ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #11 : Carlo`s Eyes ✿ | Re-write Ver. Ep02

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 64


    http://38.media.tumblr.com/0929cbc15fe592e946f937af457e5b31/tumblr_ndy1ekJf1p1qbetfwo3_1280.png

     


     

     

    Carlo’s Eyes 02

    ~I’m Still in Love but All I Heard Was Nothing~

     

             ฉันนั่งทำหน้ามึนงงและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                ใช่… ฉันไม่โกหกตัวเองว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคาร์โลน่ะลึกซึ้งมากกว่าพี่น้องกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้นี่สิ มันทำให้ฉันแทบจะล้มทั้งยืนให้ได้

             ฉันถอนหายใจทำอะไรไม่ถูก เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะมันรวดเร็วซะจนตั้งรับแทบไม่ทัน ฉันท้องกับคาร์โลอย่างนั้นเหรอ แค่คิดก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นแล้ว ฉันทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดฝันว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย เพราะที่ผ่านมาคาร์โลป้องกันเสมอ

                แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีอะไรที่มันป้องกันได้เต็มร้อยหรอก แล้วตอนนี้ฉันก็ยังเรียนอยู่ด้วย แล้วหลังจากนี้ฉันจะเป็นยังไง แค่คิดก็ยังกลัวจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ ฉันนั่งนิ่งอยู่กับที่แม้เวลาจะผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว และถึงเวลาเข้าเรียนแล้วด้วย

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง พอเห็นเบอร์โทร์ที่โทรเข้ามาทำให้ฉันยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรีบรับสาย

                “ไง เอื้อง…” ฉันพึมพำเสียงแผ่ว

                คนที่โทรเข้ามาน่ะคือ อิงเอื้อง เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนที่ฉันมี เราสองคนไม่ได้เรียนที่เดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ติดต่อพูดคุยกันบ่อยๆ และก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับคาร์โลฉันก็อยู่หอเดียวกับอิงเอื้องมาก่อน และจนถึงเดี๋ยวนี้เราสองคนก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

                (ไงแก้ว… วันนี้ว่างป่ะ อยากชวนออกมาหาอะไรกินข้างนอกน่ะ) เสียงใสของอิงเอื้องถามมาตามสายทำให้ฉันเม้มปากแล้วก็ครุ่นคิด

                ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องว้าวุ่นอยู่ในอก เหมือนมีหินหนักๆ ทับอยู่บนอกและยากที่จะยกมันออกไป

                “อือ…” ฉันยังไม่รู้ว่าจะออกไปข้างนอกเลยไหม เพราะตอนนี้ยังมีอีกหลายต่อหลายเรื่องให้ต้องคิดต้องกังวล

                (เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ น่าแก้ว… ออกมาเจอกันหน่อยนะ) อิงเอื้องอ้อนมา ฉันเลยถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนก็ยังได้ยินมัน

                “เฮ้อ…”         

                (ถอนหายใจออกมาทำไมล่ะแก้ว น่านะ มาเจอกันเถอะ) เธอพูดมาตามสายฉันเลยพยายามคิดทบทวนอีกครั้ง

                เพราะถ้าฉันเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องอย่างนี้มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเหมือนกันนั่นแหละ อิงเอื้องก็เป็นเพื่อนสนิทของฉัน ดังนั้นฉันเลยคิดว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปคุยปรึกษาด้วยมันก็น่าจะดีเหมือนกัน

                “ได้ แล้วเจอกันที่ไหนดีล่ะ” ฉันยิ้มบางๆ ถึงแม้ว่าข้างในจะยังกังวลและหนักอึ้งอยู่มากเหลือเกิน

                (งั้นเจอกันที่ค็อฟฟี่ช็อปร้านประจำของเราดีมั้ย?)

                “งั้นก็ได้ เอาเป็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่นั่นก็แล้วกันนะ” ฉันบอกไปเมื่อตัดสินใจได้แล้ว

                (โอเคจ้ะ… แล้วเจอกัน)

                ฉันวางสายจากอิงเอื้องอย่างหมดแรง เป็นนานกว่าจะพาตัวเองลุกออกจากเตียงได้ และเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างอ่อนล้า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉันถึงกับเซและไปไม่เป็น ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะต้องเดินไปทางไหนหรือต้องทำอย่างไรดี

                และที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องของคาร์โล…

             คนอย่างคาร์โลน่ะฉลาดเป็นกรดเจ้าเล่ห์มากกว่าอะไรทั้งนั้น และจากการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันมากว่าสองปีทำให้ฉันแน่ใจว่าเขาเชื่อ เชื่อว่าฉันท้องกับเขาแน่

                แต่ที่ฉันยังไม่รู้และไม่แน่ใจคือความรู้สึกของเขา

                คาร์โลจะรู้สึกยังไงนะ ถ้าหากรู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ แค่คิดมันก็ทำให้ฉันทรมานเหมือนกลืนยาพิษลงคอเสียแล้ว

                “คาร์ล… ฉันต้องทำยังไงดี…”

     

                หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ออกมาเจอกับอิงเอื้องที่ร้านกาแฟ ซึ่งเพื่อนได้สั่งกาแฟรสโปรดที่ฉันชอบเอาไว้รออยู่แล้ว

                “มอคค่าของโปรดไง…” อิงเอื้องยิ้มเมื่อฉันเดินไปหาที่โต๊ะแล้ว

                “ขอบคุณนะ ช่วงนี้เราไม่เจอกันเลย เป็นยังไงบ้าง” ฉันถามและทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอย่างเนือยๆ ความอิดโรยของฉันคงทำให้เพื่อนสังเกตเห็น อิงเอื้องเลยถามคำถามที่จี้หัวใจเหลือเกิน

                “ฉันสบายดี แต่เธอนั่นแหละ โอเคมั้ยกับคาร์ล…”

                ชื่อของคาร์โลทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวด เหมือนมันถูกโยนลงกับกองเศษแก้วที่แตกร้าวและคลุกอยู่อย่างนั้นจนเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ

                “แบบนี้ไม่โอเคแน่เลย” อิงเอื้องหัวเราะแห้งๆ แล้วก็หลุบเปลือกตาลง

                เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกันดังนั้นเลยไม่มีความลับต่อกัน ฉันยิ้มบางเบาแล้วก็ถอนหายใจก่อนจะไหวไหล่

                “เธอก็รู้ ว่ามันไม่เคยโอเคอยู่แล้ว” พูดไปฉันก็อยากจะร้องไห้

                ทำไมล่ะ ทำไมเราถึงต้องกลายมาเป็นพี่น้องกัน ถึงจะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ก็เถอะ แต่ยังไงมันก็ไม่ดีอยู่ดีนั่นแหละ และที่เหนือกว่าอะไรทั้งนั้น คือความคลุมเครือไม่ชัดเจนของคาร์โล ที่ฉันไม่รู้เลยว่าข้างในใจของเขาเป็นยังไงกันแน่

                ฉันเคยถามนะ ถามว่าระหว่างเราสองคนน่ะมันคืออะไรกันแน่ แต่เขาก็บอกคำตอบที่ทำให้ฉันยังจำได้จนถึงตอนนี้อย่างขึ้นใจ

                “ก็เหมือนอย่างที่เธอคิดยังไงล่ะแก้วใส…”

                คำตอบของเขาทำให้หัวใจของฉันพองโต และหลงคิดว่าความสัมพันธ์ของเราน่ะ คือ ‘คนรัก’ เหมือนคู่รักอื่นๆ ทั่วไป

                แต่เมื่อเขาแนะนำให้เพื่อนของเขารู้จักกับฉัน ว่าฉันเป็นเพียงแค่ ‘พี่สาว’ ของเขา ฉันเลยรู้ทันทีว่าฉันน่ะฝันเฟื่องไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น

                “ไม่โอเคเลยเหรอ” อิงเอื้องถามเบาๆ ดึงฉันออกจากความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ฉันกะพริบตาได้สติก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ไป

                “ไม่อยู่แล้ว”

                “แต่เธอก็ยังคบกับเขา” เธอว่าคิ้วเรียวนั้นขมวดชิดน้อยๆ เหมือนไม่พอใจกับคำตอบของฉัน

                “มันหมายความว่าไงแก้ว ฉันคิดว่าเธอกับคาร์ลตกลงเข้าใจกันแล้วซะอีก แบบนี้มันไม่ดีเลยนะ”

