คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Simmons`s Eyes εїз | Re-write Ver. Ep03
Simmons`s Eyes Ep03
~Because Before Too Long you’ll be a Memory~
Simmons`s talking…
ผมมองหน้าเพื่อนที่มองมาอย่างไม่ค่อยพอใจกันเท่าไหร่ แต่แคร์อะไรล่ะ ผมต้องสนใจใครที่ไหนด้วยอย่างนั้นเหรอ
“มองหน้ากูแบบนี้ทำไม” ผมถามอย่างหงุดหงิด เพราะผ่านไปหลายนาทีแล้วทุกคนก็ยังมองด้วยสายตาเหมือนเดิม
“พูดไม่เข้าหูได้มีเรื่องให้ฟาดปากกันมั่งอ่ะ” ผมกวาดสายตามองทุกคนอย่างหัวเสีย
“มึงทำได้แค่นี้เหรอวะ” ร็อบว่า ผมเลยเลิกคิ้วสูง
“หมายความว่าไง” ผมถามกลับ แน่นอนว่าไม่ชอบสายตาพวกนั้นของคนอื่นเลย ไม่ชอบเลยจริงๆ
“กูถามว่ามึงทำได้แค่นี้ใช่ไหมซิมม์ ถ้ามึงจะทำแบบนี้นะ กูแนะว่าอย่าเลยว่ะ มันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”
“แล้วมึงอยากบอกอะไรกูล่ะ…” เรื่องนี้แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่รู้ ผมหงุดหงิดหัวเสียอย่างพูดไม่ออก
ผม… บ้า
ช่าย บ้าไปแล้ว ผมแทบไม่ได้นอน นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำอะไรเพี้ยนๆ ลงไปก็ได้ ผมบอกตัวเองแล้วเสยผมที่ปรกหน้าอย่างว้าวุ่นใจ
“ถ้ามึงไม่รู้ ก็อย่ารู้เลยเหอะ กูเหนื่อยว่ะ ไม่เข้าใจว่ามึงต้องการอะไร”
“มึงก็บอกกูมาสิวะ!” ผมพูด เพราะร็อบยังเอาแต่พูดวนเวียนคำเดิมที่ฟังแล้วเวียนหัวชะมัดไม่รู้ว่ามันจะบอกอะไรกันแน่
“กูได้นอนคืนละสามชั่วโมง มึงรู้ไหมว่าตอนนี้สมองกูนรกแค่ไหน”
“งั้นก็กลับบ้านไปดื่มนมแล้วนอนซะดิวะ” คาร์โลบอก ตามด้วยเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ไม่เลยจริงๆ
“กูไม่ง่วง!” ผมประท้วง ซึ่งทุกคนโอเคมากกับการหัวเราะ
“ตามสบายแล้วกัน” คาร์โลไหวไหล่ก่อนจะเข้าร้านกาแฟไปเงียบ และมันสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว
ตอนนี้ต้องการคาเฟอีนอย่างด่วน!
