ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Café Mania (P.II) หนุ่มฮอตตัวร้ายป่วนหัวใจยัยจอมยุ่ง

    ลำดับตอนที่ #2 : Café Mania (P.II) ☕️ 01...100%

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 65


    Lucas’s Girl

    ~01~

    (…100%)

     

     

                ฉันพลิกตัวไปมาอย่างยากลำบาก

                โอ๊ย! ในหัวเจ็บจี๊ดขึ้นมาเหมือนถูกฝังเข็งลงไปสุดแรง มันเกิดอะไรขึ้นนะ แถมรู้สึกว่าแขนขาหนักจนยกไม่ขึ้นด้วย ฉันเบือนหน้าหนีแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา แล้วก็ซุกตัวกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เหมือนเคย

                อุ่นดีจังนะ… แต่เอ๊ะ!?

                ปกติเจ้าตัวใหญ่ของฉันมันหายใจไม่ได้นี่นา แล้วทำไมวันนี้ถึงรู้สึกว่าหน้าอกของเจ้าตัวใหญ่มีแรงกระเพื่อมของการหายใจ แถมยังตัวแข็ง ๆ ผิดจากทุกที แล้วไหนจะลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดข้างแก้มฉันอีกนี่ล่ะ มันเรื่องอะไรกัน

                ฉันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วก็ปะทะกับใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างกาย

                ซึ่งจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาก่อนเลย ถึงจะดูคุ้น ๆ อยู่บ้างก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับว่า ทำไมฉันถึงมานอนกอดกับเขาอยู่อย่างนี้!

                เดี๋ยว…

                นี่ความฝันหรือเปล่า เพราะในความเป็นจริง ฉันไม่เคยเจอใครที่หล่อเหลาสะดุดตาเท่ากับคนคนนี้มาก่อน

                ใบหน้าของเขาสวยได้รูป ขนตางอนยาวเป็นแผง จมูกโด่งได้รูป รับกับริมฝีปากบางเฉียบอย่างน่ามอง ถึงเขาจะยังไม่ได้ลืมตา แต่มั่นใจว่าเขาคงดูดีไม่ต่างจากเทพบุตรอย่างแน่นอน

                แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมเรามาอยู่ตรงนี้ด้วยกันได้

                เมื่อเห็นขนตาของเขาเริ่มขยับ ฉันก็ยิ่งตกใจรีบหลับตาลงเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี ด้วยหัวใจที่เต้นแรงเหมือนจะทะลุหน้าอกออกมาได้อยู่แล้ว

                จากนั้น คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็ลุกจากเตียงไป ทิ้งไว้แค่ไออุ่นที่โอบล้อมร่างกายของฉันเอาไว้อย่างน่าประหลาด

                “ฉันรู้ว่าเธอตื่นแล้ว…” น้ำเสียงเรียบเฉยทุ้มต่ำดังขึ้นมา ในตอนที่ฉันกำลังแกล้งหลับอยู่

                แล้วจะให้ตื่นมาคุยอะไรกับเขาล่ะ

                แต่ฉันยังแกล้งหลับอยู่บนเตียงที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อคืนทำอะไรไปบ้างหรือเปล่าก็จำไม่ได้ โอ๊ย! ชีวิตของฉันทำไมทุเรศทุรังแบบนี้กันนะ

                “ตื่น! ไม่อย่างนั้นฉันจะจับเธอส่งตำรวจ ในฐานะต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง”

                “ฉันไม่ใช่ต่างด้าวนะ!”

                เท่านั้นแหละ ฉันรีบพรวดพราดลุกขึ้นมาจากเตียงทันที ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองมาด้วยสีหน้าขุ่นมัว และเปลือยท่อนบนด้วย

                ภาพกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาทำให้ฉันรู้สึกวิงเวียน เหมือนซัดค็อกเทลเข้าไปเกือบสิบแก้วอย่างนั้นแหละ แล้วก็ร้อนไปหมดเลยด้วย

                เหมือนจะจำได้แล้ว เขาคนนี้ฉันเคยเห็นหน้ามาก่อน

                ที่จำได้ เป็นเพราะว่าใบหน้าของเขางดงามราวกับเทพบุตร ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางจำผิดคน ถึงเราจะเพิ่งเจอกันเมื่อวานเป็นครั้งแรกก็ตาม

                “ชิ… ตื่นแล้วก็ดี เดี๋ยวจะไปส่ง” เขาทำหน้าเหมือนรำคาญฉันเต็มทน ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นมาสวมทับตัว

                นั่นค่อยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย เห็นเขาเปลือยท่อนบนแล้วใจมันหวิว ๆ น่ะ

                “ยังจะนั่งอีก แต่งตัวสิ จะไปส่ง” เขาสั่งมาเสียงเรียบ แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตว่าตัวเองอยู่ในเสื้อนอนตัวโคร่งของผู้ชายอยู่

                เฮือก! จะเป็นลม แล้วทำไมชุดที่ฉันใส่เมื่อวานถึงไปกองที่พื้นแบบนั้นล่ะ ฉันมองเขาเริ่มเบ้หน้าและทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ แต่มือของเขายกขึ้นมาห้ามไว้ซะก่อน

                “หยุด! อย่าร้อง อย่าบอกว่าเธอจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้” เขาขมวดคิ้วด้วยท่าทางหัวเสีย จึงทำให้ฉันเบิกตากว้างขึ้นไปอีก

                เรื่องเมื่อคืน อะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น!