                เรื่องนั้นไม่ต้องบอกฉันก็รู้อยู่แล้ว แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ก็ในเมื่อฉันน่ะทั้งโง่งี่เง่าแล้วก็ไม่เอาไหนเลย จะขัดจะแย้งคาร์โลสักครั้งยังไม่กล้า สุดท้ายเรื่องมันเลยลงเอยอย่างนี้ไงเล่า

                “แต่ตอนนี้ฉันเลิกกับเขาแล้ว เลิกจริงๆ…” ฉันตอบไป ไม่สบายใจอย่างที่เคยคิดเอาไว้เลย ตรงกันข้ามฉันทั้งกลัวแล้วก็อยากจะร้องไห้ตลอดเวลาเลยด้วย เหมือนว่าโลกทั้งใบของฉันมันเปลี่ยนไปแล้ว คนที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ก็คือคาร์โลคนนั้นนั่นเอง

                “เลิกกัน… แต่ตามตัวของเธอยังมีรอยจูบของเขาอย่างนี้เนี่ยนะ?” อิงเอื้องถามเสียงสูงคิ้วยังขมวดเหมือนเดิมไม่คลาย ฉันเลยตกใจและอายจนหน้าแดงก่อนจะยกมือทาบต้นคอของตัวเองเอาไว้ เพราะที่ตรงนั้นมันเป็นที่โปรดที่เขาขอบจูบ แต่เดี๋ยวนะ ทำไมฉันต้องคิดถึงเขาอีกแล้ว ฉันล่ะเกลียดตัวเองจริงๆ ให้ตายเถอะ

                “ฉันเลิกแล้วเอื้อง…”

                “ท่าทางการสั่งลาของเขาจะจัดหนักมากเลยนะ” เธอประชด ฉันเลยร้อนผ่าวไปทั้งหน้าทั้งตัว

                ฉันเกลียดคาร์โล… เพราะเขาไม่เคยเลยที่จะคิดว่าร่องรอยที่เขาทิ้งเอาไว้มันจะทำให้คนอื่นเห็นหรือเปล่า แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ คนที่ร้ายกาจเอาแต่ใจตัวเอง มั่นใจตัวเองสูงน่ะเหรอจะใส่ใจสนใจใคร

                “แล้วทำไมยังหน้าเศร้าล่ะ เธออยากเลิกสถานะนั้นกับคาร์ลมาตั้งนานแล้วนี่ หรือเสียใจที่เลิกกับเขา” อิงเอื้องยังถามไม่หยุด ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้ แต่คิดว่าถ้าได้คุยออกไปแล้วมันก็ทำให้หัวใจและสมองของฉันโล่งขึ้นบ้างที่ได้ระบายออกไป

                “หรือมีเรื่องอื่นที่ใหญ่กว่านั้น?”

                ฉันถูกเขม้นมอง แล้วคนอย่างแก้วใสน่ะโกหกหรือกลบเกลื่อนเรื่องอะไรไม่เก่งเอาซะเลย ฉันหลบสายตาของอิงเอื้องเป็นพัลวัน และเกลียดนิสัยข้อนี้ไม่ต่างจากการที่ไม่ยอมมีปากเสียงกับคาร์โลไม่น้อยกว่ากันเลย

                “แก้ว… มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ” อิงเอื้องเริ่มคาดคั้น ฉันเลยหลบสายตาและบีบมือตัวเองอย่างกังวลใจ

                “แก้ว… อย่าบอกนะ” อิงเอื้องไม่ยอมให้ฉันหลบสายตา คว้าแก้มของฉันแล้วก็บีบเบาๆ บังคับให้ฉันสบสายตาด้วย

                “เธอท้องเหรอ?”

                ร่างกายของฉันเย็นวูบเหมือนหล่นลงไปในธารน้ำแข็งที่เย็นเยียบ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เหงื่อเย็นๆ ก็ผุดซึมทั่วร่างกายเหมือนเป็นไข้ตัวร้อนมีอุณหภูมิร่างกายสูงลิ่ว…

             “ทำไม… รู้” ฉันอึกอัก ช่องท้องหดวูบมันทรมานอย่างบอกไม่ถูก

                “ผู้หญิงจะมีเรื่องอะไรให้ต้องกลัวกันอีกล่ะนอกจากเรื่องแบบนี้ เธอมีแฟนแล้ว… อีกอย่างหมอนั่นไม่เคยละเว้นเธอเลยสักครั้ง เรื่องง่ายๆ แบบนี้ทำไมจะมองไม่ออกล่ะ” อิงเอื้องพูดด้วยน้ำเสียงสีหน้าเป็นกังวลไม่ต่างจากฉัน

                “แล้วจะทำยังไง จะบอกเขามั้ย?”

                “ฉันก็ไม่รู้… ฉันเพิ่งขอเลิกกับเขาไปเองนะ” ฉันถอนหายใจ รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ ร้อนผ่าวที่ปลายจมูกและกระบอกตาอย่างห้างไม่อยู่

                “แล้วมั่นใจเหรอว่าท้องจริงๆ”

                ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่ทำให้เพื่อนต้องมาเป็นกังวลด้วยอย่างนี้ แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยเวลานี้ฉันก็ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพังอย่างที่กลัวมาตลอด

                “ฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจดูแล้ว มันขึ้นมาสองขีดที่บอกว่าท้องน่ะ…” ฉันตอบเสียงแผ่ว หน้ามืดเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ อิงเอื้องเอื้อมมือมาบีบมือของฉันเบาๆ เหมือนจะปลอบใจและให้กำลังใจ ดังนั้นฉันเลยพยายามฝืนยิ้มและเชิดหน้าเดินต่อไป

                “งั้นพรุ่งนี้ตรวจอีกทีนะ แล้วเราค่อยมาคิดกันว่าหลังจากนี้จะเอายังไง”

                ฉันพยักหน้าแทนคำตอบให้เพื่อน มันเป็นเรื่องที่ฉันก็กังวลอยู่ลึกๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ฉันถอนหายใจ จินตนาการใบหน้าของคาร์โลไม่ออกเลย ว่าถ้าหากเขารู้ความจริงเรื่องนี้ แล้วเขาจะเป็นยังไง

                “ไม่ต้องห่วง ฉันจะคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอเองนะแก้ว อย่ากลัวไปเลย”

                “ขอบคุณนะเอื้อง… ขอบคุณมากจริงๆ…”

                หลังจากนั้นเราก็เลิกคุยกันเรื่องนี้ ฉันรู้ดีว่าอิงเอื้องมีเรื่องอีกหลายอย่างที่อยากจะซักไซ้ถามฉันให้กระจ่าง แต่เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะพูดหรือบอกอะไรดังนั้นเธอเลยไม่ถาม จากนั้นก็ชวนฉันออกไปดูหนังที่ไม่ได้ดูกันมานานแล้ว แล้วก็ไปหาอะไรทานก่อนจะเดินเข้าร้านขายยาเป็นสิ่งสุดท้าย…

             มือของฉันสั่นน้อยๆ ตอนที่รับที่ตรวจครรภ์มาจากเภสัชกร…

             ฉันต้องผ่านเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวอีกครั้ง ที่มันทำให้รู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปในสระน้ำที่ลึกสุดลึกจนไม่เห็นก้นบึ้งอะไรทั้งนั้น มันเย็นเยียบ มืดมิด และไร้ทางออก…

     

    Carlo’s talking…

             “คืนนี้กูจะให้ผู้หญิงมานอนที่นี่… เพราะงั้นมึงกลับไปซะคาร์ล…” ร็อบบอกกับผม เมื่อผมมาขลุกอยู่กับมันได้สองวันแล้ว

                “อะไรวะ ทิ้งเพื่อนงั้นเหรอ!?” ผมพึมพำอย่างหงุดหงิด แล้วก็ขยับตัวอย่างหัวเสียบนเตียงของมัน

             “เฮ้ย กูพูดจริงๆ เดี๋ยวเด็กกูจะมาเก็บห้องให้ ตอนนี้มึงก็เห็นว่ามันรกนรกมากแค่ไหน กลับไปเหอะ” ร็อบไม่ละความพยายามบอกกับผม

             “นี่เพิ่งเจ็ดโมงเองนะ กูไม่อยากกลับ!”

