ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #42 : Puurit`s Eyes ☔ Re-write Ver. Ep.01

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 44.76K
      359
      18 ก.ค. 62

    http://i.imgur.com/JM82ltc.png

     



    Puurit’s Eyes

    จบที่หัวใจ เริ่มใหม่เพื่อรักเธอ

    (Story of Puurit & Da-Wan)

     

    You’re like a circus running through my mind

    Got those sneaky eyes, what you trynna hide

    You’re like a hurricane inside my veins

    But I like it babe, so bring on the break

    คุณเหมือนกับสิงโตลอดบ่วงไฟที่วิ่งวนในหัวของฉัน

    คุณพยายามปิดบังอะไรในดวงตาที่เจ้าแสนเจ้าเล่ห์ของคุณ

    คุณเหมือนกับเฮอร์ริเคนที่โหมพัดในกระแสเลือดของฉัน

    แต่ฉันกลับชอบมัน เพราะอย่างนั้นก็อย่าไปสนใจมันเลย

    Song :: Ciara – Overdose

     

    Puurit’s Eyes 01

    I Hope Your Kisses and Your Gentle Touch

            

             บางครั้ง พรหมลิขิตมันก็น่าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อเจอใครคนหนึ่งเข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว

                ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจมน้ำในชั่วขณะ โดยที่ตัวไม่ได้เปียกน้ำเลย เมื่อคนตรงหน้าที่มาขอร่วมโต๊ะด้วยเป็นใครบางคนที่เคยรู้จักกันเป็นอย่าง ดี

                “อ้าว เธอเองหรอกเหรอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคมกริบที่เหมือนจะมองทะลุร่างกายฉันไปได้ ทุกอย่างประกอบเป็นเขา คนที่ไม่เคยลืมไปจากใจเลย

             เขาคือริช หรือ ภูริช คนที่เคยเป็นแฟนเก่าของฉัน ดาหวัน

                “ไม่ว่ากันนะ ถ้าจะนั่งโต๊ะด้วยน่ะ” เขาถาม แต่วางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้ว แบบนี้ต่อให้บอกปัดไปเขาก็คงไม่ฟัง

                “เราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วนะ” เขานั่งลงแล้วถาม จนฉันหูอื้อ หน้าร้อนผ่าว มันเป็นความรู้สึกที่บังคับไม่ได้เลยจริงๆ

                “เฮ้ เธอได้ยินที่ฉันพูดมั้ยเนี่ย?” ใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาใกล้ ทำฉันผงะแล้วก็ส่งยิ้มให้แทบไม่ทัน

                “กำลังคิดอยู่” ฉันยิ้มแห้งๆ ตอบไป ตกใจมากที่จู่ๆ ก็ได้มาเจอกันแบบนี้ แถมยังเคยคบกันมาก่อนด้วย ถึงมันจะเป็นแค่ปั๊บปี้เลิฟสมัยเด็กๆ ก็เถอะ

                “ก็นานแล้วเหมือนกันเนอะ จำไม่ค่อยได้แล้ว” ฉันหัวเราะแก้เก้อแล้วก็หน้าเจื่อนลง เพราะภูริชไม่ได้หัวเราะด้วย เขาจริงจังซะจนน่าตกใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

                “แต่ฉันกลับจำได้แฮะ จำได้ทุกอย่าง เราเลิกกันน่าจะช่วงเกรด 12 จู่ๆ เธอก็ห่างเหินกับฉัน เมินฉันทั้งที่เราเป็นแฟนกัน” ภูริชเขี่ยเฟรนช์ฟรายส์ไปมาพลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ที่ฉันไม่คิดว่าจะได้ยินมันมาก่อน

                “เกิดอะไรขึ้นเหรอ เพราะเราเรียนกันคนละที่ เพราะงั้นฉันเลยไม่เจอเธอ โทรไปเธอก็เปลี่ยนเบอร์ อีเมล์ก็ไม่มีการตอบกลับ ฉันเลยสงสัยจนถึงเดี๋ยวนี้ ว่าฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า

                ภูริชก็ยังเป็นภูริชไม่เปลี่ยน เขาพูดตรงไปตรงมาชัดเจนเสมอ ไม่เคยโกหกหรือปิดบังความรู้สึกเลยสักครั้ง คงมีแต่ฉันที่เป็นพวกขี้แพ้แล้วพยายามจะหนีอย่างเดียว

                “ว่าไงดาหวัน ฉันทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ”

                “เปล่าหรอก ฉันขอโทษด้วยที่ทำหลบหน้านายแบบนั้น ฉันผิดเองนั่นแหละ” ฉันตอบ และไม่ได้มองหน้าเขาเลย

                หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ฉันไม่อยากคุยหรือสบตากับเขาเลยไม่ได้มองหน้า รีบกินเพื่อจะได้ออกจากร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่นี่เสียที คงมีใครแอบหัวเราะแน่ ถ้ารู้ว่าฉันอยากจะหนีจากผู้ชายอย่างภูริช

             “ฉันต้องไปแล้วนะ” ฉันกลั้นใจบอกเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อิ่มหรือยัง ตั้งใจจะรีบหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

                ฉันไม่ได้รอคำตอบเพราะรีบเดินออกมา แต่ไปไหนไม่ได้ไกล เพราะฝนที่เทลงมาทำให้ไปไหนไม่ได้เลย แล้วภูริชก็เดินตามมาออกมาด้วย ฉันแอบถอนหายใจอย่างอึดอัด เพราะเขาจงใจเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แบบที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้แน่

             บ้านอยู่ไหนเหรอ จะไปส่ง” เขาพูดขึ้น แต่ฉันแกล้งทำเป็นคิดว่าเขาไม่ได้พูดกับฉัน จนกระทั่งใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราแทบจะแตะกันนั่นแหละ ฉันเลยสะดุ้งถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วถามกลับไป

                “อะอะไรเหรอ”

                “ฉันถามว่าเธอพักที่ไหน ฉันจะไปส่ง”

                “มะ ไม่ต้องหรอก บ้านฉันอยู่ไม่ไกล รอฝนซาแล้วค่อยกลับก็ได้”

                “งั้นเหรอ?” ภูริชหรี่ตามองฉันด้วยท่าทางแปลกๆ ฉันกลัวแต่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินจากไปพร้อมกับความโล่งใจของฉันเอง

                “คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ” ฉันคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างที่หวังไว้หรือเปล่า

                ก็เพราะว่าที่ผ่านมาฉันคิดแบบนี้มาตลอด ว่าไม่อยากเจอเขา ไม่อยากเจอหน้าไม่อยากเห็นอีก แต่วันนี้ก็ได้มาเจอกันเข้า ไม่รู้ว่าพรหมลิขิตหรือพระเจ้าเกลียดฉันกันแน่ก็ไม่รู้

             ฝนยังตกอยู่ และทำท่าจะหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย รถเมล์ รถบัสที่จะกลับคอนโดก็ไม่ผ่านมาซะที ป้ายรถเมล์แทบไม่กันฝนเลย เพราะลมพัดเข้ามาและสาดใส่จนเปียกปอนไปหมด ให้ตายเถอะ สภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด ฉันยกมือปาดเอาน้ำฝนที่เกาะหน้าออก ก่อนจะมองเห็นรถสปอร์ตคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงหน้า

                บอกตามตรงว่าฉันอิจฉามาก คนที่ขับอยู่คงตั้งใจมารับใครบางคนแน่ และคงดูดีไม่น้อย ไม่รู้สิ ไอ้รถหรูๆ พวกนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของคนหล่อรวยไปแล้วในปัจจุบันแต่แล้วฉันก็ต้องสะดุ้ง เมื่อกระจกที่นั่งฝั่งคนขับเลื่อนลง และมันอยู่ทางฝั่งของฉันพอดี เลยเห็นคนขับอย่างชัดเจน

                ใช่ ฉันหมายถึงภูริช!