                “ไม่ต้องคิดไกล เธอเมาอยู่ที่ร้านแล้วก็ไม่มีใครพากลับ ฉันเลยใจบุญหิ้วเธอติดมือมาด้วยเนี่ยแหละ ใส่เสื้อสิ จะไปส่ง” เขาบอกแล้วก็แบมือมาตรงหน้าฉันด้วย

                “อะ… อะไรเหรอ” ฉันถามเขาไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

                “ค่าค็อกเทลเมื่อคืนก็ประมาณพันสอง ค่าเช่าห้องฉันนอนห้าร้อยแล้วกัน แล้วก็ค่าน้ำมันจะที่จะไปส่งเธอ รวม ๆ คงประมาณสองพัน” พูดจบเขาก็กระดิกนิ้วไปมาตรงหน้าของฉัน

                “…” ฉันพูดไม่ออก แต่รู้สึกแย่ที่ทำเรื่องบ้าพวกนี้ลงไปจนแทบจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว

                สายตาเลยมองหากระเป๋าสะพายสีขาวของตัวเองเพื่อจะหยิบเงินมาจ่ายให้เขา แล้วก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดสักที

                แต่มองไปรอบห้อง มองแล้วมองอีก ฉันก็ไม่เจออะไรเลย

                “มองหาอะไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทันที

                ฮือ… ผู้ชายคนนี้จะดูดีมากไปแล้วนะ หัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะเลยอะ

                “กระเป๋าสะพายฉันล่ะ”

                “กระเป๋าสะพาย?” เขาทวนคำมาทำหน้างง ๆ

                “อือ กระเป๋าสีขาวของฉันล่ะ ข้างในมีกระเป๋าสตางค์ ตั๋วเครื่องบิน กุญแจห้อง บัตรอะไรต่าง ๆ เต็มไปหมดเลย มันอยู่ไหนเหรอ”

                เขายกมือขึ้นเกาหัวทันทีด้วยท่าทางหัวเสีย อะไร ฉันพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ

                เวรแล้ว รู้สึกเหมือนมีคลื่นหายนะลูกใหญ่กำลังจะโถมเข้าใส่เลย

                “ฉันไม่เห็นเลย เมื่อคืนลากแต่ตัวเธอมาเปล่า ๆ”

                แล้วฉันก็ทำตาโตขึ้นมากกว่าเดิม กระเป๋าฉันหายเหรอ ข้างในนั้นมีของสำคัญอยู่เพียบเลยนะ

                ไม่นะ ไหนจะกุญแจ คีย์การ์ด เฮือก! ชีวิตของฉันอยู่ในกระเป๋าใบนั้นเลย

                “เธอมีมันโคตรตัวซวยของฉันเลย” เขาทำเสียงหงุดหงิดแล้วก็จ้องหน้าฉันอย่างหาเรื่อง

                ไม่นะ… แล้วฉันจะกลับยังไงล่ะ

                คืนนี้ฉันต้องขึ้นเครื่องไปลงที่เชียงใหม่ แล้วก็ต้องต่อรถกลับบ้านอีกทีน่ะ แล้วกระเป๋าหายไปแบบนี้ฉันจะทำยังไงต่อไปล่ะ

                ฮึก… ฉันอยากจะบ้าตาย

                “ฉันมีเรียน เอางี้… เดี๋ยวกลับมาจะพาไปทำเรื่องพวกนั้นให้ ตอนนี้ฉันสายแล้วจะรีบกลับมาแล้วกัน”

                คนตัวสูงที่แสนจะมีน้ำใจให้กับคนแปลกหน้าอย่างฉัน เดินไปหยิบหนังสือติดมือไปสองสามเล่มก่อนจะหันมามองฉัน

                “รอที่นี่ก่อน ใช้โทรศัพท์ห้องฉันโทรไปอายัดบัตรต่าง ๆ ที่เธอพอจะจำได้ก็แล้วกัน” เขาบอกมา แต่ฉันรู้สึกโหวงเหวงเหมือนจะเป็นลมอยู่แล้ว

                “ถ้าหิวก็ทำอะไรในครัวทานไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกัน จะรีบกลับ” พูดแล้วเขาก็ทิ้งฉันเดินอออกจากห้องไป

                ฉันนั่งคอตกได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เปิดประตูโผล่แค่หน้าเข้ามามองอีกครั้ง

                “อย่าขโมยของฉันไปขายนะยัยต่างด้าว ไม่งั้นฉันจะตามไล่ล่าถลกหนังเธอ” เขาขู่แล้วก็ปิดประตูลง

                “ฉันไม่ใช่ต่างด้าวนะ!”

