ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Eyes

    ลำดับตอนที่ #26 : Teddy`s Eyes 🐻 | Re-write Ver. Ep.01 loading...100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 47K
      410
      3 ก.พ. 65

    http://40.media.tumblr.com/a810aafd36cc94656968cc3a73d1adbe/tumblr_nlf5iuRXhp1qbetfwo1_1280.png


     

     

     

     

     

    Teddy’s Eyes

    คนเดียวในใจ จะร้ายแค่ไหนก็รักคุณ

     

     

     

    Cause baby you’re my teddy bear

    Oh baby you’re my teddy bear

    It took a little while to find

    But I’m so damn glad you’re mine

    Baby you’re my teddy bear

    เพราะเธอคือเท็ดดี้แบร์ของฉัน

    ที่รัก เธอคือเท็ดดี้แบร์

    แต่ชั่วขณะเท่านั้นที่มองหา

    แต่ฉันดีใจที่สุด ที่เธอเป็นของฉัน

    ที่รัก เธอคือเท็ดดี้แบร์ของฉัน

     

    Song :: Cheryl Cole – Teddy Bear

     

     


     

     

     

     

     

     

    1

    I’m So Safe in Your Arms

     

     

     

             ฮึก! ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง

             ไม่ใช่เลย!

             บนเตียงนอนนี้ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตาเหมือนกับผ้าม่านที่ปลิวพะเยิบไม่ไกลจากเตียงเท่าไหร่นัก แสงแดดที่ส่องเข้ามาทำให้ตาพร่าไปหมด และพอขยับตัวก็เจ็บจี๊ดไปทั่วกาย มันระบมไปเสียทุกจุด แทบจะหายใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำไป

             “อ๊า” มือหนึ่งฉันกดหว่างขาตัวเอง อีกมือหนึ่งกุมหัวเอาไว้ ทั้งเจ็บทั้งร้าวเหมือนจะกระดูกจะหลุดออกจากข้อต่ออย่างนั้นเลย

             “อ๊ะ!” ฉันครางไม่หยุด แล้วก็พลิกผ้าห่มออกจากตัว เพราะจะนอนตรงนี้ไม่ได้แล้ว

             จำได้ว่าเมื่อคืน เมื่อคืน เมื่อคืนอะไรล่ะ เมื่อคืนฉันไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อน และฉลองกับการที่เราเก็บหน่วยกิตวิชาภาคหมดแล้วกับกลุ่มเพื่อน แต่ไหง ทำไมฉันถึงไม่ได้นอนบนเตียงของเพื่อนสักคน หรือไม่ก็นอนในห้องตัวเอง แต่กลับมาอยู่ในห้องที่ดูหรูหราแปลก ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน

             พอเลิกผ้าห่มออกจากตัว ฉันก็ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เพราะผ้าปูสีขาวที่ปูอยู่น่ะมันเปื้อนเลือดเป็นวงกว้างหลายรอยจนกลายเป็นรอยสีน้ำตาลเข้มไปแล้ว ฉันแน่ใจว่ามันไม่ใช่ประจำเดือน เพราะผู้หญิงอย่างเรา ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าประจำเดือนหรือเลือดอย่างอื่นมันแตกต่างกันยังไง

             แล้วมันคือเลือดอะไรล่ะ!? ฉันคิดในใจอย่างแตกตื่น ก่อนจะตัวแข็งเป็นหินเมื่อได้ยินเสียงครางแผ่ว ๆ ข้างตัว

             “อืม

             ฉันกลัวมาก สะดุ้งมาก อยากร้องไห้มาก ค่อย ๆ หันไปมองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างกาย

             แผงอกของเขาขาวมากจนแสบตา ใบหน้าก็หล่อเหลา ดูดีมาก แม้ว่าจะยังหลับอยู่ก็ตาม แต่ในสถานการณ์นี้ฉันไม่ควรกรี๊ดกร๊าดหรือปลาบปลื้มกับความงดงามของเขา ไม่เลย ไม่อย่างเด็ดขาดด้วย

             คิดแบบนั้นฉันก็มองหาเสื้อผ้าของตัวเอง และพบว่ามันหล่นเกลื่อนกลาดบนพื้นห้องนี่เอง คุณพระคุณเจ้า ฉันจะเป็นลม

             ไม่ต้องคิดแล้วละว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉันไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ประคองตัวเองออกมาจากเตียงแล้วก็กัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้อย่างสุดกำลัง หยิบบราเซียร์กับอันเดอร์แวร์ก่อนเป็นอย่างแรก แล้วก็รีบสวมเสื้อผ้าลวก ๆ

             “บ้าชะมัด ตายแน่ยัยคำหวาน แกตายแน่” ฉันพร่ำบ่นก่นด่าตัวเองด้วยความลนลานหวาดกลัว

             ‘คำหวาน คือชื่อของฉันเอง ซึ่งฉันไม่ได้หวานอย่างที่คนอื่นคิดหรอก ฉันน่ะทั้งเพี้ยนทั้งเอ๋อ จนเพื่อนส่ายหน้าเมื่อได้ยินชื่อของฉันเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสาธยายเรื่องของตัวเอง ฉันรีบคว้าเสื้อผ้าสวมอย่างลนลาน แต่กลางตัวก็เจ็บเหมือนเอามีดมาผ่าครึ่งตัวอย่างนั้นแหละ แล้วก็เสียบค้างเอาไว้อย่างนั้นด้วย

             นั่นแหละความรู้สึกเจ็บปวดของฉันตอนนี้โอย น้ำตาจะไหล

             เมื่อคว้ากระเป๋ากับรองเท้าส้นสูงได้เป็นอย่างสุดท้ายได้ ฉันก็เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางของผู้ชายราคาแพงลิ่วและจำนวนมหาศาลอยู่บนนั้น เพื่อสำรวจดูสภาพของตัวเอง

             “ยัยคำหวาน แกทำอะไรลงไปเนี่ย” ฉันอุทาน แทบกระอักเลือด แล้วเอาเลือดนั้นมาเขียนดายอิ้งเมสเซจ[1]บนกระจกอีกที

             “ตายแน่แก” ตอนที่ฉันร้องไห้คร่ำครวญกับตัวเองหน้ากระจก คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ขยับตัว

             เขาผุดลุกขึ้นนั่งกลางเตียง และยิ่งเห็นว่าเขาหล่อและดูดีซะจนเลือดกำเดาทะลักออกมาบ้าที่สุดยัยคำหวาน เธอคิดบ้าบอคอแตกอีกแล้วละ

             ฉันหันไปมองเขาอย่างหวาดกลัว เราสองคนจึงได้สบตากันและกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

             “เธอ” เขาพูดได้คำเดียวฉันก็เบ้หน้าร้องไห้ทันที

             “ฮือแม่จ๋า” ฉันครางแล้วก็วิ่งผลุนผลันออกมาจากที่นั่นทันที

             และด้วยการวิ่งแบบไม่ยั้งคิดนั่น ทำให้ฉันต้องเดินกะเผลกบนส้นสูงบ้าบอสีแดงสดที่มันกำลังกัดเท้าฉันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

             ฮึก เลิกกัดเท้าฉันสักที ไอ้รองเท้าเลว

     

     

             ฉันจำอะไรไม่ได้เลย มันเลือน ๆ ราง ๆ เหมือนว่าฉันสนุกสุดเหวี่ยงกอดจูบกับใครสักคนนี่แหละ สมองมันยังเต้นตุบ ๆ อยู่เลยด้วย คิดแล้วก็อยากอาเจียน สภาพของฉันเหมือนอีตัวราคาถูกที่เพิ่งกลับมาจากการรับแขกก็ไม่ปาน

             ฉันไม่ได้ดูถูกใครหรือดูถูกตัวเองนะ แต่ว่าตอนนี้ฉันสภาพสุดจะโทรมจริง ๆ คนอื่น ๆ ที่ผ่านมาเห็นฉันก็ยังเบ้ปากมองมาอย่างเยียด ๆ เลย

             ก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้นะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่ ฉันซื้อหวานเย็นแช่แข็งมาทาบหน้าผากและขมับด้วย เพราะดูเหมือนจะเป็นไข้อีกต่างหาก ชีวิตนี่มัน