                เขาส่งยิ้มมาให้ ฉันเองก็ส่งยิ้มกลับอย่างจืดเจื่อน ไม่กล้าหวังว่าเขามารับ เขาคงมารอใครบางคน คนที่เป็นแฟนของเขา อะไรทำนองนั้น ดังนั้นฉันเลยไม่สนใจเขาอีก จนกระทั่งได้ยิน

             “ขึ้นมาสิ!” เขาพูดขึ้น ฉันเองก็กลัวจนไม่กล้าคิดว่าเขาคุยกับตัวเอง แต่สายตาที่มองมาตรงๆ นั่นก็ไม่รู้จะปฏิเสธได้ยังไง

                “เอ่อ นายไปเถอะ ฉันกลับเองได้” ฉันตะโกนแข่งกับเสียงฝนที่เทลงมา แต่ภูริชก็ยังไม่ไปไหน รอยยิ้มบนหน้าของเขาเริ่มหายไป และเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้ชายหน้าหยิ่งดูร้ายกาจขึ้นมาในฉับพลัน

                “ขึ้นมา” ภูริชพูดห้วนสั้นจนน่ากลัว ฉันใจหายแต่ก็พยายามทำเป็นสู้ดี ส่ายหน้าเป็นพัลวัน

                เดี๋ยวเขาก็ไป ฉันคิดแบบนั้น เพราะภูริชก็เป็นอย่างนั้นเสมอ เขาไม่ชอบวุ่นวายกับใคร ไม่ชอบเอาใจใคร เดี๋ยวคงระอาแล้วกลับไปเอง

                แต่ฉันคิดผิด

             เพราะนาทีต่อมาภูริชยิ้มอีกครั้ง พร้อมกับยกมือทุบลงกับพวงมาลัยอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงแตรร้องดังลั่น ทำให้ใครหลายคนที่ยืนรอรถโดยสารประจำทางอยู่สะดุ้งอย่างพร้อมเพรียง และฉันเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

                ภูริชทุบมันอย่างนั้นไม่ยอมหยุดจนมีสายตาหลายคู่จ้องมองและก่นด่า แน่นอนว่ารวมถึงตัวฉันด้วย

                เมื่อทำอะไรไม่ได้ ฉันก็จำต้องเดินขึ้นรถอย่างช่วยไม่ได้ ท่ามกลางเสียงต่อว่าดังตามหลังมาอย่างไม่น่าฟัง

                “ฉันเปียกนะ มันจะทำรถนายเปียกไปด้วย” ฉันบอกเสียงค่อย เมื่อปิดประตูแล้วภูริชก็ขับรถออกมาอย่างรวดเร็ว รถคงแพงมาก เพราะฉันแทบไม่รู้สึกเลยว่ามันกำลังเคลื่อนที่ สายตาคมกริบของเขาหันมามองแวบหนึ่งไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นฝ่ายถามคำถามฉันแทน

                “พักที่ไหน

                “เอ่อ คอนโด ขับตรงไป แล้วแยกหน้าเลี้ยวซ้าย” ฉันบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่พักอยู่ ภูริชก็ขับรถเงียบๆ ไม่พูดอะไร เนื้อตัวที่ยังเปียกอยู่สร้างความรำคาญไม่น้อย ใบหน้าก็เปียกตามไปด้วย จนฉันต้องใช้หลังมือเช็ดมันออกไป ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ จนกระทั่งรถติดไฟแดง เจ้าของรถเลยเอี้ยวตัวไปทางด้านหลังคว้าเสื้อแจ็กเก็ตกับเสื้อยืดจากทางเบาะหลังแล้วส่งมาให้

                “กระเป๋าก็เปียกแล้ว ส่งมา เดี๋ยวช่วยเช็ดให้”

                “อ่า ค่ะ” ฉันรับคำอย่างงุนงง

                “เอาเสื้อยืดเช็ดหน้าซะ”

                “อะ อืม ขอบคุณ” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก แปลกใจกับความใจดีของเขา

                ไม่สิ ต้องบอกว่าเพราะเขาใจดีแบบนี้มาตลอดต่างหาก มันถึงได้ทำให้เราห่างกัน

             ฉันเช็ดหน้าตัวเอง ส่วนภูริชก็ช่วยเช็ดน้ำฝนที่กระเซ็นสาดใสกระเป๋าให้ระหว่างที่รอสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เราไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนกระทั่งมาถึงคอนโดของฉัน

                “ขอบคุณที่มาส่งนะ” ฉันบอกภูริชจากใจจริง ภูริชยังเป็นภูริชเสมอ เขาใจดี มีน้ำใจให้คนอื่นไปทั่ว จนบางครั้ง ก็ทำให้คนโง่อย่างฉันเผลอเข้าใจผิดไป

             “อือ บาย ระวังเปียกฝนล่ะ มันยังตกไม่หยุด” เขาบอกแล้วขับรถออกห่างไป

             ฉันยืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เข้าไปในตัวตึก ร่างกายยังหนาวๆ ชื้นๆ ทำเส้นผมฟูกระดกไปทั้งหัว สายฝนนี่มาพร้อมกับความเศร้ายังไงก็ไม่รู้

     

             หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันเพิ่งได้รู้ว่ามีคนโทรเข้ามาหลายสาย แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่โทรศัพท์ของฉัน มีมือถือของใครคนหนึ่งอยู่ในกระเป๋า แล้วมันกำลังส่งเสียงอย่างบ้าคลั่งอยู่

                “ของใครเนี่ย!” ฉันอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบรับสาย กลัวว่าคนที่โทรเข้ามาจะเป็นเจ้าของและคงร้อนใจอยู่น่าดู

                “เอ่อ สวัสดีค่ะ คือ

                (นั่น ดาหวันใช่มั้ย?) เป็นเสียงทุ้มนุ่มพูดมาตามสาย ฉันเลยอ้าปากค้างเล็กน้อย เข้าใจแล้วว่าใครเป็นคนโทรมา

                “ภูริชเหรอ?” ฉันถาม แล้วหัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล

                ไม่สิ ทำไมจะไม่มี เหตุผลกลวงๆ ของฉันที่ใจมันเต้นแรง ก็แค่เพราะคนที่โทรเข้ามาเป็นภูริชก็เท่านั้น

                (อือ สงสัยว่าฉันจะทำมือถือหล่นในกระเป๋าของเธอก่อนหน้านี้น่ะ) เขาบอก ฉันเองก็คิดแบบนั้นอยู่แล้ว

                “จะให้ฉันเอาไปให้ที่ไหนเหรอ” ฉันกลืนน้ำลาย ยังตั้งตัวไม่ได้ที่จะต้องเจอเขาอีกเป็นครั้งที่สองในรอบวัน

                (หน้าคอนโดเธอนี่แหละ อีกห้านาทีเจอกัน)

                “อืม ห้านาที” ฉันทวนคำอย่างเอ๋อๆ สมองมันรวนไปหมดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ แว่วอยู่ข้างหู

                (แล้วเจอกัน…)

                หัวใจของฉันเต้นแรงอย่างน่ากลัว พอภูริชวางสายก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองใส่ชุดนอนแล้ว เลยเลือกเสื้อผ้าใหม่

                พอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็มานั่งแปรงผมที่ยังเปียกชื้นอยู่นิดๆ เพราะไม่ได้เป่าจนแห้งสนิท อยู่หน้ากระจกเลยเห็นว่าหน้าตาตัวเองซีดเซียวมากแค่ไหน

                “ยังกับผีดิบ” ฉันพึมพำเมื่อเห็นหน้าตัวเองชัดๆ ผ่านเงาสะท้อนของกระจกตรงหน้า รีบคว้าตลับแป้งขึ้นมาทำท่าจะซับหน้าตัวเอง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าจะแต่งสวยไปทำไม ในเมื่อภูริชต้องการแค่โทรศัพท์ของเขาคืนเท่านั้น

             “ยัยโง่เอ๊ย เจ็บแล้วไม่เคยจำ” ฉันด่าว่าตัวเอง วางตลับแป้งไว้ที่เดิม คว้าเสื้อตัวนอกมาคลุมก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิด ที่โกรธไม่ใช่อะไร แต่โกรธความรู้สึกมากกว่า ที่จนกระทั่งป่านนี้แล้ว มันก็ยังหวั่นไหวเพราะผู้ชายคนนั้นเสมอ

             ฉันเจอภูริชในสภาพที่น่าตกใจสุดๆ เขายืนตากฝนจนตัวเปียกไปทั้งตัว แบบว่าเส้นผมลู่แนบไปตามใบหน้าของเขาเลย เมื่อเจอกันเขาก็ยังยิ้มให้ ฉันรีบเดินเข้าไปหา กางร่มให้ ถึงมันจะไม่ช่วยอะไรแล้วก็ตาม

                “ทำไมไม่อยู่ในรถรอล่ะ” ฉันถามด้วยความตกใจ เมื่อเข้าไปถึงตัวเขาแล้ว

                “ไอ้เมษมันเอาไปแล้ว ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” เขาไหวไหล่ทำทีว่าไม่เป็นไร แต่วินาทีต่อมาก็จามเสียงดังจนฉันตกใจ

                “นายคงหนาวมากเลย แล้วจะกลับยังไง

                “คงรถเมล์ไม่ก็แท็กซี่นั่นแหละ” ภูริชไอแล้วยกมือลูบแขนไปมา เขาทำท่าแบบนี้ใส่ฉันเลยกลายเป็นฝ่ายรู้สึกผิดขึ้นมา

                “แต่เปียกแบบนี้แท็กซี่คงไม่ยอมให้ขึ้นหรอกมั้ง” ฉันพึมพำ อยากยื่นมือไปเช็ดหน้าให้เขาแทบแย่ แต่ก็ต้องพยายามยับยั้งใจเอาไว้

