ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #43 : Puurit`s Eyes ☔ Re-write Ver. Ep.02

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 30.09K
      187
      18 ก.ค. 62


    ยอมแล้วทูนหัว อย่ายั่วนักเลย




    Puurit’s Eyes 02

    Call Me If You Need a Fix

     

             “ตอนแรกว่าจะรอหรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ดาหวัน มาเป็นเมียฉันซะดีๆ เถอะ”

                ฉันแทบจะร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง แต่เสียงมันหายไปตอนไหนไม่รู้ รีบยกมือกันริมฝีปากของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะถูกจูบ

             ถ้าเขาจูบฉัน เชื่อเถอะ ฉันเสร็จเขาแน่

                “อย่านะ อย่าทำแบบนี้นะภูริช เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนะ” ด้วยความกลัวทำให้ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงไม่รู้ว่ามาจากไหน ฉันยันร่างของเขาเอาไว้ได้อย่างน่าตกใจ แต่ภูริชก็ยังแข็งแรงมากกว่าฉันอยู่ดี เขาพยายามจะปล้ำฉันให้ได้ สุดท้ายฉันก็เผลอผลักเขากระเด็นเพราะเคยเรียนยูโด[1]มาก่อน

                “ริช!” ฉันอุทาน ผวาตามไปดู แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นภูริชนอนหงายอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ มองมาด้วยสายตาเหลือเชื่อ

             “โอ๊ย!” แล้วเขาก็ครางเสียงดังลั่น ดูเหมือนว่ามันช้าซะจนน่าแปลกใจ ภูริชน่าจะครางเสียงดังตั้งแต่ที่ถูกฉันทุ่มลงกับพื้นแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ก็เอาเถอะ ตอนแรกเขาน่าจะตกใจจนลืมเจ็บก็ได้ เห็นแบบนั้นฉันก็รีบลงจากเตียงช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้น ระวังช่วงคอเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นเรื่องน่ากลัวกว่านี้ก็ได้

             “นี่เธอ” ภูริชกุมต้นคอเอาไว้ สีหน้าตื่นกลัวของเขาทำให้แวบหนึ่งฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเอง

                เขาคงคิดว่าฉันเป็นลูกไก่น้อยในกำมือมาตลอดสินะ เวลาผ่านไปหลายปี เขาคิดว่าฉันจะไม่เปลี่ยนไปเลยหรือไงกัน

             “ยูโด” ฉันบอก หน้าสลดลงนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าภูริชเจ็บจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ

             “ยูโดเธอไม่ได้เรียนไม่ใช่เหรอ ก็ไหนบอกว่า ไม่ว่าจะเทนนิสหรือว่ายน้ำก็ไม่อยากเรียนแล้วนี่!” เขาถามด้วยความสงสัย เหมือนใบหน้าของเขามีตัวอักษรแปะบอกเอาไว้ว่ากำลังรู้สึกยังไงอยู่

                ตอนเรียนไฮสคูลด้วยกัน เมื่อก่อนฉันเข้าชมรมเทนนิสก่อน แต่พอภูริชเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตส่วนตัว หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็นแฟนเพื่อนร่วมชมรมก็ออกอาการไม่ค่อยพอใจ สุดท้ายก็ถูกแบนอย่างงงๆ ฉันเลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับเขา และได้ข้อสรุปใหม่ว่าควรจะย้ายชมรมน่าจะดีที่สุด ชมรมว่ายน้ำเป็นตัวเลือกที่ฉันสนใจ

                แต่มันก็เหมือนเดิม พวกผู้หญิงในโรงเรียนมักจะรู้ว่าใครเป็นดาวเด่นสมัยเรียน และภูริชเองก็อยู่ในลิตส์นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะชมรมไหนๆ ก็มีผู้หญิงสวยๆ ที่รู้จักภูริชเสมอ ไม่ว่าจะชมรมเทนนิสหรือว่ายน้ำ พวกผู้หญิงมักจะมองมาด้วยสายตาเย้ยหยันไม่พอใจ ฉันไม่ฉลาดก็จริง แต่ก็ไม่ได้โง่ว่าทุกอย่างเป็นเพราะภูริช

             ฉันรู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ไป และเลือกจะย้ายชมรมอีกครั้ง และยูโดก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วหลังจากนั้น

                คนในชมรมนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องความดังของหนุ่มสาวจากโรงเรียนเดียวกันเท่าไหร่นัก พวกเขามาเพื่อเล่นกีฬาที่สนใจกันจริงๆ และจริงจังกันมาก อีกอย่างยูโดก็สนุกมาก ได้ปลดปล่อยอารมณ์ลึกๆ ในใจ ฉันเลยเรียนมาตลอดจนจบไฮสคูล แล้วก็นั่นแหละ ฉันทำเขากระเด็นได้ น่ากลัวใช่ไหม

                “ฉันลงเรียนยูโด

                “ยูโด!?” ภูริชทำหน้าตกใจอย่างรุนแรง ราวกับไม่เชื่อวาฉันจะเรียนวิชานี้จริงๆ

                “ฉันอุตส่าห์เลือกให้เธอเรียนวิชาคุณหนู” เขาเงียบไปก่อนจะทันพูดจบประโยค ฉันกำลังจะถามแต่เขาแกล้งทำเป็นครางโอดโอยซะก่อน

                “ฉันเจ็บ!

     

    Puurit`s talking…

             บ้าที่สุด บ้าที่สุด ผู้หญิงตัวเล็กนุ่มนิ่มเหมือนแมวน้ำตัวน้อยเรียนวิชาป้องกันตัวยูโดมา!

             เชื่อไหมว่ามันผิดแผนทุกอย่างที่ผมได้วางเอาไว้ หลังจากที่เลิกราจากกันอย่างงุนงงไม่เข้าใจ ผมก็ยอมที่จะเลือกยอมทำตามที่เธอขอทุกอย่างแล้วห่างกัน แต่ก่อนที่เราจะเรียนจบและยังอยู่ด้วยกัน ผมก็วางหมากให้เธอเดินตามเส้นทางที่ผมเลือกเอาไว้ มันก็ไม่เลวหรอกนะ จนมารู้ตอนนี้นี่แหละ

                ตอนแรกดาหวันอยู่ชมรมเทนนิส แต่ถูกแกล้ง ผมเลยแนะนำให้เธอเปลี่ยนชมรม

                โรงเรียนของเราไม่เคร่งเรื่องชมรม ใครสมัครใจจะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่มีใครบังคับ ดาหวันเองก็ไม่ได้มีเพื่อนมากอยู่แล้ว พอเธอมาปรึกษาว่าเข้ากับเพื่อนในชมรมไม่ค่อยได้ แล้วก็ใกล้กับเวลาที่ต้องไปพักเก็บตัวกับชมรมถึงสองอาทิตย์ ผมก็แนะนำให้เธอเลือกที่จะออกจากชมรมแทนที่จะทนอยู่

                แน่นอนว่าว่ายน้ำเป็นชมรมที่ผมเลือกให้เธอด้วยตัวเอง

             ผมอยู่ชมรมรักบี้ที่เล่นกันหนักหน่วงรุนแรง เป็นกีฬาที่ชื่นชอบมานานแล้ว เพราะกีฬานี้แหละที่ทำให้ได้เจอกับดาหวัน เพราะสนามอยู่ใกล้กัน แต่สาวๆ ชมรมเทนนิสนั้นจะเหมือนคุณหนูหน่อยๆ แล้วดาหวันก็เงียบเสียยิ่งกว่าเงียบ ผมเลยสนใจ ไม่เคยมีใครเมินผมแบบนี้มาก่อน นั่นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของเราทั้งสองคน

             หลังจากที่คบกันได้ระยะหนึ่ง ดาหวันก็มีปัญหากับชมรม ผมให้เธอเลือกออกจากชมรมเลยไม่ต้องเข้าทำกิจกรรมอีกแล้ว เพราะเกรดสุดท้ายของไฮสคูล เด็กส่วนมากจะเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นสามารถยุติการทำกิจกรรมชมรมได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

                ที่เลือกชมรมว่ายน้ำ เป็นเพราะสระสำหรับชายหญิงนั้นแยกกันเป็นสัดส่วนไม่ปะปนกัน

                แฟนของผม ผมก็ต้องหวงสิเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ชมรมว่ายน้ำเลยเป็นอะไรที่เข้าทางมาก ต่อมาดาหวันก็มาคุยเรื่องนี้อีก ผมเลยให้เธอลาออกไปซะ ไม่มีความจำเป็นอะไรนี่ จริงไหมล่ะ

             แล้วสิ่งที่ผมมารู้เอาตอนนี้ คือ เธอ-เข้า-ชม-รม-ยู-โด! บ้าบอคอแตก!