             สุดท้ายฉันก็กลับมาถึงห้องของตัวเองได้ในที่สุด สิ่งแรกที่ทำคือการล้มตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะหลับสนิทไปเลยด้วยความอ่อนเพลีย มารู้ตัวก็ตอนบ่ายและมีสายโทรเข้ามา

             “อืม

             (ยัยคำหวาน แกอยู่ไหนวะ ตายยัง)

             เสียงแว้ดแจ้ดแจ๋แบบนี้ เสียงแบบนี้ทัญญ่า

             “อยากตายเหมือนกันแหละ แต่ยังไม่ตายนี่สิ ฉันปวดหัวมากเลยแก ขอนอนก่อนได้มั้ย?” ฉันคร่ำครวญครางในคอเพื่อเพิ่มความน่าสงสารไปด้วย

             แต่เชื่อสิ เพื่อนนางพญาผู้น่ากลัวอย่างทัญญ่าไม่เชื่อหรอก เธอชำนาญและโชกโชนผ่านเรื่องแบบนี้มามากเพราะเป็นเพลย์เกิร์ลตัวแม่เลย

             (เมื่อคืนแกหายไปไหนวะ รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีใครเห็นแกแล้ว โทรไปก็ไม่รับ ตกลงตอนนี้แกอยู่ไหน) เสียงของทัญญ่าบอกชัดถึงความเป็นห่วง เพราะอย่างนั้นฉันเลยลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง ด้วยยังระบมไปทั้งตัว

             “อยู่ที่ห้องนี่แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ฉันบอกเพื่อไม่ให้เพื่อนไม่สบายใจ

             (แล้วเมือคืนแกอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร?) แต่ทัญญ่าก็ไม่เลิกซัก จนกว่าจะได้รับคำตอบที่พอใจ เชื่อสิว่าเพื่อนคนนี้ไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ แน่

             อยากบอกไปเหมือนกันว่าฉันเองก็ยังไม่รู้เลย ตอนที่วิ่งออกมาจากห้องนอนของผู้ชายคนนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้

             รู้แค่ว่าพุ่งตัวออกมาจากคอนโดหรูนั่นแล้วก็รีบขึ้นแท็กซี่กลับคอนโดตัวเองเลย แต่รู้ไหมว่ามันตลกยังไง

             เพราะคอนโดที่ฉันพักอยู่น่ะ มันอยู่ตรงกันข้ามกับคอนโดของผู้ชายคนนั้นแบบว่าหันหน้าชนกันเลย เพราะมันเป็นคอนโดโครงการเดียวกัน คนขับแท็กซี่ก็มองฉันเหมือนจะถามว่าฉันบ้ารึเปล่า

             ฉันเลยต้องเก็บเศษหน้าที่หล่นกราวบนรถแท็กซี่แล้วก็ซนซานกลับห้องมา โดยมีสายตามองฉันเหมือนเป็นคนเมาที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ

             “เอ่อ” ฉันแทบจะลืมตอบคำถามของทัญญ่า เพราะมัวแต่คิดคำตอบอยู่

             (แกอยู่ไหน…) ทัญญ่าถามซ้ำ ฉันเลยรีบโกหกออกไป ก่อนความจะแตกและถูกจับได้ว่าเมื่อคืนไปกับคนแปลกหน้ามา

             บ้าที่สุดยัยคำหวาน! เธอนอนกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ

             “เมื่อคืนเจอพี่สาวน่ะ แล้วฉันเมา ๆ ด้วยเลยไม่ได้โทรบอก ฉันขอโทษน้า” ฉันรีบอ้อน ไม่อยากถูกซักไซ้อะไรอีก

             (คนอื่นเค้าเป็นห่วงกันนะยะ เข้าใจมั้ย…)

             “อืม ฉันขอโทษจริง ๆ นะ” ฉันบอกเสียงอ่อน เพราะตัวฉันเองก็อยากจะด่าแล้วก็ขอโทษตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ

             (โอเค ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็นอนพักเหอะ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันอยากบอกแก…) ทัญญ่าบอกเสียงเครียด และเว้นคำพูดเอาไว้ให้ฉันใจเต้นแรงอย่างน่ากลัว

             (ถ้าแกพลาดท่าไปนอนกับใครมาก็เซฟตัวเองดี ๆ ล่ะ คงไม่ต้องสอนหรอกนะว่าต้องทำยังไงน่ะ…)

             ฮือ นั่นแหละ ที่ฉันต้องการคำชี้แนะที่สุดในตอนนี้ แต่แบบว่า แบบว่า ฮือ เรื่องนี้ฉันไม่กล้าบอกใครนี่ เพราะขนาดชื่อผู้ชายคนนั้นฉันยังจำไม่ได้เลย

             ทัญญ่าวางสายไปแล้ว แต่ฉันยังนั่งนิ่งบนเตียงเหมือนรูปปั้นหินง่อย ๆ รู้สึกว่าเหนียวเหนอะไปทั้งตัว กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยปะปนมากับกลิ่นบุหรี่ นอกจากนั้นยังมีกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นน้ำหอมของผู้ชายมันลอยอวลจนกลายเป็นกลิ่นเดียวกับน้ำหอมของฉันไปแล้ว

             ส่วนที่ลึกที่สุดในร่างกายก็คล้ายว่ามันยังร้อนผ่าวอยู่

             นี่ฉันทำอะไรลงไป

     

     

    Ted’s talking…

             ผมมองดูรอยเลือดบนเตียงแล้วก็ถอนหายใจ เอาเป็นว่า ผมไม่เคยเจอผู้หญิงบริสุทธิ์มาก่อน ก็สั้น ๆ แบบนั้นแหละ

             และจะว่าเลวก็ได้ที่ต้องบอกว่าผมจำไม่ได้ว่าเธอชื่ออะไร อันที่จริง ผมก็ถามไปหลายครั้งแล้วว่าเธอชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน แต่โชคร้ายที่ยัยนั่นไม่ยอมปริปากบอกอะไรเลย

             เพราะยัยนั่นเมามาก เมาแบบไม่รู้เรื่องเลย ตอนแรกคิดว่าดื่มเยอะ แต่ที่ไหนได้ เธอคออ่อนและไม่ค่อยได้ดื่มเหล้า ไม่รู้ว่าถูกผู้ชายที่ไหนมอมเหล้าเอาแต่ผมไปเจอเข้าซะก่อนเลยหิ้วเธอกลับมาด้วย

             เธอดูไร้เดียงสาแต่ก็ร้อนแรงมาก จูบหวาน ๆ ที่ได้ทำให้ผมหลงเคลิ้มอยู่นานจนยอมพาเธอกลับมานอนที่ห้องด้วย ซึ่งไม่เคยพาใครมานอนที่นี่มาก่อนเลยนอกจากเพื่อนสนิทในกลุ่ม และน้องสาวอย่าง แบร์

             อ้อใช่ผมชื่อ เท็ดอันที่จริงคือเท็ดดี้ แต่มันก็นะไปเลยให้ทุกคนเรียกว่าเท็ดสั้น ๆ ก็พอ ผมกับแบร์ เราสองคนเป็นพี่น้องตระกูลหมีน่ะ แต่เดี๋ยวนะ เวลานี้มันใช่เวลาจะมาคุยเรื่องนี้เหรอ งั้นกลับเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน

             หลังจากหิ้วยัยหน้าหวานคนนั้นกลับมาด้วย เรากอดจูบและนัวเนียกันตั้งแต่หน้าประตูจนมาถึงห้องนอน กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบนเตียงอย่างเร่าร้อน ที่ไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้มาก่อน

             และที่ตกใจสุดขีด

             ยัยเมรีขี้เมาเนี่ย บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยผ่านผู้ชายมาก่อนเลย

             เธอกรีดร้อง จิกข่วนจนผมแสบไปทั้งตัวเพราะเธอดิ้นรนพยายามจะหนี แต่ผมก็ใจเย็นปลอบให้เธอหายกลัวหายตกใจ สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี

             แต่พอถึงตอนเช้า เธอก็ลนลานเก็บของแล้วก็วิ่งหนีกลับไปโดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรทั้งนั้น และคงต้องเป็นผมเองนี่แหละที่ต้องที่ต้องความสะอาดเตียงคนเดียว

             อา ให้ตายเถอะ นี่ผมถูกฟันแล้วทิ้งเหรอเนี่ย

     

     