สุดท้ายผมก็ได้เอสเปรสโซมาแก้วหนึ่ง และนั่งดื่มมันด้วยความหงุดหงิดหัวเสีย อันที่จริง ปกติผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นพูดได้เลยว่าทุกอย่างโอเคดีอยู่แล้ว
ผมไม่คิดจะตามหาตัวยัยผู้หญิงบ้าบอคนนั้นแล้ว แค่รู้ว่าเธอไม่ได้ถูกคนงานก่อสร้างลากตัวไปฆ่าข่มขืนที่ไหนก็พอแล้ว เราเจอภาพจากกล้องวงจรปิดอื่นๆ และเห็นว่ายัยนั่นเดินตามหลังคนงานก่อสร้างไปจริงๆ
“บ้าเอ๊ย!” ผมเผลอหลุดสบถออกมา ทำให้เพื่อนทุกคนมองมาอย่างแปลกใจ
“เป็นไรวะ” ร็อบถาม แต่ผมไม่ตอบชักสีหน้าให้แทนคำตอบ
เชื่อไหมว่าแค่จินตนาการหน้าของผู้หญิงคนนั้นผมก็หงุดหงิดแล้ว ที่สุดของความหงุดหงิดเลยล่ะ
เอาล่ะ เล่าต่อเลยแล้วกัน วันนั้นน่ะ ยัยบ้าปันหยีเดินตามกลุ่มคนงานก่อสร้างออกไปขึ้นแท็กซี่ ซึ่งเราพยายามตามหาจากกล้องวงจรปิดอื่นๆ ซึ่งมันก็ดีที่เธอไม่ได้ตายอย่างอนาถน่ะ แต่ที่หงุดหงิดสุดๆ ก็คือยับบ้านั่นไม่ยอมรับสายผมเลยสักครั้ง รวมถึงคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วย
ต่อมาผมเลยรู้ว่าปันหยีไล่ลบผมออกจากความเป็นเพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกอย่าง
เริดไหมล่ะ…
ดังนั้นผมเลยหงุดหงิดได้ขนาดนี้ยังไง ไม่ได้ห่วงอะไรทั้งนั้นแต่ไม่พอใจที่เธอไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง ปล่อยให้พวกเราหลงเข้าใจว่าถูกลากตัวไปข่มขืนที่ไหนอยู่นาน แล้วคนที่คิดแบบนั้นจะสบายใจได้ไงล่ะ จริงไหม?
ผมดื่มไปถอนหายใจไป สุดท้ายก็เห็นว่าปันหยีเดินผ่านหน้าร้านกาแฟไปกับผู้ชายคนหนึ่ง
“ฮะๆ ฮ่าๆ…” ผมหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และเรียกสายตาของเพื่อนทุกคนให้หันมามองเป็นตาเดียว
“กูว่ามึงนอนไม่พอจนหลอนแล้วนะซิมม์ กลับบ้านไปนอนเหอะไป”
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ…” ผมยังหัวเราะไม่หยุด ก่อนจะยกมือบังหน้าของตัวเองเอาไว้
บ้าบอที่สุด… นี่ผมเป็นอะไรของผมกันแน่เนี่ย รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่ายัยผู้หญิงคนนั้นปลอดภัยดีและอยู่กับแฟนของเธอแล้ว แล้วนี่ผมจะกลุ้มไปทำไม ไม่เข้าใจตัวเองเลย
“ฮึๆ…”
สุดท้ายผมก็ไม่เคยเข้าใจเลยกำลังทำอะไรอยู่ และทำมันไปเพื่อใคร…
End Simmons talk…
ฉันหน้าเจื่อนมากเลยล่ะ…
เรื่องของเรื่องก็ตอนที่ซิมมอนส์ทำเรื่องเลวร้ายหยาบคายไว้กับฉันนั่นแหละ ฉันไม่กล้าสบตากับดอมจนแล้วจนรอด มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้จริงๆ
“หมอนั่นใคร”
แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อดอมถามถึงซิมมอนส์ขึ้น ระหว่างที่เรากำลังทานมื้อเที่ยงที่ซึ่งก็เลยมาบ่ายๆ แล้วนิดหน่อย หลังจากที่ทำเรื่องเปลี่ยนเบอร์โทรเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ…”
