คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Carlo`s Eyes ✿ | Re-write Ver. Ep01
Carlo`s Eyes
ให้หมดใจ นายตัวร้ายที่รัก
(Story of Carlo & Kaew-Sai)
Cause after the beauty we’ve destroyed
I’m cascading through the void
I know in time my heart will mend
I don’t care if I never see you again
เพราะหลังจากที่เราทำลายความรักที่งดงามไปแล้ว
ผมร่วงหล่นซ้ำไปซ้ำมาในความว่างเปล่า
ผมรู้ว่าเวลาจะช่วยรักษาแผลหัวใจ
และผมไม่สนใจว่าหากว่าผมจะไม่เห็นคุณอีกต่อไป
Cut out my eyes and leave me blind
Cut out my eyes and leave me blind
ควักดวงตาของผมออกไปเถอะ
และปล่อยมันมืดบอดไม่ต้องเห็นอะไรอีกต่อไป
Song :: Hurts – Blind
Carlo’s Eyes 01
~Cut Out My Eyes and Lave Me Blind~
“แก้ว! คืนนี้ว่างรึเปล่า มีคนชวนให้ออกไปดูหนังกัน”
ฉันหันไปตามเสียงเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อ แก้ว หรือ แก้วใส คือชื่อของฉันเอง และเพื่อนที่รู้จักกันมักจะเรียกสั้นๆ ว่าแก้ว ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสี่แล้ว และอีกไม่เท่าไหร่ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที สิ่งที่ตามหาและรอคอยมันกำลังจะเข้ามาแล้ว และนั่นทำให้ฉันส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อนจากคำชวนก่อนหน้านี้
ทำไมน่ะเหรอ…
ก็เพราะว่าถ้าฉันทำตัวไม่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่ สิ่งที่หวังที่ต้องการมันจะหายไป ตลอดกาล…
“โทษทีนะกี้… ฉันไม่ว่าง ไปไม่ได้” ฉันบอกเสียงแผ่วด้วยความเสียใจ
เพราะถึงยังไง ฉันก็ยังอยากจะออกไปเที่ยวเหมือนกัน อยากมีเวลาและความเป็นอิสระเหมือนคนอื่นๆ บ้าง แต่ก็นั่นแหละ ลืมมันไปเถอะ…
“ทุกทีเลย ทำไมถึงไม่ไปไหนกับคนอื่นๆ บ้างล่ะ” กี้ถามกลับพร้อมกับทำหน้าสงสัย
และไม่ใช่แค่กี้คนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่มองมาเหมือนจะถามด้วยสายตา เพราะตั้งแต่ที่เรียนร่วมคณะด้วยกันมา ฉันออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนร่วมคณะนับครั้งได้ และมักจะมีข้ออ้างต่างๆ มากมายหลายข้อ
“ฉันต้องรีบกลับน่ะ” ฉันบอกเสียงแผ่ว และสังเกตเห็นรถสปอร์ตสีดำมันปลาบคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล
หัวใจมันเต้นถี่ บีบอัด และรู้สึกสับสนทรมานอย่างบอกไม่ถูก
“โทษทีนะ ฉันต้องไปแล้ว…” ฉันบอก จากนั้นก็ส่งยิ้มให้อย่างขอโทษ
“เดี๋ยวแก้ว ของตกแน่ะ…” เสียงของธีร์เพื่อนร่วมคณะอีกคนบอกเมื่อฉันจะเดินเลี่ยงออกไป คำพูดนั้นทำให้ฉันหยุดนิ่งอยู่กับที่และหันไปมองเขา
เพราะตอนนี้ฉันหอบของพะรุงพะรังเลยก้มตัวลงมองที่พื้นไม่ได้ว่าของตกที่ว่านั่นคืออะไร
และต่อมาธีร์ก็เดินมาใกล้ฉัน จากนั้นก็สอดดอกกุหลาบดอกหนึ่งไว้กับหนังสือที่ฉันกำลังหอบกอดมันเอาไว้กับอก
“ไม่ได้ทำอะไรตกใจหรอก อยากให้น่ะ…” เขาบอก ท่ามกลางเสียงหัวเราะโห่แซวของคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์
ฉันอ้าปากค้างน้อยๆ แล้วก็พูดอะไรไม่ออก บอกตามตรงว่าตกใจเหมือนกัน เพราะนี่มันเหมือนการจีบกลายๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฉันเลย
“ธีร์มันชอบเธอมานานแล้วนะแก้ว ไม่คิดจะรับไว้พิจารณาสักหน่อยเหรอ?” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น ฉันได้แต่ทำท่าอึกอักเพราะไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน
“เอ่อ…”
“ฉันไม่มีแฟน เธอก็ไม่มีแฟน เราคบกันมั้ยแก้ว?” ธีร์ถามง่ายๆ โดยไม่สนใจเลยว่าตอนนี้ฉันทำหน้าตกใจมากแค่ไหน
“เอ่อ…” ฉันเองก็อ้ำอึ้งอึกอักพูดไม่ออกเหมือนน้ำท่วมปาก มองหน้าธีร์ด้วยความตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนพูดแบบนี้ด้วย
“ฉันชอบเธอจริงๆ นะแก้ว” เขาพูดซ้ำ เหมือนจะบอกให้ฉันตอบอะไรกลับไปบ้าง ไม่ใช่อ้าปากค้างจนน่าหัวเราะอยู่อย่างนี้
“คือฉัน…” ฉันพูดไม่ออก เกลียดตัวเองเหมือนกันที่ทำอะไรเงอะงะน่ารำคาญไปทุกอย่าง
ธีร์และคนอื่นๆ มองฉันเหมือนจะรอลุ้นคำตอบ ทำให้ร่างกายและใบหน้าของฉันร้อนผ่าว เหงื่อซึมเพราะไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
และแน่นอนว่าคำตอบคือ ‘ไม่’า อย่างเดียวเท่านั้น…
ฉันยังอึกอักอึดอัดใจจนธีร์ยิ้มเศร้า ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกแก้ว เธอไม่ชอบฉันก็ไม่เป็นไร แค่อยากบอกเท่านั้นเอง หลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันง่ายๆ อีก แต่ฉันชอบเธอจริงๆ…”
ฉันนิ่งตะลึงอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจ และก่อนที่จะทันได้พูดอะไร เสียงพูดทุ้มหนักและแรงมือที่บีบมือลงท่อนแขนด้านบนทำให้ฉันต้องหันไปมองคนที่เข้ามาแตะตัว
เขา… คนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันอึดอัด หวาดกลัว และหายใจไม่ออก…
คาร์โล แม็กกราดี้ คือชื่อของเขา
“แก้วใส” เขาเรียกและทำให้เพื่อนๆ ของฉันพากันเงียบกริบกันไปหมด
“มาได้แล้ว สายแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจเพื่อนคนอื่นของฉันเลยแม้แต่หางตา
