ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #44 : Puurit`s Eyes ☔ Re-write Ver. Ep.03

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26.56K
      158
      24 ก.ค. 62



    อื้อหือ ขึ้นเตียงกันเลยทูนหัว



    Puurit’s Eyes 03

    We Been Living Like Angels and Devils

     

             ครั้งหนึ่งฉันเคยแย่งริชมาได้แล้ว ครั้งนี้ฉันก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน แล้วยังอยากเห็นคลิปของฉันกับริชตอนที่เรามีอะไรกันอีกมั้ยดาหวัน เธอจะได้จำได้ ว่าฉันกับริชน่ะ เรารักกันหวานชื่นดื่มดูดมากแค่ไหน

             รู้สึกว่าประโยคสุดท้ายนั่น ฉันได้อ่านมาจากข้อความของภูริชที่เขาโพสเอาไว้ ได้ยินแบบนี้แล้วเลยรู้ว่าปรายฟ้าน่ะติดตามภูริชมาตลอด ตั้งแต่สมัยก่อนตอนเรียนไฮสคูลจนกระทั่งถึงตอนนี้

                แน่ล่ะ ภูริชเป็นคนแบบไหนทำไมฉันจะไม่รู้ และรู้ด้วยว่าเขาน่ะมีเสน่ห์กับคนอื่นทั่วไปจนน่ากลัวเลยล่ะ ไม่ว่าจะผู้หญิงคนไหนก็ล้วนแต่ชอบเขาอยากอยู่ใกล้ด้วยกันทั้งนั้น จนกระทั่งมีผู้หญิงหน้าตาจืดๆ ไม่โดดเด่นอะไรสักอย่างแบบฉันอยู่ข้างกายของเขากลายเป็นแฟนขึ้นมา เรื่องมันเลยเหมือนอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นนั่นแหละ

             อันที่จริงเรื่องมันก็ไม่ได้โหดร้ายเท่าไหร่หรอกนะ แต่บางครั้งฉันก็อดอึดอัดไม่สบายใจที่เป็นแฟนของภูริชอยู่ดี

                อย่างที่บอกว่าภูริชเป็นหนุ่มฮอตคนดัง มีผู้หญิงมากมายรุมล้อมชอบเขา ฉันที่เป็นแฟนเลยถูกเขม่นในบางครั้ง และถูกเกลียดชังจากแฟนคลับของภูริชที่สวยกว่าแบบระดับ Max

             ปรายฟ้าเป็นหนึ่งในแฟนคลับของภูริชที่สวยซะยิ่งกว่าสวย เธอหน้าตาดี หุ่นดี เป็นดาวประจำโรงเรียนที่ใครๆ ต่างก็รู้จัก มีแต่คนสงสัยว่าทำไมดาวเด่นแบบภูริชกับปรายฟ้าถึงไม่ได้ลงเอยกัน และมีผู้หญิงแบบฉันเข้ามาแทรกกลาง

                อันที่จริงใครจะเป็นยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันหรอกนะ แต่มันเกี่ยวกันตรงที่ฉันเป็นแฟนของภูริชนี่แหละ มันเลยเกิดข้อเปรียบเทียบหลายต่อหลายอย่างตามมาหลังจากนั้น ไม่ว่าฉันจะทำอะไรหรือปรายฟ้าทำอะไรก็เอามาเทียบกันเสมอ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังโชคดีในหลายๆ เรื่อง

                เพราะถึงหน้าตาสวยไม่เท่าปลายฟ้า แต่ฉันก็ยังพอจะฉลาดเรียนเก่งบ้าง ไม่เคยอยู่อันดับต่ำกว่าปรายฟ้าเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตฉันคงเละเทะกว่านี้

                ส่วนเรื่องคลิปวิดีโออะไรนั่น บอกตามตรงตอนที่เห็นครั้งแรกฉันก็คิดว่าเป็นภูริชเหมือนกัน แต่วิดีโอนั้นมันแทรกด้วยรูปถ่ายที่เป็นภาพนิ่งแล้วบอกวันที่เอาไว้ด้วย เป็นภาพที่สวีตหวาน รวมถึงภาพเคลื่อนไหวที่ไม่ค่อยชัดเจนนักเห็นแต่แผ่นหลังของผู้ชายและเสียงครวญคราง ฉันเลยรู้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไร ก็มันคือวันเกิดเพื่อนของภูริชและเราอยู่ด้วยกันตลอดเพราะไปร่วมงานวันเกิดด้วยกัน เลยรู้ว่าผู้ชายในคลิปนั่นไม่ใช่เขาแน่

                ภูริชแก้ตัวสั้นๆ บอกว่าในนั้นไม่ใช่เขา ถึงแม้ว่าจากเสียง ปรายฟ้าจะเอาแต่เรียกว่า ภูริชก็เถอะ

                แน่นอนว่าคนที่รู้ความจริงมีไม่กี่คน ส่วนมากก็เป็นเพื่อนสนิทของภูริช จึงไม่มีใครยอมเชื่อว่าผู้ชายในคลิปเป็นคนอื่น และต่างเห็นใจปรายฟ้า และมองฉันเป็นนางมารร้ายที่ทำผิด

             มันก็น่าตลกตรงที่ฉันน่ะเป็นแฟนภูริชมาก่อนแท้ๆ แต่ทุกคนทำเหมือนกับว่าฉันไปแย่งภูริชมาจากปรายฟ้า ที่สำคัญผู้หญิงคนนั้นยังโกหกเรื่องใหญ่หน้าตาเฉยไม่กลัวจะเสียชื่อตัวเองเลย ด้วยการทำคลิปที่เหมือนว่ากำลังมีอะไรกับภูริชหลุดออกมา แม้ว่ามันจะสั้นๆ แค่ไม่กี่สิบวิ แต่อนาคตทั้งชีวิตของเธออยู่ในนั้นเลย

             ภูริชเองก็เป็นคนดีเขาแก้ตัวครั้งเดียวว่าไม่ใช่เขาแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก มีคนไม่เชื่อมากกว่าเชื่อ และทำให้ฉันเสียใจอย่างมากด้วย

                คิดดูสิ ว่าฉันเป็นแฟนของเขานะ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นเลย จนถูกมองว่าเป็นคนเลวนอกใจแฟนไปมีอะไรกับผู้หญิงอื่น บางคนคิดว่าฉันไปแย่งเขามาจากปรายฟ้าก็มี

                ความคิดแบบเด็กๆ นั่นทำให้ฉันน้อยใจ อีกอย่างเพราะความใจดีมีน้ำใจของภูริช มันทำให้ฉันเริ่มเข้าใจบางอย่าง

                บางอย่างที่เป็นความจริงบอกว่า เขาไม่ได้ใจดีแค่กับฉันที่เป็นแฟนของเขาคนเดียว

                เขาใจดีกับคนอื่นมากมาย ช่วยคนอื่นและไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง เรื่องราวรักสามเส้าของเราสามคนเลยวนเวียนกันอยู่อย่างนั้นแหละ ทำฉันอึดอัดใจและทรมานใจจนไม่อยากจะเจอมันอีก

             ดังนั้นพอจบจากไฮสคูลฉันก็เลือกจะมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เขาไม่ได้เลือก อันที่จริงแล้ว ฉันหลอกภูริชมาตลอดว่าจะสอบที่เดียวกับเขา จะอยู่ด้วยกันไปตลอดเหมือนกับนิยายหวานแหววแสนหวานของเด็กวัยรุ่นนั่นแหละ แล้วฉันก็แยกตัวออกมาคนเดียว เลือกมหาวิทยาลัยที่เพื่อนน้อยคนของภูริชมาเรียน

                พวกเขายังเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันเสมอ ดังนั้นฉันเลยสามารถพาตัวเองออกมาจากชีวิตของภูริชได้อย่างเงียบๆ และเรียบง่าย จนกระทั่งถึงตอนนี้นี่แหละ

             ฉันไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่อึดอัดใจแบบนั้นอีก ตอนนี้เข้าใจเหตุผลของภูริชแล้ว แต่ฉันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี

                เพราะเติบโตขึ้นเลยเข้าใจ ว่าทำไมภูริชถึงไม่ปฏิเสธไปชัดเจนว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายในคลิปนั้น เพราะเขาใจดี ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตและเป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ความใจดีนี้ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่ได้รับ แต่คนอื่นๆ ได้รับด้วย นิสัยข้อนี้ของเขาไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ หรอก ฉันเลยไม่อยากจะอยู่ในวงโคจรของภูริชอีก

                ภูริชเป็นพระอาทิตย์ ส่วนฉันเป็นดาวเคราะห์น้อยที่แทบไม่มีความหมาย ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องหมุนตามเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉันเลยกลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม

                เขารักษาน้ำใจและความรู้สึกของคนรอบข้างเสมอ

             แต่เขาไม่เคยรักษาหัวใจที่เจ็บปวดของฉันเลย

     

             หลังจากเลิกเรียนแล้ว ฉันเดินมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะได้เจอหน้าปรายฟ้าอีก แต่ก็พอจะโล่งใจเพราะไม่เจอตัวเธอคนนั้นแล้ว