             ผมปวดหัวมาก และไม่ได้ออกไปข้างนอกวันนึงเต็ม ๆ โชคดีที่งานใหญ่ผ่านไปแล้ว เพื่อนคนอื่นก็ต่างวุ่นวายกับเมียตัวเอง เพราะอย่างนั้นผมถึงได้มีเวลาพักผ่อน ในกลุ่ม The Moxie ที่ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวงดนตรีนี้ แต่ละคนมีแฟนกันหมดแล้ว ไล่มาตั้งแต่ สิตางศุ์ ซิมมอนส์[2] คาร์ล[3] แล้วก็ ร็อบ[4]

             ส่วนคนที่โสดอย่างน่าสงสารก็เป็นผม และ เดมอน อีกคนหนึ่งเท่านั้น

             เดมอนอาจจะหาแฟนช้ากว่าคนอื่นหน่อย เพราะหมอนี่อกหักจากแบร์มา ซึ่งผมไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายนัก เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเราทุกคนก็ต่างมีเส้นทางเดินที่เรียบง่ายและพอใจของเราเองกันทุกคนแล้ว

             พอถึงช่วงเย็น ผมก็ต้องสั่งตัวเองให้ลุกออกจากเตียง บิดขี้เกียจไล่ความเหนื่อยล้าออกจากตัว เพื่อไปหาของใส่ท้องก่อนโรคกระเพาะจะถามหา

             ผมเลือกร้านอาหารใกล้ ๆ คอนโด ซึ่งส่วนมากก็เป็นร้านที่ซื้อไปให้เมียของเพื่อน ๆ เป็นประจำ พอเดินเข้าร้านผมก็สั่งกับบริกรที่เห็นหน้ากันเป็นประจำเกือบทุกวันอยู่แล้ว

             “เหมือนเดิม กลับบ้านครับ”

             “งั้นนั่งรอก่อนเลยนะครับ” บริกรบอก ผมเลยพยักหน้าแล้วก็นั่งรอที่นั่งเดิมของตัวเองที่มานั่งเป็นประจำ

             ระหว่างนี้ผมก็เห็นกลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันอยู่อย่างออกรส แต่มีคนหนึ่งที่ผมคุ้นตาอย่างมาก

             ใช่ ผมหมายถึงยัยคนที่ผมหิ้วมานอนด้วย แล้วเธอก็ฟันผมแล้วทิ้งยังไงล่ะ

             “ฉันบอกแล้วไง ว่าผู้ชายคนนั้นแฟนฉัน แฟนจริง ๆ ไม่ใช่ชั่วคราวแน่นอน”

             ยัยเมรีขี้เมาพูดกับเพื่อนของเธอ

             ผมก็นั่งมองเงียบ ๆ รอฟังต่อไปว่าเธอจะว่าอะไรอีก

             “เจอกันแค่ไม่นาน แกก็นอนกับเขามาเลยเนี่ยนะยัยคำหวาน!

             แน่นอน แม้แต่ผมที่ยังไม่เคยหลงใครคนไหนมาก่อนก็ต้องหลงและสะดุดเพราะชื่อของแม่คนนี้นี่แหละ

             เธอมีชื่อว่า คำหวาน สินะ

             หวานพอดีคำสมตัวมากเลยละ พ่อละอยากจะฟัดอีกสักยกสองยกจริง ๆ เลย และเท่าที่ฟังดูแล้ว เหมือนพวกหล่อนกำลังเมาท์เรื่องของผมอยู่น่ะนะ

             “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกนะ ฉันไม่เหมือนพวกแกนะ ไม่มีแบบ one-night stand[5] แน่ ๆ” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง

             ผมอยากหัวเราะและบอกว่ามันไม่จริงเลยสักนิด

             ก็เล่นหนีออกไปตั้งแต่เช้าแบบนั้น มันหมายความว่ายังไงกันล่ะครับ คุณผู้หญิง

             “แล้วแกเป็นยังไงกับแฟนแก เขาเป็นไง อะ เล่ามา

             “ก็หล่อ ใจดี หวาน ตามใจฉันตลอด” ยัยคำหวานพูด ผมละอยากจะหัวเราะเสียงดัง ๆ นักเชียว

             “แล้วคืนก่อน เขาป้องกันมั้ย?” เพื่อนของเธอถาม

             ซึ่งผมจำได้ว่า

             “ฮึกฉัน”

             “แกจำไม่ได้” เพื่อนของคำหวานประสานเสียงดัง

             เจ้าตัวก็เลิ่กลั่กหน้าแดงเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

             “ป้องกันสิ ฉันไม่ได้โง่นะ” คำหวานพูดเสียงดังเหมือนจะปกป้องตัวเอง

             ซึ่งเมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว ผมก็พาตัวเองเข้าไปหากลุ่มสาว ๆ ทันที

             “ซอรี่ที่รัก เมื่อคืนก่อน ฉันหลั่งใน

    End Ted talk…

     

     

             ฉันตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้าผู้ชายที่พรากเอาพรหมจรรย์ของฉันไป หลังจากที่เสียหน้าอย่างรุนแรงในร้านอาหารต่อหน้าเพื่อนหลายคน เขาลากฉันมาที่ห้องชุดของเขาแล้วก็นั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ ขณะที่ฉันตัวลีบเล็กบนโซฟาอีกตัวที่เราหันหน้าเข้าหากัน

             “เรารักกัน?” เขาถาม ฉันก็หน้าซีด

             “เปล่า”

             “เราเป็นแฟนกัน?” เขาถามอีก คราวนี้ฉันก็ส่ายหน้าไปมา

             “เปล่า

             “และเราไม่ได้ป้องกัน

             ฉันอยากตอบไปเหลือเกินว่าเปล่า แต่ตอนนี้มันใช่เวลาจะมาพูดเรื่องแบบนี้ที่ไหนกันเล่า

             “จะเอายังไงล่ะทีนี้” เขายกแขนขึ้นกอดอกแล้วก็มองฉันนิ่ง ๆ ฉันก็ตัวลีบแล้วลีบอีกจนไม่รู้จะทำยังไง

             “ฉันขอโทษ ฉันแค่ไม่อยากถูกมองไม่ดี” พูดแล้วฉันก็ทำหน้าเศร้า ใครล่ะอยากจะถูกเพื่อนต่อว่าว่าตัวเองเป็นสาวรักสนุกแต่ไม่ผูกพัน

             “แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ” เขาพูดและตีหน้านิ่งเรียบเฉยดูเย็นชาซะจนน่าใจหาย

             แต่จะว่าไป เขาชื่ออะไรแล้วนะ แล้วกัน นี่ฉันกลายเป็นคนที่เคยว่าเพื่อนมาตลอดเลย ว่านอนกับผู้ชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อได้ยังไง ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนอย่างนั้นไปแล้วใช่ไหม

             “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”

             เขาเองก็ไม่น่าจะโผล่มาตอนนั้นนี่ ฉันไม่ได้เอ่ยถึงเขาซะหน่อย เขาเองนั่นแหละโผล่มาแล้วก็แสดงตัวซะเอง ถ้าอยู่นิ่งไปซะก็ไม่มีเรื่องอะไรแท้ ๆ คิดแล้วฉันก็เม้มปากแน่น

             “ชื่อเสียงของฉันก็ป่นปี้ไปหมดเลยน่ะสิ” สีหน้าแววตาของเขาเข้มขึ้น ฉันก็ซีดลงเรื่อย ๆ มาเจอกันแบบนี้มัน

             “ฉันจะขอให้เพื่อนไม่พูดเรื่องนี้ นายไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ”

             เดี๋ยวสิ! คนที่ต้องถูกปลอบใจน่ะคือฉันไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ ผู้ชายอย่างเขาจะไปเสียอะไร ได้กำไรอีกต่างหาก คิดแล้วฉันก็น้ำตาซึมเม้มปากแน่นไม่อยากจะคุยด้วยอีก

             “ผู้หญิง เชื่อได้ที่ไหน” เขาเบ้ปากบอกอย่างไม่เชื่อคำพูดของฉัน

             แต่มันก็จริงละนะ ถ้าเรื่องหลุดไปแล้ว เชื่อได้เลยว่ายังไงก็ยากที่หยุดได้ง่าย ๆ แถมเขายังดูหล่อเซ็กซี่ แบบว่าคงมีผู้หญิงต่อคิวจะเดตกับเขายาวเป็นหางว่าว แล้วทำไมต้องมาวุ่นวายกับผู้หญิงแบบฉันกัน