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ หมายถึงผู้ชายที่มันบอกว่า นั่นแหละ ใคร?” น้ำเสียงของดอมฟังดูเย็นๆ และพาให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเอาซะเลย
“เอ่อ…”
“ยาหยี ไม่เอาน่า เล่ามาเถอะ” ดอมเรียกฉันว่ายาหยี แต่ได้ยินแล้วเหมือนเขากำลังกระซิบสั่งตายยังไงก็ไม่รู้
“คือ… เขาเป็นพี่ชายครอบครัวใหม่ของเขา เขาอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตกมานานน่ะ เลยเป็นอย่างนั้น” ฉันตอบ ช่องท้องบิดมวนปั่นป่วนไปหมด เพราะรู้ดีว่าดอมไม่เชื่อ
“จริงๆ นะ เขาเป็นพี่ชายของฉัน ครอบครัวใหม่…”
“แล้วทำไมทำแบบนั้น” สายตาของดอมจ้องมองมาอย่างแข็งกร้าว ยิ่งคาดคั้นเอาคำตอบเท่าไหร่ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงเท่านั้น
“จูบแบบนั้น ฉันไม่ใช่คนโง่นะ” ดอมพูด ฉันก็ตัวชื้นไปด้วยเหงื่อ ทั้งร่างเหมือนร้อนขึ้นและเย็นลงจนคล้ายจะเป็นไข้สูง
“มันไม่ใช่พี่น้อง…”
เขาพูดถูก ฉันไม่เคยเป็นน้องสาวสำหรับซิมมอนส์ ไม่แม้แต่จะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขา
ฉันก้มหน้านิ่งและทำให้น้ำตาหล่นลงมาเม็ดหนึ่ง หัวใจยังปั่นป่วนทรมาน เจ็บปวดกับการกระทำของซิมมอนส์ที่เหมือนสร้างตราบาปเอาไว้ใจจิตใจของฉัน
“ใช่… เขาไม่ได้ชอบฉันเลย” ฉันตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า โอบมือลงกับแก้วกาแฟอุ่นๆ ที่มันช่วยไล่ความหนาวได้อย่างดีในฤดูฝนแบบนี้
“แล้ว…” ดอมถามต่อ เว้นคำพูดให้ฉันเป็นคนตอบเขาเอง
“เขาไม่ชอบฉันน่ะ จะว่ายังไงดีล่ะ เขาไม่ยินดีที่จะมีน้องสาวอีกคนในครอบครัวของเขา” ฉันตอบและหลุบเปลือกตาลงมองไอของกาแฟที่ลอยฟุ้งในอากาศตรงหน้า
“อีกคนเหรอ งั้นเขาก็มีน้องสาวอยู่แล้ว”
“อืม… น้องสาวบุญธรรมอีกคน เขารักเธอมาก เลยเกลียดฉันที่เข้ามา แล้วก็แย่งเอาความสนใจของเขาไปน่ะ”
“แล้วเขาทำแบบนั้นทำไม” ผู้ชายตรงหน้ายังถามคำถามไม่รู้จบ ทำให้ฉันต้องเอาเข็มแหลมทิ่มแทงหัวใจด้วยตัวเอง
“เขาอยากไล่ฉันไปให้พ้นยังไงล่ะ ให้เกลียดเขา ให้กลัวเขา แล้วไม่ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาอีก…”
หลังจากตอบไปแล้วดอมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ฉันเองก็พอใจที่จะได้ไม่ต้องพูดถึงคนใจร้ายคนนั้นอีก
“เพราะงี้หรือเปล่าเธอเลยมาอยู่กับเพื่อนแล้วก็ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรด้วย”
“ใช่… เพราะเขา ทุกเรื่องเลย” ฉันบอกเสียงเศร้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นได้ในที่สุด
“อย่าได้แคร์แล้วเจ็บปวดแค่ผู้ชายเฮงซวยคนเดียว ยังมีใครอีกหลายคนที่รักเธอ…”
“ขอบคุณนะ ดอม…”
หลังจากกินข้าวกันแล้วฉันก็ไปดูหนังกับดอม ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ดูหนังในโรงภาพยนตร์แบบนี้น่ะมันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว
“จริงอ่ะ ไม่ค่อยได้ดูหนังเหรอ”
“อือ เจสไม่ชอบดูน่ะ บอกว่าอึดอัดน่ารำคาญ ฉันเลยไม่ได้มาด้วย” ฉันตอบ ก่อนจะทำหน้าเหลอหลาเพราะดอมมองมาแล้วก็หัวเราะ
“เธอนี่ ทั้งชีวิตมีแต่เจสซี่หรือไง”
ฉันตอบคำถามนั้นไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ว่านะ ฉันสนิทและไว้ใจเจสซี่มากที่สุดแล้วยังไงล่ะ เพราะอย่างนั้นเลยต้องไปไหนมาไหนกับคุณแม่มาลีคนนี้ตลอด
“ไม่รู้สิ เจสดีกับฉันมากๆ เลย”
“แล้วพี่สาวอีกคน ฉันหมายถึงพี่บุญธรรมของเธอน่ะ เป็นยังไง…”
“สิตางศุ์เหรอ” ฉันพูดแล้วก็ยิ้ม
“สวย มั่นใจ แล้วก็ ไม่รู้สิ ก็เป็นคนสวยน่ะ แตกต่างกับฉันลิบลับเลย” ฉันหัวเราะเมื่อบรรยายถึงสิตางศุ์ไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว เพราะเธอห่างไกลกับฉันมากเหลือเกิน
“เธออิจฉาสิตางศุ์เหรอ” คำถามที่ตรงไปตรงมาของดอมทำให้ฉันยิ้มทั้งน้ำตา แล้วก็ร้องไห้ออกมา
“อือ.. อิจฉามากๆ เลยล่ะ สิตางศุ์เป็นเป้าหมายจุดมุ่งหมายของฉันมาตลอดเลย ฉันมองเธอตลอด แต่สุดท้ายก็เหมือนถูกหักหลัง”
ฉันไม่เคยคิดเลยว่าสิตางศุ์จะทำแบบนั้นกับฉันได้ สายตาของฉันเริ่มพร่ามัวเพราะน้ำตาขังคลอจนมองหน้าดอมไม่ชัด และเพราะอย่างนี้ฉันเลยพูดต่อออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ทำไม… ทำไมเพราะไม่อยากให้ซิมมอนส์วุ่นวายด้วย ทำไมเพราะแค่เธอมีแฟนแล้วอยากจะปัดรำคาญเรื่องซิมมอนส์ ทำไมเธอทำแบบนั้นกับฉัน…”
มันเหมือนฝันร้ายที่ลบไม่ออก ฉันนอนไม่หลับเป็นเดือนๆ เมื่อคิดถึงความโหดร้ายนั้น
ถึงจะบอกตัวเองว่าซิมมอนส์เมาแต่ฉันก็กลัวมากเหลือเกิน สุดท้ายก็ไม่เหลือความเชื่อใจให้ทั้งเขาและสิตางศุ์อีกต่อไป
“ทำไมเธอต้องผลักเรื่องร้ายๆ มาให้ฉันตลอดเลย…” ฉันสะอื้นดอมเลยเข้ามากอดเพื่อปลอบใจฉัน
“เรื่องมันซับซ้อนละเอียดอ่อนมากกว่าที่คิดเอาไว้สินะ…” เขาถาม ฉันก็ได้แต่ร้องไห้ ต่อมาดอมเลยโอบไหล่แล้วก็พาเดินออกมาอย่างช้าๆ
“โทษที เอาล่ะ ไม่คุยเรื่องนั้นกันแล้วก็ได้ เลิกร้องไห้นะ”
“ขอโทษนะ ช่วงนี้ฉันเป็นอะไรไม่รู้” ฉันเช็ดน้ำตาและบอกขอโทษไป
“ไม่เป็นไร ฉันผิดเองที่น่าจะเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เธอเจอมาเยอะแล้ว จะไม่พูดแล้ว เลิกร้องไห้เถอะ”
ฉันเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแล้วก็เดินตามแรงรั้งของดอมไป พออยู่กับเขาแล้วเหมือนได้อยู่กับพี่ชายจริงๆ เลยรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้ดีว่าตัวเองยังสร้างกำแพงกระจกใสๆ กั้นทุกคนเอาไว้จากตัวเองอยู่ดี
“เฮ้… เหมือนว่าจะเห็นพี่ชายของเธอเดินมานะ”
“ฮะ…” ฉันพูดขึ้นอย่างตกใจเมื่อดอมบอกมาอย่างนั้น พอกำลังจะเคยหน้าขึ้นเขาก็ใช้คางกดกระหม่อมให้ฉันก้มหน้าลงตามเดิม