             “ฉันเจ็บมาก แต่ยังปล้ำเธอได้อยู่ จะเอาไง” ผมถามอย่างเอาเรื่อง ดาหวันหันมองเหมือนจะถามว่า แล้วจะให้เธอทำยังไม่รู้ไม่สน ไม่คิดอะไรทั้งนั้น หงุดหงิดเว้ย

                “ลองดูไหมล่ะ ว่าฉันยังปล้ำเธอได้มั้ย?” ผมขู่แล้วเอนตัวเข้าไปใกล้ๆ พอเธอเงื้อมือผมก็มีเอฟเฟ็กต์ทันที

                “โอ๊ย!

                ดาหวันตกใจมาก เธอลดมือลง ตาเบิกโพลงตัวแข็งทื่อในอ้อมแขนของผม เธอไม่กล้าทำร้ายร่างกายของผม ไม่อย่างแน่นอน ที่ไม่ขัดขืนแม้ว่าผมจะแกล้งมากขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะว่า ครั้งหนึ่งที่ผมใช้ร่างกายรับร่างของเธอตอนที่จะตกลงจากบันได

                นับตั้งแต่นั้นมาดาหวันก็กลัวและอ่อนไหวเสมอเมื่อมันเกี่ยวกับร่างกายของผม คล้ายกับฝันร้ายที่เอาแต่ฝันเรื่องเดิมๆ จนฝังใจนั่นแหละ

                “ฉันโกรธว่ะ พูดไม่รู้เรื่องเลยเหรอวะ”

                “ก็เรา” เธอทำหน้างงๆ จะร้องไห้น่ารักน่าแกล้งซะไม่มี

                “เราอะไร” ผมก้มหน้าเข้าไปชิด อาศัยตอนที่ดาหวันกำลังสับสนตื่นกลัว ปลดกระดุมเสื้อของเธอออกไม่ให้รู้ตัว

                “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” เสียงของดาหวันเบาหวิว และนั่นทำให้ผมจี๊ดในใจไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละ ห่างกันไปเกือบสี่ปี มันก็ไม่แปลกที่เธอจะพูดแบบนี้

                “เธอบอกเลิกฉันตอนไหนวะ” ผมถามอย่างเอาเรื่อง แกล้งทำเป็นโกรธ เพื่อจะให้ดาหวันหัวหมุนจนทำอะไรไม่ถูก มันได้ผลนะ เธอจะร้องไห้ ดูสับสนแล้วก็กลัวๆ จนไม่เป็นตัวของตัวเอง

                “เธอบอกเลิกฉันเหรอ” ผมถามอีกครั้ง เพราะเธออึกอักยังไม่ยอมตอบคำถาม

                “ปละ เปล่า” สุดท้ายเธอก็พูดออกมา แน่ล่ะว่าเธอไม่ได้เป็นคนบอกเลิกจากปากของเธอ ผมเองก็เหมือนกัน

                “แล้วฉันได้บอกเธอมั้ย ว่าฉันขอเลิกกับเธอ” เป็นอีกคำถาม ที่ผมรุกเข้าไป ดาหวันกลืนน้ำลายเม้มปากเลียปากที่แห้งกรังหลายครั้ง ร่างกายของเธอร้อนผ่าวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ริมฝีปากเริ่มแห้งผาก แต่มันก็ดูนุ่มชุ่มชื้นขึ้น เมื่อเธอเลียมันด้วยลิ้นเล็กๆ

                ให้ตาย ผมอยากให้เธอเลียผมบ้าง

             “อะไรนะ!” ดาหวันเริ่มดิ้น เธอกลืนน้ำลายเป็นพัลวัน น้ำตาเริ่มคลอจนผมต้องใช้แรงกอดเอาไว้แน่น ไม่งั้นแม่ยูโดสาวหลุดจากแขนแน่

                “อะไร ฉันถามเธอไม่ใช่เหรอ ว่าฉันเคยพูดบอกเลิกหรือขอเลิกเธอมั้ย?” ผมถามกลับ แต่ดาหวันส่ายหน้า จนได้กลิ่นอายหอมละมุนบางเบาที่คุ้นเคยลอยฟุ้งออกมาจากร่างกายที่บอบบางนุ่มนิ่มของเธอ

             “แล้วอะไร” ผมถามอย่างสงสัย ไม่สามารถดึงสายตาออกมาจากดวงตา แก้มใสที่ขึ้นสีเลือดระเรื่อ รวมไปถึงริมฝีปากที่แสนอ่อนนุ่มนั่นด้วย

                “นายบอกให้ฉันเลียนาย!” เธอพูดอย่างตื่นตระหนก ผมเลยหัวเราะร่วน อ้าวเมื่อกี้ผมไม่ได้แค่คิดไปหรอกเหรอ

                “งั้นช่างเรื่องเลียไม่เลียไปก่อน เอาเป็นว่าตอบคำถามมาก่อน ว่าฉันเคยบอกตอนไหน ว่าฉันบอกเลิกเธอ” วงแขนของผมกอดรัดเธอเอาไว้แน่น และจะแน่นขึ้นไปอีกถ้าเธอยังไม่ยอมตอบคำถาม

                ” เธอไม่ได้ตอบแต่ส่ายหน้า ผมเลยยิ้มกว้าง

                “แล้วเราเลิกกันตอนไหนในเมื่อเราไม่ได้บอกเลิกกัน” ผมบอก ดาหวันเลยเบิกตากว้างเสียยิ่งกว่ากว้างจนผมหัวเราะ

                “ใช่มั้ย เราเลิกกันตอนไหน”

                ผมชอบเวลาที่เธอเลิ่กลั่กทำตัวน่าสงสารและน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนไหนที่ผ่านมา และไม่มีใครจะเข้ามาแทนที่ได้

                “งั้นอย่าถามอีก ว่าทำไมฉันอยู่กับเธอไม่ได้ หรือทำไมเราถึงยังอยู่ด้วยกัน ในเมื่อเราเป็นแฟนกัน

                ดาหวันกลอกตาไปมา พอเราสบตากันเธอก็มักจะหันไปมองที่อื่นไม่กล้าจะมองตากันนานๆ ผมเลยเอื้อมมือจับหน้าของเธอเอาไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหนได้อีก

                “เรายังคบกันอยู่ และฉันมีสิทธิ์ในตัวของเธอทุกประการดาหวัน” ผมทำท่าจะจูบ แต่เธอเบี่ยงหน้าหลบจนทำแบบนั้นไม่ได้ รู้ไหมว่ามันทำให้หงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้มากมาย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ผมได้เธออยู่ในอ้อมแขนแล้ว

                “มีอะไร” ผมถาม ถึงแม้ว่าจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ผมก็ต้องประกาศให้เธอเข้าใจชัดเจน ว่าเธอยังเป็นของผมเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายปีก่อน และจะไม่มีทางเปลี่ยนไปอย่างเด็ดขาด

             “แต่นายมีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เธอถามเสียงสั่นๆ มองไปทางอื่นราวกับไม่อยากให้ผมเห็นความอ่อนแอจากสายตาของเธอ

                “ผู้หญิง ใครวะ อ้อ

                พอครางออกมาได้คำเดียว ผมก็หน้าหงายเพราะดาหวันยกมือยันหน้าผมเอาไว้สุดแขน เกือบจะทำเธอหลุดออกจากอ้อมแขนแล้ว แต่ตั้งหลักทัน ลงมือเล่นงานจูบกลางฝ่ามือและเลียมันเบาๆ เธอเลยชักมือออก ทำหน้าหลายอย่างในเวลาเดียวจนผมนึกอยากจะแกล้งให้หนักมือเข้าไปอีก

                “ให้ฉันจูบสิ แล้วฉันจะบอกเธอว่าใครคือผู้หญิงคนนั้น

    End Puurit talk…

     

             ฉันเกลียดภูริช เกลียดทุกอย่างที่เขาทำและแกล้งฉันตลอดเวลา แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมยัยดาหวันถึงได้โง่นัก ฉันปล่อยให้เขากอดจูบอยู่นาน เขาทิ้งรอยเอาไว้มากมายตรงหน้าอก ต้นคอ และท่อนแขนของฉันจนมันแดงจ้ำหลายที่ ตอนแรกก็กลัวหรอกว่าจะถูกปล้ำทำเมีย บ้าเอ๊ย! นั่นแหละ ก็อย่างที่เขาขู่ไว้ ฉันกลัวแต่ก็ผ่านได้