                ถึงจะตะโกนไล่หลังไปแต่เขาคงไม่ฟังอะไรแล้วมั้ง

                เมื่ออยู่คนเดียวฉันก็คอตก พยายามขุดความทรงจำของเมื่อคืนเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้ แต่ทุกอย่างมันก็เลือนรางไปหมด

                ว่าแต่เขาเป็นใคร ชื่ออะไร แล้วฉันมาอยู่กับเขาได้ยังไงกัน

                เวรแล้วไง ฉันคงสร้างปัญหาให้เขาเข้าให้แล้วละ…

     

     

                ฉัน ‘มีมี่’ ผู้หญิงโชคร้ายสุดซวย ที่สุดของที่สุดความซวย 

                ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในห้องชุดของใครก็ไม่ทราบได้ และกำลังล้างจานอยู่เงียบ ๆ คนเดียวที่ห้องครัวเล็กนี่

                ส่วนเจ้าของห้องก็ออกไปเรียนแล้ว ทิ้งให้ฉันนั่งจมอยู่กับความคิดล้านแปดที่โถมทับใส่หัวตัวเอง เขาเป็นใคร เขาชื่ออะไร และเขาหิ้วฉันติดมือมาด้วยได้ยังไง

                บอกตามตรงนะ ฉันจำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียวเลย รู้แค่ว่าเขาลากฉันมา และจากชุดนักศึกษาที่เขาสวมให้เห็น บอกว่าเรียนมหา’ลัยอยู่ แสดงว่าเขาเป็นรุ่นน้องอย่างนั้นสินะ แต่ดูไปแล้วเราน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกัน

                ส่วนฉันเพิ่งเรียนจบมาสด ๆ ร้อน ๆ แล้วก็ลงมาหาแฟนที่กรุงเทพฯ นี่แหละ

                แล้วไงล่ะ ฉันก็แค่อกหักแล้วพบว่าตัวเองถูกสวมเขาตั้งสี่ปี คิดถึงตรงนี้แขนขาก็หมดแรงยกมือไปจับขอบอ่างล้างจานแล้วก็คอตก

                ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรเลย กระเป๋าหายไปแล้ว ของสำคัญต่าง ๆ อยู่ในนั้นเพียบเลยด้วย…

                ตอนนี้ฉันโทรไปอายัดบัตรต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนบัตรอื่น ๆ ก็หายหมด บัตรประจำตัวประชาชน บัตรนักศึกษา โชคดีที่เรียนจบมาแล้วไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดถึงความวุ่นวายที่จะตามมาเลย

                แล้วไหนจะคีย์การ์ด กุญแจอะพาร์ตเมนต์ ตั๋วเครื่องบินที่จะกลับคืนนี้ แล้วก็เงินในกระเป๋านั่นอีก ฉันลองโทรเข้ามือถือตัวเองแล้ว มันโทรไม่ติดน่ะ แหงละ คนที่เก็บได้แล้วมีน้ำใจจริง ๆ เขาคงเปิดเครื่องรอให้ฉันโทรไปอยู่แล้ว แต่นี่มันไม่สัญญาณตอบรับอะไรเลย

                ชีวิตสุดซวยห่วยบรม! ฉันอยากชกหน้าตัวเองสักทีจัง

                อ้าว! แย่ละ มัวแต่คิดเรื่องบ้าบอไปไกล น้ำในอ่างล้างจานเลยล้นหกเลอะเทอะพื้นปาเก้อย่างดีนี่อีก

                คุณเจ้าของห้องรูปหล่อได้ฆ่าฉันตายแน่งานนี้ แค่นี้เขาคงหงุดหงิดจะแย่ ที่ไม่รู้จักกันเลย แต่กลับต้องมาดูแลคนแปลกหน้าขี้เมาอย่างฉัน

                ฉันอยากจะร้องไห้…

                ฉันได้แต่สบถใส่ตัวเองในใจ ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดพื้นด้วยความอนาถใจตัวเอง

                แล้วเมื่อไหร่เขาจะกลับมานะ จะได้ลองขอคำปรึกษาสักหน่อย ตอนนี้ฉันเหมือนเป็นต่างด้าวที่เขาพูดไว้ไม่มีผิดเลย แต่จะไม่ยิ่งทำให้เขาเกลียดหนักกว่าเดิมเหรอ

                ฉันถามตัวเองอย่างกระวนกระวายใจ ก่อนจะได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นมาที่หน้าประตูห้อง ฉันเผลอดีใจอย่างห้ามไม่อยู่ขยับตัวไปเข้าใกล้ทันที ต้องเป็นเขาแน่ แล้วก็ใช่จริง ๆ…

                ร่างกายสูงใหญ่ ผมยุ่งเล็กน้อย สีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง

                ใช่เลย… เขาคนนั้นแหละ

                “เธอเป็นแม่บ้านเหรอ?”