                “แล้วจะให้ฉันทำยังไงดี” เขาถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

                อีกสามนาทีให้หลัง ฉันต้องพร่ำบ่นก่นด่าตัวเองอย่างหัวเสีย เมื่อต้องเข้าร้านสะดวกซื้อหน้าคอนโดเพื่อซื้อกางเกงชั้นในของผู้ชายให้กับคนที่ชื่อภูริช

             ส่วนภูริชแล่นขึ้นไปรอที่ห้องของฉันเรียบร้อยแล้ว จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังสงสัยว่าตัวเองทำบ้าอะไรอยู่ ยอมให้แฟนเก่าเข้าห้องตัวเองง่ายๆ แล้วเขาก็ทำตัวตามสบายทำเหมือนว่าเรายังคบกันมาตลอดอย่างนั้นแหละ บ้าสุดๆ ไม่เรียกว่าบ้าก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

                กลับมาถึงห้องของตัวเอง ฉันก็อยากจะเป็นลม เพราะภูริชอยู่ในสภาพล่อแหลมสุดๆ ถ้าแฟนคลับอยู่แถวนี้ ภูริชคงได้ถูกทึ้งจนเนื้อพรุนแน่ เพราะเขาใช้ผ้าขนหนูลายคิตตี้สีชมพูน่ารักของฉันพันรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ แล้วก็นะ มันเป็นผ้าขนหนูของผู้หญิงมันผืนเล็ก เขาก้าวแต่ละครั้งนี่ทำฉันหัวใจไปกองที่พื้น กลัวว่าเขาเดินๆ อยู่แล้วมันจะหลุดกองที่พื้นทับหัวใจของฉันอีกที

                “มาแล้วเหรอ ฉันหนาวมากเลย ก็เลยชงโกโก้ดื่มเอง แล้วก็เผื่อเธอด้วย ไม่ว่ากันนะ” ภูริชก้มตัวลงเล็กน้อย ระหว่างที่วางแก้วเซรามิกลงที่โต๊ะรับแขกตัวเตี้ยหน้าโซฟา ฉันอยากจะเป็นลมทุกครั้งที่เขาขยับตัว โอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกัน!

             “ฉันซื้อมาแล้ว เสื้อผ้านายลองเลือกดูแล้วกันว่าพอจะใส่ตัวไหนได้บ้าง” ฉันยื่นกางเกงชั้นในให้เขาไป และรู้ว่าหน้าตัวเองร้อนมากจนน่ากลัว ไม่กล้าสบตากับเขาด้วย แขนยื่นไปข้างหน้า แต่ตาก้มมองเท้าตัวเองแทน

                “ขอบคุณ” ภูริชไม่ทำฉันลำบากใจ เขารับมันไปฉันเลยพอจะหายใจหายคอได้บ้าง

                “นายซักเสื้อผ้ารึยัง” ก่อนหน้านี้ฉันบอกไปแล้วว่าให้ซักเสื้อผ้าและปั่นแห้งจากเครื่องซักผ้าในห้องน้ำได้เลย เพราะกลัวว่าเขาจะลำบาก

                “ขี้เกียจอะ ทำให้หน่อยสิ” ภูริชสั่งมาอย่างนั้น ฉันเลยกะพริบตาปริบๆ แทบไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินแบบนี้

                “งั้นนายหาเสื้อใส่ไปพลางๆ ก่อนนะ ฉันจะไปซักผ้าให้นาย”

                “ขอบคุณ” เขาพูดและเดินหายเข้าห้องนอน ส่วนฉันก็เดินไปที่ห้องน้ำอย่างหมดแรง

             เดี๋ยวนะ เราเพิ่งกลับมาเจอกัน แล้วที่เขาทำ ฮึก! ภูริชบ้า บ้าที่สุด เขาถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทิ้งไว้บนพื้น แถมกางเกงชั้นในของเขายังถูกถอดทิ้งไว้ขดเป็นเลขแปดอีกต่างหาก

                “ใจเย็นๆ ดาหวัน ใจเย็นๆ” ฉันข่มอาการใจเต้นที่แทบจะตายให้ได้เอาไว้ รีบคว้าเสื้อผ้าพวกนั้นลงเครื่องซักผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วชักอยากรู้ว่าตอนนี้ผู้ชายที่ก่อกวนจนทำให้ฉันอยู่ไม่เป็นสุขทำอะไรอยู่

                เขานอนหลับ! บนเตียงของฉันอย่างสบายอารมณ์ และดูไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น จนฉันเป็นฝ่ายอายแทนเขา

             ฉันเองก็เพลียปวดหัวเราะตากฝนก็เดินไปที่โซฟาแล้วนอนตรงนั้นแทนที่จะเป็นเตียงนอนของตัวเอง ปากก็บ่นด่าภูริชไปด้วย แต่ทำไม ใบหน้าของฉันยังร้อนผ่าวแดงก่ำ และมุมปากมันคอยแต่จะยกสูงอยู่เรื่อย

                ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ฉันมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกแตะตัว มีอะไรร้อนๆ เป่าตามใบหน้า แก้ม ซอกคอ มันให้ความรู้สึกแปลกๆ จนตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง

                “ภูริช” ฉันคิดว่าตัวเองคงอุทานออกไปสุดเสียง แต่กลายเป็นว่าแค่พูดออกไปเป็นเสียงกระซิบเมื่อเห็นคนที่กำลังโน้มหน้าเข้ามาใกล้ แล้วก็จูบฉันเมื่อฉันมองเขาเต็มตา

                “ตัวเธอเย็นมาก หนาวเหรอ” เขาถาม แต่ฉันยังตอบไม่ได้ ยังไม่ทันได้พูดหรือส่งเสียงห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้กว่านี้ ภูริชก็อุ้มตัวฉันขึ้นจากโซฟา แล้วพาเข้าห้องนอนอย่างมั่นคง นั่นแหละ ฉันถึงได้รู้ว่าควรจะดิ้นรนได้แล้ว

                “ริช!” หัวใจของฉันร่วงไปที่พื้นเมื่อถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล

                “เดี๋ยวฉันจะทำให้อุ่นขึ้นให้นะ

                “ริช อย่านะ!” หัวใจของฉันเต้นแทบจะหลุดออกมานอกอก อยากจะดิ้นหนีแต่วงแขนของเขากอดรัดเหมือนปลอกเหล็กจนแทบขยับตัวไม่ได้

                “ไปนอนหนาวที่โซฟาได้ยังไง” เขาพูดเหมือนจะเอ็ด

                นั่นสิ! ที่นี่มันห้องของฉันนะ แล้วทำไมต้องปล่อยให้เขายึดครองไปอย่างหน้ามึนแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

                ถึงจะดิ้นจะขัดขืนแล้วขอร้องเขามากแค่ไหน แต่สุดท้ายภูริชก็กดลงบนเตียงจนได้ ผ้าห่มถูกคลุมร่างของเราสองคนเอาไว้ ผ้าห่มเย็นชืด แตกต่างกับไออุ่นจากร่างกายของเขาหลายเท่านัก

             ฉันตากฝน ปวดหัว ตัวร้อน ง่วง เหมือนจะเป็นไข้” ภูริชแกล้งทำเป็นอ่อนแอ แต่ร่างกายของเขากอดก่ายเอาไว้จนฉันแทบขยับตัวไม่ได้

             “นอนกันเถอะ

                ฉันไม่เข้าใจตัวเองว่าปล่อยให้ภูริชทำตามใจของเขาแบบนั้นได้ยังไง เพราะเปียกฝนมา ทำให้ฉันเป็นไข้นิดหน่อย เมื่อคืนก็นอนหลับไม่รู้เรื่อง มาถึงตอนเช้าภูริชก็หายไปแล้ว ในความโล่งอกนั้นแฝงไว้ด้วยความเสียใจอยู่ไม่น้อย

                ฉันยกมือทุบหัวตัวเองเพื่อไล่ความสับสนพวกนั้นออกไป ไม่ว่ายังไงก็ลืมเรื่องผู้ชายเจ้าอำนาจคนนั้นเสียที ยังจำได้แม้กระทั่งไออุ่นที่โอบล้อมรอบตัวเองเอาไว้ พอเดินไปที่ห้องครัวก็เห็นอาหารเช้าง่ายๆ สองสามอย่าง มียา แก้วนม แล้วก็โน้ตทิ้งเอาไว้ตรงนั้น

     

    ถึง ดาหวัน

             กินข้าวเช้าด้วยนะ เธอตัวรุมๆ เหมือนจะมีไข้ กินยาด้วย

                ขอบคุณที่ให้ที่พักเมื่อคืนด้วยนะ

    จาก ภูริช

     