             “แล้วเรื่องของเราจะเอายังไงต่อ” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงไปมา เหมือนจะโปรยเสน่ห์ให้ฉันตกหลุมรักครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาใจเต้นแรงนี่มันน่ากลัวจริง ๆ เลย

             “ฉันไม่ได้ป้องกันนะเมื่อคืนก่อน” เสียงหนักบอก ตอกย้ำเหมือนเอาหอกมาซัดหัวใจฉันจนพรุนอย่างนั้นแหละ

             “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ฉันพึมพำตอบ แม้จะยังไม่ได้จัดการอะไรจริงจัง แต่หลังจากนี้แหละ ไม่พลาดแน่ ที่ไม่ทำอะไรน่ะ เป็นเพราะว่าน่าจะอีกสองวันที่ประจำเดือนของฉันจะมาแล้วน่ะสิ เพราะอย่างนั้นเลยไม่ได้กังวลอะไรมาก

             แต่สิ่งที่อึดอัดกังวลที่สุดคืออาการคัดหน้าอกนี่แหละ ให้ตายเถอะ มันเจ็บมากจริง ๆ เหมือนนอนให้รถสิบล้อทับเลย ซึ่งปกติทุก ๆ เดือนตอนที่มีประจำเดือนมันก็ไม่ได้เจ็บขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขา

             คนที่อยู่ตรงหน้ารุนแรงอะไรมากหรือเปล่า

             ฮือ หยุดคิดเรื่องนั้นได้แล้วยัยคำหวาน

             “งั้นเหรอ แล้วเธอจะอุ้มท้องโย้มาหาฉันอีกหลายเดือนต่อจากนี้รึเปล่า?” เขาถามอีก แววตานิ่งเฉยนั้นพาให้ร่างกายของฉันร้อนผ่าวไปหมด

             “ไม่มีแน่นอน” ฉันบอกอย่างมั่นใจ เพราะประจำเดือนของฉันมาตรงเสมอไม่เคยขาด ต่อให้เครียดหรือร่างกายอ่อนเพลียมากแค่ไหนมันก็ไม่เคยหาย อีกสองสามวันก็น่าจะมาแล้วละ ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ คุณหน้าหล่อ

             “แล้วเธอเป็นโรคติดต่อบ้างรึเปล่า”

             “ฮะ!?” ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ ลืมคิดเรื่องนี้ไปซะสนิทใจ

             แต่ไม่ได้หมายถึงตัวเองนะ เขานั่นแหละที่ดูอันตรายน่ากลัวกว่าฉันน่ะ

             “ฉันไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ฉันรีบปฏิเสธ หน้าร้อนไปหมดและจ้องเขาด้วยความโกรธ

             “จะไปตรวจกันเลยมั้ยล่ะ” เขายียวนท้าทายแบบที่ฉันอยากจะร้องไห้จริง ๆ

             นี่เขาไม่รู้เหรอว่านั่นคือครั้งแรกของฉันน่ะ แล้วมาถามแบบนี้ มัน มันฉันโกรธจนจะร้องไห้ แต่เขากลับไหวไหล่ทำเฉย

             “งั้นฉันจะไปตรวจร่างกายเองก็ได้ แต่ถ้าฉันเป็นอะไร ฉันไม่เอาเธอไว้แน่” เขาทำหน้าจริงจังน่ากลัวจนฉันหลอน และฉันอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าเขานั่นแหละที่จะเอาโรคอะไรมาติดฉันหรือเปล่า

             และที่สำคัญ ถ้าเขาไปติดจากคนอื่นมาล่ะ แล้วจะมาโทษฉันงั้นเหรอ ฉันโกรธจนน้ำตาซึม ส่วนเขาก็ยังนิ่งเหมือนเดิม

             “ตามสบายเลย จะมาเอาเงินค่าตรวจก็ได้นะ จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย” ฉันยืนขึ้น จ้องหน้าเขาอย่างโกรธ ๆ

             “งั้นเอาเบอร์โทรมาสิ ฉันจะเรียกร้องค่าเสียหาย

     

     

             ฉันโกรธ และโกรธมาก!

             หลังจากที่เดินตึงตังออกมาจากห้องชุดของเขา ฉันก็เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองก็น่าจะตรวจร่างกายบ้าง เผื่อว่าจะติดโรคอะไรมาหรือเปล่า ฉันโกรธมากจนหน้าแดง และรอรถบัสเพื่อจะไปคลินิกตรวจภายในให้รู้แล้วรู้รอดไป คอยดูสิ ถ้าฉันเป็นอะไรขึ้นมา เขานั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ

             ระหว่างที่อยู่บนรถบัสซึ่งคนแน่นมาก แถมยังไม่มีที่นั่ง ต้องยืนตัวเอนไปมาตามแรงเหวี่ยงของรถบัส ไม่กี่นาทีต่อไปฉันก็ต้องสะดุ้ง เมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายสั่นและส่งเสียงดังลั่นออกมา

             “Been around the world, don’t speak the language ไปมาแล้วรอบโลก ไม่ต้องพูดอะไร

             But your booty don’t need explaining เพราะบั้นท้ายของเธอก็ไม่ต้องอธิบายอะไร

             All I really need to understand is ฉันต้องการเข้าใจจริง ๆ ก็แค่

             When you talk dirty to me พูดหื่น ๆ กับฉันหน่อยสิ

             Talk dirty to me[6] หื่น ๆ สักหน่อย”

             กรี๊ด คุณพระ! ริงโทนนี่มันบ้าอะไรกัน ทำไมมันล่อแหลมแบบนี้

             ฉันอายมากไม่กล้ามองใครทั้งนั้น รีบควานหามันจากในกระเป๋าแล้วเอามันขึ้นมาดู

             -TEDDY MAN-

             เท็ดดี้แมนใครกันน่ะ แต่ไอ้ริงโทนงี่เง่านี่บังคับให้ฉันต้องรีบรับสายอย่างรวดเร็ว

             “ใครน่ะ!” ฉันถาม ใจเต้นแรงแล้วก็อายมากด้วย

             (คิดจะไปไหนเหรอ?) เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูเซ็กซี่และร้ายกาจอยู่หน่อย ๆ ทำฉันเลิกคิ้วสูง

             เสียงนี้มัน

             “แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย!” ฉันตะคอกไปแล้วก็ถูกเบียดไปชิดกับมุมหนึ่งของรถบัสจนแทบขยับตัวไม่ได้

             (ก็ถามไถ่ตามประสาคนรู้จัก…) เขายียวนกลับมา

             ฉันใจหาย ช่องท้องร้อนวูบไปหมด คำว่าคนรู้จักของเขานั้นมันเหมือนเข็มทิ่มตำในใจจนเจ็บปวดไปหมด

             “เราไม่ใช่คนรู้จัก เราเป็นคนแปลกหน้าต่างหาก” ฉันพูดเสียงเข้ม แล้วก็เย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนเบียดเข้ามาชิดจากทางด้านหลังอย่างจงใจ และใกล้เกินไป

             (งั้นเหรอ โอเค งั้นเราจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน…) เท็ดพูด และเป็นจังหวะที่มีมือร้อน ๆ วางทาบที่สะโพกของฉันอย่างจงใจ

             ฉันตกใจจนลืมวิธีการหายใจและวิธีการพูดไปซะสนิท กลัวจนตัวสั่นเมื่อถูกลวนลามอยู่ตอนนี้

             กลิ่นน้ำหอมและบุหรี่จาง ๆ นั่นทำสมองฉันเลอะเลือนไปหมด คนที่มีกลิ่นหอมแบบนี้ก็เป็นคนโรคจิตด้วยเหรอ ฉันคิดอะไรไม่เข้าท่าและไม่ได้เรื่องเลย ตัวก็กลายเป็นหินน้ำตาซึมด้วยความหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูกจนน้ำตาซึมเพราะความกลัวความตกใจ

             (เราจะไม่รู้จักกันเลย…)

             ฉันไม่เข้าใจอะไรที่เท็ดพูด และทั้งกลัวทั้งขยะแขยงกับเจ้าคนโรคจิตที่กำลังลวนลามอยู่ เมื่อฮึดกำลังใจขึ้นมาได้ ฉันก็สะบัดตัวแล้วก็ผลักคนคนนั้นเต็มแรง

             แต่เขาตัวสูงใหญ่กว่าฉันหลายเท่าจึงไม่ขยับเขยื้อนเลยเมื่อฉันออกแรงผลัก แต่ที่น่าตกใจที่สุด

             นั่นคือโรคจิตที่ลวนลามฉัน เขาคือเท็ด!