                แล้วดูคำแรกที่เขาทักฉันสิ

                …

                ฉันไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ จะมาพูดกับเขาได้เลย

     

     

                “ฉันเอง ฉันไง” ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแนะนำตัวให้เขารู้จักยังไงดี

                อึก! ชีวิตของฉันจะมีทุเรศกว่านี้อีกไหม อยากจะรู้เหลือเกิน

                “หือ แล้วนี่มันเสื้อเชิ้ตของฉันไม่ใช่เหรอ เอามาใส่ทำไม แม่บ้านประสาอะไรวะ” เขาพูดแล้วก็ถอดรองเท้าผ้าใบ ดูท่าทางจะแพงมาก ๆ ออกไว้ที่ชั้นวางรองเท้า ก่อนจะจ้องหน้าฉันอย่างขุ่นเคือง

                เขาเป็นอะไรไปน่ะ ก็เป็นคนหิ้วฉันมาไม่ใช่เหรอ เขาเป็นคนบอกฉันเองนะ

                “ฉันมีมี่ มีมี่น่ะ” ฉันก็ไม่รู้ว่าถ้าบอกไปแบบนี้แล้วเขาจะตอบกลับมาว่ายังไง

                เขาทำท่าคิดอยู่นานก่อนจะร้องอ๋อออกมาแล้วก็ยกมือกำปั้นทุบฝ่ามือตัวเองด้วย

                “ยัยต่างด้าวนี่เอง!”

                ฉันอยากจะร้องไห้จัง ถึงจะพยายามคิดวางแผนชีวิตให้ตัวเองต่อจากนี้แล้ว แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เพราะไม่ว่าจะทางไหนมันก็ต้องพึ่งพาเขาคนนี้ทุกอย่าง และมันรบกวนเขามากด้วยที่ต้องมารับผิดชอบคนที่ไร้ความรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างฉันคนนี้

                “เป็นไง สบายดีนะ”

                ฉันทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงที่พื้นก่อนจะถอนหายใจ แล้วก็เงยหน้ามองผู้ชายคนนี้จากมุมต่ำ 

                แม้จะมองจากมุมนี้เขาก็ยังดูดีจนน่ากลัว โครงหน้าก็สวยมากด้วย จนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปเลย

                “ไง ทำเรื่องอายัดบัตรอะไรยัง” เขาถามแล้วก็ก้าวข้ามร่างของฉันไป

                เออ หมอนี่ไร้มารยาทที่สุดเลยละ แต่เอาเถอะ โชคดีแค่ไหนกันที่เมื่อคืนเขาอุตส่าห์หิ้วฉันออกมาจากคาเฟ่นั่นด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงเป็นยัยขี้เมาเร่ร่อนอยู่แถวนั้นแน่ ๆ

                ดีไม่ดี อาจจะอาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วย เอาเถอะ ฉันว่าตัวเองมันไร้ค่าก็วันนี้แหละ

                “เธอทำอาหารได้ดูน่าอร่อยดีนะ”

                ฉันลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงหันไปมองเขา ก็เห็นว่าเขากำลังทำหน้าขยะแขยงสปาเกตตีที่ฉันทำทิ้งเอาไว้ในหม้ออยู่

                “ยัยต่างด้าวเธอเป็นผู้หญิงจริงเหรอ ทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วทำไมพื้นห้องฉันเปียกโชกเงี้ยอะ!”

                ฉันยกมือเกาท้ายทอยเดินเข้าไปหาอย่างเสียใจ พอมาอยู่ใกล้กันแบบนี้จึงรู้ว่าเขาตัวสูงมาก ฉันสูงแค่ปลายคางของเขาเองละมั้ง

                “ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว” ฉันก้มหน้าลงอย่างหงอย ๆ รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งกายทั้งใจจนหดหู่

                เรื่องที่ฉันทำไปมันงี่เง่าไร้สาระสิ้นดี ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แถมยังมาเป็นภาระให้คนอื่นแบบนี้อีก มารู้ตัวว่าตัวเองแย่แค่ไหนก็ตอนนี้แหละ

                “เอาเถอะ ไม่เป็นไร เธอจัดการหมดแล้วใช่มั้ย เรื่องบัตรอะไรนั่นน่ะ”

                “เรียบร้อยแล้ว” ฉันบอกไปแล้วก็เห็นเขาพยักหน้าให้

                “ว่าแต่ นายชื่ออะไรเหรอ ขอโทษที่ต้องถามแบบนี้นะ แต่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย…”