                ฉันเข้าใจนะว่าภูริชไม่อยากวุ่นวายทำให้ปรายฟ้าต้องเสียอนาคตจากเรื่องนั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่าสร้างบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ใจใจของฉัน

                ปล่อยให้มันจบๆ ไปเถอะ ตอนนี้ยัยนั่นกำลังบอกว่าจะตามไล่ลบคลิปออกไป แล้วให้คนอื่นๆ เห็นใจ เราก็ควรเห็นใจด้วยสิ จริงมั้ย เขาบอกเมื่อครั้งนั้น

                นี่พวกเราก็จะเข้ามหาลัยกันแล้ว ถ้ามีเรื่องอีก ยัยนั่นจะหมดอนาคตเลยนะ ภูริชบอกอย่างจริงจัง ส่วนฉันจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากยิ้มอย่างโง่ๆ

                ในเมื่อความจริงเรารู้กันอยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง วันนั้นเราอยู่ด้วยกันตลอดนี่ดาหวัน เธอก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ฉัน เขาพูดอย่างจริงจัง ทำท่าดุเหมือนฉันเป็นเด็กเหลวไหลไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

                เรื่องพวกนี้เดี๋ยวก็ซาไปเอง เราจะเข้ามหาลัยแล้ว เดี๋ยวก็ลืมไปไม่มีใครสนใจอีก…’ คำพูดของเขาฟังเข้าใจง่าย

                แต่จะทำน่ะมันยาก

             อย่าไปสนใจคนอื่นเลย เราอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว…’

             ฉันได้แค่ฝืนยิ้มบอกกับเขาว่าเข้าใจฉันเองก็ไม่ได้คิดมาก แต่เรื่องพวกนั้นมันไม่มีจริงหรอก ฉันเสียใจเสียน้ำตาไปมากมายเท่าไหร่ภูริชไม่เคยเห็นมัน ความใจดีของเขาหวนกลับมาทำร้ายฉันเสมอ ตอนที่ไปโรงเรียนก็มักจะมีแต่สายตาเสียงซุบซิบอยู่รอบตัว เหมือนว่าไม่ใช่ที่ของฉัน

                ภูริชไม่ถูกใครว่าเพราะเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีเป็นดาวเด่นของโรงเรียน พวกเด็กผู้ชายในโรงเรียนต่างชื่นชมในทางแปลกๆ แบบว่าเขาเจ๋งที่ฟันดาวโรงเรียนคนสวยได้ แถมยังมีแฟนตัวจริงโง่ๆ ที่ยอมเป็นของตายไม่ว่าเขาจะทำอะไรผิดก็ไม่ยอมบอกเลิก หน้าด้านหน้าทนยิ้มอยู่ข้างกายของเขา

                ส่วนปรายฟ้าก็เป็นนางเอกผู้น่าสงสาร ถูกแย่งแฟนแล้วก็ถูกฟันแล้วทิ้ง ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเป็นอะไรกับภูริชเลย

             ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทนอยู่ในสภาพแบบนั้นเป็นปีได้ยังไง ฉันกลายเป็นโรคซึมเศร้าจนต้องพบจิตแพทย์

                เรื่องนี้ภูริชไม่มีวันรู้ และเขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่ามันทรมานมากแค่ไหน ฉันกลับมาถึงห้องอย่างหมดแรง ซึ่งภูริชยังไม่กลับ

                ฉันรู้สึกเหนื่อยและอยากจะคุยกับใครบางคนจึงเปิดโปรแกรมสไกป์[1]กับแมคบุ๊ก ก่อนจะคุยกับเพื่อนสนิท ที่ไปเรียนต่อที่อเมริกาตั้งแต่จบไฮสคูลแล้ว แต่เรายังติดต่อกันเสมอ เห็นบัญชีชื่อของมิก้าออนไลน์อยู่ฉันก็ไม่ลังเลที่จะทักไปทันที และเธอก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วด้วย

     

    Dawan P. :: มิก้า คิดถึงจัง

    Anamika (Mika) :: เฮ้ๆ ฉันมีเรื่องอยากจะถามแก หน้าเฟซแกนี่มันอะไรวะ

     

                ฉันหัวเราะกับตัวเองอย่างเศร้าใจ ก็รู้อยู่แล้วว่าในเฟซฉันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ เพราะมีเพื่อนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และส่วนมากจะเป็นเพื่อนที่สนิทๆ กันมากด้วย

     

    Dawan P. :: คือ มันอธิบายยาก

    Anamika (Mika) :: นั่นใช่ภูริชใช่มั้ย

    Dawan P. :: ใช่ เขาเอง คนนั้นแหละ

    Anamika (Mika) :: ตกลงแกคืนดีกับภูริชแล้ว

    Dawan P. :: ก็ไม่รู้สิ แกก็รู้ว่าฉันปฏิเสธเขาไม่เป็น ฉันมันโง่ที่แบบ แบบตัดสินใจเองไม่ได้ แกก็รู้ว่าฉันชอบเขา

    Anamika (Mika) :: แกนี่บ้า แล้วนี่ตกลงกลับมาคบกันใหม่ได้ยังไง แต่เขาก็ดูชอบแกเหมือนเดิมนี่ ไม่น่าจะมีปัญหา

    Dawan P. :: ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเจอปรายฟ้าอีกแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองต้องไปพบหมอเลย

    Anamika (Mika) :: แสดงว่าภูริชยังไม่รู้ใช่มั้ย ว่าแกเคยไปเจอจิตแพทย์มา เรื่องของแกมันเรื่องใหญ่นะ จะบอกเขามั้ย

    Dawan P. :: อย่าเพิ่งดีกว่า ฉันแค่อยากหาคนคุยด้วยนะ คงไม่รบกวนนะ ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองจัง ก็รู้นะว่าเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่ฉันก็ยังเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ คิดว่าจะมีคนคิดว่าฉันไปแย่งภูริชมาอีกรึเปล่า แล้วฉันเป็นคนเลวในสายตาพวกเขารึเปล่า

    Anamika (Mika) :: เฮ้ออย่าคิดมากนะดาหวัน ฉันว่าที่ภูริชทำตอนนี้ก็แสดงออกชัดเจนแล้ว ว่าเขาอยากอยู่กับแก

    Dawan P. :: ฉันสับสนไปหมดแล้ว มิก้า ฉันจะผ่านเรื่องนี้อีกครั้งยังไงดี

     

                ถ้าจะพูดกันตรงๆ ล่ะก็นะ ฉันยังไม่มั่นใจเลยว่าถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วทุกอย่างจะราบรื่นหรือเปล่า หัวใจฉันมันปกป้องตัวเองด้วยการทำไม่รู้ไม่ชี้ตอนที่เจอภูริช อยากอยู่ห่างเขามากที่สุด เพราะจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก แต่ตอนนี้ภูริชแสดงออกมาว่าเขาต้องการฉัน

                และลึกๆ ลงไปแล้ว ฉันก็ต้องการเขามากด้วย

                เมื่อได้มาเจอกัน ถึงได้รู้ว่าเขาไม่เคยลืมเขาไปจากใจเลย แม้แต่เสี้ยวเดียวก็ไม่เคย

             ฉันได้รับคำแนะนำที่ดีหลายอย่างจากมิก้าแล้วก็ออกจากโปรแกรมเพราะภูริชโทรเข้ามาหาพอดี

                (อยู่ไหนน่ะ) ภูริชถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะขุ่นมัวเล็กน้อย ฉันเลยเพิ่งนึกออกว่าเขาบอกว่าจะเป็นคนไปรับกลับจากมหาวิทยาลัยด้วย แต่ตอนนี้ฉันก็กลับมาก่อนซะแล้ว

                “ฉันกลับมาแล้ว

                (แล้วทำไมไม่บอก) เสียงของภูริชฟังดูฉุนเฉียว ต่อมามันก็ค่อยๆ เบาลง

                (โทษทีฉันเป็นห่วงเธอน่ะ เลยอยากรู้ว่าตอนนี้อยู่ไหน ทำอะไรอยู่)

             “ฉันปวดหัวไม่ค่อยสบาย ไม่อยากให้นายเป็นห่วงเลยมาเองน่ะ” ฉันบอกเสียงอุบอิบ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่พยายามบอกหรือเปล่า และเพราะโกหกอยู่ฉันเลยไม่กล้าพูดเต็มเสียง

             (ฉันเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั่นแหละ สรุปตอนนี้อยู่ที่ห้องแล้วใช่มั้ย?)