             “นาย!” เลือดขึ้นหน้าเพราะความโมโห ฉันทำท่าหมายจะฟาดเขาแรง ๆ อีกสักครั้ง แต่เท็ดยิ้มที่มุมปาก เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

             “นายทำอะไร” ฉันถามเสียงสั่น ทั้งอายทั้งโกรธที่ถูกทำเหมือนผู้หญิงข้างทางที่จะทำยังไงแบบไหนด้วยก็ได้

             “เรารู้จักกันเหรอครับ?” เท็ดถามเสียงเรียบ มุมปากลดลงแล้ว แต่แววตายังเต็มไปด้วยความร้ายกาจและหยาบคายอย่างเห็นได้ชัด

             “นายมันทุเรศ” ฉันด่าไปโดยไม่สนใจว่าใครจะมามองยังไง

             เพราะสิ่งที่เขาทำน่ะมันทั้งเลวร้ายหยาบคายและร้ายกาจยิ่งกว่าอะไรที่ฉันเคยเจอมาซะอีก

             “ผมว่าผมไม่รู้จักคุณนะครับ” เท็ดทำหน้าไร้เดียงสา คนอื่นก็มองเหมือนว่าฉันบ้าไม่มีสติมาด่าผู้ชายหน้าตาดีปาว ๆ แต่ลองเจอแบบที่ฉันเจอก่อนสิ ฉันคิดอย่างเจ็บแค้น เริ่มเวียนหัวและอยากจะอาเจียนขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกับที่รถบัสจอดตรงป้ายที่อยากลงพอดี เลยไม่รอช้ารีบลงมาทันที

             ขอให้ฉันไม่เจอโรคอะไรทั้งนั้น แล้วขอสาปแช่งผู้ชายสารเลวที่ฟันแล้วทิ้งให้เจอแต่เรื่องร้ายกว่าที่ฉันเจอ ฉันคิดอย่างเจ็บปวด แล้วก็หนีลงมาด้วยความแค้น

             ว่าแต่ ฉันกำลังจะไปไหนกันนะ ฉันยกมือเสยผมด้วยความหงุดหงิด เช็ดน้ำตาด้วยความแค้นใจ แล้วก็เห็นได้หมีบ้ากามนั่นลงจากรถบัสมาด้วย

             กรี๊ด! เขาต้องการอะไรจากฉันเหรอ!?

             ฉันคิดด้วยความเกลียดและกลัว แต่ตอนนี้คงต้องหนีอย่างเดียวแล้ว เรื่องจะไปโรงพยาบาลเอาไว้ก่อน ขอหลบหมอนี่ก่อนเถอะ แล้วต้องไปที่ไหนดีล่ะ ช่องท้องของฉันปั่นป่วนวูบวาบไปหมดเมื่อเห็นหมีเถื่อนทำสายตาวิบวับมาแต่ไกล

             ร้านอาหาร! ฉันอุทานในใจด้วยความปลาบปลื้มปีติ เพราะถ้าเป็นร้านอาหารที่มีคนพลุกพล่านแบบนี้ เชื่อสิ เขาไม่กล้าทำเรื่องบ้า ๆ หรอก

             แต่ถ้ายังจะกล้า ฉันคิดว่าเขาคงถูกรุมประชาทัณฑ์จากคนในร้านแน่ คิดแบบนั้นฉันก็หลบเข้าไปทันที

             “สวัสดีครับ” บริกรหนุ่มหล่อเดินเข้ามาทักทายทันที ฉันเลยระงับสีหน้าตื่นกลัวเอาไว้แล้วก็ส่งยิ้มให้

             “มากี่คนครับ” เขาถาม ซึ่งถ้าเป็นปกติทั่วไปฉันก็คงหลงเคลิ้มไปกับความหล่อเหลาและดูมีเสน่ห์ของเขาไปแล้วแน่ ๆ แต่ตอนนี้ข้างหลังมีหมีเถื่อนตามมา ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องหลบให้พ้นก่อน

             “มาคนเดียวค่ะ” ฉันบอกด้วยเสียงหอบ ๆ บริกรเลยพาฉันเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กที่มีไว้สำหรับลูกค้าที่มาคนเดียวหรือสองคน

             ฉันพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ไม่อยากเจอเท็ดนี่ ขอหลบก่อนเถอะ แล้วฉันจะ จะ จะด่าเขาให้ดู

             ฮือ ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ เลย

             “เมนูครับ” บริกรหนุ่มคนเดิมบอกกับฉันเสียงทุ้มนุ่ม ฉันก็รับเอาเมนูจากเขามาดูแล้วพลิกมันดูรายการอาหารทันที

             “ขอสเต็กกับรีซอตโต[7]ค่ะ” ฉันบอกชื่ออาหาร รวมถึงเครื่องดื่มด้วย บริกรหนุ่มหล่อก็ทวนเมนูอาหารก่อนจะเดินไปเงียบ ๆ

             หลังจากนั้น ฉันก็สอดส่องสายตามองไปหน้าร้านซึ่งเป็นผนังกระจกอย่างหวาดหวั่น

             เมื่อไม่เห็นไอ้บ้ากามสารเลวชั่วช้าคนนั้นแล้วฉันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

             “หลบพ้นซะทีเรา” ฉันอดไม่ได้ที่จะยกมือกดหน้าอกที่หัวใจมันเต้นหนักหน่วงเหมือนกลองชุดจากเพลงร็อกที่แสนเร่าร้อน อากาศในร้านอาหารเย็นสบายแต่เหงื่อฉันกลับชุ่มไปทั้งตัว บอกให้รู้ว่าฉันกลัวผู้ชายที่ชื่อเท็ดคนนั้นมากแค่ไหน

             “เท็ดดี้” ฉันพึมพำชื่อของเขาแล้วก็ถอนหายใจอีกหน

             ชื่อออกจะน่ารัก แต่ทำไมเขาถึงได้ร้ายกาจแบบนั้นกันเล่า ทั้งกลัวทั้งตกใจ ฉันเลยภาวนาว่าจะไม่ได้เจอกับเขาอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง เอ่อ หรือไม่ก็ครั้งที่สามที่สี่นี่แหละ เออ ช่างมันเถอะ เลิกคิดถึงผู้ชายคนนั้นซะทีเถอะ ฉันบอกตัวเองแล้วก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

             ไม่นานอาหารก็มาถึง ฉันไม่เคยเข้าร้านนี้มาก่อน เลยไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง และคาดหวังกับอาหารตรงหน้าพอสมควร นั่นเป็นเพราะว่าสีสันแล้วก็กลิ่นของมันหอมมากเลย ดังนั้นเลยกินอย่างไม่ฝืนและพบว่ามันอร่อยมากจนอดที่จะทำตาโตไม่ได้

             ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองหิวมากขนาดนี้ แล้วมันก็อร่อยมากด้วย คิดว่าวันหลังอยากจะชวนเพื่อนคนอื่น ๆ มาด้วย พออิ่มแล้วสมองก็ปลอดโปร่งมากขึ้น แต่อันที่จริงต้องบอกว่าหนังตามันหนักขึ้นมากกว่า

             หลังจากคิดเงินเรียบร้อยฉันก็ตั้งใจจะกลับไปนอนงีบที่ห้อง แต่ฉันต้องรีบก้มลงอยู่ใต้โต๊ะ เมื่อเห็นไอ้เจ้าหมีเถื่อนนั่งกินดื่มกับเพื่อนของเขาที่โต๊ะใกล้ ๆ กัน

             คุณพระ! ฉันนี่มันซวยจริง ๆ เลย

             ฉันไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน ครั้นจะเดินดุ่มออกไปเลยก็กลัวว่าเขาจะจับได้

             แต่เดี๋ยวนะ เท็ดเป็นคนพูดเองว่าเราเป็นคนแปลกหน้า เพราะอย่างนั้นฉันเลยคลานออกมาจากใต้โต๊ะ แต่ไม่วายหัวโขกกับโต๊ะอย่างจังจนเห็นดาวหลายดวง แถมยังได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาด้วย ฉันอายแทบจะขุดพื้นแล้วก็มุดดินหนีไปซะ บ้าที่สุดเลย