                “ลุค ลูคัส…” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากสีหน้า

                เป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็ลูกเสี้ยวสินะ ซึ่งโครงหน้าของเขาก็บอกแบบนั้นจริง ๆ…

                “มีมี่…” ฉันบอกชื่อตัวเองบ้าง แล้วก็เห็นว่าเขากระตุกมุมปากยิ้มออกมาบาง ๆ

                บ้าจัง… ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มที่น่ากลัวมาก ทำเอาใจแกว่งเลย

                “ยัยต่างด้าวเอ๊ย พนันว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรแน่ ๆ ใช่มั้ย?” ลุคหันมาถามอีกครั้ง และฉันก็พยักหน้ารับแต่โดยดี

                ก็ใครมันจะไปกล้ากินล่ะ ห้องของตัวเองก็ไม่ใช่ มาอาศัยเขาอยู่อีกต่างหาก ฉันนี่มันซูเปอร์แย่เลย ตอนนี้แทบไม่กล้าจะสบตากับเขาเลยด้วย

                “งั้นเดี๋ยวฉันจะทำให้ลิ้นที่น่าสงสารของเธอได้ลิ้มรสความอร่อยก็แล้วกัน” พูดจบลุคก็คลี่ยิ้มกว้างออกมา

                เฮือก! หัวใจเต้นตึกตักแทบไม่เป็นจังหวะเลยฉัน ผู้ชายคนนี้พรสวรรค์ที่ทำให้ผู้หญิงหลงใหลได้ง่ายซะจริง แค่เขายิ้ม ฉันก็รู้สึกว่าแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว

                “อยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวทำให้” เขาเปิดตู้เย็นและเอียงคอมองฉันไปด้วย

                “ได้เหรอ ฉันเกรงใจ” ฉันถามเสียงค่อยแต่ก็เห็นเขาพยักหน้ามาให้

                “อยากกินข้าวผัด อร่อย ๆ”

                “เฮอะ! เธอนี่เหลือเกิน เมื่อกี้ยังบอกว่าเกรงใจ แต่ตอนนี้มาบอกว่าจะกินข้าวผัด เชื่อเธอเลยจริง ๆ” เขาพูดแล้วก็หัวเราะออกมา

                แย่ละ ตอนที่เขาหัวเราะเนี่ย ยิ่งทำให้ฉันใจเต้นรัวขึ้นทุกทีเลย…

     

     

                “อร่อย! สุด ๆ เลย” ฉันพูดแล้วก็จ้วงเอาข้าวผัดใส่ปากไปด้วย

                ลุคเนี่ยทำกับข้าววอร่อยสุดยอดไปเลย ตอนนี้เขาส่ายหน้าไปมาแล้วก็ชงชาให้ฉันด้วย ฉันรู้สึกเกรงใจมาก แต่ความหิวนั้นไซร้ไม่ปรานีใคร

                “เห็นเธอกินแล้วฉันอิ่มเลยละ หายเมาแล้วสินะ” แล้วลุคก็ยื่นแก้วชามาให้ฉันตรงหน้า

                “ขอบคุณนะ”

                และพอยกชาขึ้นจิบ โอ๊ย! ผู้ชายคนนี้ก็ชงชาอร่อยมากเลย ดูไปดูมาเขาคล้ายกับบาร์เทนเดอร์ในร้านคาเฟ่ที่ฉันเข้าไปนั่งดื่มเมื่อคืนเลยแฮะ

                เอ๊ะ…

                “นายใช่บาร์เทนเดอร์เมื่อคืนรึเปล่า” ฉันวางแก้วลงแล้วถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

                ลุคหยิบรีโมตทีวีขึ้นมาเปิดรายการทีวีดูก่อนจะหันมามองฉันเล็กน้อย

                “จำได้แล้วเหรอ?” แล้วเขาก็หันไปมองทีวีต่อ

                “นายเก่งจัง ทำกับข้าวก็อร่อย ชงชาก็เยี่ยม แถมชงเหล้าก็ทำฉันเมาแอ๋อีก” ฉันบอกก่อนจะตักข้าวเข้าปากเรื่อย ๆ

                “แน่ละ ฉันเยี่ยมยอดนี่นา ว่าแต่ใครใช้ให้เธอซัดไปทีเดียวเจ็ดแปดแก้วอย่างนั้น ไม่รู้รึไงค็อกเทลแรงจะตายไป”

                ได้ยินแบบนั้นฉันก็กลอกตาไปมาพลางคิดไปด้วย

                ก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าค็อกเทลมันแรง เห็นสีสวยดี ใครจะรู้ล่ะว่าเหล้าดี ๆ นี่เอง