                ภูริชคงเจ็บที่ถูกทุ่มลงกับพื้น เพราะงั้นหลังจากที่เขาจูบจนพอใจแล้วเราก็ออกมาจากห้องพักด้วยกัน แต่มันใช้เวลานานพอดู จนฉันไม่แน่ใจว่าเพื่อนๆ ของเขาจะเข้าใจไปในทางไหน

                “ใส่เสื้อซะ” อากาศเย็นลงมากแล้ว ภูริชพาฉันออกมาจากคลับแล้วมาดูการแสดงดนตรีข้างนอกแทน

                ฉันไม่กล้าสบตากับใครก้มหน้าก้มตาแล้วลูบแขนไปมา ใครจะไปคิดล่ะ ว่าเขาจะพาฉันออกมาไกลขนาดนี้ แล้วก็ดึกมากแล้วด้วย

                “สำเร็จมั้ยวะ” เพื่อนของเขาเข้ามากระซิบกระซาบแล้วพากันหัวเราะ

                มันเป็นแบบนี้แล้วทำให้ฉันไม่ค่อยสบายใจเลย ฉันหน้าเสีย กลัว ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานเกินไป และภูริชเองก็พูดทุกอย่างได้อย่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ เมื่อเขาดุเพื่อน

                “ไม่สำเร็จ กูไปเคลียร์กับเมียเฉยๆ!” ตอนแรกก็คิดว่าจะดีหรอก แต่พอฟังอีกแล้วให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบ

                ภูริชถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกมาแล้วสวมทับบนตัวของฉัน จัดการรูดซิปขึ้นแต่ฉันยังไม่ได้สอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อเลย แล้วเขาก็แกล้งด้วยการดึงเอาแขนเสื้อไปมัดกันเอาไว้จนฉันขยับแขนไม่ได้ กลายเป็นหมอนข้างไปโดยปริยาย

             “เนาะ เราคุยกันแล้วใช่มั้ย ดาหวัน” ภูริชยิ้มให้ฉัน แล้วโน้มหน้าเข้ามาชิด ฉวยขโมยจูบตอนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

                ฉันอายมาก จะทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะถูกมัดจนแน่น ปล่อยให้ภูริชซ้อนหลังเข้ามากอดเอาไว้จากทางด้านหลังแล้วพาฉันโยกไปมากับจังหวะเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ตอนนี้

                เพราะอายมากที่ถูกภูริชกอดเอาไว้ ทำให้ฉันมึนๆ เบลอๆ ตลอดเวลา รู้ตัวอีกทีก็ถูกกอดคอด้วยท่อนแขนหนักๆ ของภูริช แล้วลากไปทางหนึ่ง สายตาของฉันพร่าเบลอ เมื่อหลุดเข้ามาอยู่ในกลุ่มหนุ่มหล่อมากมายที่ไม่เคยเจอ พวกเขามีกลิ่นอายคล้ายกับภูริช ก็อย่างที่ใครพูดกันไว้ ว่าคนนิสัยเหมือนๆ กันมักจะอยู่ด้วยกันได้

             “เฮ้ย เดมอน[2] ช่วยบอกฉันหน่อยสิ ว่าตอนนี้ชะเอมเป็นยังไงบ้าง” ภูริชลากฉันไปหยุดต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่งที่ดูดีมากและหน้าตาดีจนน่ากลัว ดวงตาของเขาคมเฉี่ยวเหมือนกับเหยี่ยวตัวใหญ่ แถมยังตัวสูงมากด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเขาเป็นคนหน้าตาดีอย่างหาตัวจับได้ยาก

             “อะไรนะชะเอมเหรอ” ผู้ชายที่ชื่อเดมอนถามกลับ ก่อนที่เขาจะหลุบตาลงมองฉัน สายตาน่ากลัวนั่นทำให้ฉันก้มหน้ามองพื้นอีกที

             “ชะเอมหลับแล้วมั้ง ชะเอมเป็นเมียฉัน ถ้าเธออยากถามถึงชะเอมล่ะก็” เขายิ้มให้ ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงยอมเชื่อง่ายๆ ทั้งที่เขาอาจจะโกหกก็ได้ มันน่าแปลก ที่พวกเขาดูไม่ลังเลที่จะพูดอะไรสักอย่าง และมันดูมั่นคงมั่นใจ เพราะอย่างนั้นฉันเลยยอมเชื่อได้อย่างง่ายดาย

                “นี่เมียมึงเหรอ แล้วเอาพวกถุงยางนั้นไปใช้บ้างรึยัง” เดมอนหันไปคุยกับภูริช ส่วนฉันก็กำลังหาทางขุดพื้นดินอยู่ แล้วหนีไปซะ

                ทั้งสองหัวเราะและดูสนิทกันมาก ฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อน เขาคงเป็นเพื่อนกลุ่มใหม่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยอะไรทำนองนั้นฉันค่อยๆ แกะแขนเสื้อที่มัดพันรอบตัวออกจนได้แล้วปลดซิปลงนิดหน่อย มองดูกลุ่มผู้ชายที่จับกลุ่มคุยกัน พวกเขาดูสนิทกันดี มีแต่ฉันที่แปลกแยกอยู่คนเดียว

                ภูริชดูสว่างไสวไม่ต่างจากแสงไฟ ฉันก็มืดหม่นหมองเป็นเงามืด แตกต่างจากภูริชลิบลับ ไม่นานเขาก็กลับมา และส่งยิ้มให้กับฉัน

                “ถอดเสื้อทำไม มันเย็นนะ” ภูริชดุเมื่อมาถึงฉันแล้ว

                คนอื่นๆ ทยอยขึ้นรถแล้วขับออกไป คงหมดเวลารวมตัวกันแล้วอะไรทำนองนั้น

             ฉันรวบรวมความกล้าแล้วส่งยิ้มให้กับภูริชพร้อมกับส่งเสื้อคืนให้เขาไปด้วย ภูริชทำหน้างงแต่ก็ยอมรับมันไปแต่โดยดี

                “มีอะไรงั้นเหรอ” เขาถาม แล้วรอยยิ้มก็หายไปกับคำพูดของฉัน

                “ภูริชฉันไม่อยากอยู่กับนายน่ะ อย่ายุ่งกับฉันเลยนะ ถ้านายอยากให้มันชัดเจนล่ะก็เราเลิกกันเถอะ”

     

             ภูริชเริ่มหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล เขามองหน้าฉัน แต่ฉันก็ยังทำเป็นนิ่งเหมือนยืนยันในสิ่งที่ได้พูดบอกออกไปก่อนหน้านี้

                “ไม่ขำนะดาหวัน” เขาทำหน้านิ่งและเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

                “มันก็ไม่ได้ขำจริงๆ นั่นแหละ” ฉันบอก ขยับตัวอย่างอึดอัดไม่รู้จะทำยังไงให้ทุกคนพอใจได้ในเวลาเดียวกันเหมือนกัน มันยาก และฉันไม่อยากให้เราเจอกับเรื่องที่น่าหงุดหงิดแบบนี้อีกแล้วจริงๆ

             “ฉันไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายยุ่งยากอีกแล้ว ฉันไม่อยากเจ็บแบบนี้แล้วจริงๆ”

                “อยู่กับฉันแล้วเธอเจ็บงั้นเหรอ” ภูริชนิ่งไป เขาถอนหายใจพร้อมกับกอดอกจ้องหน้าฉันไม่ละสายตา

                “เธอนี่โง่ว่ะ โอเค สรุปว่าอยากเลิกกันมาตั้งนานแล้วใช่มั้ย?” สายตาของเขาน่ากลัวขึ้นจนฉันหวั่นใจ แต่ถ้าไม่พูดออกไปตามตรงตอนนี้ ไม่ว่ายังไงเรื่องมันก็จะจบลงเหมือนเดิม ฉันกลัวที่ต้องเสียใจอีก

                ใช่ ฉันมันคนขี้ขลาดเห็นแก่ตัว แต่เรื่องพวกนั้นมันก็ยากลำบากเหมือนกันกว่าที่จะผ่านมันมาได้ ดังนั้นฉันเลยไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบหนอนผีเสื้ออีกแล้ว

             “งั้นฉันก็ทุเรศงี่เง่าที่โผล่เข้ามาไม่เข้าท่าใช่มั้ย ถ้าวันนั้นฉันไม่เข้าไปหาเธอ เธอคงแค่ตากฝน เป็นไข้ เท่านั้น แต่ตอนนี้กลับต้องมาปวดใจ ใช่มั้ย?

