ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #50 : Puumate's Eyes 💔 Eps.01

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 39.3K
      102
      12 ก.ค. 63

    Tumblr: Image

    Puumate’s Eyes

    (Story of Puumate & Pleng-Pin)

     

    I'm holding on to pieces of us, that I just can't let go

    I know this is a desperate kind of love

    But it feels like it's home

    Where you going? (Where you going?)

    I'm holding on to pieces of us Cause I just can't let go

    Girl what happened? Tell me, girl what happened?

    Cause I am dying, I am dying

    ผมพยายามเหนี่ยวรั้งเศษเสี้ยวของเรา ผมไม่อยากปล่อยมันไป

    ผมรู้ว่ามันหมดหวังแล้วสำหรับรักครั้งนี้

    แต่มันรู้สึกเหมือนกับว่านี่คือที่พึ่งพิงที่สุดท้าย

    คุณอยู่ไหน? (คุณจะไปที่ไหน?)

    ผมพยายามเหนี่ยวรั้งเศษเสี้ยวของเรา เพราะผมไม่อยากปล่อยมันไป

    ที่รัก เกิดอะไรขึ้น? บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    เพราะตอนนี้ผมกำลังจะตาย

    Song :: NF – Wait

     

    Puumate’s Eyes 01

    Girl What Happened? Tell Me

            

             “เพลง คืนนี้บอลแข่ง แกเชียร์ใครวะ!” เสียงทักพร้อมกับแรงผลักที่หัวทำให้ฉันหันไปมองคนที่เดินเข้ามาอย่างเคืองๆ คนที่เข้ามาทักและผลักหัวฉันซะจนคอแทบหักไม่ใช่ใครที่ไหนเลย นอกจาก กาย เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ฉันมี

             และคงเพราะสนิทกันล่ะมั้ง กายถึงไม่ได้เห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงเลย เขามองฉันเป็นเหมือนกับผู้ชายเหมือนกันล่ะมั้ง แต่เอาเถอะ คนอย่าง เพลงพิณ คนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นที่จะต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเจ้าหญิงด้วยนี่นา ฉันเลยไม่ค่อยน้อยใจหรือคิดมาก

             “บอล อ้อ ยังไม่รู้เลยว่าทีมไหนแข่ง ไม่ได้ดูมาตั้งนานแล้ว” ฉันบอกกับเพื่อน ทำให้กายเลิกคิ้วมองอย่างจับผิด

             “มองอะไรล่ะ” ฉันบอกแล้วแกล้งเปิดแมคบุ๊คขึ้นเพื่อไม่ให้กายซักอะไรไปมากกว่านี้

             “ไม่ได้ดูนานแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนวะ เมื่อก่อนแกชอบดูบอลจะตายไป” กายตั้งข้อสังเกตแล้วก็หรี่ตามอง

             “ก็ช่วงนี้ยุ่งๆ นี่นา เข้าช่วงสอบแล้วนะกาย” ฉันบอก กายเลยไหวไหล่แล้วก็พูดเสียงน่าหมั่นไส้

             “แล้วไง มิดเทอมฉันทำได้ดีไม่เห็นต้องซีเรียสเรื่องไฟนอลเลย”

             “ค่า ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ นะคะ” ฉันอดประชดไม่ได้ กายเลยหัวเราะเสียงใส แล้วถามคำถามเดิมอีกหน

             “ตกลงว่าไง คืนนี้แมนยูกับแมนซิตี้แข่งกัน”

             “ไม่ชอบเลยทั้งสองทีม” ฉันพึมพำ เลยถูกผลักหัวอีกครั้ง

             “เออ ก็แกมันสาวกหงส์นี่หว่า ว่าไง ตอบมาเร็วๆ ดิวะ” กายเร่งเอาคำตอบ ซึ่งเดาไม่ยากเลยว่าทำไมถึงถามแบบนี้ ฉันมองเพื่อนด้วยสายตาเรียบเฉย กายเลยผลักไหล่ฉันเบาๆ

             “อย่ามาเล่นตัวดิวะ บอกมาได้แล้ว” ฉันหัวเราะกับท่าทางร้อนรนของกาย แล้วก็เงียบเมื่อเห็นเพื่อนอีกกลุ่มของเขาเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ

             กายมองตามแล้วกวักมือเรียกให้เพื่อนเขาเข้ามาหา

             เขาคนนั้นชื่อ เวอร์นอน เป็นหนุ่มลูกครึ่งที่หล่อมาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสุดๆ จนเกือบจะเหมือนสีทองเป็นประกายแวววาว ตัวสูง ผิวขาว สีผมก็เป็นสีน้ำตาลอ่อนตามไปด้วย แค่เขาเดินมาทุกสายตาก็จ้องโดยไม่รู้ตัว และกายเองก็เป็นคนที่หน้าตาดีมากด้วย ดังนั้นเมื่อเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็เหมือนจะต้อนผู้หญิงให้ขยับเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ได้อย่างง่ายดาย

             ที่ที่ฉันนั่งอยู่เป็นคณะเรียนบริหารธุรกิจ ซึ่งทั้งกายและเวอร์นอนนั่นไม่ได้เรียนคณะนี้เลย พวกเขาเรียนวิศวกรรมศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่ แต่เป็นเพราะกายสนิทกับฉัน และต้องการมาเหล่หญิง คณะบริหารธุรกิจก็ขึ้นชื่อว่าสาวสวยเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นเลยมักจะเห็นเขาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้บ่อยๆ

             “รอเดี๋ยวนะเวอร์นอน” กายบอกเพื่อนเขา แล้วหันมาเค้นเอาคำตอบจากฉันต่อ

             “ว่าไงวะ บอกมาน่าว่าเชียร์ใคร ง่ายๆ แค่นี้เอง มันยากอะไรตรงไหนเล่า”

             “แมนยูเอ้า” ฉันบอก เดาว่าเวอร์นอนคงมีธุระที่ต้องไปกับกาย ไม่อยากให้กายเสียเวลาที่นี่ เลยบอกไปแบบนั้น

             “ก็แค่เนี้ย แต๊งเพื่อนเลิฟ ไปล่ะ พรุ่งนี้จะซื้อหนมมาฝาก” กายยีผมฉันเล่นแล้วก็ลุกจากม้านั่งตัวเดียวกับที่ฉันนั่งอยู่ไปหาเวอร์นอน

             ฉันมองหน้าเวอร์นอนยิ้มพลางพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทายครั้งหนึ่ง เราไม่เคยคุยกันมาก่อนเลย เพราะเวอร์นอนนิ่งเงียบมากจนน่ากลัวน่ะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจริงๆ แล้วเขารู้จักฉันด้วยหรือเปล่า ก็อยากคุยหรอกนะ แต่ว่ามันก็

             “ไปกัน” กายบอกกับเวอร์นอน ก่อนที่สองคนนั้นจะเดินออกไปด้วยกัน โดยที่เวอร์นอนไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

             เมื่อทั้งคู่เดินห่างออกไปแล้วนั่นแหละ ฉันเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มันอึดอัดสุดๆ ที่ต้องเจอกับเวอร์นอน

             สายตาของเขามันน่ากลัวประหลาดแบบที่อธิบายไม่ได้ เขาไม่เคยพูดอะไรกับฉันเลย อย่างมากก็แค่พูดว่า ‘Hi!’ หรือไม่ก็ หวัดดีเพราะงั้นฉันเลยทำตัวไม่ถูกเสมอเวลาเขาอยู่ใกล้

             “น่าอิจฉาเนาะ เป็นเพื่อนกับกายเดือนคณะวิศวะด้วย แถมเวอร์นอนก็หล่อสุดๆ ไม่รู้แม่นั่นมีอะไรดี ถึงได้เป็นเพื่อนกับหนุ่มฮอตแบบนั้น”

             “นั่นดิ สนิทกันจนเหมือนแฟนเลย หรือว่าเป็นแฟนแอบๆ เพราะกลัวว่าเรตติ้งจะตกวะ”

             “โหดร้ายว่ะ ถ้าเป็นงั้นจริงนะ คิก”

             เสียงหัวเราะเสียงซุบซิบดังเข้าหูที่ฉันพยายามแล้วว่าจะไม่สนใจ แต่ใจคน มันจะแกร่งเหมือนหินผาได้มากแค่ไหนกันล่ะ ฉันก็ยังรู้สึกเสียใจ รู้สึกไม่ดีกับเสียงที่ได้ยินอยู่ดี จะว่าชินมันก็ชิน จะว่ารู้สึกไม่สบายใจมันก็ปะปนกันไปหมด เลือกจะหยิบหูฟังยัดเข้าหูแล้วก็นั่งทำรายงานต่อไปด้วยความไม่เข้าใจ

             คนเราน่ะ จะเป็นเพื่อนกันอย่างเดียวไม่ได้เหรอ ทำไมจะต้องมีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ฉันพยายามไม่สนใจ ฟังแค่เพลงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้พร้อมกับทำงานต่อไปเงียบๆ คนเดียว จนกระทั่งเพลงหนึ่งดังขึ้นมา หัวใจมันก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