“แกล้งทำหัวเราะหน่อยสิ ก้มหน้าไม่ต้องเงยมองอะไร หมอนั่นจะได้รู้ว่าเธอไม่ได้มองอยู่…” ดอมพูดระหว่างที่เรากำลังเดินไปกันอยู่
“เดี๋ยวนะ…” ฉันใจเต้นแรง อยากสะบัดแขนของดอมที่กอดรอบเอวออกเพราะกลัวซิมมอนส์จะทำเรื่องบ้าๆ อีก แต่ก็กลัวเลยแกล้งทำเป็นหัวเราะเออออตามนั้นทั้งที่เราไม่ได้คุยกันเลย
จนรู้สึกว่ามีกลุ่มคนเดินผ่านไปนั่นแหละฉันถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนดอมหัวเราะ
“ทีนี้ก็หาวิธีหลบได้แล้วนะ จำเอาไว้ใช้แล้วกัน”
“ขอบคุณ…” ฉันส่งยิ้มให้เขา และเราก็เข้าไปดูหนังกันโดยที่ฉันสบายใจขึ้น ดีใจที่ดอมเข้าใจเรื่องทุกอย่างดีไม่ได้เข้าใจผิดเรื่องของซิมมอนส์ ถึงเรื่องนั้นมันจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่นะ ฉันไม่อยากจำมันอีกแล้วนี่นา
หนังสนุกกว่าที่คิดเอาไว้ เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มาดูหนังกับผู้ชาย และไม่รู้สึกขัดเขินอะไรเลยสักนิด ดอมเป็นเพื่อนที่แสนดีมากจริงๆ ในเวลาที่ฉันต้องการที่พักพิง
“เจอพี่ชายเธออีกแล้ว…” ดอมบอกตอนที่เราเดินมาถึงลานจอดรถ ฉันไม่สบายใจเพราะดูเหมือนจะเจอซิมมอนส์บ่อยเกินกว่าที่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญ
“ทำเหมือนเดิมแล้วกัน” พูดจบดอมก็ยกแขนโอบไหล่ฉัน ก้มหน้าลงมาจนชิดจนรู้สึกได้ว่าปลายจมูกของเขาเฉียดแก้มใสไปไม่เท่าไหร่
ฉันคิดว่ามันจะผ่านไปได้เหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลายเป็นว่าร่างของดอมถูกใครบางคนกระชากออกไปแรงๆ จนตัวเขาปลิวและกระแทกลงกับพื้นสุดแรง
“ดอม!” ฉันหวีดร้องลั่น ไม่ต้องถามเลยว่าเป็นฝีมือของใครและหันไปเผชิญหน้ากับซิมมอนส์อย่างไม่เข้าใจ
“ปล่อยเขานะ” ฉันพูดเสียงสั่นเมื่อซิมมอนส์เหยียบขาของดอมที่นอนบนพื้น พร้อมทั้งแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้เห็น
“ซิมม์! ปล่อยเขานะ” บอกซ้ำไป แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่แคร์อะไรเลย
“อย่ามีความสุขให้ฉันเห็นหยี… อย่ายิ้มอย่าหัวเราะกับคนอื่น”
“นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ” น้ำตาฉันไหล ตะคอกใส่เขาด้วยความความเดือดดาล
“เออ บ้าไปแล้ว…” ซิมมอนส์ยิ้มรับแล้วก็ง้างเท้าเตะดอมสุดแรงจนฉันหวีดร้องอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว
“หยุด! พอได้แล้ว นายโกรธฉันไม่เห็นต้องลงกับคนอื่น” เสียงของฉันสั่นพร่าจนน่าหัวเราะ ฉันไม่เข้าใจว่าการกระทำที่เลวร้ายนี่ทำไมเพื่อนของซิมมอนส์ยอมรับได้ ทั้งร็อบและคาร์โลเอาแต่กอดอกยืนคุมเชิงห่างๆ ไม่เข้ามาห้ามทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่ได้พอใจเท่าไหร่กับการกระทำของซิมมอนส์