             “อือ กลับมาแล้ว” ฉันตอบ

             ตัวฉันเองก็ชอบนะ เวลามีคนเข้ามาคุยด้วยความห่วงใยเป็นห่วง แต่สำหรับภูริชแล้ว ฉันอาจจะคิดเอาเองฝ่ายเดียว บางทีเขาก็ไม่ได้คิดจริงจังหรอก เพราะเขาทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาเสมอ ฉันเลยกลัว กลัวว่าคิดจะไปเองข้างเดียว แล้วก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ เดิมๆ อีก

                (งั้นเดี๋ยวฉันไปหา อยากจะกินอะไรมั้ย จะซื้อเข้าไปให้) ภูริชดูใส่ใจอย่างดี จนฉันไม่กล้าเล่าเรื่องของปรายฟ้าให้เขาฟังตอนนี้

                มันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าคุยกันทางโทรศัพท์ แล้วเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยอย่างนี้

                “ฉันกินอะไรก็ได้ เอาที่นายสะดวกเถอะ”

                (โอเค อีกประมาณชั่วโมงนึงจะกลับถึงนะ ฉันต้องแวะคุยกับเพื่อน และคงต้องรออาหารหน่อย เผื่อรถติดด้วย)

             “อื้อ

             หลังจากวางสายฉันก็เช็กเฟซบุ๊คคนเดียวเงียบๆ มีคนส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนเข้ามาหลายคน แต่ฉันเลือกที่จะไม่กดรับ ทิ้งเอาไว้แบบนั้นแหละ ถ้าลบหรือไปทำอะไร เดี๋ยวภูริชก็หงุดหงิดอีก ผู้หญิงนี่น่าสงสารจัง โดยเฉพาะดาหวันคนนี้นี่แหละ

                แต่ละคนที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนเข้ามา แบบว่ามันทำให้ฉันหัวเราะออกมาได้เลย ก็อย่างที่รู้นั่นแหละ พวกเธอสวยกว่าฉันไม่รู้กี่เท่า คงเป็นแฟนคลับของภูริช และคงอยากรู้ว่าผู้หญิงอย่างฉันจะมีไลฟ์สไตล์ยังไง ถ้าพวกเธอเห็นว่าฉันหน้าตายังไงอาจจะผิดหวังมากก็ได้นะ

                ฉันจิตตกตามประสาคนที่ป่วยทางจิตมาก่อน และตัดสินใจปิดแมคบุ๊กไปซะก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้

                ฉันนั่งงึมงำกับตัวเอง ชั่งใจกับคำพูดของมิก้าที่พยายามบอกให้ฉันเอาเรื่องสมัยก่อนขึ้นมาคุยกับภูริช เดี๋ยวนี้การพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มีคนมากมายที่ต้องเข้ารับการรักษาสภาพจิตใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกแตกต่างจากคนแบบภูริชอยู่ดี

                เขามีพร้อมและสมบูรณ์แบบทุกอย่าง

                แต่ว่าฉันกลับเหมือนตุ๊กตาที่บอบช้ำขาดรุ่งริ่ง แล้วภูริชน่ะ จะสนใจมันอีกนานเท่าไหร่กัน ไม่แน่เขาอาจจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาสำหรับเขาก็ได้ เลือกคนอื่นที่สวยกว่าไม่มีปัญหาน่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ

                พอเริ่มฟุ้งซ่านฉันก็ยกมือตบแก้ม เอากำปั้นกระแทกหัวเพื่อให้หยุดคิดเรื่องพวกนั้นซะที

                ความคิดที่กระเจิดกระเจิงของฉันกลับมาเมื่อภูริชกลับเข้าห้องมาแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันเลยลุกและเดินตรงไปหาเขาอย่างงงๆ

                ภูริชถือไม้เบสบอลเข้ามาด้วย เห็นแล้วมันทำให้ฉันตกใจแล้วก็กลัวมากด้วย

                “เฮ้!” เขาเอียงคอถามแล้วเงื้อไม้เบสบอลขึ้น ฉันก็สะดุ้งสิ ไม่รู้ว่าเขาจะทำแบบนี้ทำไม และดูไม่ปลอดภัยเลยด้วย

                “ยกมือขึ้น ไม่งั้นเจ็บตัวแน่” ภูริชขู่ ได้ยินแบบนั้นฉันก็กลัว รีบยกมือขึ้นตามที่เขาสั่ง แต่เขาก็ยังทำท่าจะฟาดมันใส่ตัวฉัน ฉันเลยหลับตาแน่นเพราะตกใจ

                ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นการล้อเล่นแบบไหนกันแน่ ภาวนาไม่ให้ภูริชฟาดไม้ใส่ตัวฉันจริงๆ ก่อนจะได้ยินเสียงของหนักหล่นกระทบลงกับพื้นจนทำฉันสะดุ้งซ้ำสอง

                แล้ววินาทีต่อมาฉันก็ร้องวี้ดอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะยกแขนทั้งสองข้างชูขึ้นเหนือหัว ภูริชเลยถลกเสื้อฉันออกทางหัวได้อย่างง่ายดาย

                “อ๊า การปล้นครั้งนี้ได้ผลดี เอาล่ะ เข้าห้องนอนกัน” ภูริชพูดเป็นเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วก็พาฉันเข้าห้องนอน โดยที่ฉันดิ้นหนีแทบไม่ทัน

                “ภูริช หยุดนะ หยุด ไม่เอานะ ฉันกลัว” หัวใจฉันมันเต้นแรงจนคิดว่าจะหลุดออกมาจากหน้าอกเสียแล้ว แต่ฉันก็ต้องรีบยกมือป้องหน้าอกเอาไว้ แต่ดูแล้วมันแทบไม่ช่วยอะไรเลยสักนิดเดียว ฉันใจเต้นระทึกเมื่อมาถึงเตียงและถูกวางลงบนนั้นอย่างแผ่วเบา

                หัวใจของฉันยังเต้นแรงไม่เลิก สีหน้าของเขาน่ากลัวจนกลัวว่านี่มันเป็นสถานการณ์แบบไหนกันแน่

                “ริช!” ฉันอุทานเมื่อถูกเขาจับข้อมือของฉันแล้วตรึงเอาไว้บนเตียงจนฉันขยับตัวไม่ได้ สายตาของเขาเลื่อนมองทั่วร่างกายของฉันเหมือนกำลังมองหาสิ่งผิดปกติบนนั้น

                “ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” ฉันถามเสียงสั่น เพราะสายตาของเขาดูไม่เหมือนเดิมเลย

                “ก็เปล่า” ภูริชลุกออกจาเตียง ทำให้ฟูกนอนมันไหวยวบ ไออุ่นที่ห่อหุ้มร่างกายฉันไว้ก่อนหน้านี้ก็หายไปด้วย ฉันดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้ ก่อนจะมองภูริชอย่างไม่เข้าใจ

                “นายไปได้ยินอะไรที่ไม่เข้าท่ามาใช่มั้ย?” ฉันถามเพราะเขายังไม่ให้คำตอบที่มันชัดเจน

                “ก็เปล่า” เขาพูดเหมือนเดิมทำท่าจะลุกไป ฉันเลยคว้าหมอนแล้วปาใส่หลังเขาสุดแรง แต่มันคงไม่เจ็บหรอก ภูริชครางในคอแล้วหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง

                “เธอนี่มัน!” ภูริชครางฮึ่มในคอ ก่อนจะขึ้นเตียงแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับฉันจนหัวหมุนไปหมด

                “อย่าคิดไม่รู้นะเว้ย ว่ามีผู้ชายตามจีบเธอ!” ใบหน้าของภูริชบึ้งตึง คำพูดของเขาทำให้ฉันเวียนหัวตัวเย็นเฉียบ ไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ด้วย

                คือ อันที่จริง ฉันก็มีคนมาจีบบ้าง ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ดีเท่าปรายฟ้าหรือภูริชก็เถอะ

             อีกแล้ว ฉันไม่อยากเปรียบเทียบตัวเองกับใครหรอก แต่ที่ผ่านมา ฉันถูกเปรียบเทียบกับปรายฟ้ามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ฉันเลยคิดถึงคนอื่นเสมอ

                “ไอ้หมอนั่น อย่าให้รู้ว่ามันวอแวหรืออยู่ใกล้นะ ไม่งั้นได้มีเรื่องอะ”

                “นายรู้ได้ไง” ฉันถาม หัวยุ่งไปหมดเพราะวุ่นกันอยู่บนเตียง

                “เรื่องของเธอ ทำไมจะไม่รู้

                “งั้นเหรอ” ฉันยันตัวเองขึ้นมาจากเตียง อยากจะหัวเราะ เพราะถ้าเขารู้เรื่องของฉันจริงๆ แล้วล่ะก็ เขาก็น่าจะรู้ว่าไม่ได้มีแค่เรื่องนี้หรอก

                “อย่าให้รู้นะว่าไปคุยกับไอ้หมอนั่น อย่าหาว่าไม่เตือน!