             ก็อย่างที่ใครเคยบอกเอาไว้ ว่าคนอกหักน่ะ ไม่ว่าจะฟังเพลงอะไรก็มันเฉี่ยวหัวไป หรือไม่ก็ตีแสกหน้าเข้าอย่างจัง ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในสถานการณ์นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

             อ้อ ฉันไม่ได้อกหักจากกายหรือเวอร์นอนหรอกนะ เพียงแต่อกหักจากคนที่ไม่สมควรจะรักเข้า

             ฉันคิดโง่ๆ ว่า เซ็กส์มันอาจจะช่วยผูกมัดผู้ชายคนนั้นเอาไว้ได้ แต่ไม่เลย มันไม่ได้เป็นแบบนั้น และฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงโง่เง่าที่เอาตัวเข้าไปแลกกับความเจ็บปวดมาอย่างน่าหัวเราะเท่านั้น

             เรื่องของฉัน ก็มีเท่านี้แหละมั้ง

     

             เรื่องของฉันมันเริ่มต้นขึ้นตอนที่

             ตอนที่ลืมตาขึ้นมาบนเตียงในห้องพยาบาลแล้วเจอกับเขาคนนั้น เมื่อปีก่อน

             ตอนนั้นมันเหมือนกับฉากในนิยายเลย ที่เจอกับเจ้าชายรูปหล่อมานอนข้างๆ คือ ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันมาก่อน ต่อให้ใจแข็งมากแค่ไหน เชื่อเถอะ ผู้หญิงเกือบทุกคนคงละลายเพราะสายตาคู่นั้นแน่

             เขาเป็นคนดังอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันไม่รู้เลยว่านอนมองหน้าเขานานแค่ไหนจนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นแล้วส่งยิ้มให้

             รอยยิ้มของเขาเหมือนกับแสงแดดที่ทั้งอบอุ่น ทั้งส่องสว่างจ้าจนแสบตาไปหมด

             นายเป็นใคร แล้วมานอนตรงนี้ทำไม ฉันตั้งสติได้ก็ตอนที่เขาส่งยิ้มให้ แล้วถามไปด้วยความตกใจปนขัดเขิน

             แต่ฉันก็บ้าที่ไม่ยอมลงจากเตียงสักที แล้วเขาก็ไม่ใช่เจ้าหญิงนิทราที่รอให้เจ้าชายไปจุมพิตให้ตื่นจากการหลับใหลด้วย

             เตียงอื่นมันเต็ม ทำไม นอนไม่ได้เหรอ เตียงนี้มันของเธอรึไง…’ เขาถามด้วยน้ำเสียงสีหน้ายียวน บอกชัดถึงความมั่นใจในตัวเองและร้ายกาจเอาเรื่อง

             ฉันไม่รู้ว่าเขาคือใคร และมาจากไหน แต่การจะมานอนบนเตียงเดียวกัน ถึงจะเป็นห้องพยาบาลในมหาวิทยาลัยก็เถอะ เมื่อคิดว่าไม่ควรต่อล้อต่อเถียงกับเขาแล้วฉันก็พยายามจะลุกออกจากเตียง แต่ว่าเขากลับคว้าตัวฉันกระชากแรงๆ จนล้มลงนอนตามเดิม

             นี่ จะทำอะไรน่ะ!’ ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ แต่เขาคนนั้นไม่มีท่าทีตกใจเลยสักนิด

             ฝนตกอากาศมันหนาว เธอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ เขาพูดแบบนั้น ฉันก็ได้แต่อึ้งไป

             เดี๋ยวสิ ฝนตกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ ฉันเริ่มดิ้นและร้องโวยวายเพื่อให้เขาปล่อย

             ปล่อยฉันนะ ปล่อย มีคนเข้ามานะ ปล่อย

             ‘ถ้าอยากอายก็ร้องดังๆ สิ คนจะได้เข้ามาเห็น เขาส่งยิ้มท้าทาย หัวใจฉันมันก็เต้นแรงซะจนแทบทะลุออกมาจากหน้าอกให้ได้ เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้จนไม่รู้จะไปต่อยังไงเลย

             ไม่ตลกนะ ฉันต่อว่าเมื่อเขายังยิ้มใส่ตาเหมือนไม่กลัวหรือสนใจอะไรเลย

             นักศึกษา เป็นอะไรรึเปล่าคะ พยาบาลประจำห้องพยาบาลถามและเลิกม่านเข้ามาโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว

             เขาคนนั้นรีบเลื่อนตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อซ่อนตัว หน้าของเขาซบอยู่กับหน้าอกของฉัน มือก็ป้วนเปี้ยนผ่านกระโปรงที่ฉันสวมอยู่ ทำเอาฉันหน้ามืดตาลายไปหมด จะร้องให้คนช่วยก็พูดไม่ออก ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อึกอักอยู่อย่างนั้น

             ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร ตอนนั้นฉันก็ทั้งบ้าทั้งโง่ที่ไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น

             ปล่อยให้ผู้ชายแปลกหน้าแหวกสาบเสื้อให้ร่นลงจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดกับผิวเนื้ออย่างชัดเจน มันร้อนซะจนทำให้เหงื่อฉันซึมออกมาตามผิว

             ได้ยินเสียงแปลกๆ เลยเป็นห่วงค่ะ ถ้ามีอะไรรีบแจ้งเลยนะคะ ไม่สบายอะไรตรงไหนบอกเลยนะคะ

             ‘ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไร เหงื่อฉันแตกซิก ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งอาย ทุกอย่างมันผสมปนเปกันไปหมด

             เมื่อพยาบาลรูดม่านปิดตามเดิม ฉันก็สะท้านทั้งตัวเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นระอุระรานตามเนินอกอย่างไม่เต็มใจ ฉันดิ้นรนสุดแรงแต่มันกลับอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็เลิกผ้าห่มออกจากเราทั้งสองคน แล้วนั่งคร่อมเอวฉันเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้

             หยุดเดี๋ยวนี้นะ!’ ฉันบอกเสียงแหบๆ เมื่อตอนที่ข้อมือทั้งสองข้างถูกจับกดตรึงไว้เหนือหัวจนขยับไปไหนไม่ได้

             บอกเหตุผลที่ฉันต้องหยุดหน่อยสิ เขาบอกอย่างร้ายกาจน่ารังเกียจ

             นี่เขาไม่รู้จริงๆ น่ะเหรอ ว่าสิ่งที่เขาทำตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องถูกต้องน่ะ มีอย่างที่ไหนไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนแล้วมาทำแบบนี้ มันต่างจากที่โรคจิตลวนลามผู้หญิงตรงไหน

             ปล่อยนะ ไม่งั้นฉันจะเรียกให้คนช่วย ฉันบอกเสียงสั่น ไม่มีความเข้มแข็งเอาเสียเลย

             เมื่อกี้ก็ไม่เห็นเธอจะบอกพี่พยาบาลเลย ไม่กลัวว่ะ เขายิ้ม และเป็นยิ้มที่เจ้าเล่ห์น่ากลัวจนฉันแทบจะร้องไห้

             แล้วคิดดูให้ดีนะ หน้าตาแบบฉันเนี่ย ต้องบังคับเอาเหรอ ถ้าฉันบอกเธอพยายามจะเข้ามาปล้ำตอนที่ฉันนอนป่วยอยู่ พอฉันไม่ยอม เธอก็ร้องพูดให้คนเข้าใจผิด เธอคิดว่าคนอื่นๆ จะเชื่อใคร ระหว่างเธอกับฉัน…’ เขาพูดความจริงที่เถียงไม่ออก ระหว่างที่ยิ้มเย็นจนฉันตัวสั่นหนาวเยือกไปทั้งตัว

             ก็จริงอย่างที่เขาพูด ไปบอกคนอื่นไปว่ากำลังถูกผู้ชายคนนี้ทำมิดีมิร้ายแล้วใครจะเชื่อล่ะ

             แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้จริงๆ

             อย่า ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลยนะ นายหน้าตาดีออกขนาดนี้ ผู้หญิงคนไหนก็ไม่ปฏิเสธหรอก ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันวิงวอนเสียงสั่น ถ้าไม่ถูกจับมือเอาไว้อย่างนี้ ฉันคงยกมือไหว้ให้เขาเห็นใจไปแล้ว น้ำตาฉันคลอขึ้นมาจริงๆ อย่างที่ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเลย

             พอน้ำตาซึม เขาก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือพยายามเบี่ยงหน้าหนี และสุดท้ายก็รู้สึกได้ว่าเขาจูบซับน้ำตาให้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ฉันกลัวน้อยลงเลยสักนิด ฉันยังกลัวอยู่และกลัวมากด้วย

             นายทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักได้ยังไง ปล่อยเถอะ ฉันกลัว ขอร้องล่ะ…’

             ‘งั้นถ้าบอกชื่อเราก็จะรู้จักกันใช่มั้ย?’ เขาถามแล้วเลื่อนริมฝีปากแตะแก้มฉันอีกครั้งอย่างแผ่วเบา

             ครั้งนี้ฉันสะดุ้งตกใจ หันไปมองเขาอย่างพูดไม่ออก ดวงตาเบิกกว้าง น้ำตาที่คงค้างอยู่ที่ขอบตามันไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว

             ฉันชื่อ…’