                ฉันไม่ตอบคำถามตามเดิม หลายคนอาจจะบอกว่าฉันโง่ที่ทิ้งผู้ชายอย่างภูริชไป แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมมากกว่า ไม่อยากจะต้องเจ็บปวดเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันมากพอที่ฉันจะทนไหวแล้ว

             “ก็ได้” เขายอมถอยพร้อมทำหน้าไม่พอใจส่งมาให้

                “แต่นี่มันก็ดึกมากแล้ว เธอจะทำยังไง จะกลับยังไง ถ้าไม่ให้ฉันไปส่ง เธอไม่ได้พูดหรอก แต่ฉันแน่ใจว่าเธอคงไม่อยากให้ฉันไปส่ง จริงมั้ย?

                ฉันไม่แน่ใจว่าภูริชประชดไหม แต่น้ำเสียงและแววตาของเขามันบอกแบบนั้นและชัดจนน่ากลัว

                “เดมอน!” ภูริชตะโกนเรียกเพื่อนของเขา ผู้ชายที่ชื่อเดมอนก็ขยับตัวพลางเดินเข้ามาใกล้เราสองคน

                “ไปส่งผู้หญิงคนนี้ด้วยนะ ขอบคุณ”

                “เฮ้ย ไรวะ!” เดมอนถามอย่างสงสัย เมื่อภูริชเดินหนีไปทันทีที่เขาพูดจบ

                “แฟนเธอเป็นอะไรน่ะ” เมื่อไม่ได้คำตอบจากภูริช เดมอนก็หันมาคุยกับฉันแทน ฉันยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบเขาไป

                “ฉันไม่ได้เป็นแฟนเขา” ฉันบอก ส่วนเดมอนก็เบิกตากว้าง เขาเริ่มไม่ยิ้มแล้วก็ถอนหายใจ

                “ทะเลาะกันล่ะสิท่า” เขาว่า ฉันเลยพยักหน้าให้ ก่อนจะอธิบายอีกคำหนึ่ง เพื่อไม่ให้ใครต้องเข้าใจผิดอีก

                “ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาจริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” ไม่ว่าจะพยายามอธิบายยังไง แต่สายตาของเดมอนก็เหมือนจะบอกว่า งั้นเหรอ แล้วไง?’ แบบนั้นตลอดจนต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง

                “ตามมา จะพากลับไปส่งบ้าน” เดมอนถอนหายใจแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มันช่วยทำให้ฉันสบายใจขึ้นได้เล็กน้อย เพราะกลิ่นอายและท่าทีของเขาคนนี้ก็ไม่ต่างจากภูริชเท่าไหร่เลย ฉันกลัว กลัวว่าต้องกลับไปอยู่วังวนความเจ็บปวดพวกนั้นอีก

                “บ้านอยู่ตรงไหนล่ะ จะได้ไปส่ง” เขาถาม เมื่อเราขึ้นมานั่งบนรถกันแล้ว

                ตอนแรกฉันก็อยากจะบอกปฏิเสธไปว่ากลับบ้านเองได้ แต่ว่าสีหน้าน่ากลัวของเดมอนทำให้พูดบอกแบบนั้นไม่ได้

                “อยู่แถวๆ” ฉันบอกไป เดมอนก็ขมวดคิ้วทันที

                “เอ๊ะ ตรงนั้นมัน

                เขาหยุดพูดไปซะเฉยๆ ฉันเลยไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะบอกอะไรกันแน่ พอเดมอนเงียบไป ฉันก็เงียบไปบ้างไม่ได้พูดอะไรอีกจนกระทั่งเขาขับมาส่งถึงที่คอนโด ฉันบอกขอบคุณเขาที่น้ำใจมาส่ง จากตอนแรกที่กลัวเหมือนกันว่าจะถูกแกล้งอีกหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ฉันกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัย

             “ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง” ฉันเกือบจะยกมือไหว้เดมอนแล้ว แต่คิดทัน รู้สึกว่าสมองมันเบลอไปหมดจนนึกคิดอะไรไม่ค่อยออก

                “อย่าขอบคุณฉันเลย ต้องไปขอบคุณไอ้ภูริชมันต่างหาก ถ้ามันไม่ขอให้ฉันมาส่ง ฉันก็ไม่มาส่งเธอหรอกนะ มันดีกับชะเอมกับฉันมาก่อน ฉันเลยต้องมาส่งเธอตามที่มันขอ” เดมอนตอบ

                ฉันไม่ค่อยเข้าใจอะไรอยู่ดี เดมอนคงไม่อยากมาส่งฉันตามที่เขาพูด และภูริชคงเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับทั้งเขาและผู้หญิงที่ชื่อชะเอมแน่เรื่องนี้ฉันรู้อยู่แล้ว เพราะภูริชเป็นแบบนั้นเสมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

                “อ้อ ฉันขอเตือนอะไรอีกอย่างนึง” เขาบอกตอนที่ฉันกำลังจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ฉันเลยหันไปมองพร้อมกับจับประตูเอาไว้

                “เธอต้องเสียใจแน่ที่ทำแบบนี้กับไอ้ภูริชมัน ไม่รู้เหรอว่ามันร้าย

                “อ่าค่ะ” ฉันบอกเสียงแผ่วก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

                อันที่จริงต่อให้ไม่มีคนบอก ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเขาร้ายกาจแค่ไหน ฉันลูบแขนตัวเองไล่ความเย็นออกไปแล้วก็กลับขึ้นห้องอย่างงงๆ ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองยอมไปกับภูริชได้ยังไง แล้วก็นั่งรถกลับมาพร้อมกับคนแปลกหน้าแบบนี้น่ะ โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้น ไม่อย่างนั้นคงแย่แน่

                เอาเป็นว่า หลังจากนี้ฉันคงไม่เจอเรื่องแบบนี้แล้ว และต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิมด้วย

     

                เสียงแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ค เสียงไลน์ เสียงโทรศัพท์ที่สลับกันดังไม่หยุดจากโทรศัพท์เครื่องเดียวทำให้ฉันหงุดหงิดจนเริ่มกลายเป็นความหัวเสีย ควานมือตามหามันจนเจอ

                “อะไรนักหนานะ” ฉันลูบหน้าขยี้ตาเพื่อไล่ความงุนงงออกไป ปรือตาขึ้นอย่างยากเย็นเพื่อดูว่ามันมีเรื่องบ้าอะไรเกิดขึ้น

                “อะไรกันเนี่ย” ฉันยังไม่ตื่นดี เพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็กินเวลาอยู่นาน เรื่องของเรื่องก็เป็นเพราะคิดวุ่นวานถึงแต่เรื่องของภูริชเท่านั้น เขานี่เหมือนปีศาจไม่มีผิด ขนาดว่าตัวไม่ได้อยู่ใกล้ก็ยังตามมาหลอกหลอนจนน่ากลัว

             แต่แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งสุดตัว หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นเหตุการณ์เต็มหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊ค ไลน์ และอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด     

                แล้วเรื่องพวกนั้น มันเกี่ยวข้องกับฉันโดยตรง!

             ฉันลืมเรื่องนึงไปสนิทใจ ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ของฉันกับภูริชสลับกัน ที่สำคัญ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่ารหัสผ่านโทรศัพท์ของฉันเองคือตัวเลขอะไรบ้าง

                และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อีตาภูริชบ้าเขาทำลายเฟซบุ๊คส่วนตัวของฉันไปจนหมด ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเลย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยมีเพื่อนมาก แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนกับภูริชในเฟซบุ๊คตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาโพสข้อความมากมายถึงฉัน แล้วก็แท็กชื่อของฉันด้วย ดังนั้นหน้าไทม์ไลน์ของฉันเลยมีแต่ที่เขาโพส โพส แล้วก็โพส เต็มไปหมดจนน่าเวียนหัว

     

    Puurit Talit-toreik with Dawan Pattarapata

    17 mins

    หิวมากเลยค่ะคนดี เปิดประตูห้องหน่อยนะ กลัวสาวออฟฟิศแถวนี้ลากเข้าห้องจัง

    หนาว ยั่ว อ่อย  เปิดประตูเถอะค่ะลืมแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้เราหวานชื่นดื่มดูดกันมากแค่ไหน

    ถ้าไม่เปิด จะพูดให้หมดเลยว่าทำอะไรยังไงบ้าง ฮึ!! ??‘???‘?