                ขืนกลับไปเจอกับแก้วใสมีได้อารมณ์ขึ้นอีกอ่ะ ครั้งนี้คงไม่รับประกันว่าจะทำอะไรยัยนั่นบ้าง ฮึ่ย คิดขึ้นมาแล้วก็หงุดหงิดจริงๆ ให้ตายเถอะ

                “มึงไม่กลับไปทำอะไรให้แก้วกินเหรอวะ สองวันแล้วนะเว้ย…” เพื่อนผู้น่ารักกวนกลับมา ผมเลยหรี่ตามองด้วยความไม่พอใจ แต่ไอ้ร็อบมันเอาแต่หัวเราะจนน่าถีบแรงๆ

                “พวกเรารู้กันทั้งนั้นแหละว่ามึงแคร์แก้วแค่ไหน กลับไปเหอะ กูอยากมีเวลาเป็นส่วนตัว ไม่งั้นมึงก็ไปกวนคนที่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสิวะ!” ร็อบเริ่มโวยวาย ผมเลยยันตัวเองขึ้นมาจากเตียงอย่างหงุดหงิด พร้อมกับจ้องหน้าเพื่อนอย่างจับผิดไปด้วย

                “งั้นยอมรับแล้วสินะว่าคนนี้มึงจริงจัง” ผมพูดถึงผู้หญิงที่มันพูดว่าจะมาหาวันนี้ เห็นร็อบนิ่งไปวูบหนึ่งก่อนที่มันจะไหวไหล่ ซึ่งเดาไม่ออกว่ามันหมายความยังไงกันแน่

                “เออ งั้นกูไปล่ะ มึงก็เหมือนไอ้ซิมม์ มีเมียแล้วลืมเพื่อน!” ผมแกล้งประชด แต่มันหัวเราะอย่างมีความสุขซะงั้น

                ช่วงนี้ผมอารมณ์เสียหงุดหงิดเลยไม่อยากเห็นใครมีความสุข ดังนั้นเลยต้องพาตัวเองกลับคอนโดก่อนจะกลายเป็นฆาตกรโหดฆ่าเพื่อนตายอย่างเหี้ยมโหด

                หัวใจของผมเต้นแรงอยู่วูบหนึ่งเมื่อตอนที่เดินกลับเข้าห้อง มันวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องของแก้วใสอย่างเดียวเท่านั้น แต่เธอออกจากห้องไปแล้ว ร่องรอยในห้องบอกว่าเธอยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิม ทำให้หัวใจที่มันว้าวุ่นของผมสงบนิ่งลงอย่างน่าเหลือเหลือเชื่อ

                “ใจเย็นคาร์ล… ก็แค่เมียเก่าที่อยู่บ้านเดียวกัน คิดแค่นั้นสิวะ” ผมบอกตัวเอง และน่าหัวเราะสุดๆ เพราะการคิดถึงแก้วใสทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะเห็นหน้าเธอมากกว่าอะไรทั้งนั้น

                ผมเดินเข้าห้องตั้งใจจะอาบน้ำ แต่บังเอิญว่าแชมพูหมด จะไปหาจากข้างนอกก็ไม่รู้ว่าแก้วใสเก็บของไว้ที่ไหน ดังนั้นผมเลยถือวิสาสะเดินเข้าห้องนอนของแก้วใสแทน

                แล้วไงล่ะ ผมทำอย่างนี้ประจำอยู่แล้ว ผมพยายามบอกตัวเองและเดินเข้าห้องน้ำในห้องนอนของเธอ

                จำไม่ได้แล้วแฮะว่าเคยเข้าห้องนี้ตอนไหน เพราะปกติเราจะอยู่ในห้องของผมเสมอ

                “Shit, What the hell you’re thinking about Carl…” [เชี่ย แกคิดบ้าอะไรวะคาร์ล] ผมด่าตัวเองเมื่อสมองคิดถึงตอนที่เราอยู่ด้วยกันซะอย่างนั้น น่าสมเพชจริงๆ คาร์โล…

             ผมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำของแก้วใส ตอนที่คว้าขวดแชมพูติดมือมาสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ตกอยู่ในถังขยะเข้า เพราะมันสะกิดใจดังนั้นผมเลยโน้มตัวและหยิบมันขึ้นมาจากถังขยะ

                …ผมอึ้งอยู่นาน และเห็นว่ามันคือที่ตรวจการตั้งครรภ์

                และมันบอกว่าคนที่ใช้มันก่อนหน้านี้… กำลังท้องอยู่

             แล้วใครล่ะที่จะใช้ไอ้นี่… ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่มีชื่อว่าแก้วใส

                “เธอท้องอยู่งั้นเหรอ?” ผมพึมพำกับตัวเองด้วยความกังวลอยู่ลึกๆ ความรู้สึกหลายอย่างมันตีกันปะปนอยู่ในอกข้างซ้าย แต่หนึ่งในความรู้สึกพวกนั้นมันมีความดีใจอยู่ลึกๆ ซึ่งผมโกหกหรือปกปิดมันไม่ได้ด้วย

                “What’ve you done, Carl” [แกทำอะไรลงไป คาร์ล] สุดท้ายผมก็ได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจคำเดิมๆ เป็นนานโดยที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี

                “Shit…”

    End Carlo talk…

     

             เสียงฝนตกบอกได้เลยว่าตอนนี้สภาพจิตใจของฉันก็ไม่ต่างจากพวกมันเหมือนกัน ที่หม่นเศร้าแล้วก็เอาแต่ร้องไห้ มันเป็นความรู้สึกที่สลัดออกจากใจไม่ได้เลยจริงๆ

                อากาศที่เย็นชื้นทำให้ฉันรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ได้ตลอดเวลา และเริ่มจะจามบ้างแล้วเหมือนกัน

                ฉันโทรไปหาอิงเอื้องตั้งแต่เช้าหลังจากที่ทดสอบกับชุดทดสอบการตั้งครรภ์แล้ว และพบว่า ฉันน่ะกำลังท้องอยู่จริงๆ เพราะมันขึ้นขีดสองขีดเหมือนครั้งก่อน และไม่มีอะไรจะแย้งได้ว่าฉันไม่ได้ท้อง…

             แหงล่ะ เอาเถอะ ตอนนี้ฉันกำลังปวดหัวสุดๆ เหมือนว่ามันใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่ออยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไงด้วย อิงเอื้องได้แต่บอกว่าให้ฉันใจเย็นๆ แล้วค่อยมาปรึกษากันอีกครั้งว่าจะทำยังไงต่อไป แต่ใจหนึ่งฉันก็มีคำตอบให้ตัวเองได้แล้วว่าจะเดินไปทางไหน

                ในเมื่อฉันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้น เพราะงั้นฉันเลยต้องรับผิดชอบยังไงล่ะ

                เพียงแต่ว่าฉันไม่แน่ใจเลยจริงๆ ว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับคาร์โลหรือเปล่านี่สิ ฉันไม่เคยเดาอารมณ์ของเขาได้เลย… ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าควรจะคุยกับเขาไหม

                ตอนเลิกคลาสธีร์โทรมาหาฉัน ไม่รู้ว่าเขาโทรมาทำไม แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้วเลยไม่รับสาย ไม่อยากจะว้าวุ่นใจไปมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเป็นห่วงและอยากคุยในฐานะของเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่สภาพของฉันสิ แบบนี้ควรจะรับสายเขาทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าฉันอยากสานสัมพันธ์ต่อหรือไง

                เพราะอย่างนั้นฉันเลยเลือกที่จะเป็นนางร้ายแสนเย็นชา หรือไม่ก็คนโง่ๆ คนหนึ่งที่เห็นแก่ตัวไม่รับสายของเขา นั่นแหละ วิธีการที่ฉันทำ…

             และเมื่อเดินออกมาจากคลาสฉันก็ต้องตกใจจนลืมวิธีการหายใจและการเดินไปโดยปริยาย เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนที่ฉันเอาแต่วนเวียนคิดถึงแต่เรื่องของเขาตลอดเวลา

                ใช่… ฉันหมายถึงคาร์โล

                ฉันจำเขาได้ทันทีแม้ว่าเขาจะสวมฮู้ดปิดหน้าปิดตาอยู่ก็ตาม แรงสั่นสะเทือนจากหัวใจทำให้ร่างกายของฉันสั่นสะท้านเล็กน้อย และคาร์โลกลายเป็นจุดสนใจของสายตาคนอื่นๆ ที่พากันทยอยเดินออกมาจากคลาสเรียน

                ถึงจะโง่ แต่ฉันก็ไม่ได้โง่เกินกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าตอนนี้คาร์โลตั้งใจมาหาฉันโดยตรง

                กว่าจะรวบรวมความกล้าได้ก็ผ่านไปกว่านาทีฉันถึงพึมพำพูดกับเขาออกไป

                “มีอะไรงั้นเหรอ…” พอถามจบร่างสูงของคาร์โลก็ขยับตัวเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ฮู้ดที่เขาสวมอยู่มันขยับร่นลง เผยให้เห็นเสี้ยวใบหน้าของเขา