                “เดี๋ยวนะ ฉันไปคุยอะไรกับใครตอนไหน” ฉันพูดเสียงสูง ตอนที่ภูริชเดินอออกจากห้องนอนไปอีกครั้ง

                และครั้งนี้เขาไม่ได้กลับมามองอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันหัวฟัดหัวเหวี่ยงคนเดียวก่อนก้มลงมองตัวเอง ไอ้รอยหลายรอบบนตัวฉันเนี่ย เขาแน่ใจเหรอว่าจำได้ทุกจุดที่เขาทำเอาไว้

             ฉันต้องหาเสื้อตัวใหม่ใส่แล้วออกไปข้างนอก กลัวว่าจะเป็นอันตรายถ้าอยู่ในห้องนี้นานเกินไป จู่ๆ ก็ง่วงขึ้นมาซะอย่างนั้น รีบเดินออกไปเพราะปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก

                “ออกมากินข้าวซะสิ ฉันซื้อมาเผื่อแล้ว” ภูริชกำลังทำอะไรในห้องครัวอยู่พอดี เขากวักมือเรียกให้เข้าไปหา นานๆ จะเห็นว่าเขาดูปกติเหมือนคนอื่นฉันเลยเดินเข้าไปหาไม่เหวี่ยงหรือหงุดหงิดใส่ ก่อนจะลองเลียบเคียงถามไป

                “นายรู้ได้ไงว่ามีคนมาสนใจฉัน” ฉันเลือกจะพูดคำนี้ เพราะคิดว่าน่าจะทำให้ภูริชไม่โกรธมากที่สุดแล้วล่ะ

                “อยากรู้เหรอ” เขาถามกลับ ฉันก็พยักหน้าเบาๆ กลัวว่าจะพูดจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจเขา

                “แล้วเธอคิดว่าตอนที่เราเจอกันในร้านอาหารวันนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญ” เขาถาม ก่อนจะกดไหล่ให้ฉันนั่งลง

                ฉันนั่งลงแล้วก็งงไปด้วย ไม่กล้าคิดจริงจังว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง เขาอาจจะพูดไปแบบนั้นเพื่อให้ฉันสบายใจขึ้นก็ได้ มันเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่มีทางรู้ได้เลยนอกจากตัวของภูริชคนเดียว

                “หลังจากที่เธอหนีหน้าฉัน ตั้งแต่นั้นมาฉันกลายเป็นสตอล์กเกอร์[2]ของเธอน่ะสิ”

     

    Puurit`s talking…

             ดาหวันดูตกใจมากตอนที่ผมบอกไปแบบนั้น มันอดขำไม่ได้ มันขำตั้งแต่เธอหน้าตื่นตอนที่ผมถอดเสื้อเธอแล้ว

                อันที่จริง ผมบอกตัวเองมาตลอดว่าจะทนจนกว่าจะทนไม่ไหว และจะทนจนกว่าวันที่ดาหวันจะเต็มใจให้ผมกอดด้วยตัวเอง

                ตอนที่อุ้มกลับไปที่เตียง ผมเห็นเธอน้ำตาไหล เสียงสั่นลนลาน นัยน์ตาก็สั่นไหว ไหนจะเหงื่อที่ชุ่มเต็มหน้าของเธอ ทั้งที่มันเพิ่งไม่ถึงสองนาที ความหวาดกลัวของดาหวันทำให้ผมกลัวตามไปด้วย และหยุดความตั้งใจทุกอย่างเอาไว้ รวมถึงความโกรธด้วย หลังจากที่มีใครคนหนึ่งส่งข้อความมาบอกทางเฟซบุ๊ค ว่าดาหวันไปคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง

             แล้วมีเหรอผมจะไม่โกรธ ตั้งใจกลับมาจะจัดการให้เธอเป็นของผมซะ ทุกอย่างจะได้จบ ผมจะได้ไม่ต้องระแวงอีกว่าเธอจะจากผมไปไหน และดาหวันจะได้รู้ ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเธอ

             แต่แล้ว เมื่อเห็นความกลัวของเธอมันก็ทำให้ผมไม่กล้า เธอกลายเป็นใครคนที่ผมไม่รู้จัก มองผมเหมือนฆาตกรที่พยายามจะฆ่าทำร้ายเธอให้ได้อย่างไรอย่างนั้น มันเลยทำให้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วแกล้งเฉไฉไปเรื่องอื่น แต่เรื่องที่มีผู้ชายเข้ามาจีบน่ะ มันเป็นความจริงที่ผมรู้มานานแล้ว แต่ไม่อยากรื้อฟื้นหรือพูดออกไปให้เขาต้องทะเลาะกัน แต่ตอนนี้มันคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว ผมต้องยกมันมาพูดเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นตัวเอง ไม่อยากเห็นความหวาดกลัวในสายตาของดาหวันอีก

                “นายอย่าพูดแบบนั้นสิ มันไม่ดีเลยนะ” ดาหวันทำหน้าหลอน เมื่อผมว่าเป็นโรคจิตที่ติดตามเธอทุกเรื่อง เออ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าดีขึ้นมาหน่อย

                “ทำไมล่ะ มันแปลกตรงไหน” ผมถาม เธอก็ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนไม่อยากคุยอีกแล้ว

                “นายมันน่ากลัวจริงๆ เลย เลิกพูดได้แล้ว” เธอตีหน้ายุ่ง หัวคิ้วขมวดหากันมุ่น ผมอดใจไม่ไหว ต้องยื่นมือเข้าไปแตะหัวคิ้วของเธอแล้วคลึงมันเบาๆ

                ให้ตายเถอะ ตอนที่เธอทำหน้ายุ่งแกมไม่พอใจอยู่หน่อยๆ น่ะ มันน่ารักมากจริงๆ จนอยากกอดอยากจูบขึ้นมา แต่พอเห็นน้ำตามันก็ฟ่ออีกนั่นแหละ

                มันแปลกตรงที่ผมสามารถนอนกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ง่ายๆ เอ่อ อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ผมเองก็เลือกคนที่จะมานอนด้วยเหมือนกัน กรองระดับหนึ่งแล้วก็ต้องกันตัวเสมอ ในเมื่อตอนนั้นเราห่างกันไปไม่ได้คุยกันเลย แม้แต่โทรศัพท์หรืออีเมล มันอาจจะประมาณนอกกายล่ะมั้ง แต่ผมไม่คิดนอกใจจากดาหวันแน่

                ก็นั่นแหละ กับผู้หญิงอื่นผมไม่เคยคิดมาก แต่พอเป็นดาหวันมันก็ไม่กล้าขึ้นมาซะดื้อๆ ผมกลัว กลัวว่าถ้าทำให้เธอโกรธเกลียดหรือไม่พอใจแล้วเธอจะหายไปอีก ครั้งนี้คงไม่มีข้ออ้างอะไรแล้วที่จะให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

                “ฉันรู้แล้วกัน อย่าให้มันเข้ามาคุยกับเธออีกล่ะ อย่าหาว่าไม่เตือน ฉันน่ะหึงแรงนะ บอกไว้เลย” ผมบอกไป ดาหวันก็ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ ไม่พูดหรือสบตาด้วยอีก

                ทั้งที่เรานั่งอยู่ใกล้กัน กินข้าวด้วยกัน แต่มันกลับเหมือนมีกำแพงบางใสมากั้นกลางเราสองคนเอาไว้จนเราไม่สามารถเปิดใจถึงกันได้อีกแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่อยากพบเจอมันเลยจริงๆ

                ต้องทำยังไง เธอถึงจะเปิดใจยอมพูดในสิ่งที่เธอยังไม่พอใจอยู่ตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้กอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนให้แน่นที่สุดเท่าที่ใจอยากจะทำ

                แต่ดาหวันคงไม่อยากให้ทำแบบนั้น ผมก็พยายามอดทน พยายามที่จะปรับตัวเข้าหากันทีละน้อย เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้กลับมาเหมือนตอนที่เราคบกันวันแรกๆ สมัยเรียนไฮสคูล

             ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะไม่เหมือนตอนที่เราได้รู้จักกันแรกๆ แต่มันก็ดีกว่าตอนที่เราห่างหายกันนั่นแหละน่า ตอนนี้ผมเลยคิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี

                “ภูริช ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย” ดาหวันดูคิดหนักมากกว่าที่จะยอมพูดออกมา

                ผมสบตากับเธอแล้วก็พยักหน้าให้ แต่เธอก็ดูอึกอักอยู่ลึกๆ

                “ก็ว่ามาเลย” ผมบอกอย่างใจป้ำ แต่เธอก็ยังดูประหม่าอยู่ดี

                “ปลาย ปลาย” เธออ้ำอึ้งอึกอัก ผมก็ตั้งใจฟังอย่างดี อยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไร

                “ปลายผมฉันมันยาวแล้ว ฉันอยากจะไปตัดผม” สุดท้ายดาหวันก็พูดออกมา เธอทำหน้าจะร้องไห้ขึ้นมาจนผมอดขำไม่ได้

                “แค่เรื่องตัดผมเนี่ยนะ ทำไมต้องทำท่าจะร้องไห้แบบนั้นด้วย ไปสิ ฉันจะไปนั่งเฝ้า”

                “ไม่เอาดีกว่า ฉันปวดหัว ขอนอนก่อนล่ะ แล้วจะมาล้างจานให้นะ!” เธอหน้าแดงแล้วผลุบหายเข้าห้องนอนไป ผมหัวเราะตามหลัง สบายใจขึ้น อย่างน้อยดาหวันก็ไม่ได้กลัวผมเท่าไหร่น่ะนะ

                ผมผิวปากอย่างสบายอารมณ์ และเป็นคนล้างจานด้วยตัวเอง ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้าไปกว่าตอนคบกันเมื่อตอนเป็นเด็กๆ แต่อย่างน้อยก็ได้นอนด้วยกันล่ะวะ

     