     

    Puurit Talit-toreik with Dawan Pattarapata

    1 hrs

    เปิดประตูหน่อยได้ไหม ไม่กล้าเคาะเอง ขอโทษ จะไม่เมาแบบนี้แล้ว

     

    Puurit Talit-toreik with Dawan Pattarapata

    1 hrs

    หิวชิบหาย ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด

     

    Puurit Talit-toreik with Dawan Pattarapata

    Yesterday at 12:34pm

    นอกจากจะเมาแล้วยังเหี้ยอีก หมายถึงไอ้ภูริชนะครับ

    ไอ้คนที่ถูกแท็กน่ะ เป็นนางฟ้า ไม่กล้าแตะครับ

     

    Puurit Talit-toreik with Dawan Pattarapata

    Yesterday at 11:13pm

    เชี่ยกูแม่งอกหัก เมียหนี ไม่ยอมให้กอด เชี่ย ชีวิตมันเหี้ยยย แดกเหล้าแม่ง


     

                ฮึก นี่มันเรื่องอะไรกัน และเวลาสุดท้ายที่ภูริชโพสก็คือ 17 นาทีที่แล้ว มันหมายความว่าเขาอยู่นอกห้องเหรอ ฉันตกใจจนพูดไม่ออก ไม่กล้าคิดแบบนั้นด้วยว่าเขาอยู่หน้าห้อง แต่มันก็อดกลัวไม่ได้

                อีกอย่าง เดี๋ยวนะ รูปภาพและข้อความที่เขาโพสเอาไว้แบบนั้นมันให้ตายเถอะ หัวใจของฉันมันเต้นแรงมากเกินไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่กล้าจะเดินออกไปชะโงกมองหน้าห้อง เพราะกลัวว่าจะเห็นภูริชอยู่ตรงนั้นจริงๆ

                หรือไม่ ฉันก็อาจจะกลัวว่าความจริงแล้ว เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย

                เสียงแจ้งเตือนดังตลอดแทบไม่ทิ้งช่วงเลย มีคอมเม้นท์ร่วมร้อยคอมเม้นท์ใต้ภาพที่เขาถอดเสื้อแล้วดื่มเหล้า ถามจริง คำบรรยายใต้ภาพของเขาบอกว่าอกหักมากินเหล้า แต่มีที่ไหนภาพถ่ายออกมาแล้วดูดีขนาดนี้ แล้วก็เอามาลงเฟซบุ๊คเนี่ยนะ เขาเอาไว้เช็กเรตติ้งซะมากกว่าล่ะมั้ง เพราะมีแต่สาวๆ เม้นท์เต็มไปหมด

             แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ด้วยล่ะ ฉันกลัวและปวดหัวกับเสียงแจ้งเตือนที่มันดังถี่แทบจะตลอดเวลา เหมือนกับว่ามันเป็นเสียงหัวใจของฉันเต้นอย่างไรอย่างนั้น กำลังจะลบข้อความพวกนั้นออกจากหน้าไทม์ไลน์ของตัวเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังลั่น หลังจากนั้น

             “ดาหวัน! เปิดประตู ไม่งั้นฉันจะแจ้งความว่าเธอให้ฉันจ่ายเงินค่าห้องแล้วเธอก็ทิ้งฉัน!

                บ้า! ฉันหน้าร้อนไปหมด ไม่รู้ว่าเขาไปคิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาได้ยังไง อีกอย่างนะ ตำรวจที่ไหนเขาจะรับแจ้ง เอ่อ ถึงแม้ว่ามันจะดูแจ้งได้ก็เถอะ แต่ว่าเรื่องแบบนี้มัน

                “ฉันจะฟ้องมูลนิธิปวีณานะเว้ย!” เขาตะโกนมาอีก

                เขาบ้าจริงๆ ใช่ไหม มูลนิธินั่นมีไว้ให้ผู้หญิงกับเด็กต่างหากเล่า แต่เสียงของเขาเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันกลัวว่าจะไปรบกวนคนอื่นเข้า ดังนั้นเลยเปิดประตูออกไป แล้วเจอเขายืนกอดอกอยู่หน้าห้องจริงๆ

                ให้ตายเถอะฉันดูเหมือนผู้หญิงไร้เหตุผลแล้วก็เอาแต่ใจมากๆ ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

                “โนบราเริ่ด เป็นการต้อนรับผัวที่ดื่มจนหัวทิ่มกลับเช้าด้วยการโนบราออกมาเปิดประตูให้

                นี่คือคำทักทายแรกของภูริชที่บอกกับฉัน ฮึกนี่เป็นคำพูดที่ควรพูดบอกกับผู้หญิงเหรอ และนั่นทำหน้าฉันร้อนผ่าวเหมือนมีไข้หลายสิบองศาขึ้นมากะทันหัน

                ฉันรีบยกมือบังหน้าอก ขณะที่ภูริชก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นเหล้าและบุหรี่จางๆ แทนที่มันจะน่าสะอิดสะเอียน แต่ทำไม ฉันกลับรู้สึกว่าภูริชเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก เขาใช้นิสัยส่วนตัวที่ไม่รู้ว่าผู้ชายคนอื่นๆ จะทำแบบนี้บ้างไหม ด้วยการเดินไปถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งไปก่อนจะหายเข้าห้องน้ำ โดยที่ฉันเรียกเขาไว้ไม่ทัน

                และนี่คือสิ่งแรกที่เราต้องมาเจอกัน หลังจากที่ฉันบอกเลิกกับเขาไปอย่างชัดเจนอย่างนั้นเหรอ ฉันคิดไม่ตก แล้วก็รีบเข้าห้องนอนเมื่อยังได้ยินเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังไม่หยุดหย่อน มันทำให้หูหนวกได้เลย ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ นะ ฉันเริ่มลนลานจะลบแท็กชื่อตัวเองออกแต่ก็ไม่กล้าทำขึ้นมาซะอย่างนั้น ภูริชอยู่ที่นี่ด้วย มันเลยกลัวไปหมดทุกอย่าง

                แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว ฉันดีใจและภูมิใจ ที่ภูริชประกาศชัดเจนว่าเขาแคร์ฉัน และเขาก็บอกออกมาตรงๆ แบบที่ไม่ต้องมีใครแม้กระทั่งฉันต้องตีความมันหลายครั้งเลย

             พอกำลังจะลบข้อความของเขาทิ้ง ก็มีคนโทรเข้ามาซะก่อน ไม่บอกก็คงรู้ว่าใครโทรเข้ามา เมื่อมีชื่อเด่นหราอยู่หน้าจอซะขนาดนี้

             -PUURIT-

             ฉันปัดไม่รับสายอย่างรวดเร็ว แต่นาทีต่อมาเขาก็โทรเข้ามาเรื่อยๆ จนฉันอยากจะปิดเครื่องหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป เพราะเขาโทรเข้ามาก่อกวนแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าปิดเครื่อง แล้วโพสทั้งหลายที่ภูริชทิ้งไว้นั่นล่ะ ทำให้ฉันอยู่ไม่เป็นสุขจริงๆ

                “หยุดซะที!” ฉันไม่สามารถบังคับให้ภูริชทำอย่างที่คิดได้ เขาเอาแต่โทรมาไม่หยุดจนน่ากลัวว่าเครื่องมันจะน็อกไป

                “หยุดซะทีสิ ไม่เอานะ ไม่เอา ไม่เอา” ฉันอยากร้องไห้ เพราะอะไรมันก็ดูวุ่นวายไปหมดเลยในตอนนี้ พอมันหยุดฉันก็รู้สึกโล่งใจได้ แต่ก็แค่วินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อถูกสวมกอดเอาจากทางด้านหลัง เนื้อตัวฉันเย็นเฉียบ จากร่างกายของคนกอดที่เย็นจัดเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ

                “ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ แบบว่าถ้าบอกไปแล้วเธอต้องกรี๊ดลั่นเลยล่ะ” ภูริชกระซิบข้างหู พาให้ฉันตัวสั่นอย่างน่ากลัว ที่สำคัญฉันนี่มันโง่ไม่จบสิ้น ที่พาตัวเองเข้าห้องนอน โดยมีโจรร้ายอยู่ที่นี่ด้วย ฉันนี่มันทั้งโง่ทั้งบ้าจริงๆ ให้ตายเถอะ

                “อยากฟังป่ะไม่อยากก็จะเล่าให้ฟัง”

                ไรขนอ่อนทั่วร่างกายมันลุกเกรียว เมื่อใบหน้าที่เย็นจัดของเขาแนบติดกับแก้มของฉัน ไม่ว่าจะแผงอกหรือท่อนแขนของเขาก็เย็นชื้นไม่ต่างกัน ร่างกายของฉันคล้ายจะหดเล็กลงเรื่อยๆ ในอ้อมแขนของภูริช มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และฉันทำอะไรไม่ได้เลย

                “ฉันเกลียดตอนที่เธอบอกเลิกฉันว่ะ รู้มั้ยฉันแก้แค้นเธอยังไง” เสียงทุ้มหนักกระซิบอยู่ข้างหู เชื่อเถอะ ว่าถ้าใครอยู่ในสถานการณ์นี้ก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกับฉันแน่

                “เมื่อคืน ฉันเลยไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นมา สนุกสุดๆ เลยว่ะ!