                และแม้ว่าจะเพียงแค่เสี้ยวหน้าเล็กๆ ของเขา ก็เห็นความหล่อเหลาโดดเด่นชัดเจน เป็นจุดสนใจของผู้คนอยู่เสมอ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันไม่อยากอยู่ใกล้เขาอีกต่อไป ทำไมรู้ไหม เพราะสายตาจองทุกคนจะมองเขา ก่อนจะเลยมองฉันมาตลอด ซึ่งมันไม่ใช่สายตาที่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย

                “ฉันมีธุระอยากคุยด้วย” เขาพูดพลางพ่นควันบุหรี่สีขาวขุ่นออกมาด้วย ฉันเลยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสูบบุหรี่อยู่

                ก็ตามนิสัยของคาร์โลนั่นแหละ… เขาทั้งดื่มทั้งสูบ แต่ทำไมถึงได้แข็งแรงกว่าฉันก็ไม่รู้

                “อะไรเหรอ” ฉันถาม และโล่งใจขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมคลาสทยอยกันเดินออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสายตาหลายคู่จ้องมองคาร์โลอยู่

                แน่ล่ะว่าคาร์โลเป็นคนดังคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาเอาเรื่อง เลยไม่แปลกที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนมักจะเป็นจุดสนใจอยู่ทุกครั้งไป

                “ฉันคิดว่าเรื่องนี้เธอน่าจะรู้อยู่แล้วนะ” คิ้วเข้มของคาร์โลเลิกสูง เขาหย่อนก้นบุหรี่ที่สูบจนเกือบหมดมวนแล้วลงในกระป๋องกาแฟที่ถือติดมือมาด้วย สีหน้าท่าทางบอกว่าพร้อมรบได้ทุกเมื่อจนฉันใจสั่น

                “อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้แก้วใส”

                ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาต้องการจะบอกอะไร… แต่อะไรบางอย่างก็พาให้สังหรณ์ใจอยู่ลึกๆ เหมือนกัน

                “มีอะไรเหรอ…”

                เออ ฉันมันบ้า ฉันมันโง่ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าพูดแบบนี้ออกไปคาร์โลจะโกรธ แต่ฉันก็ไม่เคยเข็ด แกล้งโง่แกล้งแบ๊วอยู่ได้ ฉันเกลียดเธอจริงๆ ยัยแก้วใส!!

             “ไอ้นี่น่ะ ฉันมาเพราะไอ้นี่…”

                คาร์โลชูอะไรบางอย่างที่ดึงออกมาจากกระเป๋ากางเกง สิ่งนั้นมันทำให้ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อมันลอยมาถึงตรงหน้าฉัน พอจะคว้ามันเอาไว้ เขาก็ดึงมันกลับไปได้อย่างว่องไวทันท่วงที

                “คาร์ล!” ฉันตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นสิ่งนั้นเขา

                มันคือที่ตรวจครรภ์น่ะสิ… ตอนแรกเข้าใจว่าเขาจะมาหาเรื่อง เรื่องที่ฉันขอให้เราสองคนยุติความสัมพันธ์บ้าๆ นั่นลง แต่ที่ไหนได้ มันเกิดอะไรขึ้น ฉันก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยเหมือนกัน

                “นี่อะไรแก้วใส” คาร์โลถาม แล้วก็โบกไปมาเหมือนจะให้คนอื่นเห็นด้วย ทำให้ฉันร้อนใจจนแทบอยากกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความร้อนใจ

                “หยุดนะ!”

                “นี่ของเธอเหรอ ทำไมถึงได้ตื่นเต้นลนลานอย่างนี้?”

                คำพูดของคาร์โลทำให้ฉันสะอึกอีกครั้ง และหยุดเคลื่อนไหวไปโดยปริยาย ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวและเหมือนจะชุ่มเหงื่อไปทั้งตัวด้วย

                “สรุปว่าของเธอ?” เขาถามพลางสูดจมูกน้อยๆ ทำให้ปลายจมูกโด่งเชิดใสๆ นั้นส่ายไปมา สายตาของฉันก็เอาแต่จ้องมองเขาไม่หยุดด้วยเช่นกัน

                “ฉัน…” ฉันเริ่มอยากจะร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร และไม่รู้จะตอบคำถามนั้นยังไงด้วย

                “ไงแก้วใส คำถามง่ายๆ แค่นี้ตอบไม่ได้เหรอ?” สีหน้าเอาเรื่องของคาร์โลทำให้ฉันเริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง

                ทำไมฉันต้องคอยรองรับอารมณ์ของเขาอยู่ฝ่ายเดียวตลอดเลยด้วย ทั้งที่เรื่องนี้ฉันสาบานได้ว่าฉันไม่ได้เป็นคนผิดเลยแม้แต่น้อยน่ะ

                “แล้วนายไปทำใครท้องมาหรือเปล่าล่ะ” ด้วยความหงุดหงิดทำให้ฉันประชดบอกออกไปแล้วก็กัดปากไว้แน่น

                “โอ้ว… ใช่เลย ฉันทำผู้หญิงที่ชื่อมณิการ์ท้องล่ะ รู้จักมั้ยล่ะแก้วใส…”

                ร่างกายของฉันร้อนไปหมดกับคำพูดร้ายกาจของคาร์โล เพราะชื่อมณิการ์น่ะ คือชื่อจริงของฉันเอง

                “ไง อุ้มท้องลูกฉันอยู่นี่ จะทำยังไงต่อดีล่ะ” ร่างสูงของคาร์โลย่อตัวลงจนระดับสายตาของเราเท่ากัน เพราะเขาสูงกว่าฉันร่วมยี่สิบเซ็นต์ และเมื่อได้ประสานสายตากับเขาฉันก็แทบจะร้องไห้

                ผู้ชายเอาแต่ใจร้ายกาจอย่างคาร์โลเข้าไปทำอะไรในห้องนอนของฉัน หลังจากที่เขาไล่ฉันอย่างไม่สนใจไยดีแล้วแท้ๆ แล้วก็ไปค้นเอาที่ตรวจครรภ์ออกมาจากถังขยะเนี่ยนะ ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วใช่ไหมน่ะ

                “แล้วนายอยากให้ฉันทำยังไงล่ะ” ฉันถามเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาไหวระริกไม่โกหกว่าตอนนี้ฉันทั้งกลัวและกังวลมากกว่าอะไรทั้งนั้น กลัวจนน้ำตาจะไหล ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความตกใจเมื่อเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ราวกับว่าเรากำลังจะจูบกันเข้าแล้ว…

             แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ฉันเลยขยับตัวเบี่ยงหน้าหนี ทำให้ปลายจมูกและเรียวปากอุ่นระอุของคาร์โลแนบลงที่แก้มของฉันแผ่วเบา แต่นั่นทำให้ฉันสั่นสะท้านรีบถอยห่างออกมาอีกสองสามก้าวแล้วก็แกล้งเสหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูและรับสายอย่างสั่นๆ

                “ไงธีร์…”

                แต่ฉันพูดได้คำเดียวเท่านั้น เพราะคาร์โลคว้ามือถือของฉันออกไปอย่างรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัว

                “ไปตายซะ อย่าโทรมายุ่งกับเมียชาวบ้านอีก!!”

                ฮึก… ฉันเป็นเมียของเขาเมื่อไหร่กันล่ะ ฉันตัดพ้อต่อว่าทางสายตา และเหมือนว่าคาร์โลเองก็รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ในใจเลยเปลี่ยนคำพูดในประโยคต่อมา

                “อ้อ… อย่าเพิ่งเข้ามายุ่งได้มั้ย ตอนนี้ผัวเก่าเมียเก่ากำลังจะคุยกันอยู่ อย่าเสือก!”

                เฮือก… ผู้ชายคนนี้หยาบคายที่สุดเลย!!