นี่คือนิสัยของเขา ที่ร้ายกาจ เอาแต่ใจ มั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง และไม่เคยเลยที่จะสนใจความรู้สึกของใคร นั่นแหละ คาร์โล…
“อืม…” ฉันพึมพำบอกเขา แล้วก็หันไปมองเพื่อนคนอื่นเพื่อบอกลา
“ฉันไปนะ แล้วเจอกัน”
ยังพูดไม่ทันจบคาร์โลก็ดึงตัวฉันออกมาทันที ท่ามกลางเสียงพึมพำซุบซิบตามหลังมาเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้น ในเวลาที่ธีร์เพิ่งบอกความในใจให้ฉันฟัง และฉันเองไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลยแม้แต่คำเดียวด้วย…
“นั่นแฟนแก้วเหรอ เพิ่งเคยเห็น…”
“แต่เหมือนฉันรู้จักเขาเลยนะ เหมือนเป็นนักดนตรีวง The Moxie เลย…”
“มิน่าล่ะแก้วถึงหน้าเหวอไปเลยตอนที่ไอ้ธีร์สารภาพรักน่ะ”
ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินก่อนจะขึ้นรถทำให้ฉันหนาวสั่น ชำเลืองมองคาร์โลอย่างกลัวๆ กลัวว่าเขาจะได้ยินมันด้วย แต่สีหน้าของเขาราบเรียบเลยไม่รู้ว่าความจริงแล้วเขาได้ยินหรือเปล่า
เมื่อเข้าไปนั่งในรถแล้วคาร์โลก็ช่วยดึงของและหนังสือที่ฉันหอบอยู่โยนไปทางเบาะหลัง และเขาก็มองหยุดนิ่งที่ดอกกุหลาบที่ฉันลืมไปว่าต้องโยนมันทิ้ง แต่ตอนนี้มันคงสายไปเพราะเขาเห็นมันเข้า ต่อมาดอกกุหลาบไร้ความผิดที่น่าสงสารก็ถูกดึงออกไป
“ใครให้มา…” คาร์โลถามเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใด แต่แบบนี้แหละที่ฉันแน่ใจว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี
“หายแล้วเหรอ กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วมารับฉันแบบนี้ได้…” ฉันพูดยังไม่ทันจบคาร์โลก็ขยำดอกกุหลาบนั่นจนยับคามือไม่มีชิ้นดี ทำให้คำพูดของฉันถูกกลืนลงคอไปโดยปริยาย
“ใครให้มา…” เขาถามซ้ำคำเดิม ทำให้ช่องท้องของฉันเริ่มปั่นป่วนและหายใจไม่ค่อยออกกับสายตาเย็นเยียบที่มองมา
“ไอ้ผู้ชายที่ได้ยินบอกว่าสารภาพรักกับเธองั้นเหรอ?” ดวงตาคมๆ ของคาร์โลหรี่ลง จ้องมองมาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้
“คือ…”
“แล้วตอบมันไปว่าไงล่ะแก้วใส” เสียงทุ้มต่ำที่ชวนให้ใจละลายนั้นตอนนี้เหมือนยาพิษที่กำลังกัดกร่อนหัวใจฉันทีละน้อย ทำให้สับสนหวาดหวั่นและหวั่นกลัว
“ฉันถามว่าเธอตอบมันไปว่ายังไง!” คาร์โลเริ่มตะคอก มือที่เขาบีบกุหลาบจนยับนั่นเริ่มมีเลือดซึม เพราะยังมีหนามกุหลาบติดอยู่ที่ก้าน ท่าทางของเขาทำให้ฉันกลัวคล้ายจะหน้ามืดขึ้นมาดื้อๆ
“เลือดนายออก…” ฉันบอกเสียงเครือ ไม่สบายใจและกลัวทุกครั้งเวลาที่เขาหัวเสีย
“แก้วใส บอกมาสิวะ ว่าเธอตอบมันไปว่าไง!!” เขายังตะคอกไม่เลิก บีบให้ฉันต้องตอบคำถามไปในที่สุด
“ฉันไม่ได้ตอบ เพราะนายมาซะก่อน…” ฉันบอก แล้วก็หลับตาลงเมื่อคาร์โลเปิดประตูรถและเดินลงไปอีกครั้ง ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่าเขาจะไปไหน ถ้าไม่ใช่ไปหาธีร์
และได้ยินคำพูดแว่วๆ มาจากนั้น
“อย่ามายุ่งกับพี่สาวฉันอีก ถ้าแกไม่อยากตาย”
ใช่… ฉันคือ ‘พี่สาว’ ของเขา
พี่สาวที่เขาไม่เคารพเลยสักครั้ง…
และไม่นานคาร์โลก็กลับขึ้นมาในรถ สาบานได้เลยว่าหลังจากนี้ฉันเข้าหน้าเพื่อนๆ ไม่ติดอีกแน่ ฉันได้แต่กำหมัดที่มันชื้นไปด้วยเหงื่อวางเอาไว้บนตักนิ่งแล้วก็สับสนหวาดหวั่น ไม่รู้เลยว่าต้องเดินไปทางไหนยังไง และไม่มีใครที่ช่วยเหลือฉันได้เลย
เราสองคนเป็น ‘พี่น้อง’ กัน
แต่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันจริงๆ หรอกนะ
พ่อของคาร์โลและแม่ของฉันนั้นแต่งงานใหม่ ฉันกับแม่เลยย้ายเข้าบ้านแม็กกราดี้ และต่อมาฉันก็มาอยู่คอนโดกับคาร์โลเพราะเราสองคนยังเรียนอยู่ ส่วนพ่อกับแม่ก็บินไปที่อเมริกาและทิ้งเราสองคนไว้ที่นี่
คุณเควินบอกให้คาร์โลดูแลฉันดีๆ เพราะเทียบตามอายุแล้วฉันมีอายุมากกว่าคาร์โลสองเดือน… แต่เขาก็ไม่เคยเรียกฉันว่าพี่เลยสักครั้ง
เราสองคนอยู่ด้วยกันสองคนมานานแล้ว อาจจะสักสองปีได้
วินาทีแรกที่ฉันได้เจอกับเขา… เหมือนโลกมันหยุดหมุนยังไงอย่างงั้นเลย เพราะคาร์โลคนนี้รูปร่างหน้าตาดีชนิดว่านายแบบก็ยังอาย ใบหนางดงามราวกับเทพบุตร รูปร่างสูงใหญ่กำยำมีมัดกล้ามเหมือนคนสุขภาพดี และเขาเป็นคนเจ้าเสน่ห์ไม่ว่าใครก็ตกหลุมรักได้ง่ายๆ
ตอนแรกมันก็รวมฉันด้วย…
แต่เมื่อเวลาผ่านไปฉันก็เข้าใจ และตระหนักได้ว่าผู้หญิงหน้าตาจืดๆ ที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างแบบนี้คงไม่ถูกใจคาร์โลหรอก เขามักจะเฉยชาและเย็นชากับฉันเสมอ
อาการหัวใจเต้นแรงในตอนแรกๆ ที่ได้เจอกันมันก็ค่อยๆ หายไป ความตื่นเต้นยินดีที่จะเจอกับเขาตามลำพังเหลือเพียงแค่ความหวาดกลัวที่ไม่อาจจะสลัดพ้นออกไปจากในหัวได้
‘อยู่ด้วยกัน มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกันนะแก้วใส ยังไงคาร์โลก็เป็นผู้ชายไม่ละเอียดอ่อน เขาก็เหมือนลูกชายของแม่อีกคน หนูต้องดูแลน้องด้วยนะ’ แม่ของฉันบอกเอาไว้ตอนที่ท่านกำลังจะเดินทางไปอเมริกาพร้อมกับคุณเควิน
‘ฝากหนูแก้วดูแลคาร์โลมันด้วย อยู่คนเดียวน่ะไม่ได้แน่ เมื่อก่อนเขามีพี่เลี้ยงดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไร ตอนนี้ยืนยันว่าจะอยู่ที่เมืองไทยคนเดียวบอกตามตรงว่าแด๊ดเป็นห่วง ยังไงหนูช่วยดูแลน้องชายคนนี้อีกคนด้วยนะแก้ว’ คุณเควินเองก็บอกมาอย่างนี้