             อึก! ฉันหน้าเสีย ตัวแข็งค้าง ทั้งตกใจทั้งเสียใจกับสิ่งที่ได้ยิน หันไปหมายจะตี แต่สีหน้ายิ้มๆ ของเขาทำให้ชะงักแขนค้างไว้กลางอากาศ

             “หึงเหรอ หึงสินะ” เขายิ้ม ในขณะที่ฉันเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

                “เป็นยังไง รู้สึกยังไงล่ะ” จะให้รู้สึกยังไงล่ะ เขาถามแต่ฉันไม่ยอมตอบ รู้สึกได้ว่าใบหน้ามันร้อนผ่าวไปหมด

                “ฉันโกหกหรอก ไม่ได้มีเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ แค่ไปเมาจนหัวทิ่ม ประชดที่เธอไม่ให้นอนด้วย”

                แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า ฉันอยากจะถามแบบนี้ออกไป แต่ไม่อยากจะคุยกับเขาให้ปวดหัว อีกอย่าง ฉันจำได้ว่าฉันบอกเขาไปอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนที่สุดแล้วว่าไม่อยากวุ่นวายกับเขาอีก แต่นี่มันเรื่องอะไรกันเราอยู่ด้วยกันแล้ว และเขากำลังกอดฉันอยู่

                “ฉันโกหกน่า มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน” ภูริชครางเสียงละห้อย ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนผิด เป็นคนทำร้ายจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยสักนิด

                “ไม่เชื่อเหรอ ดูนี่สิ

                จบคำพูดของภูริช ร่างกายของฉันก็เย็นวาบเมื่อไออุ่นที่ห่อหุ้มร่างกายก่อนหน้านี้หายไป ร่างสูงของเขาเดินมาหยุดต่อหน้าฉันเงยหน้ามองแล้วก็หลุบเปลือกตาลงมองแค่เท้าของเขาเท่านั้น

                สาบานได้ ว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ฉันจะเอาไอ้ผ้าขนหนูผืนลายคิตตี้แอ๊บแบ๊วนี่ทิ้งให้ได้เลย

                “ดูสิ มีรอยจูบที่ไหนกัน เชื่อเถอะ คนอย่างฉันเวลามีเซ็กส์น่ะ ไม่นุ่มนวลหรอก ผู้หญิงได้กรี๊ดแล้วกรี๊ดอีกแน่

                กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด เพราะส่งเสียงร้องกรี๊ดออกไปจริงๆ ไม่ได้ ฉันเลยได้แต่ร้องกรี๊ดอยู่ในใจ เรื่องแบบนี้มันเอามาพูดต่อหน้าผู้หญิงแบบฉันได้อย่างหน้าชื่นตาบานเหรอ ไอ้คนบ้า หน้าฉันร้อนวูบวาบแดงซะจนรู้สึกได้ ช่องท้องมันปั่นป่วนไปหมด

                “เธอจ้องอะไร อยากดู XXX ของฉันเหรอ”

                กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ฉันกรีดร้องในใจอีกครั้ง หวังว่าเสียงกรีดร้อง(?)ของตัวเองจะช่วยกลบเสียงพูดบ้าๆ ของภูริช ที่ฉันเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้

                “อยากให้เธอดูมาตั้งนานแล้ว ความจริงอยากให้เธอ XXX มัน แล้วก็ XXX มันด้วย”

                ยิ่งเขาพูดเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งจะตายเท่านั้น ฉันซบหน้าลงกับเตียงไม่อยากได้ยินคำพูดที่มันเหมือนกำลังจะกระชากหัวใจของฉันออกจากอก พอที หยุดเถอะ ฉันขอร้อง ตอนนี้ฉันเหมือนถูกคำสาปกรีดแทงอยู่เลย ฮือออออ

             “มันเป็นของเธอนะ อยากได้มั้ย ลูบได้คลำได้นะ แต่ขออย่างเดียวอย่าแหย่รู”

                “หยุดเถอะ ฉันขอโทษ อะไรๆ ที่ฉันทำไว้ ฉันขอโทษนะ” สุดท้ายฉันก็ทนไม่ไหว ร้องขอออกไป พอรู้สึกตัวอีกทีก็นอนหงายบนเตียงซะแล้ว โดยมีคนร้ายที่แสนเอาแต่ใจอย่างภูริชคร่อมตัวเอาไว้ด้วยท่าทางของนักล่า

                “จริงอะ เธอสำนึกผิดแล้วจริงๆ เหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาแผ่วเบาและเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ ลมหายใจที่ร้อนผ่าวเป่ารดแก้มของฉันคล้ายกับจะเสียดสีให้ไฟลุกไหม้ให้ได้

                “ภูริช แบบนี้ไม่ดีนะ แล้วฉันก็มีเรียนด้วย” พอเขาอยู่ด้วย ทุกอย่างมันก็ปั่นป่วนไปหมดจนลืมไปแล้วว่าตอนนี้สมควรจะทำยังไงต่อไป

             “โดดเรียนสิ ยากอะไร แล้วอยากชิมมั้ย?

                อ๊ากกกก! ชิมบ้าอะไรของเขา ฉันตกใจกลัวจนลิ้นแข็งไปหมด พูดอะไรไม่ออกได้แต่เบิกตากว้างมองเขาด้วยความหวาดกลัว ยิ่งอยู่ในสภาพแบบนี้ยิ่งเห็นชัดว่าเราใกล้กันมากแค่ไหน ไกลซะจนมองเห็นรายละเอียดบนใบหน้าของเขาได้ชัดเจน

                ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภูริชน่ะรูปร่างหน้าตาดีเหมือนกับนายแบบชื่อดัง เรื่องนั้นฉันไม่ปฏิเสธเลย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างเขาถึงได้มาสนใจผู้หญิงแบบฉันทั้งที่เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย การใช้ชีวิตหรือความชอบก็ไม่คล้ายกันเลยสักนิด

                “เอาเลย กระตุกผ้าขนหนูเลย แล้วทำอะไรก็ทำไป อยากทำอะไรก็ได้หมด ขออย่างเดียวอย่าแหย่ ฮ่าๆ เธอน่ารักว่ะ” ฉันห้ามเขาเป็นพัลวันแต่ถูกหัวเราะกลับมาซะอย่างนั้น

                “หยุดเถอะ ฉันขอร้อง” ได้ยินแล้วน้ำตามันจะไหล ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกคนโรคจิตแทะโลมโดยที่ปกป้องตัวเองไม่ไดเลย

                “ทำไมอะ ฉันอยากให้เธอ XXX แล้วก็ XXX อันที่จริงฉันก็อยากกินเธอมากเลยนะ กินจากข้างบนลงมาก่อน แล้วก็กินจากข้างล่าง แล้วค่อยกินกลางตลอดตัว” ภูริชแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แววตาของเขาหวานเชื่อมเหมือนทำมาจากน้ำตาล

                แต่มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ เพราะแววตาของเขามีสีคาราเมลที่ดูหวานหอม ถ้าได้กัดกินสักครั้งลิ้นคงชา ความหวานคงขึ้นไปถึงสมอง นัยน์ตาของฉันสั่นไหวประสานสายตากับเขากึ่งกล้ากึ่งกลัว

                “กินตรงไหนก่อนดี

     

                หลังจากขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำกว่าครึ่งชั่วโมง ฉันก็ยอมออกมาจากห้องน้ำได้ในที่สุด ไม่ใช่เพราะเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของภูริชที่สั่งให้ออกไปหรอกนะ แต่เพราะว่ามีเรียนตอนสิบโมงต่างหาก ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ยอมออกมาแน่ จริงๆ นะ ฉันไม่ได้กลัวคำสั่งของคนโรคจิตวิตถารคนนั้นสักหน่อย เชื่อสักหน่อยเถอะน่า

             “เป็นอะไร ทำไมงอนขนาดนั้น” ภูริชนอนทอดตัวอย่างสบายอารมณ์บนเตียง มองฉันด้วยสายตาประหลาดที่อ่านไม่ออก

                แล้วดูที่เขาถาม มันเรื่องอะไรกันล่ะ มาดูที่คอของฉันก่อนสิ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงได้โมโหขนาดนี้