                (เหอะ อย่างแกน่ะเหรอโทรมาขอความคิดเห็นจากฉัน!) เสียงของภูเมษน้องชายแสนดีของผมเอง

                (โง่ว่ะ กับผู้หญิงอื่นวุ่นทีเดียวเป็นสิบไม่เคยหลุดมือเลยสักคน แต่กับดาหวันคนนี้ทำไม่เป็นเหรอวะ อยากให้สอนมั้ย?) ไอ้น้องชายตัวแสบยังเยาะไม่เลิก ผมก็หงุดหงิดขึ้นมาจริง   แล้ว

                “กูโทรมาหามึงเพื่อให้มึงช่วยกูคิดดีๆ ไม่ใช่ว่ามาต่อว่าอย่างนี้นะเว้ย!” ผมว่ามันกลับไป

                “คนอื่นกูไม่จริงจังไง เลยเลือกเฉพาะแบบ One-night stand[3] คืนเดียวจบ แต่นี่ดาหวันคนที่กูรอมาตลอดเลยนะ ใครจะกล้าปล้ำวะ”

                แค่เสียงร้องไห้ของดาหวันก็ทำให้ใจเสียแล้ว พอเห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่กล้าจะไปต่อเลยจริงๆ เพราะอย่างนั้นผมเลยอึดอัดรีๆ รอๆ อยู่อย่างนี้ไม่จัดการซะที

                อย่างคนอื่นน่ะ พวกมันจัดการกับผู้หญิงที่หมายตา จับปล้ำทำเป็นเมีย แล้วก็สุขสมอารมณ์หมายกันทุกราย

                แต่กับดาหวัน โอ๊ย มันไม่ง่ายเลยนะเว้ย น้ำตาหยดเดียวก็เหมือนกับกรีดกรีดจึ้กเข้ามาที่หัวใจแล้ว แล้วดาหวันเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมา เก็บงำมันเอาไว้ในใจตลอด ผมกลัวว่าถ้าเธอไม่ยอมพูดออกมาแล้วผมยิ่งทำให้เธอเจ็บอีก เรื่องมันจะเลวร้ายไปกว่านี้

                การจากลาแบบที่ผมไม่รู้ตัวมาก่อน ผมก็รู้ดีแก่ใจว่าดาหวันน่ะจากไปเพราะความเจ็บปวด เทอมสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน เวลามองตาเธอก็เห็นความเสียใจซ่อนไม่มิดตลอด แต่ไม่ว่าจะถามยังไงก็ไม่เคยได้คำตอบ ผมเลยกลัวมาจนถึงตอนนี้ กลัวว่าถ้าทำอะไรผิดไป ทำให้เธอกลัวหรือเสียใจอีก ผมจะไม่มีทางได้เจอเธออีกแล้ว

                (ไม่อยากปล้ำผู้หญิงงั้นดิ…) เมษถาม ผมเลยถอนหายใจ ก็เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ถึงได้โทรมาเหมือนขอคพปรึกษาอย่างนี้น่ะ

                (ไม่อยากเว้ย ก็แค่เอาวอดก้า[4]ผสมน้ำให้ดื่มเดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มแล้ว วอดก้าไม่มีกลิ่นด้วย ไม่ต้องห่วง เมียมึงไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นเหล้า)

             “เจริญ” ผมคราง แต่พอคิดดูอีกทีแล้วมันก็ไม่เลวเหมือนกันนี่

             ผมยิ้มอย่างมีความสุขสุดๆ ผมแอบเอาวอดก้าเทลงในแก้วน้ำของดาหวัน แล้วปลุกเธอมากินข้าว

                ดาหวันเหมือนจะมีไข้นิดหน่อย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมคิดล้มเลิกแผนการปล้ำเอาเป็นเมียหรอก พอกินข้าวเย็นเสร็จเธอก็มึนไปเลยล่ะ เดินโซเซเข้าห้องน้ำและผมก็ตามไป

                เธอเหมือนจะงงที่ตัวเองมึนขนาดนี้ เธอล้างหน้าแล้วแปรงฟัน ผมก็ตามไปด้วยเดินซ้อนหลังเธอแล้วก็แปรงฟันไปกับเธอด้วย

                ดาหวันดูเมามากแล้วก็น่ารักมากด้วย แก้มแดงใสเหมือนแอปเปิลน่ากัดกิน เธอบ้วนปาก ผมก็ป้วนตามด้วย แล้วก็เกิดเรื่องขึ้น

                เพราะผมป้วนปากตาม แล้วมันก็ดันเป็นตอนที่ดาหวันป้วนด้วย ผลเป็นยังไงน่ะเหรอ สั้นๆ เลย ผมป้วนปากใส่หัวของดาหวันน่ะ

                “ภูริช นายมัน!

                สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนสระผมให้คนเมา บ้าที่สุด เพราะผมต้องบังคับใจตัวเองอย่างมากที่จะไม่ปล้ำเธอตอนที่อาบน้ำสระผมให้อยู่ ให้ตายเถอะ ไม่น่าจะเชื่อคำพูดของไอ้บ้าภูเมษเลย ถึงได้ต้องข่มใจอย่างนี้น่ะ

                หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เป่าผมให้เธอบนเตียง ดาหวันสะลึมสะลือมาก แทนที่จะได้ XXX กัน แต่กลายเป็นว่าเธอง่วงจะหลับแทนเนี่ยนะ ไอ้น้องเวร แนะนำอะไรไม่เข้าเรื่องเลย!

             “ริช” เสียงของดาหวันอ้อแอ้เพราะวอดก้าอย่างไม่ต้องสงสัย

             “นายถ่มน้ำลายใส่หัวฉันเหรอ!?

                “เปล่า ฉันป้วนปากแต่ตอนนั้นเธอก้มหน้าป้วนตามทำไม แล้วเอาหน้าไปจุ่มอ่างล้างหน้าแบบนั้นแล้วจะให้ฉันทำยังไง” ผมหัวเราะร่วน มองดูคนเมาที่เปลี่ยนไปจากดาหวันคนเดิมเป็นคนละคน เธอกล้าพูดขึ้น เอาแต่ใจขึ้นจนผมรู้สึกอยากจะแกล้งขึ้นเรื่อยๆ

                “นายมันร้าย”

                “เออ ฉันมันร้าย ยกมือขึ้นซะดีๆ” ผมทำมือเป็นรูปปืนแล้วชี้ไปที่เธอ ดาหวันยกมือขึ้นยอมแพ้อย่างน่ารัก เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่แล้ว มีแค่ผ้าขนหนูพันรอบร่างเอาไว้ กระตุกทีเดียวมันก็หลุดแล้ว

                “ฉันอยากให้เธอ XXX กับ XXX ของฉัน ไม่งั้นเจ็บตัวแน่” ผมพูดเสียงพร่า ยิ้มสมใจเมื่อเธอกระตุกผ้าขนหนูลายคิตตี้ออกจากเอวของผม

                “ใช่ อย่างนั้นแหละทีนี้ก็ โอ๊ย!” ผมอุทานออกมาเสียงดัง ตัวงอเป็นกุ้งเมื่อเจ็บจี๊ดกลางตัวเหมือนลูกตุ้มเหล็กหล่นกระแทกทับร่างกายสุดแรง

                ดาหวันดาหวัน ดาหวันกระแทกเข่ากับกล่องดวงใจของผมสุดแรงเลย ผมกลิ้งตกเตียงร้องไห้ด้วยความเจ็บ

                ส่วนคนร้ายตัวจริงอย่างดาหวันน่ะเหรอ

                “ไอ้ซีด แกเป็นใครน่ะ!

     

                ผมควรทำยังไงกับแฟนสาวที่เรียนยูโดมาดีล่ะ บ้าที่สุด หว่างขาของผมคงช้ำมากแน่ บ้าเอ๊ย ไอ้กีฬาคุณหนูคนสวยเขาเล่นกันอย่างเทนนิส ว่ายน้ำ หรืออะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่กีฬาสุดโหดป่าเถื่อนแบบนี้ ดาหวันไม่รู้เรื่องหรอกว่าพูดอะไรออกมาบ้าง เธอเอาแต่หัวเราะสลับกับต่อว่า แล้วก็หลับไป

                ชีวิตดี๊ดี! ผมถึงกับอุทานกับตัวเองแบบนั้นออกมา

                เมื่อดาหวันหลับไปแล้วผมก็โล่งใจ ขยับตัวที่หายจากอาการบาดเจ็บขึ้นเตียงแล้วมองหน้าของเธออย่างแสนคิดถึง ใช่ ถึงจะได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว แต่ผมก็ยังคิดถึงเธออยู่ดีนั่นแหละ นานแล้วที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่ายังไงก็ยังจำช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ใกล้เสมอ

                ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับดาหวัน จู่ๆ ผมก็ติดต่อเธอไม่ได้สักทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทร อีเมล หรือจดหมาย ผมเองก็วุ่นๆ กว่าจะรู้ว่าเธอเรียนที่ไหน เป็นยังไงเวลาก็ผ่านไปได้เกือบปีเลยล่ะมั้ง ผมถึงได้รู้ว่าเธอเรียนมหาวิทยาลัยที่กลุ่มเพื่อนของผมไม่ได้เรียนที่นั่นเลยสักคน รวมถึงเพื่อนร่วมรุ่นด้วย