             ฉันตั้งใจว่าจะเชิดหน้าแล้วก็หนีไปซะ แต่แค่วินาทีเดียว วินาทีเดียวเท่านั้นจริง ๆ เท่านั้นที่ฉันถูกจับข้อมือแล้วถูกโยนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีฉันก็อยู่ใต้ร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่คร่อมฉันเอาไว้บนเก้าอี้เบาะตัวยาว

             และไอ้คนที่ทำอย่างนั้นก็คือไอ้หมีเถื่อนหื่นโหด เขายิ้มแลบลิ้นที่มุมปากอย่างซุกซน หัวใจของฉันก็แทบจะหยุดเต้น

             “จะฟัดกันตรงนี้ให้คนอื่นดูเลย หรือว่าจะขึ้นไปข้างบนกับฉัน แม่คำหวาน” เขายิ้ม แล้วก็ทอดสายตามองหน้าอกของฉันอย่างหยาบคาย

             ฉันกรีดร้องและโวยวาย แต่ไม่มีใครสนใจเลยสักคน เพื่อนของเขามองมาแล้วก็หัวเราะ นั่งดื่มกันต่อโดยไม่สนใจว่าไอ้หมีบ้านี่กำลังลวนลามทำร้ายผู้หญิงอยู่ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

             “หยุดนะเท็ด!” ฉันพยายามจะยึดมือของเขาไว้ แต่สู้แรงเขาไม่ได้เลย

             “เอาตรงนี้เหรอ ได้อารมณ์เหมือนกันนะ” เท็ดบอกเสียงรื่นเริงเหมือนกำลังสนุกเหลือเกิน

             ฉันได้ยินแล้วจะร้องไห้ แต่ไม่คิดเปิดปากจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขาหรือใครทั้งนั้น

             คนเฮงซวยมันก็คือคนเฮงซวยวันยังค่ำ ไม่ว่าจะเท็ดหรือเพื่อนของเขาก็คงนิสัยเหมือนกันนั่นแหละ ฉันคิดด้วยความเจ็บแค้น และหยุดดิ้นโดยปริยาย

             เท็ดผละตัวออกห่างจากฉันเล็กน้อย ก้มหน้าลงมาจนชิด หน้าผากของเราสัมผัสกัน มองตาของกันและกันอย่างนั้นอยู่นาน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายนั่งลงตามเดิม แล้วก็ดึงฉันให้ลุกขึ้นนั่งด้วย

             หัวใจของฉันเต้นถี่ ทั้งเจ็บ ทั้งกลัว และอับอาย แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะไม่ได้สนใจอะไรมากนัก มองหน้าฉันแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก

             ฉันรู้ว่าพวกเขาไม่สนใจ อีกอย่างเท็ดก็ไม่ได้แนะนำฉันให้เพื่อนรู้จักด้วย ฉันเองก็ยินดีมากที่เขาไม่ทำแบบนั้น

             ฉันพยายามจะหาทางออก แต่ตัวของไอ้หมีบ้าสารเลวนั่งขวางเอาไว้ เพราะอย่างนั้นฉันเลยหนีไปไหนไม่ได้ พยายามจะบอกทางสายตา แต่ก็นั่นแหละ

             ไอ้หมีถึกไม่ยอมหลีกให้ฉันลุกออกไป

             เขาหันไปคุยกับเพื่อน ไม่สนว่าฉันจะทำหน้ายังไงหรือใครจะมองมายังไง เห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนพวกนั้นแล้วฉันอยากจะกรีดร้องแล้วอาละวาดให้สาแก่ใจ

             แต่ถ้าทำแบบนั้น ฉันก็ได้กลายเป็นตัวตลกในสายตาของพวกเขาอีก เพราะอย่างนั้นเลยตั้งใจจะมุดใต้โต๊ะเอา ฉันไม่ได้แค่คิดอย่างเดียวเท่านั้น แต่มุดจริงคลานจริงแบบไม่ต้องใช้สแตนด์อินเลย

             ฉันเห็นขาใต้โต๊ะของอีหมีเท็ดแล้วก็อยากจะกัดให้สาแก่ใจ แต่การทำแบบนั้นมันเหมือนหมาไปเพราะฉะนั้นฉันเลยหนีออกมา ท่ามกลางเสียงโวยวายและการที่ผู้ชายแต่ละคนชักขาหนีกันแทบไม่ทัน

             “อะไรเนี่ย

             “ลูกหมาของใครวะ!

             “หยาบคาย ต้องบอกว่าลูกแมวของใครดิวะ!

             “ไอ้หมี เอาหมาเอ๊ย แมวของมึงไปเก็บทีสิวะ!

             ฮึกสมแล้วที่พวกเขาเป็นเพื่อนกัน ดูปากของแต่ละคนซะก่อนสิ ฉันอยากจะร้องกรี๊ดให้สาแก่ใจนัก พอมุดออกมาเหมือนลูกหมาได้แล้วฉันก็อยากจะร้องไห้กับสายตาของคนทั้งร้านที่มองมา

             แต่ตอนนี้จะสนใจอะไรอีกล่ะ ลุกขึ้นยืนได้ฉันก็เชิดหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่อยากจะคลานหมอบกับพื้นแล้วก็ร้องไห้เพราะความอับอายที่แทบจะไปแขวนคอตายได้เลย

             “อุบคิก” แล้วไอ้เจ้าเสียงหัวเราะนี้คือไอ้เท็ดหมีร้าย

             ฉันจำได้ขึ้นใจแล้วก็เชิดหน้าเดินออกจากร้านอาหารอย่าง(ไม่)มั่นใจ ให้ตาย ฉันอยากจะตาย ฮือ

             และพอจะขึ้นแท็กซี่กลับคอนโด ฉันพบว่าตัวเองลืมกระเป๋าไว้ในร้านอาหารเฮงซวยนั่น รวมถึงโทรศัพท์มือถือด้วย

             ไม่ต้องบอกหรอกนะว่ามันจบข่าวมากแค่ไหนน่ะ แค่คิดฉันก็น้ำตาตกใน เรื่องจะให้คลานเข้าไปใต้โต๊ะตามเดิม ฉันไม่กล้าจะทำมันเป็นครั้งที่สองอีกแล้วจริง ๆ

             สิ่งที่ทำได้คือการนั่งลงที่บันไดเตี้ย ๆ หน้าร้านอาหารแล้วก็ขยับไปไหนไม่ได้ ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ หมดแรงจนไม่สามารถขยับตัวได้เลย

             “เฮ้คนแปลกหน้า ไปฟัดกันหน่อยมั้ย?

             ฉันเกลียดหมีชื่อเท็ด!

     

     

             ฉันเป็นไข้สูง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะการกระทำร้ายกาจของผู้ชายที่ชื่อเท็ดคนเดียวเท่านั้น

             ฉันมึนงงเวียนหัวอยากอาเจียน ตั้งใจจะเก็บความรู้สึกพวกนี้เอาไว้แล้วอ้วกมันใส่หน้าไอ้หมีถึก แต่ด้วยไข้ที่มันสูงมาก ฉันเลยทำอย่างใจคิดไม่ได้

             เท็ดพาฉันขึ้นรถมาด้วย ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะดิ้นรนหรือทำตัวเป็นตัวตลกให้พวกเขาหัวเราะอีกแล้ว ในเมื่อกระเป๋าของฉันอยู่ในมือของเขา เลยทำอะไรไม่ได้เลย

             ไม่นานนักเราก็มาถึงคอนโดที่เราพักอยู่ ฉันโซซัดโซเซเพื่อจะกลับไปที่คอนโดของตัวเอง แต่เท็ดคว้าตัวฉันไว้ได้ซะก่อน

             “มาน่า อย่ามาทำเหนียมอาย เราออกจะคุ้นเคยกันนี่นา” ไอ้หมีบ้ามันหัวเราะ แล้วช่วยประคองฉันเดิน

             “เฮ้ย ตัวเธอร้อนจี๋เลยนี่!” เขาอุทาน ทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้ฉันแกล้งทำอย่างนั้นแหละ

             “จะร้องไห้ทำไมเนี่ย เธอทำมาจากน้ำเหรอ ตอนเจอกันครั้งแรกเธอก็ร้องไห้”