     

             ฉันปิดแมคบุ๊คเมื่อทำงานเสร็จแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปคิดถึงเรื่องเก่าเรื่องนั้นขึ้นมาอีกทำไม ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว คงเพราะเพลงที่เพิ่งฟังไปนี่แหละ มันสะกิดให้คิดถึงอย่างช่วยไม่ได้ ฉันเก็บของเงียบๆ ใกล้ถึงเวลาทำงานพิเศษแล้ว ซึ่งฉันเริ่มทำงานพิเศษเพื่อฆ่าเวลาจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก

             วันนี้ก็แวะเข้ามาทำงานและส่งงานทางอินเทอร์เน็ตมหาวิทยาลัยเรียบร้อยด้วย เพราะอยู่ที่ห้องก็คิดมากอีก ยิ่งเทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายแล้วด้วย มันเลยว่างซะจนคิดว่าเวลาเดินช้าเหลือเกิน ฉันเป็นคนเชียงใหม่แล้วมาเรียนที่นี่ เรียกว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดขนานแท้เลย ตอนมาเรียนที่นี่เพื่อนก็ไม่มีเลยสักคน มีแค่กายที่รู้จักกันตอนรับน้องรวมของมหาวิทยาลัย แล้วก็สนิทพูดคุยกันมาจนถึงเดี๋ยวนี้ และตอนนี้ก็ยังไม่มีเพื่อนคนอื่นอยู่ดี

             เพราะกายหน้าตาดีเป็นที่หมายปองของสาวๆ รวมถึงเพื่อนคนอื่นในกลุ่มของเขาด้วย เลยทำให้มีผู้หญิงเข้ามาตีสนิทกับฉัน เมื่อรู้ว่าฉันสนิทกับกาย และขอร้องให้ช่วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรแบบนั้น พอมีคนแรกก็มีคนต่อๆ มาและสร้างความหงุดหงิดให้ทั้งฉันและกายมาก ตอนหลังฉันเลยบอกปฏิเสธไป เลยกลายเป็นว่าฉันเป็นพวกหวงก้างไม่ยอมให้ใครเข้ากาย พวกผู้หญิงเลยแอนตี้ฉันและข่าวลือก็ขยายเป็นวงกว้าง เลยไม่มีใครยอมคบกับฉัน และโดดเดี่ยวมาจนถึงตอนนี้

             กายบอกว่าฉันโง่และงี่เง่า ฉันเองก็ยอมรับมัน

             ฉันอยู่คอนโดของญาติซึ่งตอนนี้ย้ายไปอยู่เมืองนอกแล้ว ฉันไม่มีครอบครัวเลย พ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และได้ญาติรับอุปการะเลี้ยงดูอย่างดีจนถึงตอนนี้ เลยไม่มีภาระอะไร ที่เงินเก็บส่วนตัวก็มีส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นก็มีงานพิเศษด้วย ฉันมีเงิน มีที่อยู่ มีเพื่อนแสนดี(คนเดียว) เรียนจะจบแล้ว แต่ทำไมฉันถึงไม่มีความสุขเลยก็ไม่รู้ บางครั้งมันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อว้าเหว่โดดเดี่ยวไม่มีเพื่อนเลย มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่ว่าฉันไม่ใช่เลย ตอนนี้เลยยิ่งเคว้งคว้างเพราะจะเรียนจบ คงไม่ได้เจอกายอีก เพื่อนคนเดียวที่มีก็จะไม่เหลือเลยด้วย

             ฉันกลัว กลัวเวลาจะทำให้ฉันไม่เหลือใครเลย กลัวว่าจะหายไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเลย

             เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ฉันสะพายเป้แล้วเดินออกมาเงียบๆ เห็นเป็นเบอร์กายโทรเข้ามาก็รับสาย

             อันที่จริงฉันก็รู้แหละว่ากายโทรมา เพราะฉันมีเพื่อนที่ไหนล่ะ น่าสมเพชชะมัดเลย

             “ไงกาย

             (เฮ้ย คืนนี้ว่างรึเปล่า ฉันมีนัดเพื่อนไปดูบอลที่ลานเบียร์ ช่วยไปเชียร์แมนยูให้หน่อยดิ) กายพูดเสียงกระตือรือร้น ฉันเองก็อยากไปนะ แต่ว่า

             “ฉันต้องทำงานพิเศษอะ โทษทีนะ”

             (ทำงานพิเศษบ้าอะไรวะ เงินเก็บแกเนี่ย สามล้านได้แล้วมั้ง เอามาใช้เที่ยวซื้อความสุขมั่งเหอะ)

              “ตลกล่ะ ถ้าไม่ทำงานฉันจะเอาอะไรกินล่ะวะ” ฉันหัวเราะเศร้าๆ ก่อนจะรอยยิ้มจะเลือนหาย พร้อมกับเงยหน้ามองใครบางคนที่เดินเข้ามาใกล้และหยุดขวางทางอยู่ข้างหน้าอย่างจงใจ

             ฉันได้สบตากับผู้ชายตัวสูงรูปหล่อ ดวงตาคมเฉี่ยวเหมือนดวงตาของเหยี่ยว และไม่สามารถหลบสายตาคู่นั้นได้เลย

             “อยากได้เงินเหรอ คืนนี้ไปนอนด้วยกันดิ ฉันจะจ่ายให้” เขาคนนั้นพูดพลางยิ้มแย้ม ส่วนฉันก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินเลยผ่านไปไม่ตอบโต้อะไรทั้งนั้น

             พูดมากไปเท่านั้น คนอย่างเขาน่ะไม่เคยฟังอะไรหรอกนอกจากความต้องการของเขา อย่างตอนแรกที่เจอกันนั่นไง ใครจะไปคิดว่าจะถูกลวนลามในห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย

             เขามีชื่อว่า ภูเมษ ทลิทโทฤกษ์ ที่แสนจะเอาแต่ใจ หัวรั้น และมั่นใจตัวเองสูง

             ก็นิสัยของพวกหนุ่มหล่อบ้านรวยนั่นแหละ ช่างเหอะ อย่าไปสนใจอะไรเลย ฉันตั้งใจฟังกายพูด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องสนใจผู้ชายคนนั้นอีก

             (เฮ้ย มาน่าๆ ไปกัน เที่ยวกัน มาเชียร์แมนยูให้หน่อยน่า)

             “ฉันบอกแล้วไงว่าต้องไปทำงานพิเศษ” ฉันถอนหายใจ ผู้ชายรอบตัวไม่ว่าใครก็พูดไม่รู้เรื่องกันทุกคนเลย

             (แต่ตอนนี้เวอร์นอนมันรอเธออยู่นะ)

             “ฮะ!?” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจ กำลังจะถามซ้ำ แต่กายพูดทวนคำเดิมซะก่อน

             (เวอร์นอนมันอยู่แถวนั้นพอดี เลยวานขอให้รับแกมาด้วย มากับมันเลยนะ รออยู่)

             “เดี๋ยวสิ ก็บอกแล้วไงว่าฉันมีงานพิเศษต้องทำนะ”

             (เออว่ะ ที่ทำงานพิเศษที่แกว่าอะ เป็นที่ที่พวกฉันจะไปกินกันเลย ให้เวอร์นอนรับแกไปส่งที่นั่นเลย คืนนี้ฉันจะเหมาโต๊ะเอาไว้โต๊ะหนึ่งแล้วลากไปถึงตีสอง บริการพี่ๆ ด้วยนะ) กายหัวเราะที่แหย่ฉันได้ ส่วนฉันก็ได้แต่ส่ายหน้ากับความร่าเริงของเพื่อนสุดฮอต

             “แล้วทำไมต้องให้เวอร์นอนมารับด้วยล่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้สนิทกับเขาเลยนะ” แค่คิดว่าต้องนั่งรถของเวอร์นอนแล้วเงียบไปตลอดทางก็เครียดแล้ว จริงๆ นะ ฉันไม่เคยคุยกับเวอร์นอนเลย ไม่สนิทกันเลยสักนิด ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเจอกันแล้วฉันต้องเกร็งขนาดนั้นด้วย

             (ดีกว่าเบียดคนในรถเมล์แล้วกันน่า มาเถอะๆ แล้วเดี๋ยวไปเจอกัน)

             “อ่า แล้วเจอกัน” ฉันวางสายจากกายแล้วก็มองไปรอบๆ เพื่อหาเวอร์นอน

             ถ้าบอกเขาว่าฉันจะไปเอง เวอร์นอนจะว่าฉันน่ารำคาญหรือหยิ่งไหม หรือว่าไม่เต็มใจมารับฉันตั้งแต่แรกแล้วแต่ขัดกายไม่ได้ ฉันคิดวกไปวนมาอย่างปวดหัว แล้วเจอกับเขาในที่สุด เวอร์นอนยกมือขึ้นเหมือนจะทักทายระหว่างที่เขายังคุยโทรศัพท์อยู่ ฉันเลยหยุดยืนอยู่ห่างจากเขาเล็กน้อย แล้วรอจนเขาคุยโทรศัพท์จบ