                ภูริชเหมือนมีเวทมนตร์ เขาทำฉันปั่นป่วนไปหมด จำอะไรไม่ได้เลยว่าตอนที่อยู่บนเตียงทำอะไรกันบ้าง มารู้ก็ตอนที่เจ็บแปลบตรงริมฝีปากแล้วชาเป็นจุดๆ ตามร่างกาย ฉันจูบกับเขาบนเตียงนัวเนียไปมาอย่างนั้นกว่าครึ่งชั่วโมง ร่างกายก็เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้บุบสลายอะไร แต่ก็เหมือนเสียตัวให้เขาไปแล้ว

                เพราะตอนที่สติกลับคืนมาน่ะ ร่างกายของฉันเปล่าเปลือยนอนใต้ร่างของภูริชปล่อยให้เขาทำเรื่องเอาแต่ใจอย่างน่ากลัว

                จำเอาไว้ ถ้าเธอกล้าบอกเลิกฉันอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะไม่รอให้เธอยกให้ฉันเอง ฉันจะเอาด้วยตัวเอง และจะไม่สนใจน้ำตาของเธอด้วย!’ ภูริชกระซิบข้างหูบอกก่อนอุ้มฉันเข้าห้องน้ำ

                ความเมตตาปรานีแปลกๆ ของเขาทำให้ฉันสับสน ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันคืออะไรกันแน่ ที่รู้อยู่ตอนนี้คือฉันไม่กล้าจะบอกเลิกเขาอีกแล้ว

                “นายจะให้ฉันทำยังไงกับรอยพวกนี้ คอนซีลเลอร์หรือรองพื้นมันก็เอาไม่อยู่หรอกนะ” ฉันหน้าตึง เสียงก็ยังสั่นพร่าเพราะความหงุดหงิดใจ นิ้วฉันชี้ไปที่ต้นคอและเนินอก รวมไปถึงตามต้นแขนท่อนแขนหน้าท้อง คือฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำมันตอนไหน ในเวลาสามสิบนาทีนั่นฉันเหมือนอยู่ในความฝันที่มันเบลอและมึนงงไปหมด

                “เดี๋ยวให้ยืมเสื้อแจ็กเก็ตแบบคอตั้งให้” ภูริชยิ้มหวาน ไม่อนาทรร้อนใจใดๆ เลยสักนิด แน่สิ ก็เขาไม่ได้เดือดร้อนด้วยนี่

                “เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วเหรอ ป่ะ เดี๋ยวจะไปส่งที่มหาลัย แล้วฉันจะกลับมานอน” เขาพูด

                จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่เข้าใจว่าเขามาทำอะไรที่เมืองไทยกันแน่ ได้ข่าวว่าไปเรียนต่อเมืองนอกนี่ ถึงจะไม่ได้ใช้เวลานานเท่าตอนที่เรียนเมืองไทยก็เถอะ แต่ช่างเขาดีกว่า ฉันเลิกสนใจเรื่องของภูริชแล้วตอบคำถามเขาไป

                “ฉันไปเองได้ นายนอนเถอะ” ถึงยังไงฉันก็ไม่กล้ารบกวนเขาอยู่ดี

                แต่ตอนนี้ฉันเริ่มแน่ใจ ว่าเราสองคนยังไม่เลิกกัน และยังอยู่ในสถานะ คบกันเหมือนเดิม

                ก็ลองพูดว่าเลิกดูสิ เรื่องมันคงไม่จบแบบเมื่อกี้แน่

                “ไม่เอา จะไปส่งแล้วก็ไปรับด้วย” เขายืนกรานแบบนั้นฉันก็ไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว

                ตอนนี้ปัญหาของฉันคือเรื่องเสื้อผ้านี่แหละ ฉันไม่อยากทาคอนซีลเลอร์หรือใช้รองพื้นอะไรทั้งนั้น นี่มันหน้าฝน ถ้าฝนตกลงมาคงได้เปื้อนกันพอดี

             ฉันเลือกเสื้อผ้าอย่างยากลำบาก กว่าจะหาเสื้อที่มีกระดุมติดคอได้มิดชิดก็แทบแย่ แถมยังต้องติดกระดุมเอาไว้ทั้งวันอีก ที่สำคัญยังไม่รู้เลยว่ารอยพวกนี้มันจะหายไปตอนไหนด้วย

                “เอ้าเสื้อ” ภูริชส่งยิ้มทำท่าเกียจคร้าน แบบที่มองแล้วหงุดหงิดใจมากจริงๆ

                “ไม่เหม็นเหล้าหรอกน่า เมื่อคืนไม่ได้ใส่ตัวนี้ ใส่อีกตัวต่างหาก

             เขายิ้มฉันเลยจำต้องเอื้อมมือไปรับมันมาจนได้ ในเวลาแบบนี้ไม่ควรยั่วโมโหเขาน่าจะดีที่สุด

                “ดีมาก งั้นก็ไปกัน ไปหาอะไรกินสักหน่อย บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันปวดหัวสุดๆ เลย เหล้าแรงชิบ” หลังจากที่ฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว ภูริชก็บ่นอุบอิบทำเหมือนว่าฉันเป็นคนผิดอีกแล้ว อยากจะเถียงแทบแย่ แต่อย่างฉันคงเอาชนะเขาไม่ไหวแน่

                “มีเรียนสิบโมงใช่มั้ย ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ มีร้านนึงอยากให้เธอไปลองกิน นี่ถ้าเธอไม่หนีหน้าไปซะก่อน คงได้กินด้วยกันมาหลายปีแล้วแน่” ภูริชเอาแต่บ่นไม่หยุด และแน่นอนว่าทุกเรื่องเป็นความผิดของฉันไปซะทุกเรื่อง

                “เข้าใจมั้ย ว่าห้ามดื้ออีก” เขาเดินเข้ามากอดคอของฉันแล้วพาเดินออกไปด้วยกัน

                ฉันย่นคอลงให้คอเสื้อแจ็กเก็ตที่มันกว้างและตั้งขึ้นรอบต้นคอปิดปากเอาไว้ กลัวว่าพูดออกไปแล้วจะเข้าเนื้อ ไม่รู้ว่าเขาจะลงโทษยังไงบ้าง

                “เพื่อนฉันอยากเจอเธอนะ” ตลอดทางภูริชเอาแต่ชวนพูด แต่มีประโยคนี้ที่เขาทำฉันทั้งตกใจทั้งแปลกใจไปพร้อมกัน

                ก็เมื่อวานยังไม่ได้เจอเหรอ ถึงจะไม่ได้คุยกับใครก็เถอะ แต่เพื่อนของเขาก็เจอฉันแล้วนี่ อีกอย่าง ในเฟซของฉันก็ด้วย เพราะภูริชนั่นแหละที่เพิ่มฉันเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ค จากนั้นก็เที่ยวเอาแอคเคาน์ของฉันไปเที่ยวขอเป็นเพื่อนกับเพื่อนๆ ของเขา แล้วจะไม่ให้ทุกคนรู้จักฉันได้ยังไง

                “ยังไง วันเสาร์นี้ทำตัวให้ว่าง เพราะถึงเธอจะไม่ว่าง แต่ฉันก็จะลากเธอให้ไปด้วยกันจนได้

                ฮึก นี่คือการขอร้องอย่างนั้นเหรอ ฉันไม่เห็นรู้สึกแบบนั้นเลย ฉันอยากโกรธอยากงอนภูริชกับการกระทำหลายอย่างๆ ของเขา แต่ไม่รู้ว่าเพราะนิสัยที่เป็นแบบนี้มานานแล้วหรือเปล่า ฉันไม่เคยโกรธอะไรใครนานๆ โดยเฉพาะกับเขา

                ผ่านไปแค่แป๊บเดียวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เพราะอย่างนั้นล่ะมั้ง ภูริชถึงได้ใช้นิสัยข้อนี้ของฉันมาบังคับฉันให้คบกับเขาต่อ

                แต่อันที่จริงมันก็ไม่เชิงบังคับหรอกในความรู้สึกของฉัน ระหว่างเรามันก็เหมือนเดิม ฉันยังชอบเขา ยังรู้สึกดีๆ กับเขา ดังนั้นเราเลยเชื่อมกันติด ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน แต่ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิมจนน่าแปลกใจ

                “ได้ยินมั้ยเนี่ยที่พูดไป” ภูริชยื่นมือมาดึงแก้มของฉันจนยืด ฉันถึงได้หลุดออกจากภวังค์ความคิด