ดังนั้นฉันเลยได้ย้ายมาอยู่กับเขาที่คอนโดหรูใจกลางเมืองที่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่ ส่วนคาร์โลเรียนอยู่อีกที่ และเราเจอกันบ่อยเพราะฉันไม่ได้ไปไหนมาไหนกับคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าเขากลับมาก็มักจะเจอฉันอยู่เสมอ
อย่างที่คุณเควินได้บอกเอาไว้ คาร์โลทำอะไรเองไม่เป็นสักอย่าง เพราะเขาเติบโตมาเหมือนคุณชายที่มีคนรุมล้อมคอยเอาใจ ไม่ว่าจะเรื่องน้อยใหญ่ยังไงเขาก็ทำเองไม่เป็นเลยสักอย่าง ฉันเลยต้องดูแลทุกๆ เรื่อง
และ…
“แก้วใส มือฉันเป็นแผล มาทำแผลให้หน่อยสิ”
ฉันสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินคาร์โลพูดขึ้น ฉันวางของจัดเก็บมันจนเรียบร้อนแล้วเลยเดินไปหากล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลและเดินกลับไปหาเขาที่นอนเอนตัวกับโซฟาและเปิดรายการทีวีดูอย่างสบายอารมณ์
ตอนที่กำลังวางกล่องเครื่องมือลงคาร์โลก็ช้อนสายตาของฉันอีกครั้ง จากนั้นก็ออกคำสั่งตามนิสัย
“เอาเบียร์มาให้หน่อย หิวน้ำ…” เขาบอก ฉันเองก็ไม่ได้พูดอะไรตามเคย เดินไปที่ห้องครัวแล้วก็หยิบเบียร์มาให้ตามคำสั่ง และไม่ลืมเปิดฝากระป๋องก่อนจะให้เขาด้วย
คาร์โลดูอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ฉันเองก็นั่งหมิ่นๆ ที่โซฟาตัวเดียวกับที่เขานอนอยู่ จากนั้นก็จับมือของเขาเพื่อจะทำแผล ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก
“ไม่อาบน้ำก่อนเหรอ จะได้ทำแผลทีเดียวไงล่ะ…” ฉันบอก แล้วก็ตกใจร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเมื่อคาร์โลรวบเอวของฉันและยกขึ้นคร่อมร่างของเขาเอาไว้
“งั้นเดี๋ยวค่อยทำ…” เขาพูด มุมปากหยักยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ดูน่ากลัวให้เห็น
“คาร์ล…” ฉันพูดเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนๆ ของเขาลูบไล้เรียวขาของฉันอย่างรุนแรงและคุกคามน้อยๆ
“อย่าทำแบบนี้เลย…”
“ทำไม?” คิ้วเข้มของคาร์โลเลิกขึ้น ราวกับจะบอกทางสายตาว่าถ้าฉันพูดไม่เข้าหูได้มีเรื่องอีก
“เรา…” ฉันอึกอักเมื่อปลายนิ้วของคาร์โลสะกิดกระดุมจนมันหลุดออกจากรังดุมได้อย่างง่ายๆ ไม่นานเสื้อของฉันก็อ้ากว้าง และเขาก็ยังเอื้อมมือปลดตะขอบราเซียได้อย่างง่ายดายเป็นอย่างต่อมา
“อย่ามาทำเป็นไรเดียงสาหน่อยน่า แก้วใส” เขาพูด และทำให้ฉันร้อนเห่อไปทั้งตัว
“เธอรู้ว่าฉันต้องการอะไร และฉันก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร”
ฉันเม้มปาก เพราะถ้าเขารู้ว่าฉันต้องการอะไรจริงๆ เขาคงไม่ทำแบบนี้แน่…
“ก็เคยๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันรู้ว่าเธอน่ะ ก็ติดใจฉันเหมือนกัน…”
ฉันหลับตาลงน้ำตาหล่นร่วงเมื่อคาร์โลโน้มหน้าเข้ามาจูบ แล้วก็เหมือนกับทุกครั้ง
ที่เรามีอะไรกัน…
ฉันจำไม่ได้ว่ามันเริ่มต้นยังไง และไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงด้วย
แต่ตอนแรกๆ ที่ได้เจอกับคาร์โล หัวใจของฉันเต้นรัวอย่างน่ากลัว เพราะผู้ชายที่ชื่อคาร์โล แม็กกราดี้ น่ะรูปงามมากกว่าอะไรทั้งนั้น
เขาหล่อเหลาเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากแมกกาซีนชื่อดังของโลก รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวจัดเหมือนไม่เคยตากแดดมาตลอดทั้งชีวิต ริมฝีปากสีแดงสด ทั้งที่เขาชอบสูบบุหรี่และเหมือนจะสูบจัดด้วย แต่ทุกอย่างที่เป็นคาร์โล แม็กกราดี้ ไม่อาจทำให้ฉันละสายตาจากเขาไปได้เลย
แต่ก็นั่นแหละ…
ไม่ว่ายังไงฉันก็รู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่คิดสนใจผู้หญิงหน้าตาจืดๆ ที่ดูไม่มีอะไรเลยอย่างฉันแน่ ดังนั้นความรู้สึกตื่นเต้นสั่นไหวพวกนั้นมันเลยจางหายไป
แต่สายตาของฉัน ยังมองเขา… และมองแค่เขาคนเดียวมาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้
ทว่าเวลานี้ฉันควรจะเลิกหวังและเลิกคิดได้แล้ว
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงของคาร์โล แน่ล่ะ ฉันไม่ได้นอนเตียงของตัวเองมานานแล้ว ตั้งแต่คืนนั้น
ฉันก็จำไม่ได้ชัดเจนเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกิดขึ้นเพราะเบียร์กระป๋องหนึ่ง ที่ทำให้ฉันมึนเมาไม่รู้ตัว และลืมตาขึ้นมาบนเตียงของเขาและอ้อมแขนของเขา
และเหมือนกับวันนี้… ที่ตื่นขึ้นมากับอ้อมอกของคาร์โลเหมือนทุกวัน
เขายังหลับสนิทอยู่ ก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายขยับตัวก่อนเป็นคนแรก พอจะออกจากแขนของคาร์โล เจ้าของเตียงก็กอดกระชับฉันแน่นขึ้น เป็นคำทักทายในทุกเช้าที่เราเห็นหน้าของกันและกัน
“วันนี้เธอมีเรียนมั้ย?” เขาทักทาย ฉันเลยพยายามขยี้ตาและเปล่งเสียงออกมาจากคออย่างยากเย็น
“อืม มีอยู่” ฉันบอกแล้วก็กะพริบตาถี่ เพราะแสงแดดที่แยงตาเข้ามาทำให้มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดเจน
“ฉันเองก็มีเรียน ไปพร้อมกันเลยมั้ย?” คาร์โลถามอีก
แต่มันจะดีอะไรล่ะ ในเมื่อเราสองคนก็เป็นแค่พี่สาวกับน้องชายเท่านั้น และมันยิ่งทำให้ฉันไม่อยากให้ใครรู้จักเขา รวมไปถึงไม่อยากให้เพื่อนของเขารู้จักฉันด้วย