             “ไปกันเลยมั้ย?” เวอร์นอนถามฉัน เมื่อเขาวางสายแล้ว

             ฉันรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา มันเป็นความตื่นเต้นและกลัวว่าจะถูกเขารำคาญ ที่ไม่ได้สนิทกันเลยแท้ๆ แต่กลับถูกกายไหว้วานให้มารับแบบนี้ คำว่าเพื่อนใช้เรียกได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย

             “ก็ได้ คือว่า ลำบากนายมั้ย คือ ไม่รู้ทำไมกายถึงบอกให้นายมารับ ถ้ามีธุระหรือต้องไปที่อื่นก็ไม่เป็นไรนะ เราไปเองได้” ฉันส่งยิ้มให้เขา ต้องทำยังไงเขาถึงจะรู้สึกว่าฉันน่ะไม่ได้รังเกียจเขาหรืออยากจะหยิ่งใส่ คือมันแบบ โอ๊ย อธิบายไม่ถูกจริงๆ

             ฉันนึกว่าเวอร์นอนจะทำหน้าหงุดหงิดหรือหัวเสียใส่ แต่เขาแค่ยิ้มแล้วเดินไปเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับให้

             “มาเถอะ ถึงเวลาเธอทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ” เวอร์นอนบอก เป็นครั้งแรกที่เราคุยกัน น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนทุ้มต่ำจนใจเต้น เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้เนื้อหอมกับผู้หญิง ถ้าฉันไม่ได้เจ็บอยู่ ก็คงจะรู้สึกหวั่นไหวกับเขามากกว่านี้แน่

             แต่เพราะว่ามันเคยเจ็บมาแล้ว เป็นความเจ็บที่มันบรรยายออกมาไม่ได้เลย

             “ว่าแต่ ฉันก็ชอบที่เธอเชียร์บอลนะ” เวอร์นอนยิ้มๆ ให้ฉัน ตอนที่ฉันก้าวเข้าไปนั่งในรถแล้ว

             “ฮะ

             “เธอเชียร์ทีมไหน ทีมนั้นแพ้ลุ่ยเลยนี่” เขาหัวเราะแล้วปิดประตูให้ ขณะที่ฉันได้แต่สงสัย ว่ามันมีอะไรให้น่าหัวเราะกัน

     

    Puumate`s talking…

             ผมมองร่างเล็กของผู้หญิงที่ชื่อว่าเพลงพิณเดินขึ้นรถหนุ่มหล่อไปด้วยความอึ้ง

             วะ อะไรกันวะเนี่ย ผมเอาแต่อึ้ง ที่เธอไม่สนใจผมเลยสักนิด เดินผ่านไปเหมือนผมเป็นอากาศธาตุซะอย่างนั้น

             “เมษ! หิวว่ะ หาไรกินกัน” ภูเบศ น้องชายของผมเดินเข้ามาหาแล้วทำหน้ายุ่งใส่ ผมผลักหน้ามันออกห่าง มองดูรถสปอร์ตสีดำสนิทขับผ่านไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด

             “มึงเป็นไรวะ กูหิว เพิ่งออกจากแลป[1]มาเนี่ย ไปหาไรกินเหอะ” ภูเบศบอก ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วด้วยเหมือนกัน

             ไอ้ภูเบศมันเรียนวิศวกรรมศาสตร์ภาคปกติ ส่วนผมเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ภาคอินเตอร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน เราสองคนเป็นพี่น้องกัน และยังมีพี่ชายอีกคนที่เรียนจบไปแล้วชื่อว่า ภูริช เราทั้งสามคนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมาและห่างกันแค่คนละปี เพราะอย่างนั้นเลยสนิทกันเหมือนเพื่อน นานๆ ครั้งจะเรียกกันว่าพี่ชายอะไรน่าขนลุกแบบนั้น

             ลงแลปมันกินพลังงานนะ กูอุตส่าห์แยกกับเพื่อนเพราะมึงชวนไปดูบอลนี่แหละ” ภูเบศยังโอดครวญไม่เลิก ผมเองก็เพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก

             “มึงรู้จักเวอร์วอนกับกายที่อยู่คณะวิศวะไหมวะ รุ่นกูน่ะ” ผมถาม ภูเบศมันก็พยักหน้าทันที

             “รู้จักดิ เดือนคณะนี่ ทำไมจะไม่รู้จัก ก็เพื่อนร่วมรุ่นมึงไม่ใช่เหรอ” มันตอบ

             อันที่จริงภูเบศก็ถูกเสนอชื่อให้เป็นเดือนคณะประจำรุ่นเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ชอบเรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญอะไรพวกนั้นเลยปฏิเสธไป อันที่จริง ผมเองก็ด้วยแหละ ทำไมต้องเอาความเป็นส่วนตัวไปทำอะไรที่ไม่เข้าท่าแบบนั้นด้วยก็ไม่รู้

             ไม่ได้ว่าการทำกิจกรรมดาวเดือนของคณะไม่ใช่เรื่องดีนะ มันดีเลยแหละ ที่จะทำให้มีเพื่อนมากขึ้น แต่สำหรับพวกเราพี่น้องสามภู พวกเราชอบใช้ชีวิตเงียบๆ มีความส่วนตัวสูงมากกว่า เลยไม่อยากวุ่นวายกับการเจอผู้คนเยอะๆ มากมาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชอบมากรี๊ดๆ อะไรแบบนั้น

             “รู้มั้ย ว่าพวกนั้นชอบไปนั่งดื่มที่ลานเบียร์ไหน” ผมถาม เพราะปกติไม่ได้สนใจใครเลยนอกจากเพื่อนในกลุ่ม พวกเวอร์นอนไอ้กายพวกนั้นมันเรียนภาคปกติ ส่วนผมเรียนวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ภาคอินเตอร์ ก็เลยไม่ได้เรียนตรงกันเท่าไหร่

             “ฮะ ฟังไรผิดป่ะเนี่ย คนอย่างภูเมษจะไปลานเบียร์เหรอ ปกติเข้าแต่ผับเงียบๆ ไม่ใช่เหรอวะ” ภูเบศทำหน้าสงสัย ผมเองก็ยังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันนี่แหละ

             “อยากเปลี่ยนบรรยากาศ” ผมเลิกคิ้ว ภูเบศเลยไหวไหล่แล้วก็หันไปถามเพื่อนของมันที่ผ่านมาพอดี

             “เออ รู้แล้วนะ ลานเบียร์แถวๆ ชานเมือง อยากไปเหรอ หรือมีอะไรกับคนที่เพิ่งถามชื่อเมื่อกี้” สมแล้วที่เป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก ภูเบศรู้ทันทีว่าผมมีอะไรอยู่ในใจ

             “ก็อยากไป จะไปมั้ย ข้าวจะกินมั้ย”

             “กินสิครับพี่ชาย แต่ต้องเลี้ยงนะ แล้วอยู่ยาวด้วย คืนนี้มีบอลคู่ใหญ่แข่ง” มันว่า ผมก็กระตุกยิ้มทันที

             “เออ งั้นก็ขึ้นรถ” ผมบอกแล้วเดินนำขึ้นรถไปก่อน รถของภูเบศมีปัญหาเรื่องยางนิดหน่อยเลยต้องส่งซ่อม และผมก็เลยต้องมารับมันกลับ เลยได้เจอกับคนที่ไม่เจอกันมาพักใหญ่แล้ว

             ใช่ ผมหมายถึงเพลงพิณน่ะ

             สถานะระหว่างเราตอนนี้คือเลิกติดต่อกันแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนเราก็เคยมีซัมติงกันมาบ้าง แต่ตอนนี้ ก็นะ...

             “ถามจริง มีอะไรรึเปล่า ถึงได้ถามถึงกายกับเวอร์นอนขึ้นมา รู้จักด้วยเหรอ” ภูเบศถามอีกครั้งตอนที่ผมขับรถออกมาเงียบๆ หลังจากที่เปิดแผนที่นำทางไปลานเบียร์ที่ว่านั่นแล้ว

             “ก็เคยได้ยินชื่อมาบ้าง เมื่อกี้เห็นผ่านไปแล้วคุยเรื่องบอล เลยอยากรู้เฉยๆ นี่แหละ” ผมบอกแล้วหัวเราะหึๆ ในคอ

             ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ ชื่อของกายคณะวิศวะน่ะผมรู้จักตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้รู้จักกับเพลงพิณเลยด้วยซ้ำ เพราะหมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ น่าหัวเราะเนาะ ผู้ชายเป็นเพื่อนสนิทกับผู้หญิงได้ด้วย แล้วไม่มีเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถึงมันจะน่าแปลกแต่ก็เป็นไปได้แล้ว

             เรื่องกายน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เรื่องผู้ชายที่ชื่อเวอร์นอนนี่สิ ผมรู้สึกยังไงก็ไม่รู้

             “บอลเหรอ อ่า พูดถึงเรื่องบอลขึ้นมาเนี่ย ไม่เสียดแทงใจมั่งรึไง” ภูเบศหรี่ตาแล้วหัวเราะ เมื่อผมสบถใส่มันหลายคำ ก็อย่างว่าแหละ เราสนิทกันมาก รู้ใจกันทุกเรื่อง จะมาแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องไร้เดียงสามันน่าสมเพชไป พูดออกมาตรงๆ นี่แหละ เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว

             “มึงเงียบไปเหอะ”

             “เชี่ย จะให้เงียบไงวะ ก็รู้อยู่ว่าลานเบียร์ส่วนมากคนไปนั่งดื่มแล้วก็นั่งดูบอลกัน แล้วมึงก็นะ ปกติเชียร์บอลกับใครไม่ทราบ”

             “กูโคตรเกลียดมึงเลยว่ะไอ้เบศ” ผมด่า แต่น้องชายสุดที่รักหัวเราะ

             “กูรู้กูเข้าใจ เลิกกันไปแล้วแต่ยังคิดถึงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำอะไรด้วยกันมาตลอด” ภูเบศเอาแต่หัวเราะ ผมเลยกลบเสียงมันด้วยการเปิดเพลงให้ดังขึ้น จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงบ้าบอคอแตกของมันอีก

             “มึงว่า คืนนี้พี่เพลงจะเชียร์ใครวะ กูว่าแมนยูแหง” เสียงภูเบศยังตามหลอกหลอน ผมได้แต่ถอนหายใจ นึกอยากจะอัดบุหรี่เข้าปอดสักมวนสองมวน แต่ก็ขี้เกียจแม้กระทั่งจะเอื้อมมือไปเปิดคอนโซลรถแล้วหยิบซองบุหรี่ออกมา

             ทำไมผมถึงได้ดูหมดอาลัยตายอยากอย่างนี้วะ นี่ผมไม่ได้อกหักซะหน่อย กับเพลงก็แค่อยู่ในจุดอิ่มตัวก่อนจะเป็นคำว่าเบื่อหน่าย แล้วก็แยกกันเดินคนละทาง แต่ทำไม

             เออ ช่างมันเหอะ อย่าไปคิดมากให้วุ่นวายปวดหัวเลย

             แต่ว่านะ แล้วไอ้การที่ผมกำลังจะไปลานเบียร์นี่มันหมายความว่ายังไงวะ โอ๊ย ไอ้ภูเมษ มึงเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหมวะเนี่ย

             แล้วให้ตายเถอะ ทำไมผมถึงได้รู้สึกว้าวุ่นในอกอย่างนี้นะ

    End Puumate talk…

     

             “สวัสดีครับ พี่เพลง”

             ฉันถึงกับอึ้ง ตอนที่ไปเสิร์ฟอาหารแล้วเจอกับภูเบศน้องชายตัวร้ายของภูเมษ ซึ่งยังไงล่ะ นั่นแหละ อย่างที่รู้กัน ที่น่าตกใจที่สุดคือภูเมษเองก็อยู่ที่นี่ด้วย

             อ้อ แล้วการที่เขาเรียกฉันว่าพี่เพลงน่ะ ไม่ใช่เพราะความเคารพอะไรหรอกนะ เขาเรียกไปอย่างนั้นเพราะครั้งหนึ่งภูเมษเคยบอกว่าห้ามทำตัวสนิทสนมกับฉันมากเกินไป ภูเบศรวมถึงเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มของภูเมษเลยพากันเรียกฉันว่า พี่เพลงกันทุกคนเลย แม้แต่ภูเมษเองก็ยังเรียกฉันว่า พี่เพลงด้วยเหมือนกัน

             “ค่ะ อาหารที่สั่งค่ะ” ฉันวางอาหารจากถาดที่ถือมาทยอยลงบนโต๊ะ เพราะไม่ได้รับออเดอร์เลยไม่รู้ว่าทั้งภูเมษและภูเบศรวมถึงเพื่อนคนอื่นของเขาอยู่ที่นี่ด้วย

             เดี๋ยวนะ เท่าที่รู้จักกันมา ภูเมษไม่ชอบร้านอาหารแบบนี้เลยนี่นา อย่างน้อยก็ต้องเป็นร้านอาหารที่เปิดแอร์มีความเป็นส่วนตัวพอสมควร ไม่ใช่ลานเบียร์แบบเปิดโล่งอย่างนี้

             “พี่เพลง พี่เพลงเชียร์ทีมไหมเหรอคืนนี้” ภูเบศยิ้มและถามเสียงหวาน เขาทำเหมือนว่าฉันยังคบอยู่กับภูเมษอย่างนั้นแหละ ซึ่งมีแค่ฉันคนเดียวที่พยายามอย่างมากที่จะจริงจังกับการคบกัน แต่สำหรับภูเมษแล้ว เขาก็แค่ว่างยังไม่เจอใครที่ถูกใจ เลยใช้ฉันเป็นของเล่นแก้เบื่อเท่านั้น

             “พี่เพลงไม่ได้เชียร์ทั้งแมนซิตี้ทั้งแมนยูนี่ แล้วพี่เพลงเชียร์ใครเหรอ อย่าบอกว่าจะเชียร์แมนซิตี้เพื่อเมษมันนะ ก็แบบพี่เพลงเชียร์ทีมไหนก็แพ้หมด”

             ฉันไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น ทั้งที่พวกเขาทั้งกลุ่มรู้กันแล้วแท้ๆ ว่าฉันกับภูเมษเราเลิกรากันแล้ว แต่ยังมาพูดแบบนี้มันทำให้ฉันเจ็บจุกที่หัวใจมากจริงๆ

             “เพลงเหรอ เพลงเชียร์แมนยู บอกไปดิ” กายที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ กันตอบแทนฉันแล้วก็หัวเราะ

             ภูเบศหันไปมองกายด้วยความแปลกใจ เขาคงไม่รู้จักกัน แต่ภูเมษรู้ว่าฉันน่ะเป็นเพื่อนสนิทกับกาย และรู้จักกันตั้งแต่ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เลยด้วย

             “งั้นเหรอ แสดงว่าพี่เพลงแค้นฝังหุ่นอะดิ” ภูเบศยิ้มพราย

             “แหง ผีแดงกับหงส์แดงไม่ถูกกันอยู่แล้วนี่เนาะ เออ เลิกกะทำงานแล้วใช่ป่ะเพลง เดี๋ยวมานั่งด้วยกัน หน้าซีดๆ เดี๋ยวได้เป็นลมเพราะไม่ได้กินอะไรหรอก” กายบอกกับภูเบศในตอนแรก แล้วท้ายประโยคก็หันมาบอกกับฉัน ฉันเองก็กำลังจะขยับปากแต่ไม่ทันอีกประโยคที่เขาพูดแทรก

             “ไม่ต้องปฏิเสธนะเว้ย หน้าซีดตั้งนานละ เดี๋ยวอาการแย่กว่าเดิม ยิ่งอยู่คนเดียวด้วย อันตราย”

             “อื้อ เดี๋ยวจะมานั่งด้วย” ฉันบอกกับกาย และไม่สบตากับใครเลยที่โต๊ะอาหารของภูเมษ ก่อนจะเดินกลับหลังร้าน

             ใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะรู้ดีว่าการมาที่นี่ของภูเมษไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ว่าเขาตั้งใจจะมากลั่นแกล้งฉันอย่างไม่ต้องสงสัย ที่เมินเขาตอนที่เดินสวนทางกันที่มหาวิทยาลัยนั่นแหละ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอาการใจลอย ไม่อยากออกไปข้างนอกเลย แต่ก็ไม่อยากจะหนี เรื่องที่แล้วมาก็ให้มันแล้วไป จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที

             อีกอย่างที่ภูเมษทักน่ะ มันก็นิสัยของเขาอยู่แล้ว ถึงจะฟังดูหยาบช้าสารเลวไปหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่านั่นคือตัวตนของเขา ฉันรับเงินค่าจ้างที่ได้เป็นรายวันเรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่โต๊ะของกายกับเพื่อน หน้าตาก็ซีดเซียวเพราะเหนื่อยสะสมมาหลายวันแล้ว

             ฉันรู้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ ไม่ว่าจะโต๊ะของกายหรือโต๊ะของภูเมษ มันเป็นอะไรที่อึดอัดมาก เหมือนว่าตัวเองเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมาเลยนะ การเลิกกับใครสักคนไป แล้วกลับมาเจอกันใหม่เนี่ย มันอึดอัดขนาดนี้เลยเหรอ

             เพิ่งเจอกับตัวเอง เลยรู้ว่ามันหนักหนามากจริงๆ หัวใจมันก็ไม่แข็งแรงเอาซะเลย

             “เดือนหน้าว่างยาว ไปสวิสฯ[2] ด้วยกันมั้ย เวอร์นอนจะกลับบ้านมันน่ะ” กายถามฉันทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะ ฉันหน้าเหวอไปเลย แล้วหันไปมองเวอร์นอนอย่างงๆ เดี๋ยวนะ ทำไมกายชวนล่ะ ที่นั่นบ้านเกิดของเวอร์นอนไม่ใช่แล้ว แล้วทำไมไม่ใช่เจ้าของบ้านชวน ฉันคงทำหน้าตลกจริงๆ พวกเขาถึงได้หัวเราะกันขนาดนั้น และเหมือนว่าเวอร์นอนจะเข้าใจว่าฉันคิดอะไรอยู่ เลยเอ่ยปากชวนอีกคน