             ฉันนิ่งไปพักหนึ่ง กับข้อความที่ภูริชทิ้งเอาไว้ ฉันหยิบเอาไส้กรอกทอดเข้าปาก มันยังอุ่นๆ และกรอบอยู่ก็ยิ้มเศร้ากับตัวเอง เขาคงไปแล้วนั่นแหละ นิสัยของภูริชเป็นยังไง ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจดี

                เขาคงเพลียและเป็นไข้ เลยอยากจะนอนพักที่นี่สักคืน แล้วเขาก็กลับไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านั้น ที่เรานอนกอดกันเมื่อคืน ก็เพราะเขาเห็นว่าฉันนอนหนาวที่โซฟาเท่านั้นเอง ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากินไส้กรอกหมดไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีมันก็หมดจากจานแล้ว เลยคว้ายาเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตาม

                วันนี้ฉันมีธุระที่จะต้องออกไปข้างนอก ฉันมีเรียน เลยกัดฟันข่มอาการเวียนหัวตัวร้อนเอาไว้ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากห้องอย่างมึนๆ

                หลังจากเรียนเสร็จก็ตั้งใจว่าจะกลับมานอนพัก เพราะในหัวมันหนักเกินไปแล้ว แต่ก็หิวเลยแวะเข้าร้านอาหารก่อน ฉันหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ได้ดูว่ามีใครส่งข้อความหรือดูเฟซบุ๊คอะไรเลย ฉันแปลกใจนิดหน่อยเมื่อจับโทรศัพท์ แล้วก็อุทานออกมาโดยไม่มีเสียง เมื่อเห็นภาพพักหน้าจอตรงหน้า

                มันเป็นภาพของฉันกับภูริชตอนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน!!

             ฉันลนลานพยายามจะปลดล็อกหน้าจอ แต่ว่ารหัสผ่านผิด!!

             โอ๊ย! เดี๋ยวนะ นี่ภูริชเป็นคนทำเหรอ เขารู้ได้ยังไงว่าฉันตั้งรหัสผ่านอะไรเอาไว้ แล้วก็แอบมาถ่ายรูปแล้วตั้งภาพหน้าจอเอาไว้แบบนี้ แล้วก็แอบเปลี่ยนรหัสผ่านของฉันไหมด้วย

                “ภูริช” ใจฉันเต้นแรง อยากจะร้องไห้ ไม่กล้าเดาเลขสี่ตัวมั่วซั่ว กลัวว่าจะยิ่งทำให้เครื่องล็อกเร็วขึ้น สุดท้ายก็ลองแตะนิ้วลงกับปุ่มโฮมของโทรศัพท์เพื่อใช้ลายนิ้วมือปลดล็อก ค่อยยังชั่วที่มันปลดล็อกได้

                แล้วภาพที่เป็นพื้นหลังด้านใน ทำให้ฉันจะร้องไห้หนักกว่าเดิมซะอีก มันเป็นภาพของภูริชที่ยิ้มหวานชูสองนิ้วให้ เหมือนกำลังท้าทายอะไรบางอย่าง

                “ริชบ้า!” ฉันจะร้องไห้ แล้วสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง เมื่อมีคนมากระซิบชิดต้นคอเบาๆ

                “ว่าใครบ้านะ

                ฉันหันขวับไปมอง ใจร่วงไปกองที่พื้นเมื่อพบว่าเป็นภูริชจริงๆ ที่มาหยุดอยู่ด้านหลัง เขายิ้มแล้วก็จงใจเบียดตัวเองมานั่งลงข้างๆ จนฉันเป็นฝ่ายต้องขยับเข้าไปด้านในเพื่อให้เขานั่งด้วย

                “นาย” เสียงฉันสั่น ไม่กล้าจะพูดอะไร ยิ่งพูดก็ยิ่งจะเข้าเนื้อตัวเองแน่

                “หล่อเนาะ เหมาะกับเคสสีชมพูของเธอด้วย” ภูริชแตะปลายนิ้วลงกับหน้าจอ ทำท่าเขี่ยๆ จนฉันต้องพลิกหน้าจอลง ตั้งใจจะกลับไปเปลี่ยนภาพพื้นหลังทีหลัง

                “นายเปลี่ยนรหัสผ่านของฉันเหรอ” ฉันถามอย่างไม่พอใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเปลี่ยนมันตอนไหน

                “ก็ทำไมเธอใช้วันเกิดเป็นรหัสผ่านเองล่ะ ไม่ระวังตัวบ้างเลย”

                “แต่นาย” ยังไม่ทันจะได้ต่อว่า บริกรก็เข้ามาวางเมนูให้ภูริช เพราะเขาเพิ่งมาถึง

                “ขอบคุณครับ” ภูริชยิ้มหวาน จากนั้นก็สั่งอาหารสองสามอย่าง แล้วก็หันมาแกล้งฉันต่อ

                “เมื่อเช้ากินข้าวที่ทำไว้ให้มั้ย?” เขาถาม พลางจ้องหน้าฉันไม่กะพริบ พอไม่ตอบเขาก็แกล้งโน้มตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องรีบตอบ

                “กินแล้ว” ฉันบอกเสียงแผ่วอย่างช่วยไม่ได้ แก้มมันร้อนไปหมด

                “น่ารักจัง” ภูริชพูด คล้ายกับนายพรานที่กำลังไล่ต้อนเหยื่อให้จนมุม และฉันก็เป็นเหยื่อตัวนั้นนั่นเอง

                “บอกรหัสได้มั้ย” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงมากไปกว่านี้ กระอักกระอ่วนใจ ไม่กล้าจะส่งโทรศัพท์ให้เขา เพราะภาพล็อกหน้าจอนั้นมัน

             “เดาสิ” เขาดูไม่สนใจเลย ทำให้ฉันยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม

                “ไม่เอานะภูริช มันคือรหัสผ่านเลยนะ ถ้าฉันไม่รู้แล้วกดมั่วๆ เครื่องมันก็ล็อกน่ะสิ”

                “แล้วก็จะกลายเป็นที่ทับกระดาษง่อยๆ” เขาต่อให้ รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีที่ทำแบบนี้ แต่เขาก็ยังโยกโย้ไม่ยอมบอกว่าตัวเลขสี่ตัวที่แสนสำคัญมันมีเลขอะไรบ้าง

                “ภูริช บอกมาเถอะ ขอร้องล่ะ” ฉันใจไม่ดี พยายามจะอ้อนวอน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งชอบที่ฉันกระวนกระวายและอ้อนเขา

             “ก็เดาดูสิ”

                “ภูริช!” ฉันขึ้นเสียงอย่างลืมตัว ภูริชเลยยกนิ้วมาแตะที่ริมฝีปากแล้วส่ายหน้าไปมาน้อยๆ

                “อย่าเสียงดังสิ เสียมารยาทนะ” ภูริชหัวเราะ ฉันหน้าตึงเพราะความโกรธ อยากจะตีเขาให้แรงๆ แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ต่อมาอาหารที่สั่งไว้ก็วางลงบนโต๊ะตรงหน้า ทำให้ฉันพลันต้องเงียบเสียงไปโดยปริยาย

                “ภูริช บอกมาเถอะ

                “ก็ใช้ลายนิ้วมือแสกนก็ได้นี่ ไม่เห็นมีปัญหา” เขาพูดอย่างไม่เดือดร้อน แล้วตักอาหารวางลงในจานฉันไปพลาง

                “มีสิ ถ้าเกิดว่ามีเรื่องต้องใช้ล่ะ” ฉันเถียง มองดูภูริชตักอะไรบางอย่างขึ้นมาเป่าให้ความร้อนมันคลายลง เขานิ่งและน่าโมโหจนฉันอยากซัดหมัดลงกับหน้าหล่อๆ ของเขาสุดแรงนัก แต่ก็นั่นแหละ คนอย่างดาหวันไม่กล้าหรอก

                “ภูริช

                ปากของฉันไม่ว่างจะส่งเสียงพูดอีก เมื่อภูริชป้อนอะไรบางอย่างเข้ามาในปาก ฉันเลยเคี้ยวอย่างจำใจ ส่วนเขาก็เอาแต่ยิ้มอย่างพอใจที่ฉันเป็นเด็กดีต่อหน้าเขาแล้ว

                “ถ้ามีเรื่องงั้นเหรอก็ไม่รู้สิ” ภูริชหัวเราะ ก่อนจะกินของเขาบ้าง ฉันเลยปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยลายนิ้วมือ ลองเข้าดูแอพอื่นๆ มันเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง สุดท้ายฉันก็น้ำตาตก ที่เห็นว่ารูปถ่ายในโทรศัพท์ก็ต้องใส่รหัสผ่าน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่รู้ว่ามันคือตัวเลขอะไรกันแน่

                “อะฮ้าคิดจะเปลี่ยนภาพหน้าจอล่ะสิดาหวัน ง่ายนิดเดียว เดารหัสผ่านให้ถูกสิ” เขาหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นฉันจนมุม ไม่น่าจะเอาวันเกิดตัวเองมาทำเป็นรหัสเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่

                แต่เดี๋ยวนะ ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า เขาจำวันเกิดฉันได้อย่างนั้นเหรอ คิดเอง หัวใจของฉันก็เต้นแรงขึ้น ก่อนที่มันจะค่อยๆ เบาลงกว่าเดิม

                บางที ภูริชอาจจะค้นกระเป๋าสตางค์ของฉันแล้วเอาวันที่มากดรหัสผ่านก็ได้นี่

             “กินข้าว เธอตัวร้อนนะ จะได้ไปนอนพัก” ภูริชกระแทกศอกใส่ฉันเบาๆ ฉันเลยต้องเริ่มขยับช้อนส้อมอีกครั้งอย่างหงุดหงิดใจอยู่ฝ่ายเดียว

                “เรื่องรหัสผ่านของเธอน่ะ ง่ายนิดเดียว” เขาคงคิดว่าฉันโกรธเรื่องนี้อยู่ เลยพูดเนิบๆ ให้ได้ยิน

                เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นี่ตอนนี้ฉันโกรธภูริชเพราะเรื่องอะไรกันแน่..