             โอ๊ย! ไอ้หมีบ้าพูดจาไม่รู้เรื่องเลย ฉันมองเขาอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอมเดินตามการประคองของเขาแต่โดยดี

             ที่จริงไม่อยากถูกลากมาแบบนี้หรอก แต่ฉันเวียนหัว ลืมตาแทบไม่ไหวจะเป็นลมอยู่แล้ว

             “ไปนอนพักก่อนดีกว่า มาเถอะ

             ฉันไม่อยากจะไปกับเท็ดเลย แต่ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่เป็นใจ แถมข้าวของอะไรต่อมิอะไรก็อยู่ในมือของเขาด้วย ฉะนั้นก็เลยจำต้องเลยตามเลย

             “เฮ้ย เธอเลือดกำเดาไหลด้วยนี่!” เท็ดอุทานออกมาอย่างตกใจ แล้วก็ช้อนตัวฉันขึ้นอุ้มในอ้อมแขน พาตรงไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

             “น่าจะบอกก่อนว่าเธอป่วยจริง ๆ” เขายังไม่วายต่อว่า ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอาการย่ำแย่มากขนาดนี้

             “ก้มหน้าลง ล้างหน้าก่อน” เท็ดกดท้ายทอยของฉันให้ก้มหน้าลงกับอ่างล้างหน้า ทำให้เลือดไหลหยดลงกับอ่าง ฉันเวียนหัวหน้ามืดเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดต้องจมูก

             เท็ดไม่ได้หายไปไหน เขาคอยอยู่ข้าง ๆ ล้างหน้าและเช็ดเลือดให้อย่างไม่รังเกียจ ฉันก็อ่อนแอมากเกินกว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้

             “ขอโทษทีคำหวาน ฉันไม่คิดว่าเธอจะอ่อนแอขนาดนี้” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงอย่างที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน

             ฉันหันไปมองคนข้างตัว เพราะคิดว่าเขาอาจจะเป็นตัวปลอม แต่มือของเขากลับลูบหน้าของฉันอย่างแผ่วเบา

             “หน้าเธอซีดมาก นอนพักเถอะ”

             หลังจากที่ถูกอุ้มมาที่ห้องนอน เท็ดก็วางฉันลงบนเตียง แล้วก็วุ่นวายกับฉันด้วยการถอดเสื้อผ้าออกจากตัวให้โดยที่ฉันไม่ได้ร้องขอเลยแม้แต่น้อย

             “หยุดนะ!” ฉันห้ามเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เวียนหัวจนเหมือนจะอาเจียน หมดเรี่ยวแรงจะขัดขืนได้อีก

             “นอนนิ่ง ๆ ไปเถอะน่า” หมีเถื่อนบอกด้วยความหงุดหงิด

             ฉันหายใจหอบโหย ลมหายใจติดขัด สมองเหมือนจะชัตดาวน์ได้ทุกวินาที แต่ก็กลัวว่าจะถูกรังแกอีก เพราะอย่างนั้นเลยพยายามปัดป้องอย่างสุดความสามารถ

             แต่ก็นั่นแหละ หมีก็คือหมีวันยังค่ำ ฉันเอาชนะเรี่ยวแรงของเขาไม่ได้

             “นอนซะ เธอตัวร้อน เดี๋ยวหายาให้” เสียงของเท็ดเปลี่ยนเป็นคำตะคอกที่ทำฉันมึนงง รู้สึกว่าเขาผละออกไปเลยหายใจได้อย่างโล่งอก แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้เลยทำให้ยิ่งปวดหัวกว่าเดิม

             “ยา” เท็ดพูดสั้น ๆ แล้วก็กระชากฉันลุกออกจากเตียงอย่างไม่ถนอมนัก

             รู้ตัวอีกทีในปากของฉันก็มียาสองเม็ดอยู่บนลิ้นแล้ว พอจะพ่นออกมาแก้วน้ำก็ถูกจ่อมาที่ริมฝีปาก แรงของเขาบังคับให้ฉันกลืนน้ำและยาลงคออย่างช่วยไม่ได้

             “แค่ก! ฮึก

             แน่ละว่าฉันสำลัก ไอ้หมีเถื่อนมันไม่เคยสนใจหรอก ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เอายาหมดอายุมาให้ฉัน เอ๊ะ หรือว่าจะหมดอายุนะ ฉันคิด แต่ก็คิดได้เท่านั้น เพราะถูกเท็ดกดให้นอนลงตามเดิม เนื้อตัวก็เปล่าเปลือย สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

             “ไปหาหมอมั้ย

             ได้ยินเสียงหมีเลวพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย

             สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คืออาการทรมานแทบจะทนไม่ไหว เขาจะปล่อยให้ฉันพักผ่อนได้หรือยัง ฉันจะตายแล้วนะ

             ไม่รู้เลยว่าไอ้หมีเท็ดมันก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า

     

     

    Ted’s talking…

             ผมมองหน้าแม่คำหวานหน้าหวานแล้วก็ดื้อมากอย่างระอา เกิดมาเพิ่งจะเคยเห็นคนเลือดกำเดาพุ่งใส่หน้าเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้แหละ เลยรู้ว่ายัยนี่ไม่ธรรมดา แบบว่าผู้หญิงอื่นคงร้องไห้กระซิก ๆ ร้องไห้สำออยแล้วใช่มะ แต่ยัยนี่ไม่ใช่แบบนั้นเลย

             พอเห็นระดับลมหายใจของเธอดูเป็นปกติขึ้นก็โล่งใจเอ๊ะ เดี๋ยวนะ ทำไมผมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วย

             แต่ก็อย่างว่าแหละ ผมเป็นฝ่ายหิ้วยัยนี่เข้าห้อง แล้วจะใจดำปล่อยให้เธอเป็นลมเป็นแล้งเลือดแห้งหมดตัวก็กระไรอยู่นะ

             ระหว่างที่มองร่างเล็ก ๆ จมหายไปกับเตียงนอน เสียงโทรศัพท์มันก็แผดร้องขึ้นมา ผมตามหาและเห็นชื่อที่บันทึกเอาไว้

             -DEMON-

             ความจริงชื่อไอ้เดมอนมันสะกดว่า Damon แต่ด้วยนิสัยที่เลวทรามต่ำช้าเหมือนปีศาจ ผมเลยพิมพ์ไปว่า Demon หึ และไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่บันทึกชื่อมันแบบนี้ เชื่อสิ ว่าเพื่อนในกลุ่มทุกคนก็พิมพ์ไว้อย่างนี้กันหมดนั่นแหละ

             “ไง” ผมกรอกเสียงไปเมื่อรับสายแล้ว

             (อยู่ไหนวะ ว่างมั้ย?)

             “มีอะไรเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย แต่ก็พอจะรู้ถึงเหตุผลที่มันโทรมาอยู่ลึก ๆ แล้วเหมือนกัน

             (แดกเหล้ากัน กูชวนใครแม่งไม่มีใครมาเลยสักคน) เสียงไอ้เดมอนโคตรหมาง เล่นเอาผมหลอนไปไม่น้อย

             พนันได้เลย ว่าถ้าไม่ออกไปกินกับมัน ผมถูกมันสาปแช่งแน่ เพราะอย่างนั้น ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ผมก็ต้องคว้าเสื้อแจ็กเก็ตติดตัวและออกจากห้องอย่างช่วยไม่ได้

             ใจผมพะวงกับเรื่องของแม่คำหวานอยู่ไม่น้อย กลัวว่าเธอจะอาการหนัก แต่เหนืออื่นใดคือกลัวว่าเธอจะหนีกลับห้องนั่นแหละ

             พอออกจากคอนโดมาแล้วและเจอกับร้านยาใกล้ ๆ กันนั้น ด้วยความห่วงที่มันห้ามไม่ได้ ผมก็เลยผลักประตูร้านยาเข้าไป ไม่ลืมโทรไปหาเดมอนด้วย

             (’ไรวะ อย่าบอกว่ามาไม่ได้ กูฆ่าแม่งทุกคนแน่ กูไม่ได้ขู่ กูเอาจริง!) เดมอนบอกเสียงเหี้ยม ผมเลยหัวเราะแห้ง ๆ