“ไม่เป็นไร ฉันมีเรียนตอนบ่าย…” ฉันตอบและมันไม่ใช่คำโกหก
“แต่วันนี้ฉันมีเรียนตอนเก้าโมง งั้นฉันต้องไปก่อนนะ ตอนนี้แปดโมงกว่าแล้ว” พูดจบคาร์โลก็ลุกออกจากเตียง ไม่ลืมจูบหนักๆ ที่หน้าผากของฉันก่อนจะจากไป
ไออุ่นที่เขาทิ้งเอาไว้ทำให้ฉันใจเต้นแรง แต่ต่อมามันก็สงบลงเหมือนเดิม
ฉันมองตามแผ่นหลังของคาร์โลจนลับสายตาจนกระทั่งเขาเดินเข้าห้องน้ำไป ฉันเลยยกมือเสยผมที่มันลุ่ยปรกหน้าขึ้นและถอนหายใจ
“แก้วใส เธอทำอะไรอยู่” คำถามนี้ฉันถามตัวเองมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยได้คำตอบเลยสักครั้งเดียว
คาร์โลออกไปแล้วฉันเลยอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกไปหาอะไรกินที่ห้องครัว แต่ว่าเขากลับทำไว้ให้แล้ว
เขามักทำอะไรให้ต้องแปลกใจอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ถ้าเช้าวันไหนเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ไว้ให้นั่นแปลว่าอารมณ์ดีอยู่และเหมือนกับพระเอกในหนังอย่างไรอย่างนั้นเลย
ถ้าวันไหนที่มีแค่กาแฟดำขมๆ แก้วเดียวนั่นแปลว่าเขาโกรธและอยากจะฆ่าฉันให้ตายมากกว่าอะไรทั้งนั้น
ฉันนั่งแกว่งเท้าและทานอาหารเช้าเงียบๆ พร้อมกับยิ้มที่มุมปากตลอดเวลา ถึงเรื่องราวมันจะเลวร้ายหดหู่มากแค่ไหน แต่มันก็เป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่ได้มานั่งทานอาหารฝีมือของคาร์โลทุกเช้า
แต่อันที่จริงคาร์โลไม่ได้อารมณ์ดีเท่าไหร่หรอก เขามักจะทิ้งกาแฟดำไว้ให้ฉันสองสามครั้ง ถ้าเมื่อไหร่ที่เขารู้ว่าฉันคุยกับผู้ชายอื่น
ความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบนี้ก็จริง บอกใครไม่ได้ ให้ใครรับรู้เรื่องนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่พอใจเสมอถ้าหากว่าฉันคุยและสุงสิงกับผู้ชายอื่นแล้วเขาเห็น
มันนรกมากๆ เลยล่ะ เพราะคาร์โลจะกลายเป็นคนหน้ามึนที่พยายามเค้นถามเรื่องไม่เป็นเรื่องและเอาแต่ใจจนฉันสะบักสะบอม
คิดเองฉันก็อายหน้าแดงซะเองเลิกคิดเรื่องพวกนั้น และคว้ากระเป๋าเตรียมตัวจะออกจากห้อง
แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือการเจอคาร์โลที่หน้าคอนโดนี่เอง ฉันกระชับสายสะพายกระเป๋าขึ้นเมื่อเขาหันมามองผ่านแว่นตากันแดด ฉันอยากจะทำเป็นว่าไม่ได้อยู่ที่นี่มาก่อนแต่มันก็สายไปเมื่อเขาลดแว่นตาลงแล้วก็เลิกคิ้วให้ ดังนั้นฉันเลยต้องเดินเข้าไปหาอย่างช่วยไม่ได้
“จะไปแล้วเหรอ ไหนว่ามีเรียนตอนบ่ายไง?” เขาถามพร้อมกับทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“ว่าจะไปที่หอสมุดก่อนน่ะ พอดีว่ามีหนังสือที่ต้องทำรายงาน” ฉันตอบ พยายามอย่างมากที่ต้องทำตัวให้เป็นปกติเข้าไว้ หลังจากที่เรา… เอ่อ นั่นแหละ ช่างมันเถอะ
“งั้นขึ้นรถเลย เดี๋ยวจะไปสั่ง” คาร์โลพยักพเยิดหน้าให้หันไปมองรถสปอร์ตคู่ใจของเขา
ฉันเองก็ไม่มีทางเลี่ยง ไม่อยากดื่มกาแฟดำขมๆ อีกเลยขึ้นรถของเขาอย่างว่าง่าย
พอเขาขึ้นมาฉันเลยเป็นฝ่ายถามบ้าง
“แล้วนายบอกว่ามีเรียนตอนเช้านี่ ไปส่งฉันเลยมันจะดีเหรอ” ฉันถาม เพราะใจหนึ่งก็ไม่อยากไปกับเขาตอนนี้
“อาจารย์เลิกคลาสน่ะเลยว่าง ว่าจะไปกินข้าว ออกไปหาอะไรกันกันมั้ย?” เขาชวนระหว่างที่ตบเกียร์พร้อมกับเหยียบคันเร่งออกรถอย่างเงียบเชียบ
“ฉันเพิ่งกินมาเอง” ฉันตอบและซ่อนแก้มที่แดงเรื่อและร้อนผ่าวไว้ไม่อยู่
คาร์โลหันมามองแล้วก็หัวเราะ… ถามจริงนี่มันใช่เรื่องที่น่าหัวเราะอย่างนั้นเหรอ ฉันอดเคืองไม่ได้เพราะรู้ดีว่าเขากำลังล้อเลียนเรื่องเมื่อคืนอยู่
ตอนแรกเขาก็อารมณ์เสียอยู่หรอกนะ แต่พอจัดการฉันบนโซฟาและไปต่อที่เตียงเท่านั้นแหละ…
เอาล่ะ ฉันก็ไม่อยากรื้อฟื้นมันด้วย เลยทำเป็นไม่สนใจเขา
“ไปส่งฉันที่มหา’ลัยก่อนเถอะ ฉันต้องไปหาหนังสือ” เพราะอะไรบางอย่างทำให้ฉันไม่อยากจะไปกินข้าวกับคาร์โลตอนนี้ ดังนั้นฉันเลยพยายามอ้อนวอน แต่เขาฟังที่ไหนกันเล่า
“เธอมีเรียนตอนบ่ายโน่นนี่ ตอนนี้ไปกินข้าวด้วยกันก่อนเถอะน่า กินแค่ซีเรียลมันจะไปอิ่มอะไรกันล่ะ” คาร์โลบอกแล้วก็หมุนพวงมาลัยอย่างชำนาญ
“แต่นี่มันเพิ่งจะสิบโมงนะ ส่วนมากร้านอาหารยังไม่เปิดหรอก”
ฉันเองก็ไม่ละความพยามบอกไปแบบนี้ แต่คาร์โลก็เอาแต่หัวเราะ แน่นอนมันแปลว่า ยังไงซะฉันก็ต้องไปกินข้าวกับเขานั่นเอง
“ร้านที่ฉันรู้จักน่ะเปิดแล้วไม่ต้องห่วง”
ใช่… ไม่ว่ายังไงฉันก็เอาชนะผู้ชายที่ชื่อคาร์โลไม่ได้เลยสักครั้ง
ไม่ช้าเราสองคนก็มานั่งที่ร้านที่ว่านั่นจนได้
มันเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่ และไม่รู้จักกับเจ้าของร้านมาก่อน ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านรูปหล่อจะมีชื่อว่า เคลย์ นะ ถ้าฉันฟังไม่ผิดไปแล้วล่ะก็
เขาคนนี้ก็รูปหล่อเหมือนนายแบบไม่ต่างจากคาร์โลหรือเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาเลย บางครั้งฉันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาใช้หลักเกณฑ์อะไรในการเลือกที่จะคบกันเป็นเพื่อน เพราะแต่ละคนก็เหมือนกันเสียยิ่งกว่าอะไร เหมือนลอกดีเอ็นเอมาอย่างไรอย่างนั้นเลย
และการที่ฉันได้มานั่งข้างๆ คาร์โลแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ด้วย