                “เฮ้อ… รีบกินแล้วเดี๋ยวจะพาไปซื้อเสื้อผ้า ไปทำเรื่องกระเป๋าเอกสารอะไรหายด้วย”

                นั่นสิ… ฉันต้องรีบไปจากที่นี่นี่นา แค่นี้ก็สร้างความวุ่นวายให้ลุคมากพออยู่แล้ว ยังจะมานั่งทานข้าวสบายอกสบายใจอยู่ได้ ฉันมองเขาอย่างละอายใจแล้วก็อยากเขกหัวตัวเองแรง ๆ สักทีสองที

                “ลุค… เอ้อ เรื่องเงิน เดี๋ยวฉันจะคืนให้นะ แล้วเรื่องอื่น ๆ ด้วย ถ้าฉัน…”

                “รีบกินข้าว ค่อยว่ากัน”

                เมื่อถูกเร่งมาแบบนี้ก็ทำเอาฉันพูดอะไรไม่ออกเลย จะว่าไปฉันคงสร้างความลำบากให้เขามากพอดู เขาถึงได้พูดออกมาแบบนี้ พาให้ฉันรู้สึกผิดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย

                ในที่สุดฉันก็เดินออกมาจากห้องของลุคอีกครั้งพร้อมด้วยชุดที่ใส่เมื่อคืน ซึ่งมันก็ นะ…

                ยิ่งตอนที่สายตาของเขามองมาแบบนี้ด้วยแล้ว

                เฮ้อ… ถึงแม้จะรู้สึกแย่ที่เจอกับเหตุการณ์บ้าบอพวกนี้ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้สลัดไอ้ผู้ชายสารเลวคนหนึ่งจากชีวิตได้ ถือว่าคุ้มแล้วละมั้ง

                “ไป เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอทำเรื่องกระเป๋าหายที่สถานีตำรวจแล้วกัน จากนั้นเธอก็เอาเอกสารนั่นไปทำบัตรต่าง ๆ ฉันก็ไม่แน่ใจว่าต้องแจ้งตำรวจในที่เกิดเหตุ หรือว่าที่ไหนก็ได้แต่เอาเป็นว่าไปสน. ที่ใกล้ร้านที่สุดแล้วกัน”

                เมื่อลุคพูดมาแบบนี้ฉันก็พยักหน้าหงึกหงัก ผู้ชายคนนี้ฉลาดรอบคอบดีจัง ไม่เหมือนฉัน โง่งี่เง่าไม่เอาไหน โอ๊ย… นึกขึ้นมาแล้วอยากด่าตัวเองนัก

                “แล้วเอาไงต่อ ถ้าทำเรื่องเสร็จฉันจะซื้อตั๋วรถทัวร์ให้เธอกลับบ้านแล้วกัน ฉันพยายามหาตั๋วเครื่องบินแล้ว แต่ไม่มีที่ว่างเลยสักที่ โทษทีนะ”

                “ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากรบกวนนายอีกแล้วน่ะ”

                “จะไปไง มีเงินเหรอ รู้จักเส้นทางในกรุงเทพเหรอ…”

                อ่า… นั่นสิ ฉันนี่มีแต่ตัวแล้วยังจะจองหองอีกนะ ลุคขยับเข้ามาใกล้แล้วก็ดึงแขนฉันให้ออกมาจากห้อง

                “ไม่ต้องซึมแบบนั้น ฉันรู้ว่าเธออยากจะกลับบ้านแล้ว มีเรื่องแย่ ๆ ก็ต้องรีบกลับใช่มั้ยล่ะ เรื่องเงินไม่เป็นไรหรอก ทำงานที่ร้านได้เงินดีจะตาย แต่ต้องรีบหน่อยนะ ฉันต้องกลับไปงานที่ร้านตอนทุ่มนึงน่ะ”

                เขาอธิบายเหตุผลและทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว

                “ขอโทษละลุค ฉันขอโทษสำหรับทุกอย่างจริง ๆ”

     

     

                หลังจากที่ทำเรื่องที่สถานีตำรวจเรียบร้อยแล้ว ฉันก็แสนจะเกรงใจ ดูก็รู้ว่าลุคเซ็งที่ต้องมานั่งรอนาน ๆ อย่างนี้มากแค่ไหน ก็ท่าทางเขาเหมือนอันธพาลที่มีเรื่องขึ้นโรงพักเลย ไม่แปลกที่คนอื่น ๆ ในโรงพักนี่จะมองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

                ฉันยกมือไหว้ขอบคุณคุณตำรวจที่ให้ความช่วยเหลืออย่างดี ก่อนจะเดินไปหาลุคที่นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่นานสองนาน

                “เสร็จแล้วเหรอ นานเป็นบ้า ฉันถึงไม่ค่อยชอบเลยไอ้พวกเรื่องอะไรแบบนี้น่ะ” ลุคบอกแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างหงุดหงิด