             “กูแค่โทรมาจะบอกว่าอาจจะไปช้าหน่อยแค่นั้นเอง

             (มีผู้หญิงแล้วเป็นแบบนี้ทุกคนเหรอวะ) เดมอนเริ่มโวยวาย

             อันนี้ผมพอจะเข้าใจนะ เพราะระยะหลังเราไม่ค่อยได้รวมตัวกันเท่าไหร่ ตั้งแต่ในกลุ่มทยอยมีแฟนก็ติดแฟนกันหมด คนที่ยังโสดก็เลยนั่งหง่าวอยู่คนเดียว

             “ไม่ใช่แฟนเว้ย

             (งั้นก็เมีย! กูไม่รู้ไม่สนอะไรทั้งนั้น ถ้ามึงไม่มานะ บอกเลย…) เดมอนทำท่าจะร่ายมนตร์สาปแช่ง ผมก็รีบพูดตัดบททันที

             “เออ ไปแน่ แต่อาจจะช้าหน่อยเว้ย เท่านี้นะ จะขับรถ” ผมบอกไปแบบนั้น แต่แน่ละ ผมโกหก

             เพราะสิบห้านาทีต่อมาผมย้อนกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แล้วก็แปะแผ่นเจลลดไข้ที่หน้าผากของคำหวาน หนาเธอแดงเรื่อเล็กน้อยเพราะพิษไข้ ซึ่งเหมือนกับตอนที่เราสนุกกันครั้งก่อนไม่มีผิด

             เวร! คิดเรื่องนี้อีกแล้ว ไอ้เดมอนมันก็ครางแง่ง ๆ จะฆ่าอยู่แล้วด้วย ผมเลยตัดใจพาตัวเองออกมาจากห้อง พยายามจะไม่จินตนาการว่าใต้ผ้าห่มมีร่างของผู้หญิงตัวนุ่มนอนรออยู่

             “ไปได้แล้วไอ้เท็ด ไม่งั้นมึงตาย” ผมบอกตัวเอง แล้วก็ล็อกห้องอีกครั้งเป็นหนที่สองในคืนนี้

             อยาก ๆ อยู่แบบนี้ ไปกินเหล้ากับไอ้เดมอนกลับมา

             ไม่รู้แล้วเว้ย คงไม่ปล้ำคนป่วยหรอกนะไอ้หมีเท็ด

    End Ted talk…

     

     

             ในความฝัน มันต้องเป็นความฝันแน่ ๆ เพราะร่างกายของฉันมันร้อนผ่าวและขยับตัวไม่ได้อย่างใจคิด

             มันเป็นฝันร้ายที่ยังไงทุกคนก็ต้องพบเจอกันสักครั้งในชีวิต และตอนนี้ฉันกำลังต่อสู้กับมันอย่างสุดความสามารถที่จะปลุกให้ตัวเองตื่นขึ้น

             เรียวปากร้อนชื้นของใครคนหนึ่งพรมจูบทั่วตัว ทิ้งความร้อนเอาไว้ที่ดูเหมือนจะเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ

             มือของฉันปัดป่ายไปทั่ว ก่อนจะแตะลงที่หน้าผากซึ่งมีแผ่นเจลลดไข้ติดอยู่ แต่ตอนนี้มันหมดสภาพแล้ว ด้วยเนื้อตัวของฉันร้อนผ่าวจนมันช่วยลดอุณหภูมิความร้อนไม่ได้อีกแล้ว

             “อืม” ฉันคราง ปวดหัวเหมือนจะระเบิด ร่างกายก็ร้อนรุ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง

             เหมือนมีคนสักสิบคนที่กำลังตระโบมลูบไล้ฉันทุกส่วน ความร้อนแล่นไหลไปทั่ว มันวนเวียนคลอเคลียกับส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของฉันเหมือนกำลังหยอกล้อ

             ในตอนที่กำลังอยู่กึ่งกลางความจริงกับความฝัน ฉันก็สะท้านทั้งตัว เจ็บแปลบกลางกายเหมือนถูกฉีกทึ้งออกเป็นสองส่วน ร่างกายบิดเป็นเกลียวด้วยความเจ็บปวดแกมหวามหวั่น ความอุ่นร้อนแนบลงที่เปลือกตา แก้ม ปลายคาง และริมฝีปากอย่างหนักหน่วงเคล้าคลึง ปลุกให้ฉันตื่นในที่สุด

             สิ่งแรกที่เห็นในม่านสายตาก็คือจี้ห้อยจากสร้อยที่มันกำลังแกว่งโยกอยู่ตรงหน้า นำพาเอาหยดเหงื่อร้อน ๆ หล่นพราวกระทบกับตัวของฉัน ก่อนที่มือของใครคนหนึ่งถอดมันโยนทิ้งเพราะมันเฉียดหน้าฉันไปมา

             “อ๊ะ” ฉันคราง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแปลบและหวามหวั่นเข้าไปถึงเส้นเลือด

             และเพิ่งรู้ว่าตัวเองไหวโยกตามการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่เหนือร่าง ที่สั่นคลอนฉันให้สะท้อนตามแรงส่งนั้นไม่จบสิ้น

             นะนี่มัน

             “ตื่นแล้วเหรอ แม่คำหวาน

             ฉันสะท้านทั้งตัวเมื่อใบหน้าหล่อเหลายียวนโน้มเข้ามาจนชิด

             “เท็ด อ๊ะ” ฉันครางไม่เป็นคำ ยึดมือกับท่อนแขนของเขาแน่นจนเล็บจิกลงกับกับผิวหนังที่เรียบตึงร้อนไปด้วยเหงื่อ

             “รอบนี้ฉันก็ไม่ได้ป้องกันซะด้วยสิ เอาไงดีล่ะ แม่คำหวาน

     

     



    [1] ข้อความก่อนตาย (Dying Message)

    [2] ซิมมอนส์ และ ปันหยี จากนิยายเรื่อง Simmons’s Eyes รักปิดตาย วายร้ายที่รัก เขียนโดย Miracle

    [3] คาร์โล และ แก้วใส จากนิยายเรื่อง Carlo’s Eyes ให้หมดใจ นายตัวร้ายที่รัก เขียนโดย Miracle

    [4] ร็อบ และ อิงเอื้อง จากนิยายเรื่อง Rob’s Eyes จะเจ็บแค่ไหน หัวใจก็ให้เธอ เขียนโดย Miracle

    [5] คู่นอนคืนเดียว หรือ วันไนต์สแตนด์ (one-night stand) แต่เดิมใช้หมายถึง การแสดงที่เล่นเพียงคืนเดียว โดยมากใช้กับกลุ่มรับเชิญในการออกทัวร์ แต่อย่างไรก็ตามคำนี้ มีความหมายที่เข้าใจกันว่า เป็น คู่นอนคืนเดียว ระหว่างคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นเกิดความสัมพันธ์ในฉับพลัน หรือคาดว่าอาจเกิดความสัมพันธ์ทางเพศหรือด้านความรักในระยะยาวในภายภาคหน้า

    [6] เพลง Talk Dirty ศิลปิน Jason Derulo feat. 2 Chainz

    [7] รีซอตโต (Risotto) เป็นอาหารอิตาลีชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าวผัดที่มีลักษณะข้นไปด้วยครีมจากการดูดซับไวน์และน้ำซุปจากเนื้อวัว ปลา หรือผักในขณะผัด ส่วนผสมหลักของรีซอตโตโดยทั่วไปมักประกอบด้วยชีสพาร์มีซอน เนย และหัวหอม ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีหุงข้าวอันนิยมที่สุดในอาหารอีตาลี

     

    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว

    มู่เลยนำมาทำ E-Book เอง

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb

    กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลย

    ขอบคุณจากใจค่ะ

    หรือ >>Click!!<<





    http://41.media.tumblr.com/680d51e96b8a5a6300e2f3f9574b12cd/tumblr_nlf5iuRXhp1qbetfwo2_1280.jpg




     

    Talk 1...

    Song :: Cheryl Cole - Teddy Bear

    เรื่องนี้เป็นเรื่องของเท็ดนี่เอง หัวเราะ

    เรื่องนี้คงไม่โหดหื่นเท่าร็อบ หรือเปล่านะ

    แต่อย่างว่าแหละ พวกนี้เพื่อนกัน ลอก DNA กันมาชัวร์ๆ ค่ะ image

    ฝากเอาใจช่วยคำหวานด้วยนะคะ
    ปล อีเท็ดมันหยาบคายไปม้ายยยยย พ่อคุณ พ่อขนุนหนังimage


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×