ออก เพราะผ้าที่เขาใช้ปิดปากไว้มันชุ่มน้ำ แถมยังอึดอัดมาก เขาคงจะรู้เลยกระชากผ้าผิดปากออกในพริบตาเดียว และฉันก็สำลักอากาศที่ไหลเข้าปากเข้าจมูกกะทันหันทันที
“แค่ก ๆ…” ฉันไอจนปวดคอไปหมด ยังไม่ทันได้ตั้งตัวผู้ชายคนนี้ก็ควบม้าวิ่งฝ่าสายฝนไปได้ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ตอนนี้คงจะเข้าเขตพื้นที่ป่าที่ล้อมรอบคอหอยไว้อีกทีแล้ว มีคนเฝ้าอยู่รอบนอกไม่น้อย และฉันก็ภาวนาให้เขาพาฉันหนีออกไปจากที่นี่ได้สักที อย่างน้อยขอให้ฉันกางแขนบินกระพือปีกสักวันหรือสองวันเถอะ
แล้วหลังจากนั้นก็กลับเข้ากรงตามเดิม ไม่มีทางได้โบยบินอีกแล้ว
“ถ้าไปทางซ้ายนายจะเจอกับคนสวนเป็นฝูงเลย” ฉันบอกและพยายามจะทรงตัวให้ดีที่สุดบนอานม้าแข็ง ๆ นี่อย่างสุดความสามารถ
เพราะเวลานี้มันมืดมาก ฉันเลยไม่รู้สึกกลัวว่าเขาจะพาไปพุ่งชนอะไรเข้าหรือเปล่า ถ้าเป็นตอนกลางวันฉันอาจจะร้องกรี๊ด ๆ และโวยวายไปตลอดทางเลยก็ได้
รู้สึกว่าเขาจะก้มหน้าลงแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงแขนของฉันที่ยังถูกมัดติดกันขึ้นคล้องคอของเขา เหมือนให้ฉันกอดคอเขาไว้ เมื่อได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ฉันได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่โชยออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน
กลิ่นเลือด… เขาฆ่าใครมา
ความหนาวเย็นจากน้ำฝนที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าไม่จบสิ้นทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว แทนที่จะมีความรู้สึกหวามไหวที่เราใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ แต่ความรู้สึกที่มีตอนนี้คือหวาดกลัวจนหายใจไม่ออก
ฉันเกร็งไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัวและหนาวสั่นจากฝนที่ยังโหมลงมาไม่หยุด ยังดีที่ไออุ่นจากคนที่กอดอยู่ทำให้รู้สึกอุ่นอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเขาพาควบม้ามานานแค่ไหนแล้ว และจะไปพ้นจากที่นี่หรือเปล่า
แต่ทั้งความเหน็บหนาวทั้งความอ่อนล้าทำให้ฉันค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงในที่สุด
ฉันลืมตาอีกครั้งเมื่อมีอะไรผลักหัวแรง ๆ ให้เลื่อนไปชนอะไรสักอย่าง เมื่อลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงงสับสนก็เห็นร่างสูงโปร่งกำยำของผู้ชายคนหนึ่งหันหลังให้ เขาถอดเสื้อออกก่อนจะหันมามอง แวบแรกที่เห็นหัวใจของฉันกระตุกและเต้นรัวอย่างน่ากลัว
ใบหน้าของเขาเหมือนเทพบุตร แต่สายตาเย็นชาไร้หัวใจ เมื่อคืนยังมองหน้าเขาไม่ชัด แต่ตอนนี้ฉันมองเห็นชัดเต็มตา สัมผัสถึงกลิ่นอายของชายเจ้าเสน่ห์ที่ล่อหลอกให้หญิงสาวหลงเข้าไปติดกับใยแมงมุมอย่างไรอย่างนั้น
“ตื่นแล้วก็ดี เปลี่ยนเสื้อซะ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ยินดียินร้าย และโยนชุดผู้หญิงเก่า ๆ สีมอ ๆ ชุดหนึ่งมาให้
แล้วฉันก็ถูกผลักหัวอีกครั้ง อะไรเนี่ย
พอหันไปมองข้างตัวก็เห็นว่าเป็นม้าตัวสีดำเมื่อคืนกำลังเอาหน้ามาถูไถกับหน้าของฉันอยู่ ฉันกลัวแต่ก็พยายามจะทำตัวไม่ให้ตื่นตกใจ ค่อย ๆ ลูบหัวมันและขยับออกห่างในที่สุด มองไปรอบตัวก็เห็นว่าที่นี่เป็นโรงเก็บฟาง
สุดยอดเลย… ที่ห้องนอนของฉันเป็นเตียงสี่เสาอย่างดี ที่นอนหนานุ่มแบบว่ากลิ้งได้สี่ห้ารอบไม่มีตก แต่ตรงนี้ ที่นี่ กลับเป็นแค่เศษฟางปูบาง ๆ ที่พื้น และมีม้าหลายตัวเดินผ่านไปมาด้วย
“เราต้องเดินทางกันแล้ว” เขาจ้องหน้าฉันแน่วนิ่ง ราวกับจะไม่ยอมให้คลาดจากสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