                รู้สึกแย่จังเลย ทำไงดีนะ ใครก็ได้ช่วยทำให้ฉันยิ้มได้หน่อยได้ไหม…

                “ทีนี้ก็ไปได้แล้ว ไปซื้อตั๋วรถให้เธอกัน แล้วค่ารถ ค่ากินที่เธอจะต้องใช้ไปจนถึงบ้านน่ะ ประมาณเท่าไหร่เหรอ” เขาถามตอนที่เราเดินกลับขึ้นรถของเขาอีกครั้ง

                น้ำตาฉันคลอขึ้นมาไม่รู้ว่าบ้าอะไร ทั้งที่จะได้กลับบ้านแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกเศร้าท้อแท้อย่างนี้ก็ไม่รู้

                “มีมี่ ฉันถามเธออยู่นะ” เสียงห้วน ๆ ของลุกดังขึ้นมาและทำให้ฉันสะดุ้ง

                “ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ฉันบอกแล้วเม้มริมฝีปากแรง ๆ ไม่อยากจะให้เขามองฉันไม่ดีเลย ทำไงดี ฉันไม่อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้เลย

                “งั้นไปซื้อตั๋วก่อน เดี๋ยวฉันให้เงินเธอติดตัวไปด้วยสักห้าพันแล้วกัน พอใช่มั้ย?”

                ฉันรู้ว่าลุคห่วงเด็กบ้านนอกอย่างฉันอยู่เลยพูดมาแบบนี้ แต่ข้างในมันกำลังคิดไปไกลแล้ว ฉันรู้สึกไม่ดีเลยจริง ๆ ที่เป็นภาระเขาไปซะทุกอย่าง

                “ขอโทษนะลุค ฉันขอโทษจริง ๆ”

                ฉันบอกไปอย่างเสียใจ ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มากเหลือเกิน

                “เฮ้อ… ฉันไม่ได้รำคาญอะไรขนาดนั้น อาจจะมีหงุดหงิดบ้าง แต่ไม่ใช่เพราะเธอ โอเคนะ ไม่ต้องทำหน้าอย่างนี้อีก”

                ลุคยื่นมือมาบีบแก้มฉันเบา ๆ แล้วก็ดึงหน้าฉันให้เงยมองสบตาด้วย

                “เข้าใจมั้ย มีมี่!” เขาเน้นเสียงหนัก ฉันก็เลยพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

                “อย่าทำหน้าซึม เหมือนฉันกำลังต่อว่าเธอเลย ทั้งที่มันไม่ใช่ จริง ๆ มีมี่ฉันไม่ได้รำคาญเธอ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่หิ้วเธอกลับมาด้วยอย่างนี้หรอก คงจะทิ้งเธอไว้ที่คาเฟ่นั่นแหละ”

                “จริงเหรอ?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง รู้สึกดีใจอย่างที่ระงับความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่

                ลุคมองฉันนิ่ง ๆ ก่อนจะหันไปสบถอะไรบางอย่างอีกทางหนึ่ง ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไปกันแน่ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ยังมีน้ำใจลากฉันมาด้วย แถมยังช่วยเหลืออะไรตั้งหลายอย่าง เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรจะมาน้อยใจด้วยเรื่องบ้าบออะไรพวกนี้อีก

                “อือ… ไปได้ละ เหมือนฝนจะตกเลย”

                ลุคบอกแล้วก็ขยับเท้าเดินไป ฉันเลยต้องเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเกิดว่าเขาไม่รำคาญฉันมาเกินไป ฉันก็จะขอเบอร์โทรศัพท์เขาไว้แล้วก็จะได้โทรมาหาเป็นครั้งคราว และเราก็อาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

                “ขอบคุณนะลุค ฉันขอบคุณนายมากจริง ๆ”

     

     

                หลังจากนั้น ลุคก็พาฉันมาที่ห้างใหญ่ห้างหนึ่ง ฉันเงยหน้ามองอย่างตื่นเต้นเพราะเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่ห้างธรรมดา แต่หรูหราแล้วก็กว้างมาด้วย ถ้าเกิดพลัดหลงกันคงหาเขาไม่เจอง่าย ๆ

                “นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ฉันถามแล้วก็พยายามจะเดินให้ทันลุค ก็ขาเขายาวจะตายไป เดินตามเกือบไม่ทันแน่ะ

                “ซื้อเสื้อโค้ท ไม่ก็ฮู้ดสักตัว” คำตอบของเขาทำให้ฉันเอียงคออย่างสนใจ

                “อืม นายใส่แล้วคงเท่มากแน่เลย”

                ฉันไม่ได้แกล้งยอนะ แต่ผู้ชายคนนี้ตัวสูง แต่งอะไรก็ดูดีไปหมด ยิ่งเขาทำหน้าหยิ่ง ๆ แบบนี้ด้วยนะ สุดยอดเลย

                “ฉันซื้อให้เธอ ไม่ได้ซื้อให้ฉัน!”