             “ไปเที่ยวบ้านเรามั้ย ที่นั่นสวยนะ เป็นการพักผ่อนที่ดีเลยล่ะ อีกอย่าง คุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงเพลงมาก็อยู่ที่เยอรมนี ใกล้ๆ กันเลย จะได้แวะไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าของเพลงด้วย” เวอร์นอนยิ้มกว้าง จนฉันทึ่งเพราะไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องของฉันด้วย

             “ฉันบอกเวอร์นอนมันเองแหละ มันบอกว่าจะกลับสวิสฯ เดือนหน้า เห็นว่ามันใกล้ๆ กับเยอรมัน อีกอย่าง แกก็บ่นว่าคิดถึงอยากเจอคุณลุงคุณป้าด้วย เลยคุยกับเวอร์นอนมันก่อนหน้านี้ ไปป่ะ น่าสนุกนะ” กายพูดแล้วคะยั้นคะยอให้ตอบ

             “ถ้าอยากไปที่อื่นต่อก็ได้นะ พาเที่ยวได้” เวอร์นอนชวนอีกเสียง เพิ่งเคยเห็นเขายิ้ม เลยรู้ว่าเขาไม่ได้ดูหยิ่งอย่างที่เข้าใจตอนแรกเลย

             แต่ฉันไม่ทันได้ตอบ ภูเมษก็เอนตัวจนเก้าอี้เอนตามมา แล้วก็มาชนกับพนักพิงเก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่

             “ท่าทางจะไม่ได้ว่ะกาย” เสียงพูดของภูเมษ เรียกทุกสายตาจากสองโต๊ะให้หันไปมอง โดยเฉพาะตัวฉันเอง

             “ท่าทางพี่เพลงคงจะลืมบอกนายไปน่ะ ว่าเดือนหน้าพี่เพลงมีนัดตรวจท้องกับฉัน คงไปสวิสฯ หรือ เยอรมันไม่ได้หรอกนะ”

     

             ฉันถึงกับนั่งคุกเข่าแล้วประนมมือไหว้กายเมื่อตอนที่ถึงเวลากลับบ้าน และฟุตบอลก็จบลงแบบอาถรรพ์ๆ นั่นแหละ

             หลังจากที่ภูเมษพูดประโยคหนึ่งออกมาความเงียบก็ตามมาหลังจากนั้น พร้อมกับบรรยากาศมาคุแบบสุดยอด

             ท่าทางพี่เพลงคงจะลืมบอกนายไปน่ะ ว่าเดือนหน้าพี่เพลงมีนัดตรวจท้องกับฉัน คงไปสวิสฯ หรือ เยอรมันไม่ได้หรอกนะ ภูเมษบอกแบบนั้น พร้อมกับทุกสายตาที่มองฉันเป็นตาเดียว

             ก็ไม่เป็นไรนี่ ที่สวิสฯ ก็มีโรงพยาบาล กายพูดแบบนั้นแล้วก็ไม่สนใจภูเมษหรือคนอื่นๆ ที่โต๊ะนั้นอีก

             เสียงเชียร์บอลจากโต๊ะอื่นดังขึ้นอย่างสนุกสนานครื้นเครงแต่ว่าโต๊ะของฉันมันแบบ สุดท้ายแมนยูก็แพ้ไปตามระเบียบแบบที่ไม่มีใครสงสัยอะไร มีแต่กายนี่แหละที่ทำท่าเหมือนจะกัดหัวฉันให้ขาดได้

             “มันหมายความว่าไงวะ ท้อง เรื่องเหี้ยอะไรเนี่ย!” กายตะคอกใส่ฉันอย่างเคืองๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะร้องไห้ไหม เขาจ้องหน้าฉันอย่างเดือดดาลและไม่มีใครคนอื่นกล้าเขามาใกล้หรือขวางเลยสักคน

             “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ท้อง”

             “อย่ามาโกหก แล้วทำไมไอ้หมอนั่นถึงได้พูดแบบนั้นวะ” เขาดูโกรธมากจริงๆ ส่วนฉันก็เริ่มอายสายตาของเวอร์นอนและเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาที่ยังอยู่ที่ลานจอดรถไม่ได้ไปไหนเลย

             ถ้าฉันมองโลกในแง่ดี ทุกคนอาจจะเป็นห่วงกลัวว่ากายจะบันดาลโทสะแล้วฆ่าฉันตายได้

             หรือถ้ามองโลกในแง่ร้าย ทุกคนคงอยากจะรู้ว่าฉันท้องกับภูเมษคนนั้นจริงหรือเปล่า

             “ก็ เขาอยากแกล้งมั้ง”

             “จะแกล้งอะไรมันก็ต้องมีขอบเขตมั่งสิวะ แบบนี้มันเกินไปนะ เธอเป็นผู้หญิงยังไงมันก็เสียหาย ไม่รู้แหละ กูโกรธ!” กายกอดอกหายใจรุนแรงจนร่างกายสั่นไหว และต่อให้ไม่บอก ฉันก็รู้แหละว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมากแค่ไหน

             “เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะ ว่า” กายทำท่าเหมือนคิดอะไรออก เขาคลายแขนที่กอดอกอยู่ออกแล้วก็ชี้หน้าฉัน

             “อะไร ทำไมมองแบบนี้ล่ะ บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร จริงๆ ไม่มีอะไรแบบนั้นจริงๆ ฉันไม่ได้ท้อง ไม่เชื่อไปตรวจด้วยกันที่โรงพยาบาลเลยก็ได้” ฉันยืนยันอย่างมั่นใจ เพราะว่าฉันไม่ได้ท้องจริงๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนประจำเดือนก็เพิ่งหมดไปด้วย ที่ภูเมษพูดแบบนั้นก็บอกแล้วว่าเขาแค่อยากจะแกล้ง มันก็มีเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย

             “ไอ้หมอนั่นแฟนเก่าเธอเหรอ!” เสียงของกายแหลมสูงจนฉันสะดุ้ง ฉันยกมือลูบแขนตัวเองแต่ยังไม่ลุกจากพื้น

             ให้ตายเถอะ ฉันต้องมานั่งคุกเข่าเพื่ออ้อนเพื่อนไม่ให้โกรธ น่าสมเพชกว่านี้ไม่มีแล้ว

             แต่เพราะกายเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี และเขาเป็นเพื่อนของฉันจริงๆ ดังนั้น ฉันเลยเสียเขาไปไม่ได้

             แต่สำหรับผู้ชายอย่างภูเมษแล้ว ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้องหันกลับไปมองผู้ชายคนนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง

             “ไอ้คนที่เธอพยายามจะพามาเจอฉันแต่มันบ่ายเบี่ยงตลอด คือไอ้หมอนั่นเหรอ” ร่างสูงของกายเริ่มสั่น ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวไม่น่ามอง แล้วก็สบถคำหยาบคายออกมาไม่หยุด

             “ไอ้เหี้ยนั่นเองเหรอ อ้อ กูเพิ่งรู้ เหี้ย!” กายสบถไม่เลิก แบบว่าสามารถตั้งฟาร์มตัวเงินตัวทองได้หลายฟาร์มเลย

             “ลุกขึ้นมาเพลง” เขาพูดแบบนั้น แล้วออกแรงดึงตัวฉันลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง

             “อย่าโกรธนะ ฉันก็ไม่ได้ติดต่อเขาแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เขาก็แค่แหย่เล่น คงคิดว่านายเป็นแฟนใหม่ฉันมั้ง เลยพูดแย่ๆ แบบนั้น” ฉันบอกเสียงเครือ กายก็แค่นหัวเราะในคอแล้วตอกกลับแบบไม่ไว้หน้า

             “ไม่ได้เรียกว่าแย่ แต่เรียกว่าเหี้ย!

             กายทำท่าจะเดือดอีกหน ฉันเลยโผเข้ากอดเขาเอาไว้แล้วกอดแน่นๆ พร้อมกับอ้อนขอร้องให้เขาเลิกหงุดหงิด

             “ฉันพูดจริงๆ นะ มันไม่มีอะไรแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น แต่ว่าฉันไม่ได้ติดต่อกับเขาแล้ว มันจบไปแล้ว” พูดไปก็อยากจะร้องไห้ แฟนคนแรก รักครั้งแรก ไม่ว่าใครก็อยากจะให้มันเป็นรักสุดท้ายด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่เรื่องมันจบแบบนี้แล้ว คงจะเรียกร้องอะไรไม่ได้

             กายเริ่มนิ่ง และผลักฉันออกห่างจากเขาหนึ่งช่วงแขน ก่อนจับหน้าฉันจนแก้มโย้

             “ห้ามร้องไห้ ถ้าเธอร้องไห้ให้ไอ้หมอนั่น ฉันจะตีเธอ” ได้ยินคำขู่ฉันก็เงียบกริบ รีบเช็ดน้ำตาออก

             “ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะเขา แต่กลัวนายโกรธ” ฉันบอกไปเสียงค่อย เพื่อนคนเดียวที่มี ยังไงก็สำคัญกว่าผู้ชายใจร้ายคนนั้นไม่รู้กี่เท่า