     

             ฉันทะเลาะกับเขายกใหญ่ ฉันร้องไห้โฮตรงนั้นแหละ กับความร้ายกาจของเขา

                สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าถูกคาร์โลลากตัวออกมาจากตึกเรียนตอนไหน มาได้สติก็ตอนที่อยู่บนรถของเขาแล้วนี่แหละ ฉันเลยเงียบกริบทันทีทันใด

                “พอขึ้นรถแล้วเงียบเหมือนหุ่นถ่านหมดเลยนะ ทำไมไม่ร้องไห้แบบเมื่อกี้อีกล่ะ!” คาร์โลกระแทกเสียงเข้าใส่ ฉันเลยยกหลังมือเช็ดน้ำตาออกด้วยความหัวเสีย

                “อ้อ ลืมไป… มันเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ สินะ” เขาพึมพำแล้วก็ออกรถอย่างนุ่มนวล

                คำพูดที่ฟังดูเจ้าเล่ห์หน่อยๆ นั้นทำให้ฉันหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ คาร์โลแสยะยิ้มร้ายกาจจนใจฉันเต้นแรง

                แก้วใสคนนี้ก็แปลก พอเขายิ้มร้ายๆ มาให้ก็เอาแต่ใจเต้นอยู่นั่นแหละ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะเลิกเกลียดตัวเองได้สักทีกันล่ะ

                “เธอแสดงออกว่าเป็นเมียขี้หึง เหวี่ยงวีนไปทั่วไม่ใช่เหรอ”

                ฉันเม้มปากแน่นก่อนจะเสมองไปทางอื่น ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงให้ตัวเองได้อาย ก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่นก่อนจะพักสายตาด้วยการหลับตาลง ไม่อยากจะเห็นจะมองหรือได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว เสียงของคาร์โลยังพึมพำแว่วมาแต่ฉันไม่ไม่อยากจะฟัง เขาอยากจะพาไปฆ่าไปแกงที่ไหนก็สุดแล้วแต่เขาก็แล้วกัน

                คิดแล้วฉันก็ผล็อยหลับไปหลังจากนั้น เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน มัวแต่คิดวนเวียนเรื่องท้องหรือไม่ท้องนี่แหละ มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้กลิ่นบุหรี่และน้ำหอมสำหรับผู้ชายจางๆ เข้ามาใกล้ตัวเอง และสัมผัสบางๆ ที่แก้มของตัวเอง ลืมตาขึ้นและทันเห็นว่าคาร์โลดึงเอาเสื้อแจ็กเก็ตของเขาที่คลุมตัวของฉันก่อนหน้านี้ออกไปและสวมอย่างรวดเร็ว

                และที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจอีกอย่างหนึ่ง คือการที่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่ในรถเลยสักนิดเดียว นอกจากลมหายใจที่ติดค้างจางๆ ของคาร์โลเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วที่ผ่านมาในรถของเขาเนี่ยแทบจะเป็นดงดรายไอซ์เลยด้วยซ้ำไป

                ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องขยี้ตาเบาๆ แล้วก็ถอนหายใจนิ่งงันไปเมื่อคาร์โลลงจากรถไปอย่างเงียบเชียบไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น บางครั้งตัวฉันเองก็อาจจะเป็นคนที่ทำให้ตัวเองเจ็บซะเองก็ได้

                คิดเองก็น้ำตาซึมเอง ฉันมาตกใจอีกครั้งตอนที่ประตูรถฝั่งที่นั่งอยู่เปิดออก ตามด้วยสีหน้าบึ้งตึงของคาร์โลที่ยืนรออยู่แล้ว

                “ลงมา…” เขาบอกสั้นๆ แต่แสนได้ใจความ

                ฉันไม่รู้ว่าจะขัดขืนดื้อดึงไปเพื่ออะไร ดังนั้นเลยขยับตัวลงจากรถอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็พบว่าเขาพาฉันมาที่ร้านอาหารเพื่อนของเขาที่ชื่อเคลย์นั่นเอง

                “ช้าจริง” ปากบ่นแต่คาร์โลก็คว้าแขนของฉันเดินเข้าร้านไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่พยายามก้าวเท้าเดินตามให้ทันเขาเท่านั้น เขาคงหิวและมาหาอะไรกิน

                “เฮ้ย… ไม่มานั่งที่เดิมเหรอ” เสียงเคลย์เอ่ยทักทาย ดูเหมือนว่าที่นั่งเดิมที่เรานั่งด้วยกันคราวก่อนน่ะจะเป็นที่นั่งประจำของเขา แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลที่เขาลากไปนั่งที่อื่นแทนมันเพราะอะไร ฉันรู้ว่าคาร์โลอยากคุยด้วยเลยไม่อยากโวยวาย รีบคุยจะได้รับจบเรื่องกันซะที ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่า เรื่องมันจะจบลงด้วยดีอย่างที่หวังเอาไว้หรือเปล่า

                “ไม่ล่ะ วันนี้นั่งตรงนี้”

                “แปลก วันนี้แกนั่งที่นั่งไม่สูบบุหรี่ ไม่สบายเหรอ” เสียงเคลย์พึมพำ ตามด้วยเสียงสบถบางอย่างของคาร์โลที่ฉันฟังไม่ถนัด

                ฉันช้อนสายตามองคาร์โลอย่างสงสัย ราวกับว่าเขามีบางอย่างที่ปิดบังเอาไว้ แต่สุดท้ายก็หลบสายตากับคำพูดที่แสนเป็นมิตร…

             “มอง’ไร!”

             ถามมาแบบนั้นแล้วใครมันจะไปตอบได้กันเล่า…

     

                ฉันคิดว่าเราจะได้คุยกัน… แต่เปล่าเลย คาร์โลมีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาเป็นสิบๆ สาย คงเพราะวงดนตรี The Moxie ของเขานั่นแหละ ฉันเลยนั่งแกร่วกับเขาอย่างนั้นโดยไม่ปริปากพูดสักคำ กว่าจะมาถึงคอนโดได้ก็ดึกมากแล้ว แน่ล่ะว่าเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย ฉันหลบเข้าห้องนอน ยังเข้าหน้าเขาไม่ได้ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร

                เพราะเรื่องที่กำลังท้องอยู่… ทำให้ฉันคิดมากจนนอนหลับหลับ เวลาล่วงเลยผ่านเข้าวันใหม่ไปแล้วก็ยังข่มตาไม่ลง ฉันได้ยินกระทั่งเสียงเข็มนาฬิกาเดิน และได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง ฉันเริ่มกลัวและเกร็ง ไม่แน่ใจว่าคนที่เข้ามานั้นใช่คาร์โลด้วยหรือเปล่า

                ฉันกลั้นหายใจหลับตาลงแกล้งทำเป็นหลับ แต่ใจมันเต้นแรงเหลือเกินจนต้องโกรธตัวเอง

                “แก้วใส…” เสียงกระซิบเบาๆ บอกให้รู้ว่าเป็นคาร์โลอย่างที่คิดเอาไว้ เลยทำให้ฉันโล่งใจได้เล็กน้อย และไม่เข้าใจว่าเขาจะกระซิบเรียกทำไม เพราะปกติก่อนหน้านี้เขามักจะโวยวายตอนที่กลับมาดึกๆ ให้ฉันเอาน้ำและบอกให้ฉันหาอะไรให้เขากินอยู่เสมอ

                “แก้วใส…” คาร์โลกระซิบอีก ฉันกำลังจะขยับตัวเอ่ยรับคำแต่ว่าเตียงนอนต้องไหวยวบเมื่อเขาแทรกตัวเข้ามา

                คราวนี้ฉันยิ่งกว่าตกใจ เบิกตากว้างในความมืดเมื่อคาร์โลนอนใกล้ๆ และถูกกอดเอาไว้แนบแน่นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ฉันตกใจจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะเข้าใจการกระทำนี้ของเขาไปในทางไหนดี สัมผัสได้ถึงจูบอุ่นละมุนที่หน้าผาก มันทำฉันเศร้าจนน้ำตาซึม

                ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งก็ตอนเช้าตามเวลาตื่น… พอขยับตัวลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของคาร์โลอยู่ตรงหน้าแล้ว

                คาร์โลทำหน้างัวเงียเล็กน้อย แล้วเขาก็เบิกตากว้างก่อนจะออกแรงผลักฉันสุดแรงจนฉันกลิ้งตกจากเตียง และเจ็บไปทั้งตัว

                “แก้วใส!!”

     

                “ก็ใครใช้เธอ… เออ ช่างแม่งเหอะ!” คาร์โลพูดอย่างเคืองๆ ระหว่างที่ทำแผลให้ฉัน

                หลังจากที่เผลักฉันตกเตียงแล้ว ภายในสามวินาทีร่างของฉันก็ถูกอุ้มกลับขึ้นมาบนเตียงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาบอกว่าตกใจที่เห็นฉันนอนอยู่ด้วย เพราะคิดว่าเราเลิกกันแล้ว และแยกกันนอน!

             บ้าบอที่สุด!