                “อ้าว งั้นเหรอ” ฉันยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง ไม่ค่อยจะเข้าใจเขานัก

                “ดูสารรูปตัวเองก่อนสิ กระโปรงก็สั้น ส้นสูงแบบนี้ เสื้อก็เล็กซะ เธอคิดว่ามันปลอดภัยนักรึไงกับการไปไหนมาไหนคนเดียว”

                ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ถูกต้องจริงอย่างที่เขาว่าไว้ทุกประการเลย ในที่สุดเขาก็ซื้อฮู้ดตัวใหญ่สีเทาให้ฉันตัวหนึ่ง แล้วก็เสื้อโค้ทด้วย เห็นราคาแล้วฉันคอย่นด้วยความกลัว

                ราคานั่น มันคืออะไรน่ะ…

                ฉันสะกิดลุคแล้วนะว่าไม่เอา แต่เขาสนใจที่ไหนกัน

                ตอนนี้เราออกมาจากห้างแล้ว แต่ลุคขอตัวไปจ่ายค่าอะไรสักอย่างที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านสะดวกซื้อ ฉันเองก็หนาวเหลือเกินไม่อยากจะไปตากแอร์ข้างในอีกแล้ว เลยขอยืนรออยู่ข้างนอก รออยู่ได้สักพักก็เห็นว่ามีคนทำกระเป๋าเงินหล่นที่พื้น

                ฉันเลยวิ่งไปเก็บแล้วก็วิ่งตามผู้หญิงคนนั้นไป เพราะฉันเองก็ทำกระเป๋าหาย ถึงรู้ว่ามันลำบากแค่ไหนเมื่อทำมันหายไปแบบนี้

                เพราะเป็นเวลาเลิกงานเลิกเรียนพอดี แถมฝนยังตกอีก คนเดินก็เยอะมาก ฉันเลยต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะวิ่งเอากระเป๋าเงินไปคืนผู้หญิงคนนั้นได้

                เธอทั้งขอบคุณทั้งขอโทษหลังจากได้กระเป๋าคืน ฉันก็ยิ้มอย่างดีใจ พอได้ช่วยเหลือคนอื่นเลยพอจะเข้าใจ ว่าลุคไม่ได้รำคาญฉันอย่างที่เขาพูด

                ถ้าฉันไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากเกินไปน่ะนะ…

                แล้วฉันก็รีบกลับไปยังร้านสะดวกซื้อที่ลุคเข้าไปทันที แต่แล้วฉันก็รู้สึกเย็นวาบจากหัวจรดเท้า

                ฉันจำไม่ได้ว่าร้านไหนที่ลุคเข้าไป เพราะแถวนี้มีร้านสะดวกซื้อตั้งติด ๆ กันเต็มไปหมด แถมคนก็ยังเยอะอีกด้วย ฉันใจหายทำอะไรไม่ถูก รีบวิ่งเข้าไปร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด แต่ก็ไม่เจอเขาเลย

                ทำยังไงดี ฉันตัวคนเดียว ไม่อะไรอะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียว…

                โชคดีแค่ไหนที่เมื่อวานลุคหิ้วกลับไปด้วย แต่ตอนนี้ไม่มีเขาอยู่ด้วยอีกแล้ว สายฝนก็เทลงมาทำให้ฉันร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

                ความรู้สึกบางอย่างมันกระแทกเข้าใส่ไม่หยุด ทำให้หายใจไม่ออก ร่างกายก็ชาไปหมด เกลียดตัวเองเหลือเกินที่มาอ่อนแอเอาในเวลาแบบนี้

                ฉันได้แต่ยืนร้องไห้อยู่คนเดียวท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ผู้คนเริ่มหลบเข้าในที่ร่มและหยิบร่มขึ้นมากางกันฝน

                ยกเว้นฉันที่ร้องไห้อยู่คนเดียว ท่ามกลางถนน ตรอก ซอกซอยที่ไหนก็ไม่รู้

                ทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงต่อไปดี…

                “มีมี่!”

                แล้วฉันเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนเรียกชื่อ

                “อย่าเดินไปไหน อยู่ตรงนั้น!”

                ฉันเงยหน้าขึ้นมองซ้ายมองขวา ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกใครสักคนวิ่งเข้ามาสวมกอดเอาไว้

                “ให้ตายสิ! เธอทำให้ฉันเกือบจะเป็นบ้า”

                เสียงนี้…

                “ลุค!”

                “ให้ตายสิ ฉันจะทำยังไงกับแมวจรจัดอย่างเธอดีนะ มีมี่…”

     

    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว

    มู่เลยนำมาทำ E-Book เอง

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb

    กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลย

    ขอบคุณจากใจค่ะ


     

    หรือ >>Click!!<<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×