             “เอามือถือมา” กายไม่ได้ซึ้งอะไรกับคำพูดของฉันหรอก เขาขอโทรศัพท์ของฉันไป และไม่ต้องบอกนะว่าเขาจะเอาไปทำอะไรน่ะ พอยื่นให้เขาก็จริงอย่างที่คิด กายกดๆ ดูข้อมูลหลายอย่างแล้วก็คืนให้ฉัน

             “ก็ดี รู้จักบล็อกเหี้ยเป็นด้วย”

             “ขอร้องล่ะ เลิกด่าเขาแบบนี้เถอะ สงสาร

             “เออ สงสารเหี้ยมัน ไม่พูดถึงมันแล้วก็ได้ ขึ้นรถ จะไปส่งกลับคอนโด เสียเวลาว่ะ” กายพูดเสียงแข็ง ฉันก็ได้แต่ส่ายหน้า ผู้ชายคนนี้ช่าง

             เมื่อทุกอย่างจบเรื่องแล้ว เพื่อนๆ ของกายก็เริ่มหัวเราะและดูผ่อนคลายกันมากขึ้น ฉันก็กลัวเหมือนกันว่าจะถูกมองไม่ดี แต่ไม่มีคำพูดอะไรให้ระคายใจ ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าพวกเขาจะเอาไปพูดลับหลังไหม แต่ไม่รู้ทำไม ใจฉันมันถึงได้เอาแต่คิดว่าพวกเขาก็เหมือนกาย ไม่มีทางจะทำร้ายผู้หญิงเด็ดขาด

             “เสียเวลานอนว่ะ ต้องมาทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง” กายบ่นงึมงำตอนที่เปิดประตูรถให้ฉัน

             เดี๋ยวนะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเนี่ย เป็นความผิดของฉันอย่างนั้นสิ

     

             เสียงพูดคุยเฮฮาตามด้วยเสียงหัวเราะ ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย สายตาของฉันมองขึ้นไปบนเพดาน แล้วรู้สึกว่ามันแตกต่างจากปกตินิดหน่อย เหมือนว่าไม่ใช่ห้องของฉันเลย นอกจากนั้นเสียงพูดคุยหลายเสียงนั่นอีก ฉันหันไปมองไปรอบๆ ตัวแล้วผุดลุกนั่งด้วยความตกใจ

             กรี๊ด! นี่มันชุมนุมหนุ่มหล่อลากเลือดเหรอ ฉันหน้าซีดตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ที่ที่นอนอยู่น่ะ คือโซฟาตัวยาวในห้องรับแขกในห้องชุดของกาย

             ไอ้เพื่อนทรยศ ไหนบอกว่าจะไปส่งฉันที่คอนโดของฉัน แล้วทำไมฉันถึงมาโผล่ที่นี่ล่ะ

             “หลับสบายมั้ย เธอนี่ขี้เซาเหมือนกันเนาะ” คนทักคือเวอร์นอนเขายิ้มๆ จนฉันหัวเราะไม่ออก

             “กายล่ะ” ฉันเหวี่ยงเท้าลงจากโซฟาอย่างระมัดระวัง ยิ้มแหยให้ทุกคนที่มองมาทั้งขำทั้งหัวเราะกันอยู่

             “อาบน้ำอยู่มั้ง”

             “อ้อ” ฉันพูดได้เท่านี้แล้วอยากทึ้งหัวเพื่อนจริงๆ มันทิ้งฉันให้นอนข้างนอก ส่วนมันนอนบนเตียงสบายเลยค่ะ

             คนที่กำลังพูดถึงเดินเข้ามาพอดี เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ จริงอย่างที่เวอร์นอนบอก

             “ไหงทำหน้าแบบนั้น” กายหันมาหัวเราะเมื่อฉันหน้าตึงมองเขาอย่างไม่พอใจ

             “ทำไมฉันมาอยู่นี่ล่ะ” แถมเพื่อนของเขายังอยู่กันเต็มอีกต่างหาก โอ๊ย ฉันอยากจะเป็นลม

             “ก็เมื่อคืนจะไปส่งที่คอนโดแล้ว แกดันหลับไม่ตื่น เหมือนเพลียมาก ฉันเลยพาแกมาที่นี่แทนยังไงล่ะ” กายบอกอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่ได้มองเลยว่าฉันทำหน้ายังไงอยู่

             เขาหัวเราะที่เห็นฉันดูสภาพแย่มาก หน้ายุ่งแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกอย่างนี้

             “ไปอาบน้ำมั้ย เดี๋ยวพาไปส่ง”

             “แกมัน” ฉันอยากต่อว่าเพื่อนอีก แต่ว่าก็พูดไม่ออก เขาเอาแต่หัวเราะจนถูกฉุดให้ลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนมาทั้งคืน

             “ฉันไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนหรอก ส่งที่ห้องก็พอ” ฉันงอนแล้วก็รู้สึกเพลียๆ ด้วย เพราะงั้นเลยไม่อยากจะกลับไปที่ห้องเอง ไม่รู้ว่าจะไปล้มแผละตรงไหนด้วยหรือเปล่า

             “ว้าย จะไม่อาบน้ำจริงๆ น่ะเหรอ ว้าย ตายแล้ว กายทำสะดีดสะดิ้งจนฉันหลุดขำ

             “ฉันไม่มีเสื้อนะ” ฉันบอกเขาอีกครั้ง กายเลยยิ้มแล้วลากฉันเข้าไปในห้องนอน

             “ที่ไม่ให้แกนอนในห้องนอนน่ะ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด ให้นอนข้างนอกแหละดีแล้ว ฉันเองก็อยู่ข้างนอกด้วย รับประกันว่าไม่ยอมให้ใครทำอะไรแกแน่นอน ถ้าให้นอนในห้อง กลัวว่าจะมีเรื่อง บอกตามตรงไม่กล้าไว้ใจเพื่อนคนอื่นเท่าไหร่ แกนอนบนเตียงแล้วมันล่อแหลมไงไม่รู้” กายอธิบายซะยืดยาว ฉันเลยหัวเราะออกมา เพิ่งเข้าใจเหตุผลของเขาก็ตอนนี้นี่เอง

             “เอาเสื้อผ้านี่ไปใส่ไว้ก่อน อาบน้ำเสร็จแล้ว เช็ดตัวให้แห้ง อย่าให้มีน้ำเกาะสักหยดเลยนะ ไม่อยากให้ใครเห็นแกตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ”

             ฮือ ไอ้เพื่อนบ้า ทำแบบนี้มันชักจะเท่เกินไปแล้วนะ ฉันรับชุดวอร์มที่ดูยังไงมันก็ต้องหลวมโพรกพรากมาจากกายแล้วเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ตอนออกมาจากห้องน้ำแล้วจะออกไปข้างนอก ฉันก็หยุดเพื่อเช็กดูความเรียบร้อย พยายามเช็ดหน้าไม่ให้น้ำเกาะสักหยดอย่างที่กายบอก แล้วได้ยินเสียงพูดคุยอยู่นอกประตูห้องนอนเข้า

             “เวอร์นอน จริงเหรอวะ กูเพิ่งรู้นี่แหละ น่าตกใจชะมัดเลย” เสียงพูดคุยแว่วๆ ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ฉันไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

             “ก็จริงสิวะ ก็ชอบกาย ไม่งั้นกูไม่ตามมาด้วยงี้หรอก ปกติกูไม่ชอบไปค้างที่อื่นอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ชวนไปบ้านที่สวิสฯ ด้วย”

             ฉันหยุดชะงักไปตัวแข็งทื่อ เดาว่าคนพูดเมื่อกี้น่าจะใช่เวอร์นอน และเพิ่งได้ยินว่าเขาชอบกาย!

             “” ฉันพูดไม่ออก ไม่ได้รังเกียจรสนิยมทางเพศของใครหรอกนะ แต่ว่ามันก็แบบ

             เห็นแบบนั้นกายก็ชอบผู้หญิงนะ หมอนั่นเจ้าชู้ด้วย แต่ไม่ชอบให้ฉันทำหน้าที่แม่สื่ออะไรพวกนี้มากกว่า หมอนั่นน่ะชอบความท้าทายอยากหาผู้หญิงด้วยตัวเอง แล้วเวอร์นอนก็เป็นเพื่อนสนิทของเขามากด้วย ไม่รู้ว่าที่ฉันช็อกตอนนี้กับการที่กายรู้ความจริงเข้า ใครจะช็อกมากกว่ากัน

             ฉันรอจนกระทั่งเสียงพูดคุยพวกนั้นค่อยๆ เงียบหายไป แล้วก็เดินออกจากห้องนอนของกาย เจอเขากำลังยืนดูข่าวเช้าอยู่ ก็เดินเข้าไปกอด

             “อะไรวะเนี่ย เป็นบ้าอะไรวะเพลง” กายตกใจ เพื่อนๆ ของเขาก็หัวเราะแล้วแซวด้วย แต่ฉันไม่สนใจ

             “แกต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะกาย แกต้องเข้มแข็งนะ”

             ถึงจะยังไง ฉันก็อยากให้กายลงเอยกับผู้หญิงมากกว่า จะได้อุ้มหลานน่ารักๆ และที่สำคัญ เวอร์นอนหน้าตาดีมากด้วย ฮือ ฉันไม่อยากให้สองคนเป็นแบบนั้นเลย