เพราะคาร์โลมีผู้หญิงควงไม่ซ้ำหน้าเลยล่ะ
ใช่… มันน่าสมเพชดีเหมือนกันนะ เพราะฉันเองก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงของเขาเหมือนกัน ที่ไม่มีตัวตนใดๆ สำหรับคาร์โลเลย
ไม่มีเลย…
“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันล่ะ” เคลย์ถามเมื่อเขาหันมามองฉันหลายต่อหลายครั้งแล้ว
คาร์โลก็เสียมารยาทที่ไม่ยอมแนะนำให้เราสองคนรู้จักกันซะที ฉันน่ะพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้วเลยได้แต่ยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น
“ผู้หญิงคนนี้เหรอ?” คาร์โลปรายตามองฉันเงียบๆ
สายตาของเขาเริ่มน่ากลัวจนฉันเริ่มหลอนว่าตัวเองจะได้กินกาแฟดำจากเขาพรุ่งนี้หรือเปล่า ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย จริงๆ นะ ฉันคิดว่าฉันน่ะ ยังไม่ได้ทำอะไรที่ผิดหรือไม่ดีกับเขาเลยจริงๆ
“บอกไม่ได้งั้นเหรอ ฉันมีแฟนแล้วนะ อีกอย่างรินรินน่ะขี้หึงเอาเรื่องเลย ฉันแค่ถามเพราะไม่เคยเห็นแกพาผู้หญิงคนไหนมาที่นี่เลยก็เท่านั้น” เคลย์บอก
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงคับอก มันเต็มไปด้วยความดีใจและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
แต่นาทีต่อมาหัวใจของฉันก็เหมือนถูกเจาะลมเลือดไหลรินเป็นแผลกว้าง ก็เพราะคำตอบของคาร์โล
“พี่สาวฉันเอง… ไม่ใช่แฟน”
“พี่สาว?” เคลย์ถามซ้ำเหมือนจะย้ำให้แน่ใจ
และคาร์โลก็ตอกย้ำลงไปในแผลที่เจ็บปวดอยู่แล้วของฉันแรงๆ…
“ใช่ พี่สาวของฉันเอง อยากถามอะไรต่อมั้ย?”
เหมือนว่าเคลย์เองก็เริ่มรู้ว่าตอนนี้คาร์โลอารมณ์เริ่มไม่ค่อยดีแล้ว เขาเลยยิ้มและไหวไหล่ไม่ถามอะไรอีก ฉันเองก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มพลางยิ้มให้เคลย์ไปด้วย
“พี่สาวก็พี่สาว ทำไมต้องอารมณ์เสียด้วยวะ…” เคลย์ถามยิ้มๆ
ซึ่งมันก็เป็นคำถามอย่างที่ฉันอยากจะถามคาร์โลเหมือนกัน
นั่นสิ ทำไมเขาต้องอารมณ์เสียเวลาที่ใครต่อใครถามว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน
ก็ในเมื่อเขาบอกมาตลอด… ว่าเราสองคนคือ
‘พี่น้องกัน’
ฉันหาหนังสืออย่างใจลอย ไม่ว่าจะเล่มไหนมันที่เหมาะสำหรับจะมาทำรายงาน สุดท้ายฉันก็ไม่ได้หนังสือเลยสักเล่ม อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่หรอก เพราะยังไม่ถึงกำหนดส่งรายงานเลยด้วยซ้ำไป แต่ที่บอกคาร์โลไปแบบนั้นเพราะฉันไม่อยากจะออกไปไหนมาไหนกับเขาแล้วต่างหาก
และมันก็เป็นอย่างที่กลัวเอาไว้จริงๆ…
ฉันน่ะเจ็บทุกครั้งเลยที่เขาบอกเพื่อนของเขาว่าเป็นเพียงแค่ ‘พี่สาว’ ของเขาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสำคัญไปมากกว่านั้นเลย
และมันทำให้ฉันคิดว่าที่ผ่านมาน่ะ ฉันทำอะไรลงไป… ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ความสัมพันธ์ลึกซึ้งนั่นล่ะ
ฉันเหมือนคนโง่เลยว่าไหม ที่ยอมทุกอย่าง ให้เขาเอาไปได้ทุกอย่างแล้วก็ไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย ฉันนี่ไร้ศักดิ์ศรีแล้วก็ไม่รักตัวเองเอามากๆ เลย
บางครั้งฉันก็อยากจะเปลี่ยนตัวเอง แต่จะเปลี่ยนยังไงล่ะ? ฉันพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไร้ผล
เพราะทุกวันฉันก็ยังต้องเจอกับคาร์โล ต้องนอนกับเขา และทำทุกๆ อย่างเหมือนเป็นปกติ ทั้งที่มีฐานะเป็นพี่สาวของเขานี่แหละ มันน่าสมเพชเหลือเกิน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ฉันเริ่มตระหนักแล้วว่าควรต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นสุดท้ายฉันก็จะว่างเปล่าและไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่จิตวิญญาณของตัวเอง
แต่จะทำยังไงล่ะ… ฉันเฝ้าถามตัวเองมาตลอด
พอเดินออกมาจากหอสมุดกับหนังสือที่ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้กับรายงานได้หรือเปล่าฉันก็เจอกับธีร์อีกครั้ง
เหมือนว่าเขาจะรออยู่นานแล้ว และเดินตรงเข้ามาหาฉันอย่างไม่ลังเล ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงอย่างน่ากลัวเมื่อเห็นแบบนั้นเข้า
“แก้ว ฉันอยากได้คำตอบจริงๆ จากเธอ เมื่อวานเธอยังไม่ได้ตอบฉันเลย” เขาพูด และทำให้ฉันร้อนผ่าวทั้งกลัวทั้งสับสน
“ไม่ชอบเราก็ปฏิเสธมาตรงๆ ได้เลย ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากได้คำตอบที่ชัดเจน แล้วจะได้ตัดใจ”
ฉันเม้มปากกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากราวกับกลืนทรายหลายกำมือกรอกลงคอไป สายตาของธีร์จริงจังและหนักแน่นจนฉันเริ่มเกิดคำถามในใจขึ้น
ถ้าหากเลือกผู้ชายคนนี้แทนที่จะเป็นคาร์โลล่ะ…
“ฉันไม่กลัวน้องชายเธอหรอกนะ ฉันกลัวจะไม่ได้คำตอบและโอกาสจากเธอมากกว่านะแก้ว” เขาพูดจริงจังมากกว่าคาร์โลหลายเท่า จนฉันเริ่มลังเลใจขึ้นมา
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจ เรามาทำความรู้จักกันให้ดีกว่านี้ดีมั้ยแก้ว ฉันอยากรู้จักเธอมากกว่านี้”
คำพูดของธีร์หลอกหลอนฉันไม่รู้จบจนกระทั่งกลับมาถึงคอนโดแล้ว ฉันยังไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้หญิงเงียบๆ หน้าตาธรรมดาและไม่มีอะไรโดดเด่นเลยอย่างฉันน่ะจะมีคนมาชอบได้ยังไง มันน่าเหลือเชื่อเลยนะ ว่าไหม?