             “นายจะบอกฉันจริงๆ เหรอ” ฉันถามอย่างไม่มั่นใจ เขาร้ายซะขนาดนี้ แล้วฉันจะไว้ใจได้ยังไง ดูอย่างเมื่อวานสิ

                “อาฮะ” ภูริชยิ้ม พอฉันจะอ้าปากพูด เขาก็ตักอะไรอีกอย่างมาป้อนให้อีกคำ

                “ถ้าเธอให้ฉันไปนอนด้วยอีก คืนนี้

                “อั๋นไอเออะ!(ฝันไปเถอะ)

     

                ภูริชหัวเราะตอนที่เดินผ่านฉันไป เมื่อเราออกมาจากร้านอาหารแล้ว ฉันยืนยันว่าจะไม่ให้เขาไปนอนค้างที่ห้องด้วย ภูริชทำทีไม่สนใจแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่พอเดินได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นแหละ ฝนได้เทลงมาอีกครั้ง มันช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ!

             “ให้ฉันไปส่งเถอะ ไม่งั้นกางเกงในเธอจะเปียกเอานะ” เขาพูดเย้าใกล้กับหูของฉัน ฉันไม่ได้เข้าใจผิดแน่ ที่รู้สึกว่าปลายจมูกของเขาเฉียดแก้มของฉันไปแค่เสี้ยวมิลลิเมตรแต่ไม่มีอะไรเท่าคำพูดของเขาก่อนหน้านี้แล้ว

             “ภูริช!” ใบหน้าของฉันแดงก่ำ เขาพูดบ้าอะไรของเขาออกมา

                “เมื่อวานจำไม่ได้เหรอ กางเกงในของฉันก็เปียก

                “ริช!

                เจ้าของชื่อหัวเราะร่วนพลางเดินเลี่ยงออกไป เขาคงไปเอารถหรือไม่ก็ไปที่ไหนสักที่ ฉันเองก็ตั้งใจจะหาทางกลับห้องเอง แต่ช้าไปเสี้ยววินาทีเดียว เมื่อภูริชเดินกลับมาหากอดคอของฉันให้เดินมาด้วยกัน

                “ฉันเกลียดนาย

                “เขาบอกว่าผู้หญิงเกลียดแปลว่าผู้หญิงรัก” ภูริชพูดยิ้มๆ ส่วนฉันก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะห้ามเขา ไม่อยากตากฝนด้วย ให้เขาไปส่งก็น่าดีกว่า แต่ไม่มีทางหรอกที่ฉันจะยอมให้เขาขึ้นห้องแบบเมื่อวานอีก

                แต่ฉันคิดผิด เพราะภูริชจับฉันตากฝนกับเขาหลังจากที่จอดรถแล้ว ทำยังไงได้ล่ะ ฉันกับเขาเลยเปียกอย่างมาก แล้วถูกกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เลยยอมอย่างช่วยไม่ได้

             ด้วยความสัตย์จริง ตอนนี้ฉันเกลียดภูริชมากจริงๆ

             “ฝนเย็นเนอะ” เขาหัวเราะ ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่ลากฉันไปตากฝนตอนที่ลงมาจากรถแล้ว

                “เธอไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย” เขาพูดอย่างอาทร ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้เป็นคนก่อเรื่อง

                ด้วยความโกรธ ฉันหันไปเตะหน้าแข้งของเขาสุดแรง ภูริชครางลั่นย่อตัวลงกุมหน้าแข้งเอาไว้ ฉันจะซ้ำอีกครั้ง แต่สายตาที่มองมามันน่ากลัวเลยหนีออกห่าง

                “เปียกแฮะไปหมดเลยแฮะ” ภูริชแลบลิ้นเลียมุมปากด้วยท่าทางสุดเซ็กซี่

                บ้าจริง คำพูดของเขาบวกกับท่าทางนั่น ทำให้ฉันใจสั่นไปหมด แถมเขายังถอดเสื้อผ้าออกจากตัวด้วย

                “ก็มันเปียกอะ” เขาว่าอย่างนั้น เมื่อถูกฉันต่อว่าทางสายตา

                ภูริชเตะกางเกงยีนกับเสื้อเข้าไปในห้องน้ำ ทั้งตัวเหลือเพียงแค่กางเกงบอกเซอร์ตัวเดียว เส้นผม เนื้อตัวของเขาเปียกชื้น มันสั่นคลอนหัวใจของฉันซะจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร

                “ไปอาบน้ำสิเดี๋ยวไม่สบายหรอก”

                คำพูดของภูริชก็ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยดีหรอก แต่ทำไมสีหน้าแววตาของเขาน่ากลัวอย่างนี้ล่ะ ฉันก้มลงมองตัวเอง แล้วก็เห็นว่าเสื้อผ้าเปียกและมันเห็นบราเซียร์ชัดเจนมากด้วย ไม่รู้ว่าภูริชมองมันนานหรือยัง ฉันโกรธจนหน้าร้อน เดินเป็นวิ่งเข้าห้องน้ำไม่เหลียวหลัง เกลียดที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาไล่ตามมา

                ฉันสระผมล้างเนื้อล้างตัวเพราะเปียกฝน เนื้อตัวมันเย็นไปหมดจนกลัวว่าจะเป็นไข้ ตั้งใจว่าจะรีบออกจากห้องน้ำแล้วขังตัวเองในห้องนอน ไม่ยอมให้ภูริชเข้ามานอนด้วยอีก เขาจะอยู่หรือไปมันก็เรื่องของเขา จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันมีปัญหา

             ฉันลืมเอาผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าเข้ามา

             “ยัยโง่ดาหวัน!” ฉันอยากจะเป็นบ้าตาย เพราะหนาวก็หนาว เพลียก็เพลีย อยากชัดดิ้นชักงอในห้องน้ำจัง

                แล้วเรื่องสยองขวัญก็เริ่มต้น เมื่อมีวิญญาณยังตามติดอย่างภูริชใช้เหรียญไขลูกบิดสำหรับห้องน้ำเข้ามา ฉันลืมไปสนิทใจ ว่าประตูห้องน้ำเดี๋ยวนี้ออกแบบให้ล็อกได้ และไขได้ง่ายด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุในห้องน้ำแล้วช่วยเหลือไม่ทันการณ์

                ฉันยกมือปิดป้องร่างกายของตัวเองเอาไว้ แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไรเลยก็ตามที ใบหน้าของฉันแดงก่ำ ร้อนไปทั้งตัว ยิ่งภูริชเข้ามาใกล้ฉันก็แทบจะร้องไห้ เขาใช้ผ้าขนหนูสีชมพูหวานแหววผืนเล็กผืนเดิมที่พันเอวเมื่อวาน

             อยากได้ผ้าเช็ดตัวใช่มั้ย” เขายิ้มยั่ว เดินต้อนฉันเข้ามุมจนหนีไปไหนไม่ได้ เวลาเดิน รอยสาบมันแหวกสูงขึ้นมาถึงไหนต่อไหน ในทันใดนั้นฉันรู้สึกเหมือนว่าเลือดกำเดาจะไหลออกมาดื้อๆ

                ร่างกายของเขาแนบชิดติดกัน ฉันเหมือนจะเป็นลม เพราะฉันสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อนแข็งขืนจากตัวเขา ชัดเจนซะยิ่งกว่าชัด ราวกับว่าไม่มีอะไรกั้นขวางเลย

                ฮือฉันมันหื่น ทะลึ่ง ลามก! แต่ฉันทำอะไรไมได้เลยเมื่อภูริชเบียดตัวเองเข้ามาชิดจนหน้าอกของฉันแนบเป็นเนื้อเดียวกับแผ่นอกกว้างตึงของเขา

             “ก็เอาผ้าเช็ดตัวผืนนี้ไปสิจะได้รีบออกจากห้องน้ำ ไม่อย่างนั้น ฉันไม่รู้ด้วยนะว่าเธอจะได้อยู่ในนี้อีกนานมั้ย?