             เมื่อคืนเขาเองไม่ใช่เหรอที่ดอดขึ้นเตียงมาด้วย เขายังกระซิบเรียกชื่อของฉันเลยเหมือนจะกลัวว่าฉันจะตื่นขึ้นมากลางคันน่ะ แล้วตอนเช้าพอฉันลืมตาตื่นเขาผลักฉันล้มได้ยังไงกัน คิดแล้วฉันก็เคืองจนน้ำตาซึม ฉันเข่าและศอกถลอกเล็กน้อย แต่ที่เจ็บคือใจต่างหาก…

             “นี่ห้องฉันนะ…” ฉันเตือน เพื่อบอกว่านี่เป็นห้องส่วนตัวของฉัน และเขาแอบเข้ามาเอง

                “ก็ฉันเมา…” คาร์โลแก้ตัวได้อย่างชุ่ยๆ ฉันจำได้ว่าตอนที่กลับออกมาจากร้านอาหารของเคลย์น่ะ เขาไม่ได้เมาเลย ไม่ได้ดื่มสักหยด แถมยังนั่งที่ที่นั่งห้ามสูบบุหรี่ด้วย แต่เถียงไปก็แค่นั้น ไม่ว่ายังไงเขาก็หาเรื่องเฉไฉได้ตลอดนั่นแหละ

                “แล้วไง ที่นี่ห้องของฉันใช่มั้ยล่ะ” เขาพูดอย่างเห็นแก่ตัว ฉันเลยปัดมือของเขาออกจากหน้าตัวเอง

                “เฮ้ย ทำแผลก่อนสิ หน้าช้ำๆ นะ” ใบหน้าของคาร์โลถมึงทึงแบบที่เห็นแล้วอยากจะตะกุยหน้าหล่อๆ ของเขาให้เป็นรอยหลายๆ รอยนัก

                “ฉันจะไปอาบน้ำ ยังไม่ต้องทำแผลหรอก นายก็ออกไปซะสิ ตอนนี้รู้แล้วนี่ว่ามันเป็นห้องนอนของฉันน่ะ” ฉันเอ่ยปากไล่ไม่ไว้ใจ ไม่สนใจว่าคาร์โลจะตกใจหรือไม่พอใจยังไง

                “หรือนายอยากจะให้ฉันย้ายออกไปจากที่นี่ นายจะได้พอใจ” ฉันตอบ ก่อนจะหลับตาลงเมื่อเขาแผดเสียงใส่

                “อย่ามาโง่นะแก้วใส! เราคุยกันยังไม่รู้เรื่อง ห้ามไปไหนทั้งนั้น ลองออกไปสิ ไม่ว่าเธอจะไปอยู่กับใครคนไหน ฉันจะเล่นงานให้ครบทุกคนไม่ไว้หน้าเลย คอยดูสิ!” เขาขู่มาแบบนั้นฉันเลยเสมองไปทางอื่นและเม้มปากแน่นด้วยความไม่ชอบใจ

                ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนจากการท้องอยู่หรือเปล่า แต่บอกเลยว่าตอนนี้ฉันเกลียดหน้าคาร์โลเป็นเท่าตัว

                “จะไปอาบน้ำก็ไป ฉันจะออกไปแล้ว และจะทำแผล…”

                จู่ๆ คาร์โลก็เงียบเสียงลงซะอย่างนั้น ฉันช้อนสายตาขึ้นมองแต่ร่างสูงก็สะบัดหมุนตัวกระแทกเท้าเดินหนีออกจากห้องไปอย่างอารมณ์เสียซะก่อน เหลือเชื่อจริงๆ เลยผู้ชายคนนั้น คนอย่างเขาน่ะต้องทำยังไงถึงจะทำให้เขาสำนึกได้บ้าง คิดไปก็เท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงคนอย่างแก้วใสก็เอาชนะเขาไม่ได้เลย

                “จะทำอะไร… จะทำให้ฉันร้องไห้น่ะสิ” ฉันพึมพำน้ำตาซึม นั่งเหม่อนที่เตียงอยู่นานแล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำอย่างระมัดระวัง

                “ทำยังไงดีนะเรา” ท้ายที่สุดฉันก็ไม่อาจจะสลัดความหนักอึ้งในใจออกไปได้ ฉันเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ไม่ว่ายังไงก็เดาใจเขาไม่เคยออกเลยสักครั้ง

             “คาร์ล… นายต้องการอะไรกันแน่”

     

                หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเดินออกมาข้างนอก ตั้งใจว่าจะหลบไปอยู่กับอิงเอื้องก่อน ดูๆ ไปแล้วคาร์โลคงไม่อยากคุยเรื่องลูก เขาเอาแต่หลบเลี่ยงไม่พูดไม่จาตั้งแต่เมื่อวานที่ร้านอาหารของเคลย์แล้ว ไว้รอให้เราสองคนเย็นลงกว่านี้ ค่อยคุยกันคงไม่เป็นไร ฉันรู้ดีว่านิสัยของเขาเป็นยังไง เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด และคิดว่าตัวเองเดาไม่ผิดแน่

                “แก้วใส…” แต่แล้วเสียงหนักๆ ก็เรียกเอาไว้จากทางด้านหลัง ดังนั้นฉันเลยต้องหยุดเดินและหันมองอย่างเลี่ยงไม่ได้

                “มากินข้าว…” เขาเรียกซ้ำ ฉันอยากจะหนีแต่เดาอารมณ์คาร์โลไม่ออก เลยจำต้องเดินไปหาอย่างช้าๆ

                ฉันนั่งลงที่ที่นั่งที่เดิมตามปกติของตัวเอง สายตาก็มองคาร์โลอย่างหวาดๆ เขาอาจจะทำดีกับฉันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเขาก็อาจจะฆ่าฉันทิ้ง… ให้ตาย นี่ฉันกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

                “ไม่เป็นไรนะ” เขาถามมา ฉันเลยทำหน้างุนงงก่อนจะตอบคำถามกลับไป

                “ฉันไม่เป็นไรแล้ว” ตอบไปแล้วก็อยากจะหนีออกจากที่นี่ แต่ลองลุกออกไปสิ คาร์โลอาจจะตามไปลากข้อเท้าฉันมาแล้วจับมัดเอาไว้เหมือนในหนังหนังโรคจิตแน่

                “ฉันหมายถึง…”

                คาร์โลเงียบไปอีกแล้วและพูดไม่จบประโยคเหมือนเดิม ฉันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายแสนเย่อหยิ่งแบบเขากัน แต่ที่รู้ตอนนี้มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกไประหว่างเราสองคน

                “ช่างแม่งเถอะ…”

                ยะ หยาบคายร้ายกาจที่สุด… ฉันถึงกับสะอึกกับคำพูดของเขา ตั้งใจจะประท้วงด้วยการเดินหนีไปที่อื่น แต่เสียงเรียกและสายตาที่ไม่เป็นมิตรของคาร์โลตรึงเอาไว้ที่เดิม

                “นั่งลง!”

                ฉันกัดปากอย่างแค้นเคือง กระแทกตัวนั่งลงอย่างไม่พอใจ แล้วก็ได้ยินเสียงโวยวายของเขาอีกครั้ง

                “นั่งเบาๆ สิวะ!”

                “พูดดีๆ กับฉันหน่อยไม่ได้เหรอ!” ฉันแหวออกมาอย่างเหลืออด พร้อมกับมองหน้าเขาด้วย นั่นแหละคาร์โลเลยทำหน้าอึ้งไป จากนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วก็เทแพนเค้กจากกระทะลงในจานของฉัน แล้วก็ไม่ลืมราดซอสช็อกโกแลตให้ด้วย และนั่นทำให้ฉันเป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง

                ตอนแรกฉันคิดว่าคงได้กาแฟดำแก้วใหญ่มาดื่มแล้ว ก็อย่างที่เคยบอกไปว่า ถ้าวันไหนฉันทำเขาหงุดหงิด โกรธ หรืออารมณ์เสีย คาร์โลมักจะชงกาแฟดำทิ้งเอาไว้ ฉันเองก็ไม่กล้าเททิ้งเพราะความเสียดายเลยต้องกลืนมันลงอย่างฝืนใจ ตอนนี้เลยคิดว่าจะได้กาแฟดำเหมือนเดิม แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นว่ามีแก้วนมแก้วใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าแทน

                “ไม่…” ฉันปฏิเสธทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้เขาพูดอะไร

                และรู้สึกเลยว่าตั้งแต่ท้องเนี่ย ฉันปากกล้าขาแข็งกล้าพูดกล้าขัดใจเขาด้วย ทุกสิ่งที่คาร์โลทำ ทุกสิ่งเลย มันทำให้ฉันอารมณ์เสียได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่ฉันควบคุมความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้เลย

                “เธอเพิ่งจะทิ้งของขวัญที่ฉันเตรียมเอาไว้ให้เธอทิ้ง โดยที่เธอยังไม่ได้เปิดมันออกมาดู” คาร์โลบอกเสียงเรียบ คล้ายจะบอกให้ฉันรู้สึกผิดกับการกระทำของฉัน