ฉันคิดวุ่นวายกับความรู้สึกพวกนั้นอยู่นานและไม่รู้เลยว่าคาร์โลกลับมาถึงห้องตอนไหน เขาเปิดกระป๋องเบียร์ที่ดูเหมือนว่าจะดื่มแทนน้ำไปแล้วและเดินเข้ามาใกล้ฉัน และวูบหนึ่งที่ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรนั้นโน้มต่ำลงมา พร้อมกับจูบหวานปนขมที่แตะที่ปลายลิ้นและโพรงปาก ฉันร้อนไปทั้งตัว และคงจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นั่นแน่ๆ ฉันให้เหตุผลกกลวงๆ กับตัวเอง ก่อนจะปรือตาขึ้นมื่อคาร์โลถอนจูบออก
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” เขารู้ทันไปหมดทุกอย่าง
รู้กระทั่งความกังวลหวาดกลัวในใจของฉัน
“มีอะไรจะบอกมั้ย?” ริมฝีปากหยักสีสดนั่นกระซิบพูด ปลายนิ้วของเขาก็เลื่อนต่ำลงไปที่ชายเสื้อของฉัน และสอดมือเข้าไปลูบไล้ร่างกายของฉันจนร้อนผ่าว
“นายต้องโกรธถ้าฉันบอก” ฉันหลับตาลงเมื่อเสื้อตัวนอกถูกถลกทิ้งออกไปอย่างไม่ไยดี ร่างกายหนาวเหน็บเหมือนเป็นไข้หลายองศา
“ก็ลองมาบอกดูก่อน” คาร์โลกระซิบและโน้มหน้าลงมาอีกครั้ง แต่เขาชะงักเมื่อฉันตอบไป
“ฉันมีคนมาขอคบด้วย…” ฉันบอก สัมผัสได้ว่าร่างกายของคาร์โลเกร็งเครียดไปอย่างน่ากลัว
“แล้ว…” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ฉันตอบตกลง…” จบคำพูดฉันก็หลับตาแน่นเมื่อฝ่ามือหนาของคาร์โลขยุ้มท้ายทอยของฉันกระตุกผมแรงๆ จนน้าแหงนหงาย
“แล้วอยากรู้ความเห็นของฉันมั้ยแก้วใส…” คาร์โลกระซิบลอดไรฟังอย่างเดือดดาล ที่ทำให้ฉันแทบล้มทั้งยืน
“เธอตายแน่… แก้วใส”
“ตกลงจะไม่บอกใช่มั้ยว่าไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร!?”
ตอนเช้าคาร์โลเริ่มต้นทะเลาะกับฉันอย่างรุนแรงเผ็ดร้อน เรื่องของเรื่องก็มาจากเรื่องเมื่อคืนวานที่ฉันบอกไปว่ามีคนมาขอคบด้วย คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าฉันถูกรังแกเอาแรงๆ ยังไงบ้างหลังจากนั้น เพราะนั่นทำให้ฉันแทบจะลุกจากเตียงไม่ไหวด้วยซ้ำไป
“แก้วใส!” คาร์โลเป็นคนเดียวที่เรียกฉันด้วยชื่อเต็มๆ ว่าแก้วใส ไม่เหมือนคนอื่นที่เรียกว่าแก้วอย่างเดียวเท่านั้น และด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นั่นบอกให้รู้เสมอว่าเขาอารมณ์แบบไหนอยู่กันแน่
“ฉันขอล่ะคาร์ล” ฉันพึมพำบอกเพราะตอนนี้เหนื่อยเกินกว่าจะมาทะเลาะกับเขาอีกแล้ว
“บอกมาสิวะ ว่าไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร!” เขาขึ้นเสียงอย่างหยาบคาย ทำให้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันคือพี่สาว ตอนนี้ฉันอยากมีชีวิตเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ขอล่ะคาร์ล”
“รึเธออยากให้ฉันบอกกับทุกคนว่าเธอคือ ‘เมีย’ ฉันล่ะ” คาร์โลทำเสียงเหี้ยมและทำสีหน้าน่ากลัวจนฉันใจสั่น
“เราหยุดมันแค่นี้ดีมั้ยคาร์ล…” ฉันพูดและน้ำตาคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอว่าที่ผ่านมาฉันเจ็บปวดและอึดอัดกังวลมากแค่ไหนที่ต้องอยู่ในสถานะอะไรไม่รู้สำหรับเขา เป็นเหมือนผู้หญิงของตายที่อยากได้เมื่อไหร่ก็ลากขึ้นเตียงและบอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นแค่คนที่รู้จักกับเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
แบบนี้มันไม่น่าสงสารเกินไปเหรอ ฉันเจ็บปวด และไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว
“อยากมีแฟนงั้นเหรอ?” มือหนาของคาร์โลบีบที่ต้นแขนของฉันแรงๆ และออกแรงมากขึ้นจนฉันต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“พอเถอะคาร์ล ฉันว่ามันควรจบแล้วนะ”
ฉันเคยคุยกับเขาเหมือนกันเรื่องนี้… แต่ก็นั่นแหละ เขารับฟังมันที่ไหนกันล่ะ
“นี่… หมายความว่าเธอจะไปคบกับผู้ชายสั่วๆ งั้นเหรอ”
“เขาไม่ใช่คนแบบนั้นคาร์ล” ฉันบอก เพราะเขาไม่รู้จักธีร์เลยด้วยซ้ำ ใช้ความอวดดีอะไรมาว่าคนอื่นแบบนี้กัน ผู้ชายคนนี้นี่นิสัยแย่อย่างเหลือเชื่อเลย
“แตะไม่ได้เลยงั้นเหรอ” ยิ่งเขาอารมณ์เสียเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งบีบแขนฉันแรงมากขึ้นเท่านั้นจนน้ำตาฉันร่วง
“คาร์ล ฉันอยากจบเรื่องนี้ ที่ผ่านมานายก็แสดงออกชัดเจนแล้วนี่ว่าไม่ต้องการฉัน ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันอยากมีชีวิตเหมือนคนอื่นๆ บ้าง”
พอฉันพูดจบ คาร์โลก็ปล่อยมือจากแขนของฉัน จากนั้นเขาก็ถอนหลังเดินออกไปเงียบๆ และทำหน้างุนงง
และวินาทีต่อมาเขาก็หัวเราะเสียงสูง ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะอะไรเลยสักนิด…
“เธอนี่มันโง่จริงๆ…”
ฉันหน้าชากับคำพูดของคาร์โล เมื่อเขาปล่อยมือออกจากแขนของฉันก็ราวกับว่าผิวกายตรงนั้นร้อนผ่าวเหมือนถูกนาบด้วยเหล็กร้อน ริมฝีปากของฉันสั่นระริกจนต้องขบเม้มมันเอาไว้แน่นและมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เอาล่ะ โอเค ตามนั้น…” เขาพูดพลางเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ
ฉันเป็นฝ่ายไม่เข้าใจและต้องเอ่ยถามอะไรบางอย่างจากเขาแทน
“คืออะไร นายช่วยพูดให้ชัดๆ กว่านี้ได้มั้ย” ฉันถาม หัวใจเต้นแรงพยายามอย่างมากที่จะไม่ปล่อยเสียงโฮออกมาให้เขาได้ยิน
“ก็ยังไงล่ะ เธอต้องการอะไรก็ตามนั้นเลย หยุดทุกอย่าง แล้วก็เก็บของเธอออกจากห้องฉันด้วย!!” คาร์โลพูดเป็นเสียงตะคอก จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