                ไอ้คนหื่น! ถ้าฉันเอาผ้าขนหนูจากเขามา แล้วเขาจะนุ่งอะไร แล้วแววตาสีหน้าคุกคาม รวมถึงท่อนแขนที่กักฉันไว้ในมุมห้องน้ำแบบนี้ ฉันจะกลับเข้าห้องนอนได้จริงๆ รึเปล่า

     

                ฉันแดงไปทั้งตัว ไม่ว่าจะหน้าหรือร่างกาย มันลามไปถึงปลายเท้าเลยด้วยซ้ำ เพราะฉันไม่กล้ากระตุกผ้าขนหนูสีหวานที่พาความซวยมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งนั่นแหละ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าถูกต้อนเข้าห้องน้ำแล้วถูกขังอยู่ในนั้น ภูริชร่ายมนตร์ซะจนฉันปั่นป่วน

                แล้วสุดท้ายก็ยังต้องแบ่งเตียงครึ่งหนึ่งให้เขานอนด้วย ภูริชดูสุดๆ เขาทำเหมือนกับที่นี่เป็นห้องนอนของอย่างนั้นแหละ

                ไล่ก็ไม่ไป พอเอ่ยพูดว่าทำไมไม่กลับไปหรือจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม ใบหน้าของภูริชก็เหี้ยมอำมหิตอย่างน่ากลัว แล้วใครมันจะกล้าพูด เลยต้องนอนบนเตียงด้วยกัน

                ภูริชใช้นิ้วพันเส้นผมของฉันเล่น แล้วก็เอาไปปัดแก้มตัวเองไปมาท่าทางดูเพลินซะจนไม่กล้าขัด ฉันไม่แปลกใจที่เห็นเขาทำแบบนี้ เพราะเมื่อก่อนก็เห็นมาหลายครั้งแล้ว ภูริชเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเป็นเด็ก แม่ของเขาไว้ผมยาวมาก เวลาหยอกล้อโอบกอด เส้นผมของแม่เขาจะปัดป่ายใบหน้าเลยเป็นความคุ้นเคยและชอบที่จะทำแบบนั้น เลยชอบเอาผมของฉันไปปัดหน้าพันนิ้วเล่น

                “ผมเธอยาวแล้วนะ ยาวกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนี่” ภูริชคุยกับฉันตอนที่เรานอนบนเตียงด้วยกัน

                คงไม่ต้องถามหรอกนะ ว่าหัวใจของฉันเต้นกี่ครั้งในหนึ่งนาที มันเต้นเหมือนว่าจะเต้นชดเชยเพราะพรุ่งนี้มันจะหยุดทำงานแล้ว

                ฉันหลับแล้ว ฉันไม่ได้ยิน! ฉันคิดแบบนั้นอยู่ในใจ แกล้งทำเป็นตัวแข็งไม่กระดุกกระดิกขยับตัว

                แล้วใครจะกล้าบอกความจริง ว่านับตั้งแต่เจอเขาฉันก็ไม่เคยตัดผมเลย นอกจากเล็มปลายตัดให้มันเข้าทรงเท่านั้น เป็นเพราะคำพูดหนึ่งของเขาที่เหมือนกับเป็นตรามาร กดลึกลงมาที่หัวใจแล้วก็ลบมันไม่ออก

                ฉันชอบผมของเธอ ห้ามเธอตัดมันจนกว่าจะบอกฉัน แล้วให้ฉันเป็นคนตัดสินใจ เข้าใจมั้ย!?’ ภูริชบอกฉันแบบนั้นเอาไว้นานมาแล้ว ฉันก็โง่ รู้สึกมันฝังอยู่ในใจ

                “หลับแล้วเหรอ” เขาถามอีก

                ฉันจินตนาการมาตลอดว่าเราจะเจอกันอีกครั้ง จนกระทั่งมาถึงตอนนี้

                ภูริชกลับมา เขานอนบนเตียงเดียวกับฉัน พูดกับฉันอย่างอ่อนโยนอ่อนหวาน แถมยังมีอ้อมแขนแสนอุ่นที่โอบพาดร่างกายเอาไว้ด้วย มันทำฉันหัวหมุนปั่นป่วนไปทั้งตัวทั้งหัวใจ

                “ฝันดี ดาหวัน” ภูริชไม่เซ้าซี้ ฉันเลยโล่งใจขึ้นมาได้เล็กน้อย แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ทำให้เขาหัวเราะรู้ทันว่าความจริงแล้วฉันไม่ได้หลับอย่างที่แกล้งทำอยู่ เพราะเขาจูบแก้มฉันแรงๆ

                “ไม่ได้หลับนี่นา เรามาคุยกันต่อดีมั้ย”

                “ฉันง่วง” ฉันทำเสียงเครือ กลัวใจเขาไม่รู้ว่าผู้ชายร้ายกาจคนนี้วางแผนร้ายหรือแผนหื่นอะไรในหัวกันแน่

                “ง่วงจริงอะ” แววตาคนเจ้าเล่ห์ดูน่ากลัว เขายิ้มกว้างซะจนตาพร่ามัวไปหมด

                ฉันง่วงจริงๆ นะ” ฉันพยายามจะบอก แต่ภูริชก็เอาแต่ยิ้มกว้างอยากจะหยิกจะตีเขาให้เนื้อเขียวนัก

                “นั่นสินะ ก็เราอยู่ในห้องน้ำ ขัดเนื้อตรงนั้น ถูตัวตรงนี้ตั้งนานสองนาน มันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” คนร้ายกาจพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในห้องน้ำน่ะไม่มีอะไรทั้งนั้น มีแต่เขานั่นแหละที่พยายามหากำไร แทะโลมจนฉันน่ะแทบจะสึกหรอไปหมด

                “ภูริช” ฉันคราง ตอนนี้ไม่กล้าจะคุยกับเขา กลัวว่าเสียน้ำตาเอาตรงนี้ ตั้งแต่เจอเขาฉันก็หวั่นไหวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งกลัวทั้งอายเวลาที่ได้อยู่กับเขา

                “ก็ได้ ฉันจะให้เธอนอนก็ได้ แต่ต้องจูบฉันก่อน แล้วกอดฉันบ้างโอเคมั้ย เมื่อคืนก่อน ฉันกอดเธอฝ่ายเดียว เหงาอะ” ให้ตายเถอะ ทำไมวิธีการพูดของผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำให้ฉันใจสั่นขนาดนี้กันนะ

                “เอ๊ะ หรือจะให้ฉันเป็นคนจูบเป็นคนกอดเอง” แววตาของเขาเป็นประกายจนฉันสะดุ้ง

                “ยะ อย่านะ” เสียงฉันสั่นจนน่ากลัวเราะ ลนลานห้ามแทบไม่ทัน ถูกรั้งให้ไปนอนก่ายเกยบนตัวของเขา ต้องจูบแก้มกอดจนเขาพอใจ ถึงได้นอนหลับได้อย่างสงบ แต่ฉันยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่เป่ารดขมับและหน้าผากอยู่ตลอดเวลา จนหลับไปโดยไม่รู้ตัว

                วันที่สองของการเจอกับภูริช ฉันแทบไม่เชื่อตัวเองว่านั่งดื่มโกโก้ที่เขาชงทิ้งเอาไว้ให้ก่อนจะออกไปเรียนตามปกติ แต่ก่อนจะออกไปนี่สิ บนโต๊ะอาหารมีบางอย่างที่ทำให้ฉันน้ำตาร่วง

                คอนโดที่พักอยู่ตอนนี้ ฉันไม่ได้ซื้อไว้เป็นส่วนตัว คิดว่าถ้าเรียนจบแล้ว อาจจะได้ย้ายไปทำงานที่อื่น เลยเช่าเป็นรายเดือนต่อไป แล้วสิ่งที่ภูริชทำทิ้งไว้ คือการจ่ายค่าเช่าให้ฉันเรียบร้อยแล้วทิ้งใบกำกับการจ่ายเงินเอาไว้ให้ดูว่าเขาน่ารักมากแค่ไหน แล้วหลังจากนี้ฉันควรทำยังไงต่อไปดี บอกตามตรงว่าฉันเริ่มจะกลัวภูริชมากขึ้นทุกทีๆ แล้วล่ะ

                พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง ฉันเลยได้รู้ว่าอันที่จริง ตอนนี้ภูริชเรียนต่อที่เมืองนอก แต่เขากลับมาที่เมืองไทยเพื่อเก็บข้อมูลวิจัยอะไรสักอย่าง ฉันเลยทึ่งเพราะเขาเรียนจบแล้ว เขาคงใช้เวลาเรียนเร็วกว่าคนอื่น อย่างฉันตอนนี้ก็เทอมสุดท้ายแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ เขาหล่อ รวย แล้วก็เก่งซะจนทาบไม่ติดเลยจริงๆ

                แล้วเมื่อไหร่เขาจะไป ฉันถามตัวเองแต่ก็นั่นแหละ ไม่กล้าคิดคำตอบจริงจังเลย ให้ตายเถอะ

                ฉันไปเรียนตามปกติ และเพื่อนคนอื่นก็เหมือนจะรู้ด้วยว่าฉันมีหนุ่มหล่อมาพัวพัน พอบอกว่าเพื่อนเก่า

                เหรอ เห็นป้อนข้าวป้อนน้ำกันในร้านอาหารเนี่ยนะ หยอกล้อกันแบบนั้น คนเป็นเพื่อนเก่ากัน เขาทำแบบนี้กันจริงๆ เหรอ” พวกเธอหัวเราะ ซึ่งฉันไม่ขำด้วยเลยสักนิดเดียว แก้มแดงแล้วร้อนซะจนเหมือนจะไข้ขึ้น

                “แล้วไอ้รอยแดงๆ ที่คอนั่นล่ะ ใช่เพื่อนเก่าเขาทำกันมั้ย”

                ฮึกรอยแดงอะไรกัน ฉันยกมือทาบต้นคอเอาไว้ ทำหน้าเหลอหลาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน

                “มันอยู่อีกด้านต่างหากย่ะยัยดาหวัน” เพื่อนอีกคนล้อเลียน

                อึกฉันเลยลดมือลงเพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ทำหน้าบึ้งแล้วก็เก็บของเงียบๆ

                “ฉันจะกลับแล้วนะ พอดีว่าไม่ค่อยสบาย” ฉันบอกไปตามความจริง เพราะร่างกายมันร้อนวูบวาบร้อนๆ หนาวๆ ยังไงก็ไม่รู้

                “อ๊ะจ้ะ น่าอิจฉาคนมีแฟนแล้วเนอะ” ฉันไม่สนใจเสียงแซวพวกนั้น เดินหนีออกมาแล้วโบกมือลา อยากกลับไปนอนแต่ก็ไม่กล้า ขนาดค่าเช่าคอนโดเขายังจ่ายเงินแทนแล้วเลย อย่าไปคิดถึงเรื่องคีย์การ์ดกับกุญแจห้องเลย

                ฉันยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอยู่ที่ไหนยังไงดี เสียงไลน์ก็ดังขึ้นมา ฉันสงสัยว่าใครเป็นคนส่งข้อความมา อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ภูริชอีกแล้วเขาส่งข้อความมาสั้นๆ บอกว่าหิว อยากให้ฉันทำมาม่าไข่ตุ๋นอย่างที่เคยทำให้เขากินเมื่อก่อน ฉันยังไม่ได้กดอ่าน แต่เห็นจากหน้าจอที่มันขึ้นแจ้งเตือนบอกเอาไว้

                พอไม่ตอบ ภูริชก็ส่งข้อความมารัวๆ จนเครื่องแทบค้าง โอ๊ย ผู้ชายคนนี้เป็นปีศาจไปแล้วหรือไงกัน อยากจะร้องไห้

     

                Puurit Rit :: หิว จะกินมาม่าไข่ตุ๋น

                Puurit Rit :: หิว มาม่าไข่ตุ๋น

                Puurit Rit :: หิวววววว

                Puurit Rit :: หิววววว

                Puurit Rit :: หิว

                Dawan :: รู้แล้วเดี๋ยวทำให้

     

                เชื่อไหม ว่าแค่ภูริชคนเดียวเขาส่งข้อความมาร่วมร้อยข้อความในครึ่งชั่วโมง ด้วยคำว่า หิว คำเดียว นี่เขาเป็นมนุษย์ประเภทไหนกัน จนอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงไม่ใช่คนทั่วไปแน่ พอให้คำตอบที่เขาพอใจแล้ว ภูริชก็ส่งจูบกลับมาให้ ทำตัวเหมือนเด็กประถมไม่มีผิด

                ก่อนจะกลับคอนโดฉันเลยแวะซูเปอร์มาร์เก็ต เลือกซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสที่เขาชอบกับไข่ ฉันนี่ก็แปลก ที่ยังจำทุกอย่างที่ภูริชชอบอยู่ แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วแท้ๆ แต่ก็ราวกับไม่มีช่องว่างระหว่างเราเลยสักนิด

             ฉันทำมาม่าไข่ตุ๋นอย่างที่เขาชอบแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน แล้วกันสิ ลืมเรื่องนี้ไปสนิทใจเลย ฉันน่าจะถามก่อนว่าจะมาตอนไหน ยิ่งทำไปแล้วเสียดาย กลัวว่าเขาจะกลับมาช้าแล้วมันจะเย็นชืดไปซะหมด แต่ภูริชก็กลับมาเร็วอย่างที่ไม่คิดมาก่อน

                ภูริชเข้ามากอดฉันเอาไว้จากทางด้านหลังตอนที่ไม่ได้ตั้งตัวจนฉันสะดุ้ง แถมยังถูกหอมแก้วจนแทบจะช้ำด้วย นี่มัน

             “ภูริช” ฉันเบี่ยงตัวหนี ไม่อยากให้เขาแตะต้องมากไปกว่านี้ เราเป็นอะไรกัน จนตอนนี้ก็ยังก็คลุมเครือไม่ชัดเจน

                “หิวชะมัดเลย ฉันไปลงพื้นที่ทำวิจัยที่ต้องเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง เหนื่อยเป็นบ้า” เขาพึมพำ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากฉัน

             “ฉันทำเองมันก็ไม่เคยอร่อย เคยให้ไอ้เมษทำให้ กินไปน้ำตาตกในไป” เสียงทุ้มๆ ของภูริชดังชิดใบหูของฉัน เล่นเอาไรขนอ่อนลุกเกรียวไปทั่วร่าง ที่เขาพูดมันหมายความว่ายังไง เขาเสียใจที่ฉันไม่ได้เป็นคนทำให้เขากินเหรอ

             คิดเองฉันก็ใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นสั่นไหว แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อภูริชหัวเราะแล้วอธิบายต่อ

                “ก็มันทั้งไหม้ทั้งขม กินแทบไม่ได้ อะไรนี่เธองอนเรื่องอะไรกัน” เขาหัวเราะ แต่ยังไม่ยอมปล่อยตัวฉัน

                “ขอฉันไปอาบน้ำก่อนนะ ทั้งเพลียทั้งหิวเลย เดี๋ยวมา” ภูริชจูบแก้มฉันแรงๆ อีกครั้งแล้วเดินออกไป ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกที่มันปั่นป่วนไปหมด

                ฉันทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นอย่างหมดแรง แค่ทำมาม่าไข่ตุ๋นถ้วยเดียว ไม่รู้ทำไมถึงได้สูบพลังงานไปหมดขนาดนี้

                “อยากไปเที่ยวกันมั้ย ฉันอยากไปเจอเพื่อน อยากเที่ยวบ้าง”

                และพอกินข้าวเสร็จแล้ว ภูริชก็เริ่มประเด็นใหม่ให้ใจเต้นอีกครั้ง ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบ ล้างจานคนเดียวเงียบๆ ใจมันเต้นซะจนกลัวว่าจะหลุดออกมานอกอกซะแล้ว

                “ไปมั้ย ไปเที่ยวกัน” ภูริชพูดอีก จนฉันไม่รู้จะทำยังไง

                “ไปมั้ย ดาหวัน ไปมั้ย?