                เธอเรียนภาคอินเตอร์ที่แน่นอนว่าต้องเจอเพื่อนสังคมใหม่หมด แต่ดาหวันก็คือดาหวัน เธอดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังกอดหนังสือเข้ามหาวิทยาลัยเหมือน ยังตัวคนเดียวเหมือนเดิม ยังเหมือนเดิมทุกอย่างยกเว้นหัวใจของเธอ

             และเมื่อคิดแบบนั้นผมก็เลยพาตัวเองออกห่างมาก็ในเมื่อเธอแสดงให้เห็นขนาดนี้แล้ว จะคิดอย่างอื่นได้เหรอ ว่าเธอเกลียดและไม่อยากเจอหน้าผมแล้ว

                เมื่อดาหวันเลือกจะใช้ชีวิตแบบนั้นแล้ว ผมก็เลยตัดใจยอมปล่อยเธอไป

             แต่อะไรก็ไม่รู้ล่ะ ผมมักจะเฉียดไปใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ เดินผ่านร้านอาหารที่เธอชอบเข้าไปกินบ่อยๆ ดีใจที่ดาหวันไม่เคยมีใครเลย เธอไม่มองใครเลยสักคน เลิกเรียนก็กลับคอนโด แทบไม่เคยออกไปเที่ยวข้างนอกเลย

                ไม่รู้สิ ผมไม่อยากให้เธอมีชีวิตแบบนี้เลย ชีวิตที่ไม่มีใคร อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกับว่ากำลังหันหลังให้คนทั้งโลกอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเห็นเธออยู่คนเดียว ข้ามถนนคนเดียวโดยที่มีคู่รักอยู่ข้างๆ ผมอยากเดินเข้าไปหาแล้วช่วยจูงมือเธอข้ามถนน

                เวลาเห็นเธอกางร่มเดินฝ่าฝนคนเดียวก็อยากจะเป็นคนกางร่มให้ ผมอยากทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างกับเธอ แต่เชื่อไหมว่าคนอย่างภูริชคนนี้ คนที่มีผู้หญิงเข้ามาพุ่งใส่เป็นฝูงไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลย

                เพราะดาหวันไม่มองใคร เธอเลยไม่รู้ตัวสักนิดว่าผมวนเวียนอยู่ใกล้เธอมาตลอด เหมือนวิญญาณยังตามติดนั่นแหละ ยิ่งกว่าสตอล์กเกอร์ซะอีก แล้วสุดท้ายผมก็ไม่อยากเห็นภาพที่เธออยู่เดียวดายอีกต่อไปแล้ว

                หรืออาจจะเป็นตัวผมเองนี่แหละ ที่พอรู้ว่ามีใครทำท่าท่าจะจีบเธอก็เข้าขวาง กันท่าจนพวกนั้นถอยห่างออกไป จนทำให้ดาหวันต้องตัวคนเดียวอย่างนี้

                อ้อ ไม่สิ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมมากกว่า ที่ไม่อยากให้เธออยู่กับใครทั้งนั้น นอกจากผมคนเดียว

             ตอนนี้เธอก็ได้มาอยู่ต่อหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็อยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยากจะแก้ไขทุกอย่างที่มันผิดพลาด

                Damn…” ผมสบถกับตัวเองก่อนพยุงตัวนั่งบนเตียง ทอดสายตามองคนเมาที่หมดฤทธิ์ไปแล้ว

                ไม่น่าจะเชื่อคำแนะนำบ้าๆ ของไอ้เมษมันเลยจริงๆ ผมส่ายหน้าก่อนเอื้อมมือไปแตะแก้มใสของเธอ แล้วเกี่ยวเอาเส้นผมที่หน้าออก ให้เห็นหน้าหวานๆ ของเธอได้ชัดเจนขึ้น บ้าเอ๊ย ยิ่งเห็นยิ่งคิดถึงทั้งที่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว

                “ยัยทึ่มดาหวัน เธอจะรู้ไหม ว่าฉันดีใจมากแค่ไหนน่ะ” ผมบอกเธอแล้วล้มตัวลงนอนกอด

                ที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับดาหวันกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คงมาจากผมคนนี้นี่แหละที่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องแบบไหน ผมก็อยากจะแก้ไขมัน เพื่อให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม

    End Puurit talk…

     

             ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวที่แทบจะทนไม่ไหว แล้วก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของภูริชทั้งเนื้อทั้งตัวบนเตียง ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้มาหลายวันแล้ว แต่มันก็ไม่ค่อยชินยังไงก็ไม่รู้ ฉันปวดหัวมากและอยากอาเจียนพอๆ กัน ค่อยๆ ดันแขนเขาออกจากตัวแล้วก็เข้าห้องน้ำ

                และถูกเผง ฉันอาเจียนจนแสบท้องเลยนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย

                ฉันเริ่มหมดแรง หน้ามืด เวียนหัวเหมือนจะเป็นลม มันรู้สึกไม่ดีมากๆ จนแทบจะร้องไห้

             แต่น้ำตามันก็หายไปพร้อมกับเสียงทักทายของผู้ชายที่เริ่มจะตัวติดกันตลอดเวลา

                “เฮ้ แพ้ท้องแต่เช้ารึไง” ภูริชถามและยิ้มให้

                เป็นฉันที่หน้าแดง รู้สึกตกใจแทบจะเป็นลมจริงๆ แต่ภูริชเข้ามาประคองไว้ทัน

                “ทำไมถึงเป็นแบบนี้เนี่ย” เขาถามเสียงอ่อนโยน ฉันเองก็ส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้แค่ตัวเองหัวหนัก ปวดหัวจี๊ดลามไปถึงขมับ แล้วก็ขมในปาก ทุกอย่างมันแย่มาก แถมยังเวียนหัวมากอีกต่างหาก

                “เธอคงไม่สบาย” เขาบอกแบบนั้น ฉันเองก็คิดเหมือนกัน แต่ไม่เห็นว่าจะตัวร้อนหรือมีไข้เลย แต่เอาเถอะ

             ครั้งนี้ฉันไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้เขาช่วยล้างหน้าแล้วพาออกมาข้างนอก ฉันถูกกดตัวให้นั่งรอที่โซฟา ส่วนตัวของภูริชเดินไปที่ห้องครัว จัดการทำอาหารเช้าให้ ไม่นานเขาก็ยกจานอาหารเป็นพาสต้าง่ายๆ มาให้ที่โซฟาข้างนอก ไม่ได้นั่งที่โต๊ะอาหารข้างนอกเหมือนปกติ

                “กินสิ จะได้ดีขึ้น ท้องว่างอยู่เดี๋ยวมันจะทำให้เวียนหัว” ภูริชบอก ฉันก็บอกขอบคุณ แล้วรับแก้วเซรามิกที่เขายื่นมือให้อีกอย่าง

                ฉันจิบแล้วก็ขมวดคิ้ว เพราะมันขมจนติดปลายลิ้น

             “อะไรอะ” ฉันขนลุกเพราะความขมของมัน จะวางลงแต่ภูริชครางในคอซะก่อน

                “อ๊ะๆ! ดื่ม ครึ่งแก้วก็ยังดี”

                “ครึ่งนึง” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจ

                “ลองดื่ม แล้วจะดีขึ้น” เขาไม่พูดเปล่า ยื่นมือมาดันแก้วให้ยกขึ้นฉันเลยดื่มมันไปโดยปริยาย ดื่มได้ไม่กี่อึกก็ส่ายหน้าวางมันลงจนได้

                “ไง อร่อยมั้ย?

                “ฮึ่ย” ฉันพึมพำเสียงแผ่วแล้วก็ไม่ได้ตอบคำถาม ภูริชหัวเราะแต่ฉันไม่ได้ขำด้วยเลย

                “แล้วดีขึ้นมั้ยล่ะ” ภูริชถามซ้ำ ฉันเลยเพิ่งได้รู้สึกตัวว่ามันก็จริงอย่างที่เขาพูด

                “อร่อยใช่มั้ยล่ะ” เขาหัวเราะอย่างสดใส ฉันเผลอมองอยู่นานจนกระทั่งเขาหันมอง

                “เอ้า มองเลย โกรธเหรอ”

                “ก็เปล่า” ฉันปฏิเสธ ผิวแก้มร้อนวูบวาบเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยการนั่งกินอาหารต่อ

                ภูริชนี่เก่งไปซะทุกอย่าง บางครั้งก็สงสัยว่าใต้เสื้อผ้าตัวนอกของเขามีชุดแนบเนื้อรัดรูปเหมือนชุดของซูเปอร์แมนหรือเปล่า แต่ ก็เห็นเขาเปลือยบ่อยๆ นี่นาว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น

                เดี๋ยวนะ! นี่ฉันคิดอะไรอยู่นะฉันหน้าแดงแล้วก็เลือกจะไม่ตอบคำถามอะไรอีก

             ภูริชหัวเราะดูมีความสุขมากจนฉันอดจะรู้สึกดีตามไปด้วยไม่ได้ ที่เขาสดใสแบบนี้ก็เพราะตัวฉันเอง