ฉันยืนซึมอยู่นาน ยกมือเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้าของตัวเองออกไป จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องนอนของคาร์โลเพื่อขนย้ายข้าวของของตัวเองออกมาจากที่นั่น และกลับไปอยู่ในห้องนอนของฉันเองที่ควรจะอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกแล้ว
แต่นาทีต่อมาฉันต้องหันหลังกลับไปมองทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เหมือนหัวใจหล่นไปกองที่พื้นเมื่อเห็นสีหน้าที่น่ากลัวของคาร์โลเดินตรงเข้ามาใกล้ และมีท่าทีน่ากลัวไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย และนั่นทำให้ฉันเดินถอยหลังโดยอัตโนมัติ
“คาร์ล…”
“มีอะไร เก็บของต่อไปสิ หรือเธออาลัยอาวรณ์ฉันมากจะนอนที่นี่ต่อก็ตามใจ เพราะฉันคิดว่าคงไม่กลับมานอนที่นี่อีกแล้ว” เขาพูด และทำให้ฉันถอยหลังลนลานด้วยความหวาดกลัว
“ฉันแค่…”
ฉันพูดต่อไม่ออกว่าอยากให้เรื่องมันเป็นไปในทางที่ควรจะเป็น เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กลับมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต้องห้ามแบบนี้
“อ้อ ก่อนไป ขอส่งท้ายสักหน่อยได้มั้ย”
คำพูดของคาร์โลทำให้ฉันสะอึกไป ยังไม่ทันได้ตั้งตัวร่างสูงใหญ่ของคาร์โลก็ปราดเข้ามาใกล้จากนั้นก็กระซิบถ้อยคำร้ายๆ ให้ฉันหัวใจเต้นแรง
“คาร์ล…”
“แล้วจะขัดไปทำไม ของมันเคยๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
ฉันกัดฟันแน่นกับคำพูดร้ายกาจของคาร์โล เสียหลักล้มลงที่เตียงเมื่อเขาเหวี่ยงฉันไปลงนอนบนนั้น จากนั้นก็ขยับตัวเดินขึ้นเตียงอย่างคุกคาม
“พอ หยุดได้แล้วคาร์ล!” ฉันหวีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นคนอย่างนี้
“บอกแล้วไงแค่ส่งท้าย เพราะปกติเธอก็ชอบแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แก้วใส…”
ฉันไปมหาวิทยาลัยด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว ตัวร้อนเหมือนมีไข้ แต่ก็พบว่าตัวเองมีไข้จริงๆ ไม่ใช่แค่คิดไปเองเท่านั้น ฉันแวะซื้อยาแก้ไข้จากร้านสะดวกซื้อที่หน้ามหาวิทยาลัย แล้วก็เดินกลับคณะเพื่อเข้าคลาสเรียนตอนบ่าย
“ไงแก้ว… หน้าซีดเชียว ไม่สบายเหรอ” แอนนี่เพื่อนร่วมคลาสเข้ามาทักทายฉันเมื่อฉันเดินเข้าห้องเรียนมา
“อือ ปวดหัวมากเลยล่ะ” ฉันตอบแล้วก็ยกมือคลึงขมับไปด้วย
“ถ้าธีร์รู้เข้ามีหวังปวดใจมากแน่” เธอทำเสียงเจ้าเล่ห์ ฉันเลยขึงตาใส่อย่างขัดเขินไม่น้อย
“อย่าพูดแบบนี้สิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขานะ”
เรื่องนี้ฉันไม่ได้โกหก มันจริงที่ธีร์มาขอคบกับฉัน แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยบอกว่าให้เริ่มจากการเป็นเพื่อนกันก่อน
“จริงเหรอ?”
“เราเป็นเพื่อนกัน” ฉันตอบ และหลบสายตาของแอนนี่ก่อนจะเดินไปหาที่นั่ง
แอนนี่เดินตามมาแล้วก็กระเซ้าเย้าแหย่ไม่เลิก บอกว่าฉันโชคดีที่ถูกธีร์ขอเป็นแฟน เพราะว่าเขาน่ะเนื้อหอมและมีแต่คนชอบเป็นอันดับต้นๆ ของคณะเลย
“แต่ไม่ใช่เพื่อนในความหมายแบบที่เราเป็นกันใช่มั้ยล่ะ” แอนนี่ยังไม่เลิกพูด ทำให้ฉันต้องถอนหายใจและขึงตาใส่เพื่อนเพื่อปรามเอาไว้
“แต่เชื่อฉันนะ ธีร์น่ะเป็นคนดีมากจริงๆ ผู้หญิงทั้งคณะอยากจะงาบเขาจะแย่”
ฉันไม่ได้ตอบแต่เลือกจะหยิบเอาสมุดจดเลกเชอร์ขึ้นมาวางบนโต๊ะแทน
“จะว่าไป… น้องชายเธอนี่หล่อสุดยอดไปเลยนะ ไม่เห็นบอกกันมั่งเลยว่ามีน้องชาย” แอนนี่พูดอย่างร่าเริงดูอารมณ์ดีมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ฉันเลยช้อนสายตาขึ้นและมองด้วยความสงสัย
ต่อมาฉันเลยเข้าใจว่าน้องชายที่แอนนี่พูดถึงคือใคร…
และคนคนนั้นก็คือ คาร์โล ยังไงล่ะ
“หล่อนะ แบบว่าใจเต้นเลย เขามีแฟนรึยัง แนะนำให้รู้จักมั่งสิ”
“เอ่อ…” ฉันยังไม่ทันได้ตอบ อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาซะก่อน ดังนั้นแอนนี่เลยขยับตัวนั่งที่นั่งฉันก็หลุบตาลง หัวใจร่างกายร้อนไปหมด เพียงแค่คิดว่าคาร์โลเป็นที่ต้องการของใครต่อใคร…
ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปแล้ว…
ฉันเรียนอย่างไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่นัก อาการที่หนักไปทั้งหัวนั้นคอยทำให้ทุกอย่างในร่างกายรวนไปหมด มือของฉันยังจดเลกเชอร์ได้ แต่สมองมันแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรอีกแล้ว จนกระทั่งเลิกคลาสฉันเลยเพิ่งมารู้สึกตัวว่าเหงื่อซึมไปทั้งตัวทั้งที่อากาศในห้องเรียนเย็นสบายแท้ๆ
คนที่เห็นอาการของฉันคนแรกคือธีร์ เขาปราดเข้ามาใกล้แล้วก็ถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของฉันแล้ว
“แก้ว เธอหน้าซีดมากเลยนะ” เขาเข้ามาทัก ฉันเลยพยักหน้าและเก็บของอย่างมึนงง
“เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนน่ะ” ฉันตอบไปแล้วก็หน้าแดง
ไม่ใช่แค่เมื่อคืนหรอกที่ไม่ได้นอน ตอนเช้าก็ยัง
บ้าจริง… ทำไมฉันต้องคิดแต่เรื่องพวกนี้ด้วย
“เดินไหวมั้ย แวะห้องพยาบาลก่อนดีกว่ามั้ย?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง แอนนี่และเพื่อนคนอื่นทำหน้าล้อเลียนก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ฉันเลยไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกนอกจากธีร์