                พอไม่ยอมให้คำตอบ เชื่อไหม ว่าภูริชเอาแต่ถามว่า ไปมั้ย?’ ซ้ำๆ อย่างนั้นเหมือนคนสติหลุด แล้วแบบนี้จะไม่ให้ปวดหัวได้ยังไงกัน

                “หรือว่าเราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ หาอะไรสนุกๆ ทำกัน”

                “ไปก็ได้” ฉันบอกไป ก่อนที่อะไรๆ มันจะเลวร้ายมากไปกว่านี้

             แล้วสุดท้ายฉันก็ต้องออกจากคอนโดโดยที่ไม่เต็มใจเลย จะขอกับภูริชว่าไม่อยากมาก็ไม่ได้ ก็นั่นแหละ อยู่ในห้องมันอันตรายกว่าเป็นไหนๆ

             อากาศเย็นเพราะฝนที่ตกโปรยปรายลงมาทั้งวัน ฉันไม่รู้ว่าภูริชจะไปที่ไหนแล้วก็ไม่กล้าจะถามด้วย แต่จะปล่อยให้เขาพาออกไปที่ไหนก็ไม่รู้มันก็นะ ฉันเลยกลั้นใจถามออกไป

                “เอ่อ นายพาฉันออกมาข้างนอกแบบนี้ เอ่อ เราจะไปไหนกันเหรอ แล้วไปหาใคร”

                “เธออยากให้ไปหาใครล่ะ” ภูริชมองมาด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้ใจ ฉันก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน เดาอารมณ์เขาไม่ออกเลยจริงๆ

                ก่อนหน้านี้ภูริชยังยิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้หน้าบึ้งขึ้นมา

                “ก็ ฉันก็ไม่รู้”

                บ้าเอ๊ย จะบอกไปว่าทำไมนายไม่กลับบ้าน ไม่อยากจะไปอยู่กับคนที่เขาอยากอยู่ด้วยเหรอ แล้วก็ โอ๊ย ฉันอยากถามให้ชัดเจนว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ด้วยกัน แล้วเราเป็นอะไรกัน แต่มันพูดไม่ออกจนแล้วจนรอด

                “ทำไมฉันอยู่กับเธอไม่ได้ ทำไมเหรอ?” ภูริชถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะหาเรื่อง จนฉันกลัว

                “งั้นแสดงว่าฉันคิดไปเองฝ่ายเดียวใช่มั้ย?

                “หา คือ นายพูดถึงเรื่องอะไร”

                ถึงฉันจะโง่ แต่ก็พอรู้ว่าเขาหมายความว่ายังไงอยู่ ฉันเองก็อยากจะถามว่าเราสองคนอยู่ในสถานภาพแบบนไหน แต่ แต่เมื่อก่อนมันก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันไม่โกหกหรอกว่าตอนนั้นฉันมีความสุขมากแค่ไหน ไม่ว่าจะอะไรก็ล้วนกลายเป็นสีชมพูไปหมด กลายเป็นคนหูหนวกตาบอด มีความสุขกับการได้เป็นแฟนของภูริช

                แล้วเรื่องมันก็เศร้า ฉันไม่อยากรื้อฟื้นความเจ็บปวดที่เคยผ่านมาแล้ว ดังนั้นเลยต้องระมัดระวังไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป

             “เออ ก็ดี” ภูริชสบถแล้วเร่งความเร็วรถให้เร็วขึ้น ฉันเลยตัวแข็งทื่อไปด้วยความกลัว

                แล้วภูริชก็จอดรถที่ที่หนึ่ง ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหน้าผับซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของพวกวัยรุ่นวัยกำลังอยากรู้อยากลอง เขาเดินลงมาจากรถ ฉันไม่รู้จะทำยังไงเลยตามลงมาด้วย

                “เฮ้ย ภูริช นึกว่าจะไม่กลับเมืองไทยซะแล้ว ว่าแต่ ผู้หญิงคนนั้นใครวะ” เพื่อนเขาทักมา ฉันยิ่งตัวลีบเล็กเข้าไปใหญ่

                “เดี๋ยวสักพักก็กลับไปแล้วล่ะ แวะมาเก็บตัวอย่างวิจัย แล้วก็แวะมาหาพวกมึงนี่แหละ”

                “แล้วสาวคนสวยนั่นล่ะ ใครวะ แล้ว ชะเอม ไปไหน ไม่เจอเลย”

             ชื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ยิน ฉันก็ยิ่งเศร้า แล้วเห็นว่าภูริชหันมามอง

                “ชะเอมไม่ค่อยสบาย เลยพักอยู่ที่ห้อง” ภูริชบอก เขาทำฉันเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

                สาบานได้ ว่าฉันไม่เคยได้ยินชื่อชะเอมมาก่อน ไม่ใช่พี่สาว น้องสาว หรือคนรู้จักของเขาอย่างแน่นอน ไหนจะคำพูดที่ดูใกล้ชิดกันนั่นอีก แล้วจะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่แฟนของเขาคนปัจจุบัน

                ฉันมองหน้าเขาด้วยความเสียใจ ภูริชก็มองมาด้วยสายตาติดจะเย็นชาไม่น้อยเหมือนกัน

                “อยากรู้อะไรก็ถามมา อย่าคิดเอาเอง ฉันไม่ชอบ” ภูริชพูดเสียงแข็ง ฉันเลือกจะเดินถอยหลังไม่อยากได้ยินหรือข้องเกี่ยวกับเขาอีก

                ดาหวันเธอมันโง่ครั้งก่อนที่ผ่านมามันก็เป็นแบบนี้มาแล้ว ทำไมฉันถึงไม่ยอมจำ ไม่ยอมเข้าใจ ว่าเขาเป็นยังไง และคนอย่างภูริชไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแน่

                “เบื่อแล้วว่ะ ไม่อยากง้อแล้วนะเว้ย!” ภูริชพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด เขาคว้าฉันเอาไว้จนขยับตัวไปไหนไม่ได้

                “เฮ้ย อย่ารุนแรงสิวะ” เพื่อนของภูริชตะโกนแว่วมา ภูริชก็ลากฉันให้เข้าไปใกล้พร้อมกับแบมือไปตรงหน้า

                “กุญแจห้องสินะ พวกมึงนี่ยังไง ชอบเอาเอ้าท์ดอร์กันตลอด”

                “เออ เอามาให้กู” ภูริชได้กุญแจห้องมา ซึ่งมันดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย

                “จะทำอะไรน่ะ” ฉันถามเสียงสั่นๆ เมื่อสู้แรงภูริชไม่ไหวถูกลากเข้าผับ และตรงขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว

                “จะปล้ำทำเธอเป็นเมีย จะทำให้เธอท้อง แล้วไม่ให้เธอหนีไปไหนอีก ไม่เช้าไม่เลิก จะเอาให้นอนร้องไห้ไปสามวันสามคืน ไม่ติดไม่เลิกเว้ย!

                กรี๊ด เขาเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ฉันตะลึง คิดว่าเขาล้อเล่นเพราะผู้หญิงที่ชื่อชะเอม คงเป็นแฟนของเขา ส่วนฉันก็คงเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาอยากหยอกเล่น จะดิ้นหนีแล้วคุยกันให้เข้าใจ แต่ภูริชย่อตัวลงแล้วจับฉันพาดไหล่จนเวียนหัว เริ่มดิ้นไม่ไหว

                “คืนนี้ฉันจะทำทุกท่าที่อยากทำเลย เอาให้หายยาก อุตส่าห์รอมาหลายปี พังมันวันนี้แหละ” ภูริชโยนฉันลงโครมกับเตียง พร้อมกับใช้เท้าปิดประตูตามหลัง ฉันจุกจนลุกไม่ขึ้น ไม่ทันจะได้ลุกเขาก็กลับมาถึงเตียงแล้ว ถอดเสื้อผ้าโยนทิ้ง กัดฟันสบถไม่หยุดปาก

                “ตอนแรกว่าจะรอหรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ดาหวัน มาเป็นเมียฉันซะดีๆ เถอะ”




    ตอนนี้ #Puurit`s Eyes จบที่หัวใจ เริ่มใหม่เพื่อรักเธอ (ภูริช ดาหวัน)

    เปิดพรีออเดอร์ให้จับจองก่อนแล้วค่ะ มู่ฝากไว้ด้วยนะคะ

    โอนเงิน 300 บาท / หรือ 350 สำหรับการส่งแบบ ems

    เข้าบัญชี กสิกรไทย ชื่อบัญชี น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์

    หมายเลขบัญชี 037-3-75509-5

    แล้วแจ้งโอนมาที่  meejairak.publisher@gmail.com คลิกเลยค่ะ

    หรือที่  https://m.me/meejairakpublishing

    แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตอบกลับ เท่านี้ก็รอรับหนังสือที่บ้านได้เลย

    จัดส่งหนังสือ 6/08/62

    มู่ขอขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รักทุกคนเลยค่ะ imageimage




    http://i.imgur.com/lh9SgwB.jpg
    http://i.imgur.com/M6GsXga.jpg

     



     

    Talk 1...

    Song :: Ciara - Overdose (Dave Luxe Remix)

    กรี๊ดดดดดดดดด กรี๊ด กรี๊ด ขอสครีมดังๆ ค่ะ ใจเต้น

    มู่นี่ชอบพี่ริชเป็นการส่วนตัวตั้งแต่อยู่ในเรื่องปีศาจเดมอนแล้ว

    ได้เปิดตัวเรื่องของพี่ริชเองเลยกรี๊ดมาก หัวเราะ แบด มึน และหื่นมาก

    นี่แฟนเก่าประสาอะไร ทำไมถึงได้ห่ามขนาดนี้

    มาดูความร้ายกาจและหื่นๆ ของพี่ริชต่อนะคะ แงงงง

    นางร้ายมากเลย อิจฉา เอ๊ย สงสารดาหวันล่วงหน้าเลย









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×