                แต่ไม่นะ… ฉันไม่ชอบนมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กินทีไรมันเหมือนไม่ย่อยแล้วก็ไม่สบายท้องมากๆ เลยด้วย

                “นายก็รู้ว่าฉันกินไม่ได้” นี่เป็นบทลงโทษขั้นสองต่อจากกาแฟดำอย่างนั้นเหรอ เลือดเย็นมากเกินไปแล้วนะ

                “หรือจะให้ฉันง้างปากเธอแล้วกรอกลงไป”

                เยี่ยมมาก… เราสองคนเข้ากันได้อย่างดีเลยล่ะ

                “ฉันดื่มนมไม่ได้ ดื่มทีไรมันไม่ย่อยและฉันจะปวดท้องมากเลยนะ” ฉันบอกเสียงเครือ แต่คาร์โลไม่ยอมแพ้ถึงแม้ว่าจะทำหน้าลังเลขึ้นมาบ้างแล้วก็เถอะ

                และฉันไม่อยากเล่นเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตาที่เอะอะก็เอาแต่ร้องไห้เรียกร้องความสนใจ ซึ่ง…ปกติก็เป็นอยู่แล้วเลยทำใจแข็งเม้มปากแน่นเพื่อบอกให้รู้ว่าฉันจะไม่กินมัน

                “อ้าปากซะแก้วใส ก่อนที่ฉันจะดื่มมันก่อนแล้วป้อนเธอทางปาก…”

                บ้าที่สุด…

     

                วันนี้คาร์โลมาส่งที่มหาวิทยาลัย ซึ่งมันก็ปกติอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเวลานี้ฉันรู้สึกเหมือนว่าเขาแปลกๆ ไปสักหน่อยเท่านั้นเอง เขาไม่พูดไม่จาไม่ถามอะไรเลย มันเป็นเรื่องดีนะ แต่ทำไมฉันกลับกลัวขึ้นมาก็ไม่รู้

                ฉันไม่เจอธีร์เลย นอกจากส่งข้อความขอโทษไป ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรและบอกว่าเข้าใจดี… และนั่นไม่ได้ช่วยให้ฉันเข้าใจอะไรเลย โชคดีที่วันนี้เราไม่ได้มีเรียนวิชาเดียวกันดังนั้นฉันเลยไม่เจอเขา และวันนี้ก็เป็นวันศุกร์ด้วย ฉันมีเรียนแต่ตอนเช้าตั้งใจว่าจะไปหาอิงเอื้อง จากนั้นจะไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจให้แน่ใจแล้วจะได้ฝากครรภ์ไปเลย

                ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเท่าไหร่นะที่จะมาท้องเอาตอนนี้… เพราะตอนนี้ฉันก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว อุ้มท้องตอนนี้ก็ไม่เป็นไร มันเหลือแค่เรื่องหลังจากนี้เท่านั้น ว่าฉันต้องทำงานยังไง ต้องหาเงินทางไหนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกคนนี้

                “เข้มแข็งไว้แก้วใส เธอต้องผ่านมันไปได้” ฉันบอกตัวเองแบบนั้น และพอจะมีเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง มันคงใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลไปจนถึงตอนคลอดได้ แต่หลังจากนั้นฉันต้องเริ่มต้นใหม่ ตั้งใจว่าจะบอกเรื่องนี้ให้แม่รู้ด้วย ยังไงมันก็คงเก็บไว้เป็นความลับไปตลอดชีวิตไม่ได้…

             แต่เมื่อฉันเดินพ้นตึกเรียนออกมาก็เจอกับคาร์โลที่นั่งอ่านหนังสือตรงม้านั่งหน้าทางเข้าพอดี หัวใจของฉันมันเต้นแรง ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอเขาที่นี่ในเวลานี้

                และเหมือนว่าคาร์โลจะรู้สึกตัวว่าฉันเดินมา เขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงทักทาย

                “วันนี้เธอไม่มีเรียนแล้วใช่มั้ย? ขึ้นรถสิ” เขาพยักพเยิดหน้าให้มองไปทางด้านหลังที่รถสปอร์ตของเขาจอดอยู่ ฉันไม่รู้จะหนียังไงก็เลยเดินตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้

                พอขึ้นรถมาแล้วคาร์โลก็โยนยาลดกรดในกระเพาะอาหารมาให้โดยที่ไม่ได้มองมาแม้แต่หางตา แล้วก็คว้าขวดน้ำจากคอนโซลรถส่งมาให้โดยไม่มองหน้าเหมือนเดิม

                ฉันกะพริบตาถี่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาทราบว่าตอนนี้ฉันปวดท้องอยู่ ฉันเองก็ไม่เล่นตัวรับยาลดกรดมากินอย่างว่าง่ายและไม่พูดอะไรสักคำ จนกระทั่งได้ยินเสียงคาร์โลถอนหายใจฉันก็เริ่มเศร้าอีกครั้ง…

             แน่ล่ะว่าตอนนี้ฉันเป็นตัวปัญหาของเขา และเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามันจะผ่านพ้นไปได้ง่ายๆ เลย

                “เดี๋ยวช่วยจอดที่ค็อฟฟี่ช็อปหน้ามหา’ลัยหน่อยนะ ฉันนัดเพื่อนไว้” ฉันเลียบเคียงบอก ไม่อยากอึดอัดเลยเลือกบอกไปแบบนั้น แต่มันไม่ใช่การโกหกนะ ฉันตั้งใจจะโทรหาอิงเอื้องจริงๆ หลังจากนี้

                “กี่สิบนัดก็ยกเลิกมันซะ… วันนี้ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ” คาร์โลตอบ และไม่มองหน้าฉันเหมือนเคย ฉันถอนหายใจจากนั้นก็เลิกพยายามทุกอย่างด้วยการพิงศีรษะกับกรอบประตูรถ แล้วก็รอว่าคาร์โลจะทำยังไงต่อไป

                ฉันตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูรถเลยขยับตัว พอปรับสายตาได้ก็เห็นว่าคาร์โลพามาที่ร้านอาหารของชายหนุ่มชื่อเคลย์อีกแล้ว ฉันเลยเอี้ยวตัวจะปลดเข็มขัดนิรภัย แต่ว่ามันกลับถูกถอดออกไปแล้ว และเหมือนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ติดตามตัว แล้วก็เห็นเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนึ่งถูกวางที่นั่งด้านคนขับ ซึ่งคาร์โลลงจากรถไปแล้วก่อนหน้านี้

                ฉันได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ไม่ทันได้คิดอะไรต่อประตูรถก็ถูกเปิดออก รวมไปถึงฝ่ามืออุ่นระอุของเจ้าของรถที่ช้อนเข้ามาจับต้นแขนของฉัน ก่อนจะพาให้ออกมาจากตัวรถอย่างระมัดระวัง

                “กินข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยไปโรง’บาล” คำพูดของคาร์โลทำให้ฉันตาโต กำลังจะอ้าปากถามเขาก็ออกแรงลากให้เดินไปด้วยกัน ดังนั้นฉันเลยหมดช่องที่จะคุยกับเขาไปโดยปริยาย

                โรงพยาบาลเหรอ… เขาตั้งใจจะพาฉันไปที่นั่นจริงๆ น่ะเหรอ ฉันคิดอย่างไม่น่าเชื่อก่อนจะเดินมาถึงโต๊ะที่นั่งเมื่อวาน

                เคลย์ยิ้มให้แต่ไกล ก่อนที่คาร์โลจะกดไหล่ให้ฉันนั่งลงกับเก้าอี้ที่เป็นเบาะตัวยาวฝั่งเดียวกับเขา ฉันทานมื้อเที่ยงเงียบๆ ใจมันเต้นระทึกกับเวลาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เขาจะพาฉันไปโรงพยาบาล จากนั้นล่ะ เขาจะทำอะไรกับฉันอีก แค่คิดฉันก็กลัวจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว และเมื่อทานข้าวเสร็จคาร์โลก็เรียกเคลย์อีกครั้ง

                “ขอกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาล…” เขาบอกแบบนั้นทำให้ฉันต้องหันไปมองอย่างลืมตัว

                “นายมีแผลเหรอ?”