“เราต้องไปที่ไหน” ฉันถามและจ้องหน้าเขาไปด้วย พยายามทำตัวเข้มแข็งไม่ให้รู้ว่ากำลังกลัวมากแค่ไหน
ผู้ชายคนนี้สวยจริง ๆ รูปหน้าที่สวยได้รูป เครื่องหน้าที่ราวกับถูกจับวางไว้อย่างเหมาะเจาะ ผิวที่ขาวเนียน ดวงตาที่เปล่งประกาย ชายคนนี้น่ะเหรอ ที่เป็นนักล่าค่าหัวฝีมือดีน่ะ แต่การเคลื่อนไหวของปลายนิ้ว ความไวของสายตา กล้ามเนื้อและท่วงท่า มันบอกว่าเขาฝีมือยอดเยี่ยม ไม่แปลกที่ลากฉันออกมาถึงตรงนี้ได้
“มองอะไร…” เขาถามเสียงเรียบ และฉันก็จ้องมองไปที่ดวงตาของเขา
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับดวงชะตาของนายหรือเปล่า” ฉันถามพลางยิ้มให้ด้วย
“ฉันยังไม่อยากรู้ และไม่คิดจะเชื่อด้วยว่าเธอฝีมือล้ำเลิศอย่างที่คนอื่น ๆ เขาโจษจันกันนั่นด้วย”
ได้ยินแบบนั้นฉันก็อยากจะหัวเราะกับคำพูดของเขาเหลือเกิน
“ลองหากระดาษกับปากกามาให้ฉันสิ ดวงตาของนายมันกำลังบอกอะไรฉันอยู่” ไม่ได้ท้าทายนะ แต่มันเป็นเรื่องจริง
แต่เขาดูไม่สนใจนอกจากจองมองฉันด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย จากนั้นก็เดินออกไปเงียบ ๆ ให้ฉันได้เปลี่ยนจากชุดนอนที่สวมอยู่เป็นชุดที่เขาโยนมาให้ก่อนหน้านี้
มีผู้คนอีกเป็นร้อยเป็นพันคนเลยนะที่อยากจะให้ทำนายดวงชะตาให้น่ะ แต่น่าแปลกที่ความสามารถนี้ยังไม่เลือนหายไป ฉันคิดก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบดวงตาของตัวเองอย่างแผ่วเบา
มีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ฉันบอกตัวเองแบบนั้น แต่ก็ไมรู้อยู่ดี ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็เดินกลับมาพอดี ราวกับรู้เวลาว่าตอนไหนฉันทำอะไรเสร็จแล้ว
“เมโอ…”
ตอนที่เขาเรียกชื่อของฉัน มันช่างน่าแปลกใจ
ฉันรู้สึกดีกว่าตอนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านเมโอ’ ซะอีก ดวงตาที่ฉายแววเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งไม่ยอมใคร มองมาเหมือนกำลังมองคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่หมอดูเทวดาที่มีแต่คนนอบน้อมด้วย
แต่ก็อีกนั่นแหละ ทำไมเขาถึงรับงานนี้กันล่ะ งานที่ใครก็ไม่อยากจะเสี่ยง แต่เอาเถอะ เขาพาฉันออกมาจากหอคอยนั่นได้ก็เก่งไม่เบา แต่ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนก็เท่านั้น…
“เราจะไปไหนกัน” ฉันลุกขึ้นยืนและจ้องหน้าเขาตาไม่กะพริบ
คนร่างสูงกำลังคลี่พวงมีดพกเล่มเล็ก ๆ ที่เป็นวงกลมเมื่อสะบัดออกมาแรง ๆ เหมือนกับพัด เขาขยับมันเล่นอยู่สองสามทีก่อนจะเก็บไว้ในอกเสื้อ สีหน้าแววตาที่เรียบเฉยของเขาทำให้ฉันเริ่มจะฉุนขึ้นมาแล้วเหมือนกัน สนใจกันหน่อยได้ไหม ฉันไม่ใช่ก้อนหินนะ
“เงียบไว้เถอะ เมโอ อย่าพูดให้มากนัก” เขาบอกพลางหยิบเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นมาสวม และลูบหัวม้าตัวสีดำนั่นอีกนิดแล้วก็เดินเข้ามาใกล้ฉัน จากนั้นเขาก็หยิบเอากำไลสีเงินสวมลงที่ข้อมือของฉันอย่างรวดเร็ว และเพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกันว่ามันเป็นแบบเดียวกับที่เขาสวมอยู่
“ถ้าเธอคิดหนี มันจะรัดแขนของเธอจนขาด” พูดจบเขาก็เขย่าข้อมือของฉันไปด้วย
เจ็บนะ ตาบ้านี่…
“เดินทางกันสักที บอกเลยนะว่าฉันไม่ได้ใจดี” เขาบอกก่อนจะฉุดแขนให้ฉันเดินออกมา
เป็นนักล่าค่าหัวจะใจดีได้ไงเล่า…
ฉันคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา…
ระหว่างทางเขาเอาแต่ชำเลืองมองฉัน ฉันเองก็ไม่คิดจะหนีอยู่แล้วเพราะรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวจะต้องมีคนอีกเป็นกองทัพเลยละที่ตามไล่ล่าพวกเขาจากข้างหลัง เพราะอย่างนั้นตอนนี้ถือว่าเป็นการออกมาเที่ยวข้างนอกเท่านั้น