             “แกเพี้ยนไรวะ เมาก็เปล่า หิวจนเพี้ยนว่างั้น” กายผลักฉันออก ฉันก็อยากจะร้องไห้แล้วอธิบายไม่ได้เลย

             “ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวไปส่งที่คอนโด” กายบอกกับฉันและเพื่อนคนอื่นก่อนจะปิดโทรทัศน์ แล้วพวกเราก็พากันเดินออกจากห้องชุดของเขา

             กายพยายามจะถามว่าฉันเข้ามากอดแล้วทำท่าร้องไห้ทำไม ฉันก็อยากบอกหรอกนะ แต่ว่ามันแบบพอชำเลืองมองไปทางเวอร์นอน เขาก็มองมาแล้วก็ยิ้มๆ อยู่แล้ว ท่าทางแบบนั้นเหมือนว่าเขารู้ทันว่าฉันน่ะรู้ว่าเขาชอบกายเข้าแล้ว และเหมือนจะประกาศศึกเลยด้วย

             ไม่นะ ไม่เอานะคะ ฉันอยากมีหลานนี่ ถึงส่วนมากคู่รักเกย์มักจะใช้วิธีแม่อุ้มบุญก็เถอะ แต่ไม่เอานะ ไม่เอาแบบนั้นจริงๆ นะ ฉันเลยเดินไปควงแขนกายแล้วลากให้ห่างจากเวอร์นอน

             “แกอย่าทำแบบนี้สิเว้ย คนอื่นเข้าใจผิดหมด” กายทำท่าโวยวาย แต่ก็ไม่ได้ปลดแขนฉันออกจากที่ควงแขนเขาอยู่

             “กาย สัญญานะ ว่าแกจะแต่งงานกับแฟนของแก แล้วก็มีหลานให้ฉันอุ้มน่ะ”

             “ไอ้เพลง แกนี่ท่าทางจะเพี้ยนแล้ว ทำแบบนี้มันหลอนนะเว้ย อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ฉันเพิ่งเห็นแกบ้าแบบนี้ อย่าบอกนะ ว่าทำแบบนี้เพราะไอ้แฟนเก่าแกอยู่แถวนี้ แล้วอยากจะประชดไอ้หมอนั่นน่ะ” กายทำท่าไม่พอใจ ฉันก็รีบส่ายหน้า เขาวกไปเรื่องนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

             “บ้าเหรอ ไม่ใช่แบบนั้นนะ”

             “ถ้าแกจะหาผู้ชายสักคนเป็นไม้กันหมาล่ะก็ โน่น ทางโน้น ไอ้เวอร์นอน มันกำลังโสดอยู่พอดี” พูดจบกายก็ผลักฉันจนตัวปลิวไปหาเวอร์นอน และถ้าไม่มีเวอร์นอนช่วยพยุงฉันคงล้มไปแล้วแน่ๆ

             “เอางั้นเหรอ” เวอร์นอนหัวเราะแล้วช่วยประคองฉันไว้ ส่วนฉันก็ตกใจนิดหน่อยแล้วทำอะไรไม่ถูก

             “โทษทีนะ

             “เฮ้ย แบบนี้ไม่เอาว่ะ ไอ้เพลงมันใส่ชุดวอร์มอยู่ เห็นแล้วใจไม่ดี มานี่ อย่ายุ่งกับเพื่อนกู” กายกระชากตัวฉันกลับไป ทำเหมือนฉันเป็นตุ๊กตา โอ๊ย วันนี้นี่มันน่าเวียนหัวจริงๆ เวอร์นอนยิ้มหวานตากลายเป็นรูปสระอิไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เห็นแล้วมันแบบ หื้ม ท่าทางเขาจะชอบกายมากจริงๆ นะ เพราะไม่ว่ากายจะหยาบคายใส่แค่ไหนก็ยังยิ้มได้

             พลังแห่งรักนี่ช่าง

             “คืนนี้ฉันมีธุระข้างนอกนะ แกไม่ต้องไปทำงานใช่มะ ทางที่ดีเลิกทำงานที่นั่นเหอะ ลานเบียร์ผู้ชายเยอะแถมยังไกลอีกต่างหาก เลิกงานก็ดึกมันอันตราย อีกอย่างแฟนเก่าแกน่ะรู้ว่าแกทำงานที่นั่น ถ้าหมอนั่นนึกอยากแกล้งไม่พอใจอะไรขึ้นมา แกจะเดือดร้อนเอา” กายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ระหว่างที่เราเดินเข้าร้านอาหารกัน

             ฉันเองก็หยุดคิด พยักหน้าคล้อยตามคำพูดของเพื่อน มันก็จริงอย่างที่กายว่านั่นแหละ ตอนทำงานพิเศษ ฉันไม่อยากฟุ้งซ่านเลยหาอะไรทำ แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกจนได้

             “ถ้าอยากทำงานพิเศษจริงๆ เดี๋ยวจะลองช่วยหาให้ แต่งานที่ลานเบียร์เลิกเหอะ ฉันว่ามันไม่ปลอดภัย”

             “อื้อ ก็ได้”

             กายน่ะ จริงใจกับฉันมากกว่าใครทั้งนั้น ฉันเองก็อยากจะเลิกทำตัวน่าสมเพชด้วยการยังคิดถึงแต่เรื่องของภูเมษ ไม่ว่าจะทำอะไรก็คิดถึงแต่เรื่องของเขา ฉันควรมีชีวิตปกติอย่างที่คนอื่นเขาเป็นกัน และไม่ต้องคิดถึงคนใจร้ายคนนั้นให้เสียใจอีกแล้ว

     

             ฉันเดินกลับคอนโดอย่างอารมณ์ดี ถึงจะเลิกกับรักครั้งแรกไป แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่ออยู่ดี เพราะอย่างนั้นฉันเลยตั้งใจว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุข

             แล้วความตั้งใจของฉันมันพังยับ เมื่อกลับไปถึงห้องแล้วเจอแฟนเก่าคนเดิมนั่งยองๆ สูบบุหรี่รออยู่หน้าห้อง ถึงแม้ว่าจะมีฮู้ดคลุมหน้าของเขาอยู่ แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็จำเขาขึ้นใจอยู่ดีไม่เปลี่ยน

             เขาลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามา แล้วหย่อนก้นบุหรี่ลงในกระป๋องเบียร์ที่ถืออยู่ในมือ

             “พี่เพลง” เขาพูดชื่อของฉันเสียงเข้ม ฉันเองก็นิ่งไปด้วยความหวั่นๆ มาถึงขั้นนี้แล้วจะหนีก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดี

             เราเลิกกันแล้วก็จริง แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ล่ะมั้ง ฉันคิดอย่างกังวล ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง

             “มีอะไรรึเปล่า เมษ

             ภูเมษเดินเข้ามาใกล้ฉันอีกก้าว แล้วเราก็มองหน้ากันนิ่งๆ อยู่นานกว่าหนึ่งนาที ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูด

             “ฉันมาคิดดูดีๆ แล้ว ที่ผ่านมาฉันทำผิดกับเธอมากจริงๆ และตอนนี้ฉันก็เพิ่งรู้ว่าฉันขาดเธอไม่ได้

             “ฮะ” ฉันครางออกมาอย่างไม่เข้าใจ หัวใจมันเต้นแรงเกินกว่าจะควบคุมมันเอาไว้ได้

             เจอหน้าเขาหัวใจมันก็อ่อนยวบ ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าภูเมษคนนี้มีอิทธิพลกับตัวฉันมากเหลือเกิน

             “เรากลับมาคบกันได้มั้ย พี่เพลง



    [1] ห้องทดลอง, ห้องแลป (Laboratory) คือ ห้องที่ใช้ทำการวิจัย หรือทดลองทางวิทยาศาสตร์ ในที่นี้อธิบายถึงวิชาเรียนที่ต้องทำปฏิบัติการในห้องทดลอง

    [2] สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) มีชื่อทางการว่า สมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation) เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตะวันตก สวิตเซอร์แลนด์นับว่ามีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรนานาชาติหลายแห่ง


     


    ตอนนี้เปิดพรีแล้วค่ะ Puumate`s Eyes บอกหัวใจ ให้(หยุด)รักเธอ

    (ภูเมษ & เพลงพิณ)

    โอนเงินจำนวน

    300 บาท (สำหรับส่งแบบลงทะเบียน)

    350 บาท (สำหรับส่งแบบ EMS)

    มาที่บัญชี 037-3-75509-5

    น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์ ธ.กสิกรไทย

    แล้วแจ้งโอน (แนบสลิปโอนเงิน)

    แจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร

    ผ่านอีเมล meejairak.publisher@gmail.com

    คลิกที่อีเมลเลยค่ะ จะลิงก์ไปที่เมลให้เลย

    มู่ขอฝากเอาไว้ด้วยนะคะ แล้วเจอกับภูเบศคนต่อไปเลยค่ะ

    รายละเอียดเพิ่มเติม กดที่รูปได้เลยค่ะ imageimage


    http://i.imgur.com/hoa1Apx.jpghttp://i.imgur.com/jupCQXo.jpg



    Song :: NF – Wait


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×