                ฉันน่ะเหมือนตัวเศร้าซึม ส่วนภูริชน่ะเหมือนกับลัลล้าในภาพยนตร์แอนนิเมชั่นเรื่อง Inside Out[5] ต่อให้เขาจะพยายามยังไง ฉันก็เป็นเศร้าซึมอยู่ดีนั่นแหละ

                “เออ ช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาวหลายวันด้วย ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันมั้ย?” ภูริชเปลี่ยนเรื่องคุยจนฉันเหมือนจะตามไม่ค่อยทัน แต่เขาดูจริงจังจนไม่กล้าพูด

                “โอเค เราไปเที่ยวกัน

                เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้ตอบเลยนะว่าจะไปน่ะ แล้วเพื่อนๆ ของเขาไปด้วยไหม ได้แต่กลัวเพราะยังไม่พร้อมที่จะเจอใครทั้งนั้น ฉันมองหน้าภูริชอย่างชั่งใจ ต่อให้ปฏิเสธไปแต่เชื่อเถอะว่าคนอย่างเขาคงไม่ฟังหรอกภูริชพูดถึงเรื่องที่จะทำหลาย แต่ละอย่างมันน่าสนุกทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องที่บอกว่ามีเพื่อนหลายคนจะไปด้วยนี่สิ

                ฉันสังหรณ์ใจไม่ค่อยจะดีเลยจริงๆ

     

             ครอบครัวของภูริชรวยมาก รวยชนิดที่ว่าสามารถซื้อเรือยอร์ชลำใหญ่ส่วนตัวได้ แบบว่ามันลำใหญ่มากๆ เลยล่ะ จุคนได้เป็นสิบๆ คน แน่นอนว่าฉันไม่เคยจะห้ามภูริชได้เลยถ้าเขาได้พูดไปแล้วว่าจะพาไปที่นั่นที่นี่ ก็นะ เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ ขนาดว่ากระเป๋าเดินทางเขายังเป็นคนจัดให้ ตอนเช้าที่ยังมึนๆ ง่วงๆ ก็ถูกลากขึ้นรถแล้วมาถึงทะเลที่สวยงามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาได้ตอนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

             แล้วสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะกลุ่มของภูริชมีมากซะจนน่าตกใจเลยล่ะ ภูริชไม่รอให้ฉันได้พูดอะไร ลากขึ้นเรือเฉยเลย เมื่อมาอยู่ที่นี่เลยได้รู้จักเพื่อนคนอื่นๆ ของเขามากขึ้น

                คือ พอมาเที่ยวแบบนี้แล้ว ก็จะมีสาวๆ มาด้วยใช่ไหมล่ะ อีกอย่างเพื่อนของภูริชก็เป็นกลุ่มผู้ชายที่ดูดีกันทุกคน ดังนั้นพวกเขาก็เลยมีสาวสวยที่เป็นแฟนมาเที่ยวด้วยกัน

                ฉันรู้สึกตัวหดเล็กลงเหลือตัวเล็กนิดเดียว พยายามไม่ประหม่าแต่ก็ทำไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าพวกเธอเคยเรียนที่เดียวกันสมัยไฮสคูลไหม แต่ทุกคนดูสวยร่าเริงสดใสเป็นลัลล้ากันหมด ยกเว้นเศร้าซึมดาหวันคนนี้นี่แหละ

             และที่ฉันโล่งใจได้ คือไม่มีปรายฟ้าอยู่ด้วย อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ฉันน่ะ กลัวปรายฟ้ามากที่สุดแล้ว ถ้าเห็นเธอคนนั้นขึ้นมา ความอ่อนแอมันก็ทะลักทุกทีเลย มันบอกให้ฉันรู้ว่าภูริชไม่ได้ใจดีกับฉันแค่คนเดียว แต่เขายังใจดีกับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะคนสวยอย่างปรายฟ้า

             “ฉันไม่อนุญาตให้เธอใส่ชุดว่ายน้ำนะดาหวัน” ภูริชบอกตอนที่เราแวะเข้าห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

                ฉันหัวเราะไม่ออกเมื่อเห็นภูริชทำหน้าจริงจัง อย่างฉันเนี่ยนะจะกล้าใส่ชุดว่ายน้ำ ภูริชมองหน้าฉันแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็หยิบเสื้อลำลองที่สวมใส่สบายเหมาะกับการเที่ยวเล่นแถวชายทะเลมาให้ ฉันก็รับมา มันดีกว่าการใส่ชุดว่ายน้ำเยอะเลยล่ะ ฉันไม่ได้สวยหุ่นดีเหมือนสาวๆ ข้างนอกด้วย ตัวเตี้ยซะขนาดนี้ ก็ยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมภูริชมาวอแวด้วย ทั้งที่คนอย่างเขาน่าจะหาผู้หญิงได้สวยกว่านี้

             “คิดอะไรอยู่ ไม่ชอบที่มีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอ พอเจอเพื่อนฉัน เธอก็หน้าเศร้าทันทีเลย” ภูริชดึงแก้มของฉันให้หันไปมอง

                เพิ่งเคยเห็นภูริชทำหน้ากังวลเป็นครั้งแรก ฉันเลยหลุดขำออกไป ซึ่งมันไม่ควรหัวเราะหรอกนะ แต่ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ เลยอดขำไม่ได้

                “หัวเราะอีก เดี๋ยวเถอะ!

                “ก็เปล่า แค่ไม่รู้จักใคร เลยกลัวว่าจะทำให้คนอื่นกร่อยซะเปล่าๆ

                “ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ฉันก็อยู่ด้วยนี่นา จริงมั้ย?” ภูริชให้กำลังใจ ฉันเองก็อยากจะเปลี่ยนตัวเองในทางที่ดีขึ้น ไม่อยากให้ทุกคนต้องหม่นหมองเพราะตัวฉัน

                แต่คำแรกที่พวกเธอทักทาย ทำให้ฉันอยากจะกระโดดลงจากเรือว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งไปซะ

             “นี่ใครอะภูริช แล้วไม่ชวนปรายฟ้ามาด้วยเหรอ

                นั่นไง พวกเธอรู้จักปรายฟ้าจริงๆ ด้วย ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ หน้าคงเสียจนภูริชเข้ามากอด

                “ก็ผู้หญิงร้ายที่ไม่ยอมให้ฉันเข้าห้องจนต้องไปเมาหัวราน้ำคืนก่อนโน้นไง หญิงร้าย แฟนฉันเอง” ภูริชยืนยันคำพูดของเขาด้วยการจูบแก้มฉันแรงๆ จนหน้าฉันร้อนไปหมด

             “โอ้ว สาวร้าย” เพื่อนๆ ของภูริชหัวเราะ ส่วนพวกสาวๆ ก็ยิ้มๆ ส่งให้ฉัน

                แต่แบบ ฉันอยากกลับไปนอนพักที่ห้องสบายๆ มากกว่า แต่ภูริชไม่ยอมให้ทำแบบนั้น เขาจับแขนฉันไว้และแนะนำให้กับทุกคนอย่างเป็นทางการ

                “นี่ดาหวันแฟนฉันเอง ยังไงก็ดีกับเธอด้วยนะ นี่น่ะ หัวใจของฉันเลย” ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่เขากลับลากฉันไปอยู่ใกล้ๆ ตอนที่เขาเป็รครบังคับเรือให้แล่นด้วยตัวเอง มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ ฉันยิ้มบ่อยโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะถูกดึงให้เข้ามาบังคับพวงมาลัยบังคับเรือซะเอง

                “ไม่เอานะภูริช ฉันกลัวว่าจะทำเรือคว่ำ!

                “ตรงนี้ไม่มีภูเขาน้ำแข็งแรงหรอกน่า ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ด้วยอยู่ด้านหลังเธอเลย” ภูริชเองก็หัวเราะด้วย เราสองคนสนุกกับการขับเรือจนกระทั่งมาถึงตรงที่ต้องจอดเรือแล้ว

                “สนุกใช่มั้ยล่ะ ดีกว่าต้องอุดอู้ในห้องตั้งเยอะแน่ะ” ภูริชบอก และเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นด้วยกับเขา และฉันได้หัวเราะอย่างสดใสกับเขาเป็นครั้งแรก หลังจากที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด คงเพราะรสใสอารมณ์ดีเหมือนกับพระอาทิตย์ล่ะมั้ง คนที่อยู่รอบข้างเลยสดใสตามไปด้วย

                เพื่อนของภูริชคนอื่นก็เริ่มสนุกกันบ้างแล้ว เมื่อจอดเรือเรียบร้อย ภูริชก็พาฉันไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นด้วย ฉันยังไม่รู้จักใคร ได้ทำความรู้จักกันสั้นๆ พวกผู้ชายดูเต็มใจที่จะผูกมิตร แต่กับสาวๆ นี่สิ พวกเธอเอาแต่ยิ้ม และเป็นยิ้มที่ผู้หญิงด้วยกันเองเข้าใจว่ามันหมายความยังไง