ชุดที่ได้มามีผ้าคลุมหน้าติดมาด้วย เลยใช้คลุมหน้าเอาไว้ได้ ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณอีธานจะทำยังไง ถ้ารู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุ่กพล่านมากมายขนาดนี้
คนที่พาฉันมานี่ก็โดดเด่นสะดุดตาเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามาเป็นนักล่าค่าหัวได้ยังไง เดินผ่านคนทางไหนก็มีแต่สายตาของผู้คนจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา
เมืองที่ฉันอยู่นี่เป็นเมืองท่าที่ด้านนอกเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ ซึ่งพื้นที่กว่าครึ่งเป็นของท่านพ่อ จึงมีแต่คนรู้จักท่าน
แต่น้อยนักที่คนภายนอกจะรู้ว่าหน้าตาของฉันเป็นยังไง เลยไม่มีใครเข้ามาถามหรือเข้ามาช่วย ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่า เหมือนจะหนีสำเร็จเลยแฮะ
ตอนนี้ผู้ชายคนนี้พาฉันเดินเกือบไปถึงท่าเรือแล้ว พลันนั้นในอกมันก็โหวงวูบอย่างน่ากลัว เพราะถ้าออกนอกทะเลได้ นั่นแปลว่าฉันอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก
ดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ไม่นานจะร่วงโรยลงผิวน้ำ และดับสิ้นไปกัลปวสาน
พอฉันหยุดเดินกำไลบ้านี่ก็เริ่มบีบรัดแขนฉันไปด้วย ฉันมองคนที่เดินนำหน้าอย่างเจ็บใจแล้วก็ขยับเท้าก้าวต่อไป กำไลนี่ดูเหมือนว่าจะตอบสนองกับพลังงานของฉัน ถ้าหยุดนิ่งพลังงานก็จะไม่มีการเผาผลาญและเป็นเงื่อนไขให้กำไลนี่บีบรัดแขน มันเชื่อมต่อกับเส้นใยบาง ๆ ที่จับต้องไม่ได้กับกำไลของเขา มันเป็นพลังงานอะไรกันแน่นะ
“ฉันหิวข้าว!” ฉันตะคอกใส่แผ่นหลังของคนตัวสูง หลังจากที่ตากฝนออกมากับเขานี่ก็ผ่านไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เขายังไม่มีวี่แววว่าจะหาอะไรให้ฉันทานเลย ฉันไม่ได้อิ่มทิพย์นะ
“นั่นสิ เธอเป็นคนนี่นา” เขาหันกลับมามองหน้าฉันและพึมพำออกมาเสียงเบา
เขาพูดราวกับว่าฉันไม่ใช่คน…
ผู้ชายคนนี้นี่มัน…
แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรอีก นอกจากเดินตามเขาไปยังร้านอาหารที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้นั่งพักฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่นี่มันอะไรน่ะ ขนมปังกรอบ ซุป แล้วก็น้ำเปล่าอย่างนั้นเหรอ เขาเห็นฉันเป็นปลาที่ว่ายน้ำอยู่ในทะเลหรือไงกัน
“กินไม่ลง…” ฉันปัดจานอาหารที่เขาวางตรงหน้าออกไป
ดวงตาของเขาวาวเรืองขึ้นมาแวบหนึ่ง และฉันเองก็จ้องไม่ยอมหลบ เขาไม่รู้แน่ ว่าอาหารมื้อหนึ่งของฉันน่ะ อาจจะแพงกว่าเงินที่เขาได้จากการทำงานทั้งสัปดาห์ คิดจะจับคนอย่างฉันทำไมไม่คิดให้รอบคอบซะก่อน
ดูเหมือนเขาจะโกรธ แต่ไม่พูดอะไรสักคำแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ฉันไม่คิดหนีหรอก เพราะรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวเขาต้องหาเจอ ก็ในเมื่อกำไลเวรตะไลของเรามันเชื่อมต่อกันอยู่อย่างนี้
“ไอ้นี่มันอะไรกันแน่นะ” ฉันพึมพำอย่างหงุดหงิดแล้วก็ตกใจ
เมื่อข้อมือที่ยกขึ้นมาดูกำไลมีอะไรบางอย่างพุ่งตัดผ่านมันไป วินาทีต่อมาก็มีหยดเลือดสีแดงก็ซึมและค่อย ๆ ไหลรินลงมาตามข้อมือของฉันทันที
“เลือด…”
นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว
มู่เลยนำมาทำ E-Book เองค่ะ
สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb เลยนะคะ
กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลยค่ะ
ขอบคุณจากใจค่ะ
หรือ >>Click!!<<
ความคิดเห็น