                “ก็เข้าใจ” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก เขาเอาแต่ยิ้มเอาแต่หัวเราะเหมือนมีความสุขเหลือเกิน

                จนบางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ ว่าตอนนี้ภูริชมีความสุขเพราะฉันจริงๆ หรือเปล่าสีหน้าแววตาของเขาทำให้ฉันอดที่จะยิ้มตามไม่ได้

                “งั้นก็ดี แล้วเคยเข้าร้านนี้มั้ย” ภูริชหักเลี้ยวพวงมาลัยจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฉันมองตามแล้วก็ส่ายหน้าเพราะไม่เคยมาจริงๆ

                “ร้านเพื่อนฉัน มาเหอะ ร้านเพิ่งเปิดคนคงยังไม่เยอะ

                “อืม” ฉันครางตอบในคอเบาๆ ไม่กล้าบอกว่าทำไมถึงไม่เคยมาร้านนี้

                เพราะว่าร้านอาหารนี้กลุ่มเพื่อนของเขาชอบมารวมกลุ่มอยู่ด้วยกันบ่อยๆ น่ะสิ เพื่อนที่คบกันได้น่ะ นิสัยก็เหมือนกันนั่นแหละ

                “ต้องว่าง่ายแบบนี้สิถึงจะน่ารัก

                ฉันไม่ปลื้มกับคำเยินยอของภูริชเลยสักนิด อย่าลืมสิ ว่าผู้ชายคนนี้ร้ายแค่ไหน ฉันกลายเป็นนางร้ายในสายตาเพื่อนๆ ของเขาในเฟซไปเลย

             เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เฟซบุ๊คเหรอ ยังไม่ได้ลบข้อความอะไรต่อมิอะไรที่ภูริชลงไว้เลย

                “จะสั่งอะไรมั้ย ฉันว่าอันนี้

                พอเข้ามานั่งในร้านยังไม่ทันจะได้สั่งอาหารอะไร ภูริชก็ดึงเอาโทรศัพท์ของฉันไปแล้ว เขาทำหน้ายุ่ง คงรู้ว่าฉันจะทำอะไรต่อจากนี้

                “ก็ นายทำเหมือนฉันแกล้งนายอย่างนั้นแหละ” ฉันบอกเสียงอุบอิบ ภูริชชักสีหน้าใส่ฉันแล้วสั่งอาหารกับบริกรสองสามอย่าง

                “ถ้าลบพวกนี้เมื่อไหร่ ฉันเอาเธอเละแน่” ภูริชส่งมือถือคืนมาให้กับฉัน และมันทำให้ฉันหน้าแดง ไม่รู้ว่าเขาไปถ่ายรูปพวกนี้มาตอนไหน ดูเหมือนว่ามันมาจากเมื่อคืนก่อนตอนที่ไปเจอเพื่อนเขาเล่นดนตรี แล้วเราจูบกันตอนไหนล่ะ ฉันไม่รู้ตัวเลย เพราะเวลาอยู่กับภูริช ฉันก็แทบไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

    Puurit Talit-toreik with Dawan Pattarapata

    Just now

    We’re made up

    ดีไม่ดีไม่สนแล้ว ถ้าไม่ยอมคืนดีด้วยก็ปล้ำเอา

    คิดถึงเธอจะแย่แล้ว ดาหวัน


     

             “นี่มัน

                “ห้ามลบทุกโพสที่ฉันโพสไป ไม่งั้นฉันจะ XXX แล้ว XXX แล้วก็ XXX กับเธอ

                ฮื้อ! หยุดซะทีเถอะเรื่องคำพูดที่มันชวนให้ใจเต้นแบบนี้น่ะ หัวใจของฉันมันรับไม่ไหวแล้วจริงๆ

     

                ภูริชส่งฉันที่มหาวิทยาลัย ส่วนเขาก็บอกว่าจะกลับไปนอนพัก ก็เมื่อคืนเล่นเมาเละขนาดนั้นนี่นะ ฉันเอาแต่ยิ้มไม่หยุดเดินเข้าเรียนด้วยความรู้สึกสดชื่นแจ่มใสมากว่าวันไหนๆ ที่ผ่านมา

                แต่แล้วรอยยิ้มของฉันก็หายไปเมื่อเจอใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าคณะเรียน

                “ดาหวันไง คิดถึงจังเลย ไม่ได้คุยกันตั้งนานแน่ะ” คนตรงหน้าเป็นผู้หญิงที่สวยจนตาพร่า เธอเรียนอยู่ภาคปกติของมหาวิทยาลัย ส่วนฉันเรียนภาคอินเตอร์เราเลยแทบไม่ได้เจอกัน และการที่ได้มาเจอกันอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่เลยสักนิด

                “ไง ปรายฟ้า

                “หน้าตาอิ่มเอิบดีนะดาหวัน แหม ได้เจอแฟนเก่าอย่างภูริชนี่ดีใจจนเนื้อเต้นเลยล่ะสินะ” คำพูดเหยียดๆ นั่นฉันไม่อยากฟังอีก ทำท่าจะเดินหนีเข้าตึกเรียนแต่ปรายฟ้าไม่ยอมแล้วขวางทางเอาไว้

                “เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนกันล่ะ ฉันแค่อยากมาอวยพรที่เธอคืนดีกับภูริชแล้วเท่านั้นเองนะ” ปรายฟ้าหัวเราะ ต่อให้ฟังดูเจ้าเล่ห์น่ากลัวเหมือนแม่มดแค่ไหน แต่คนสวยก็ยังเป็นคนสวยที่ฉันทาบไม่ติด

                ฉันไม่ฟังเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงของปรายฟ้าไล่หลังมา

                “ครั้งหนึ่งฉันเคยแย่งริชมาได้แล้ว ครั้งนี้ฉันก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน แล้วยังอยากเห็นคลิปของฉันกับริชตอนที่เรามีอะไรกันอีกมั้ยดาหวัน เธอจะได้จำได้ ว่าฉันกับริชน่ะ เรารักกันหวานชื่นดื่มดูดมากแค่ไหน”

     



    [1] ยูโด (ญี่ปุ่น: 柔道 jūdō จูโด) เป็นศิลปะการป้องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น โดยคะโน จิโงะโร ยูโดมีชื่อเต็มว่า โคโดกัง ยูโด เดิมเรียกว่า ยูยิสสู ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธด้วยมือเปล่า

    [2] เดมอน และ ชะเอม จากนิยายเรื่อง Damon`s Eyes ปีศาจร้ายร่ายรักร้อน เขียนโดย Miracle




    ตอนนี้ในแอพ dek-d ดูเหมือนว่าจะไม่แจ้งเตือนอัปเดตนิยายนะคะ

    ไม่พลาดการแจ้งเตือน รบกวนกดไลค์และเห็นโพสก่อน(see first)ที่แฟนเพจตามนี้เลยนะคะ

    จะได้ไม่พลาดการอัปนิยายค่ะ กดที่รูปได้เลย




    ตอนนี้ #Puurit`s Eyes จบที่หัวใจ เริ่มใหม่เพื่อรักเธอ (ภูริช ดาหวัน)

    เปิดพรีออเดอร์ให้จับจองก่อนแล้วค่ะ มู่ฝากไว้ด้วยนะคะ

    โอนเงิน 300 บาท / หรือ 350 สำหรับการส่งแบบ ems

    เข้าบัญชี กสิกรไทย ชื่อบัญชี น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์

    หมายเลขบัญชี 037-3-75509-5

    แล้วแจ้งโอนมาที่  meejairak.publisher@gmail.com คลิกเลยค่ะ

    หรือที่  https://m.me/meejairakpublishing

    แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตอบกลับ เท่านี้ก็รอรับหนังสือที่บ้านได้เลย

    จัดส่งหนังสือ 6/08/62

    มู่ขอขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รักทุกคนเลยค่ะ imageimage






    http://i.imgur.com/k2Ft0lV.jpg
    http://i.imgur.com/geO3jo1.jpg



     

    Talk 1...

    Song :: Neon Hitch - Gucci Gucci

    ริชเอ๊ย จะทำหน้ายังไงนะที่ได้ยินคำนี้

    ความจริงมีความหลังของคู่นี้อยู่ค่ะ ต้องตามอ่านว่าเป็นมายังไงกันแน่

    ไม่รู้ว่าดาหวันคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้พูดแบบนั้น

    แต่หลังจากนี้ แซบแน่ ริชมันร้ายมันหื่นอยู่แล้ว

    ดาหวันเอ๊ย ตายกับตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

    จากสายอ่อย ริชได้เปลี่ยนเป็นสายปล้ำแน่ เตรียมตัวเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×