                ยิ่งเป็นเพื่อนกับปรายฟ้าแบบนี้ด้วย

             ฉันเลยไม่สนิทใจที่จะพูดคุยด้วย ภูริชเองก็เหมือนจะรู้ถึงความลำบากใจของฉัน เขาไม่ฝืนให้ฉันไปพูดคุยกับพวกนั้น บรรยากาศก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะพวกเธอก็ไม่ได้เข้ามาระรานอะไรนอกจากทางสายตา ฉันเองก็คิดว่าคงไม่ได้พวกเธอบ่อยๆ ก็พยายามไม่เก็บเอามาคิดมาก จนกระทั่ง

             “นี่ริชยังคบกับดาหวันอยู่เหรอ นึกว่าเลิกกันไปนานแล้ว” มีคนถาม ฉันก็หันไปมองหน้าภูริช รอดูว่าเขาจะตอบยังไง

                “ทำไมล่ะ คบไม่ได้เหรอ แล้วมีปัญหาอะไร” ภูริชรวนกลับไปเหมือนจะหาเรื่อง เขาเองก็เห็นว่าพวกเธอเอาแต่จ้องฉันแล้วซุบซิบกันมาตลอด นิสัยอีกอย่างของเขาก็คือเป็นคนพูดตรงๆ เวลามีเรื่องก็เลือกจะพูดตอนนั้นเวลานั้นเลย

                “ก็เปล่า แต่ว่าแทบไม่เห็นสองคนอยู่ด้วยกันเลยนี่” คนถามอึกอักหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่นั่นก็จริงนะ เพราะเราแทบไม่ได้เจอ ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่เจอกันแล้วมากกว่า

                “เวลาจะไปไหนอยู่กับใครหรือคบใครอยู่จำเป็นด้วยเหรอต้องบอกคนอื่น นี่ชีวิตฉันกับดาหวัน คงไม่จำเป็นต้องสาธยายให้ใครฟังหรอกมั้ง พอภูริชพูดไปแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าแย้งอะไรอีก ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูกจะยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ แต่เขาฉวยออกจากมือไปได้ซะก่อน

                “ขอร้อง อย่าแตะแอลกอฮอล์อีก” เขาบอกฉันเลยยิ้มไม่เข้าใจอยู่ดีกว่ามันหมายความว่ายังไง

                พวกผู้หญิงเงียบไป แต่พวกผู้ชายยังครึกครื้นเฮฮาได้อยู่ พวกเขาคงไม่ได้คิดมากอะไร เมื่อถามมาภูริชก็ตอบกลับไป ถึงจะออกรวนๆ ไปหน่อยก็เถอะ ส่วนฉันก็เหมือนจะนั่งไม่ติดที่อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จะหลบไปไหนก็ไม่ได้ ยิ่งตอนที่เข้าห้องน้ำก็ระแวงไปหมด

                แล้วสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อตอนออกมาจากห้องน้ำแล้วเจอพวกเธอดักไว้ ทำให้เดินหนีไม่ได้ แถมยังถูกผลักแรงๆ จนหลังเซติดผนังอีก ฉันนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ

                “หน้าอย่างแกนี่น่าหมั่นไส้จริงๆ นะ ถามหน่อย มองตัวเองในกระจกมั่งป่ะ เลิกกับภูริชได้แล้วมั้ง ตื้อเขาอยู่ได้”

                “ขอทาง” ฉันไม่อยากฟัง เบี่ยงตัวหนีแล้วก็เผลอไปผลักคนหนึ่งเข้า แล้วตกใจเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นเงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบ

                “เฮ้ยแก อย่าทำหน้ามันเป็นรอยเดี๋ยวริชรู้” อีกคนแย้ง คนที่จะตบฉันก็ลดมือลง ก่อนถลกแขนเสื้อของฉันขึ้นตอนที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันถูกเล็บจิกลงตามท่อนแขนจนเจ็บไปหมด เธอเริ่มทำร้ายฉันใต้ร่มผ้าแล้วมองหน้าฉันอย่างเกลียดชัง

                “ถ้าไม่อยากไร้ที่ยืนเหมือนตอนมอปลายก็เลิกกับภูริชซะ ผู้หญิงแบบเธอไม่เหมาะสำหรับเขาหรอก เขาไม่ได้รักเธอ เขาแค่พนันกับเพื่อนจะเอาจิ้นเธอเท่านั้นแหละ นังโง่

                เมื่อทนไม่ไหวก็ไม่รู้ว่าอะไรมันเข้าสิง ฉันโกรธที่ถูกทำร้ายและต่อว่าเจ็บๆ ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน รู้ตัวอีกทีคนที่จิกแขนฉันก็ล้มลงไปที่พื้นแล้ว หลังจากที่ฉันซัดหมัดเข้าใส่สุดแรง ท่ามกลางเสียงวี้ดว้ายดังลั่น

                “เลือดกำเดาแกไหลเลย!

                แก อีดาหวัน ก็ดี ริชจะได้รู้ว่าแกไม่ใช่คนอย่างที่เขาคิด!



    [1] สไกป์ (Skype) โปรแกรมสำหรับคุยโทรศัพท์ คุยแบบวิดีโอ หรือส่งข้อความผ่านอินเทอร์เน็ต สไกป์เป็นที่นิยมเนื่องจากมีคุณภาพเสียงชัดเจนและไม่เสียค่าใช้จ่าย ถ้าใช้คุยกันผ่านทางคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สไกป์สามารถโทรเข้าโทรศัพท์อื่นได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมผ่านทางสไกป์เอาต์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับรับโทรศัพท์จากโทรศัพท์ทั่วไป และรับฝากข้อความได้

    [2] สตอล์กเกอร์ (Stalker) คือ ผู้คุกคามทางอินเทอร์เน็ตและติดตามมาถึงชีวิตจริง ถือเป็นโรคจิตประสาทและอาชญากรรมอย่างหนึ่ง

    [3] คู่นอนคืนเดียว หรือ วันไนต์สแตนด์ (one-night stand) แต่เดิมใช้หมายถึง การแสดงที่เล่นเพียงคืนเดียว โดยมากใช้กับกลุ่มรับเชิญในการออกทัวร์ แต่อย่างไรก็ตามคำนี้ มีความหมายที่เข้าใจกันว่า เป็น คู่นอนคืนเดียว ระหว่างคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นเกิดความสัมพันธ์ในฉับพลัน หรือคาดว่าอาจเกิดความสัมพันธ์ทางเพศหรือด้านความรักในระยะยาวในภายภาคหน้า

    [4] วอดก้า (Vodka) เป็นสุรากลั่นไม่มีสี มันเป็นของเหลวใสเกือบทั้งหมดเป็นน้ำและเอทานอลซึ่งถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ เป็นที่นิยมดื่มในหลายแห่งทั่วโลก โดยใช้เป็นส่วนผสมในค็อกเทล

    [5] มหัศจรรย์อารมณ์อลเวง (Inside Out) เป็นหนังภาพยนตร์การ์ตูนที่สื่อถึงความรู้สึกต่างๆ ในหัวสมองของแต่ละคน มีตัวละครอารมณ์หลักๆ หลายตัว เช่น ลั้ลลา เศร้าซึม ฉุนเฉียว หยะแหยง และ กลั๊วกลัว บอกเล่าอารมณ์ของไรลีย์ แอนเดอสัน จากในหัว


     

     ตอนนี้ในแอพ dek-d ดูเหมือนว่าจะไม่แจ้งเตือนอัปเดตนิยายนะคะ

    ไม่พลาดการแจ้งเตือน รบกวนกดไลค์และเห็นโพสก่อน(see first)ที่แฟนเพจตามนี้เลยนะคะ

    จะได้ไม่พลาดการอัปนิยายค่ะ กดที่รูปได้เลย




    ตอนนี้ #Puurit`s Eyes จบที่หัวใจ เริ่มใหม่เพื่อรักเธอ (ภูริช ดาหวัน)

    เปิดพรีออเดอร์ให้จับจองก่อนแล้วค่ะ มู่ฝากไว้ด้วยนะคะ

    โอนเงิน 300 บาท / หรือ 350 สำหรับการส่งแบบ ems

    เข้าบัญชี กสิกรไทย ชื่อบัญชี น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์

    หมายเลขบัญชี 037-3-75509-5

    แล้วแจ้งโอนมาที่  meejairak.publisher@gmail.com คลิกเลยค่ะ

    หรือที่  https://m.me/meejairakpublishing

    แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตอบกลับ เท่านี้ก็รอรับหนังสือที่บ้านได้เลย

    จัดส่งหนังสือ 6/08/62

    มู่ขอขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รักทุกคนเลยค่ะ imageimage


    http://i.imgur.com/s1BJS6a.jpg
    http://i.imgur.com/DMKaR0e.jpg




     

    Talk 1...

    Song :: Ariana Grande - Why Try

    อดีตของดาหวันก็น่าสงสารเหมือนกันเนอะ

    ริชช่างแสนดีกับคนอื่นไปทั่ว จนไม่รู้ว่าทำร้ายคนใกล้ตัว

    เรื่องของชะเอมก็ทีนึงแล้ว ใจดีจนทำให้เกือบเลิกกับอีเดมอน

    มาตอนนี้ความดีของริชจะทำให้ดาหวันเสียใจอีกไหม

    ปล การถอดเสื้อเมียเนี่ย ครีเอทดีเนอะ อ๊างงงง
     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×