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันซื้อยามาแล้ว แต่ยังไม่ได้กินน่ะ กินไปเดี๋ยวคงหาย” ฉันบอกและพยายามฝืนยิ้มให้
แต่ธีร์ยังทำหน้าไม่ค่อยสบายใจ ช่วยถือกระเป๋าให้แล้วก็ประคองฉันให้เดินลงมาจากสโลปห้องเรียนอย่างระมัดระวัง
“แล้วทำไมไม่กินตั้งแต่ตอนแรกล่ะ” ธีร์บ่นงึมงำ ฉันได้แต่ยิ้มบางๆ ตอนนี้ปวดหัวเกินกว่าจะเล่นตัวดึงแขนออกมาจากการประคองของเขา ฉันปวดไปทั้งตัวและอยากจะนอนพักมากกว่าอะไรทั้งนั้น
วันนี้ไม่มีเรียนแล้วเลยคิดว่าจะกลับไปนอนพักต่อที่ห้อง แต่ไม่ทันได้คิดเลยว่านาทีต่อมาโลกทั้งใบมันมืดลงหน้าตาเฉย และฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของธีร์ที่แว่วข้างหูเบาๆ เท่านั้น
“แก้ว! แก้ว…”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน มารู้สึกตัวก็ตอนที่รู้สึกว่าอยากจะตื่นขึ้นเท่านั้น ฉันกะพริบตาถี่เมื่อรอบตัวเป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่อย่างเดียว กลอกตามองไปรอบๆ เลยเห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง และใกล้ๆ กันนั้นมีเตียงเรียงรายอยู่หลายเตียงด้วยเช่นเดียวกัน เลยรู้ว่าเป็นห้องพยาบาลของคณะ…
“แก้ว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มดังข้างๆ ตัวฉันเลยหันไปมองอีกรอบ หัวใจมันเต้นแรงเมื่อเห็นว่าเป็นธีร์นั่งเฝ้าอยู่
“นี่…”
“เธอเป็นลม ไข้สูงมากเลยล่ะ ฉันเลยพามาห้องพยาบาล” เขาตอบแล้วก็เก็บของที่วางไว้บนเตียงที่ฉันนอนอยู่เก็บลงในกระเป๋า
“ฉันทำควิซส่งอาจารย์ให้เธอแล้วนะ ลายมือเราคล้ายๆ กันน่ะ ฉันเลยทำให้” ธีร์ยังคงผูกขาดอยู่กับการพูดคนเดียว ฉันเลยได้แต่เออออไปด้วย
“ขอบคุณนะ”
“แล้วจะกลับเลยมั้ย จะไปส่ง”
ถึงตรงนี้ฉันเริ่มใจเต้นแรง ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าแค่เริ่มต้นในการพูดคุยกัน แต่อะไรบางอย่างทำให้ใจของฉันไม่เป็นสุขเอาซะเลย
“เอ่อ…”
“กลับเหอะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปมากกว่านี้ เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่คอนโดให้” ธีร์ไม่รอให้ฉันตอบคำถามแต่ช่วยประคองฉันลงจากเตียงและช่วยถือกระเป๋าให้ ก่อนจะพาออกมาจากห้องพยาบาลอย่างระมัดระวัง
“ที่ห้องมีเจลลดไข้มั้ย เอาไว้ติดหน้าผาก” เขาถามต่อ ตอนที่ฉันสะลึมสะลือฟังเรื่องเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
“เอ่อ…” ฉันทำหน้าเหลอหลา ธีร์ก็หัวเราะแล้วก็พาฉันขึ้นรถเงียบๆ
ตอนที่อยู่ในร้านขายยาธีร์ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกฉันเองก็รอจ่ายเงินอยู่หน้าเคาน์เตอร์… แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉันเลยพูดกับเภสัชกรเพื่อหาของที่ต้องการทันที
“ขอโทษค่ะ… ฉันอยากได้ที่ทดสอบการตั้งครรภ์”
คาร์โลไม่ได้กลับมาที่ห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ฉันเองก็ไม่มีหน้าจะโทรไปถามเขาด้วย ดังนั้นฉันเลยอยู่คนเดียวและว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนี้ฉันเดินวนเวียนอยู่ในห้องน้ำ มือถือที่ตรวจครรภ์เอาไว้แน่นอย่างว้าวุ่นใจ ไม่กล้าจะตรวจมันจนแล้วจนรอด แต่สุดท้ายเมื่อหนีความจริงไม่พ้นฉันก็ตัดสินใจนั่งลงที่ชักโครกแล้วก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องรู้ให้ได้
ว่าตอนนี้ ฉันกำลังท้องอยู่รึเปล่า
ถึงแม้ว่าคาร์โลจะป้องกันทุกครั้ง แต่ก็มีบ้างที่เขาโมโหหนักแล้วก็ลืมเรื่องนั้นไป…
ฉันพยายามคิดในแง่ดีว่าเรื่องมันคงไม่เลวร้ายอย่างที่กลัว แต่ใจก็เต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด และเมื่อพลิกที่ตรวจครรภ์ขึ้นมาดู โลกทั้งใบก็เหมือนถล่มลงต่อหน้าของฉัน
เพราะมัน… ขึ้นมาว่าสองขีด
ที่แปลว่าฉันกำลังท้องอยู่…
มู่มารีอัพตัวอย่างให้อ่านอีกรอบค่ะ จะอัพถึงตอนที่ 3 นะคะ
ตอนนี้ทางสำนักพิมพ์ได้เปิดจองหนังสือแล้วค่ะ
รายละเอียดตามนี้เลยค่ะ https://goo.gl/wFUJTe
มู่ฝากเอาไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
จะคลิกที่รูปก็ได้ค่ะ
Talk 3...
แก้วใสเอ๊ย
ทำไมถึงได้น่าสงสารอย่างนี้ล่ะ
ความจริงมู่ก็อยากเขียนนางเอกร้ายๆ แรงๆ เหมือนกัน
แต่ไม่รู้ทำไม เซตนี้ถึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้
จะพยายามมีนางเอกหลายๆ แบบนี้ในเซตนี้นะคะ
ปล อีคาร์ลมันจะทำยังไงนะ ถ้ารู้ว่าแก้วใสท้อง ไม่อยากจะจินตนาการเลยจริงๆ
Talk 2...
ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้ว่าอีคาร์ลมันต้องการอะไรกันแน่
แต่หลังจากนี้จะเริ่มรู้มากเรื่อยๆ แน่นอนค่ะ
งือ ผช แก๊งนี้นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงร้ายกาจไปหมดทุกคนอย่างนี้
สงสารนางเอก แต่ละคนสะบักสะบอมตลอดเลย
ฝากตามเอาใจช่วยแก้วใสต่อด้วยนะเออ
Talk 1...
Song :: Hurts – Blind
เรื่องใหม่ในเซตค่ะ ชื่อเรื่องก็บอกแล้วเนอะว่าเรื่องของคาร์โล
อยากบอกว่าทั้งเซตนิสัยร้ายกาจเหมือนกันหมดเลยค่ะ
อย่างที่ปันหยีบอกว่าลอกดีเอ็นเอกันมาเลย
ไม่รู้ว่าปันหยีกับแก้วใสใครจะน่าสงสารกว่ากัน
ยังไงเค้าฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ความคิดเห็น