                “เปล่า”

                “แล้ว…” ฉันพึมพำ แล้วก็ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าก่อนที่มันจะกระจายไปทั่วตัวกับคำพูดต่อมาจากริมฝีปากหยักได้รูปนั่น

                “ทำแผลของเธอเมื่อเช้าไง…”

                ฉันเงียบกริบไปไม่ได้ถามอะไรอีก เคลย์กลับมาพร้อมกับเครื่องมือทำแผลและนั่งลงที่ที่นั่งฝั่งตรงข้าม

                “แกเป็นแผลเหรอ” เคลย์ถาม คาร์โลเลยสั่นหน้าแทนคำตอบ

                “เปล่า ยัยเอ๋อนี่ต่างหากล่ะ…” เขาตอบ ทำให้ฉันหน้าตึงแต่ก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น

                ก่อนที่คาร์โลจะทันได้ทำแผลให้ฉัน ก็มีกลุ่มผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาใกล้และขอร่วมโต๊ะด้วยเพราะเป็นเวลาเที่ยงวัน ดังนั้นคนในร้านเลยเยอะกว่าปกติ มีหลายคนแทรกเบาะตัวที่ฉันกับคาร์โลนั่งอยู่ ซึ่งคาร์โลนั่งชิดในสุดต่อมาก็เป็นฉัน จากนั้นก็เป็นพวกหนุ่มๆ ที่หน้าตาดีจนสายตาแทบพร่ามัวกับความเจิดจ้าของพวกเขา…

             “เขยิบไปหน่อยสิ” คนที่เข้ามาใหม่ซึ่งฉันไม่รู้จักชื่อบอก ฉันเลยขยับเข้าไปชิดคาร์โลอีกนิด แต่มันไม่พอ…

             “เฮ้ พวกเรามีอีกสามคนเลยนะ ขยับเข้าไปอีก…”

                แล้วทำไมพวกเขาไม่หาโต๊ะอื่นนั่ง ฉันอยากจะถามแบบนี้เหลือเกินแต่ก็จำต้องขยับตัวเลื่อนเข้าไปจนตัวชิดติดกับคาร์โล แต่นั่นยังไม่เป็นที่พอใจของพวกเขา

                “คนสวย นั่นแฟนเธอไม่ใช่เหรอ ขยับเข้าไปอีกหน่อย พวกเราไม่มีที่นั่ง”

                ฉันฟังแล้วอยากจะร้องไห้ หันไปมองหน้าคาร์โลเพื่อขอความเห็น แต่เขากลับทำแค่เอียงคอมองมาอย่างกวนๆ เท่านั้น ดังนั้นฉันเลยตั้งใจจะลุกออกไป เพื่อให้ผู้ชายคนนั้นเข้ามานั่งเบียดรวมร่างกับคาร์โลแทนให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เกิดอะไรขึ้นรู้ไหม ฉันถูกผลักน่ะสิ แล้วก็เซไปนั่งทับตักของคาร์โลพอดิบพอดี

                ให้ตายเถอะ ฉันอยากตายเพื่อล้างอายจริงๆ

                พอจะลุกท่อนแขนหนักๆ ของคาร์โลก็กอดรัดเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนที่เขาจะคุยข้ามหัวฉันไป

                “นั่งได้ แต่ห้ามสูบบุหรี่นะเว้ย โอเค้!?”

                “ไอ้บ้าคาร์ล ตรงนี้มันที่นั่งห้ามสูบบุหรี่อยู่แล้ว จะสูบได้ไงวะ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาตามด้วยเสียงหัวเราะ คาร์โลเหมือนจะเขินๆ เลยแก้เก้อด้วยการสบถด่าไม่ยั้ง นี่แหละความสุภาพและเป็นมิตรของเขา…

             ระหว่างที่หนุ่มๆ คุยกัน ฉันก็พยายามอย่างมากที่จะเป็นอากาศ เอ่อ คงเป็นได้มากสุดก็แค่ตุ๊กตาเสียกบาลบนตักของคาร์โล ตอนนั้นเขาก็จับศอกฉันขึ้นและทำแผลให้ด้วย

                และที่มันน่าอายที่สุดคือการที่กินแล้วมันก็ง่วง อากาศในร้านอาหารเย็นจัดจนฉันห่อไหล่ด้วยความหนาว ก่อนจะได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของคาร์โลที่ช่วยให้อบอุ่นขึ้น พวกเขาคุยอะไรกันไม่รู้ ฉันอยากลุกใจแทบขาดแต่ก็ไม่กล้ามีปากเสียง นั่งนิ่งเป็นเด็กดีบนตักของคาร์โลอย่างนั้นแหละ น่าอายชะมัด…

                พวกเขาคุยกันสารพัดอย่าง จนฉันปรือตาแทบไม่ไหว ฉันไม่แน่ใจว่านี่เป็นอาการแพ้ท้องอย่างหนึ่งหรือเปล่า เพราะเท่าที่อ่านมาคร่าวๆ การแพ้ท้องจะมีหลายกรณีการง่วงก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ฉันกำลังจะแพ้มัน…

             ฉันเริ่มสัปหงก คาร์โลก็ดึงหัวให้ฉันพิงกับซอกคอของเขา จากนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำผิวปากบางอย่างที่ฉันไม่กล้าลืมตาขึ้น และแกล้งทำเป็นหลับเพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกอายมากไปกว่านี้

                “เออ… รู้มั้ยว่าไอ้คาร์ฟน่ะ มันถูกผู้หญิงจับไว้ เหมือนผู้หญิงจะชื่อยัยฮานิอะไรนี่แหละ ยัยนี่ร้ายมากเลยรู้รึเปล่า แม่งปล่อยให้ตัวเองท้องว่ะ ตอนนี้ไอ้คาร์ฟเลยคลั่งใหญ่…” บทสนทนานั้นทำให้หัวใจของฉันกระตุกอย่างน่ากลัว เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันตอนนี้… เสียงวิจารณ์ดังขึ้นหลังจากนั้นทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ เพราะพวกเขาคิดว่าการกระทำแบบนั้นมันเลวร้ายมากกว่าอะไรทั้งนั้น

                “แล้วถ้ามันเกิดขึ้นกับแกล่ะคาร์ล… แกจะทำยังไง”

                ฉันกลั้นหายใจ กลั้นน้ำตา และกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เพื่อรอรับคำตอบจากคาร์โล

                “ทำแท้ง…”

     

    มู่มารีอัพตัวอย่างให้อ่านอีกรอบค่ะ จะอัพถึงตอนที่ 3 นะคะ

    ตอนนี้ทางสำนักพิมพ์ได้เปิดจองหนังสือแล้วค่ะ

    รายละเอียดตามนี้เลยค่ะ https://goo.gl/wFUJTe

    มู่ฝากเอาไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

    จะคลิกที่รูปก็ได้ค่ะ image  image

     


     

    http://38.media.tumblr.com/65b02fc2e882b4535b0a49af149fa2d6/tumblr_ndy1ekJf1p1qbetfwo4_1280.jpg
    http://38.media.tumblr.com/484547daa12d56635ebe8016a509cdfb/tumblr_ndy1ekJf1p1qbetfwo5_1280.jpg
    http://38.media.tumblr.com/6de74b516c392b279ffde847f0856637/tumblr_ndy1ekJf1p1qbetfwo6_r1_1280.jpg

      
     

      
     

    Talk 1...

    Song :: The Script – Nothing

    มู่ชอบเพลงนี้มากๆ เลยค่ะ

    ความหมายแบบ ใครร้องให้ฟังรักตายเลย

    ลองหาคำแปลดูก็ได้ค่ะ แล้วจะรู้ว่ามันเข้ากับคาร์ลตอนนี้ไหม

    แต่หลังจากนี้นี่สิ แก้วจะเป็นยังไงคาร์ลน่ะผีเข้าผีออกมากๆ เลย

    แต่ไม่รู้ทำไม มู่รู้สึกรักคาร์ลมากกว่าซิมม์มากๆ เลยค่ะ

    แหงล่ะ อีซิมม์วิปริตมากขนาดนั้น คาร์ลดูเป็นเทพบุตรอยู่หน่อยๆ

    ถ้าไม่นับเรื่องจับกดน่ะนะ

    ฮือ รักคลาร์ลอ่ะ


     

    ปล เรื่องที่มู่เขียนคล้ายๆ แนวนี้

    ประมาณว่านางเอกท้อง… มีเรื่องหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้วค่ะ

    คือ Café Mania (P.4) เรื่องของพีทกับคริสตัล

    บอกเลยว่าเรื่องนี้มันหยดมากเลยค่ะ คริสตัลเป็นอะไรที่ไม่เหมือนแก้วใสเลย

    ทั้งเก่ง มั่นใจตัวเอง แล้วก็ร้ายเอาเรื่องเลยล่ะค่ะ

    เรื่องนี้พระเอกนางเอกตีมันฉะกันมันมากๆ เลย ยังไงลองอ่านดูนะคะ

    มู่ชอบเซต Café มากๆ เลยค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×