“เออ อย่างนี้ค่อยเข้าใจกันง่ายหน่อย เชิญ…” ซิมมอนส์ยิ้มน่ารังเกียจ แล้วก็เปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่ง
“อย่าไปยาหยี…” ดอมบอกและพยายามยันตัวขึ้นมาจากพื้น แต่ซิมมอนส์ชกเขาอีกครั้งจนล้มลงตามเดิม
“ซิมม์!!” ฉันกรีดร้องอย่างสุดทน แต่เขายังหัวเราะเหมือนปีศาจร้ายไม่เปลี่ยน
“ขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะถลุงมันจนช้ำในตายตรงนี้”
เพราะกลัวว่าซิมมอนส์จะทำอะไรบ้ากว่านี้ฉันเลยขึ้นรถ ซึ่งเขาก็ปิดประตูใส่หน้าอย่างรุนแรงจนฉันสะดุ้ง ฉันห้ามน้ำตาและเสียงสะอื้นไม่ได้เมื่อเขากลับขึ้นรถและขับรถออกมา และฉันทิ้งดอมที่เจ็บไว้ที่เดิมตรงนั้น…
“นายมันเลว…” ฉันทนไม่ได้ อดไม่ไหวที่จะด่าเขาออกไปแต่ซิมมอนส์ก็ยังหัวเราะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด
“ฉันจะบอกให้ร็อบกับคาร์โลออกมาจากที่นั่นก็ตอนที่เรากลับไปถึงห้องแล้ว และเธอทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น…”
“อะไรนะ…” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ ของเขา
“ตอนนี้ร็อบกับคาร์โลอยู่ที่นั่น ถ้าเธอไม่อยากให้สุดที่รักของเธอช้ำเลือดช้ำหนองตายตรงไหน ทำให้ฉันหายเครียดหายหงุดหงิดหน่อยก็แล้วกัน…” คำพูดของเขาไม่ชัดเจนเท่าการกระทำ
เพราะตอนนี้ปลายนิ้วของซิมมอนส์ไล้กับกระดุมเสื้อของและจ้องมองมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์หยาบคาย
“ถ้าเธอทำฉันครางไม่ได้ ไอ้นั่นอย่าหวังว่ามันจะรอด…”
Carlo`s talking…
ผมช่วยพยุงผู้ชายที่ถูกซิมมอนส์ซ้อมให้ลุกขึ้นมาจากพื้นที่เขานั่งอยู่ มองด้วยสายตาเป็นกังวลเหมือนกับร็อบที่ทำอะไรไม่ถูกด้วยเช่นกัน
“โทษที ที่ไม่ช่วยนายเมื่อกี้” ผมบอก มองดูหนุ่มหน้าสวยตรงหน้าที่ยันตัวเองขึ้นมาจากพื้น และส่ายหน้าไล่ความมึนงงจากหมัดหนักๆ ของไอ้เพื่อนตัวร้ายก่อนหน้านี้
“ช่วงนี้หมอนั่นผีเข้าผีออก ถ้าเข้าไปช่วยงานพวกเราเองก็จะซวย เพราะอะไรหลายๆ อย่างเราเลยช่วยนายไม่ได้ โทษที” ผมบอกอย่างเสียใจ
เพราะตอนนี้งานของเราก็สะดุดย่ำแย่มากพออยู่แล้ว ถ้ายังทำให้ซิมมอนส์หัวเสียมากไปกว่านี้ เชื่อเถอะว่ามันเละยิ่งกว่านรกอีกแน่ๆ
“ไม่เป็นไร”
ผู้ชายตรงหน้าดูเหมือนจะชื่อว่า ‘ดอม’ ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนและมีความสัมพันธ์ยังไงกับปันหยี แต่ที่รู้เธอไว้ใจผู้ชายคนนี้มากกว่าซิมมอนส์ แหง ใครจะมีความสุขกับผู้ชายอย่างซิมมอนส์ล่ะ ปากแข็งปากหนักแถมยังเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจด้วย
“โทษทีที่ต้องถาม นายเป็นอะไรกับปันหยีเหรอ…” ผมถามอย่างสงสัย แน่นอนว่าเรื่องนี้ซิมมอนส์ก็คงจะสงสัยอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ลากตัวปันหยีไปอย่างนั้นหรอ
“ฉันเป็นพี่ชายยาหยี…”
ผมกับร็อบหัวเราะ ไม่แปลกที่ซิมมอนส์จะโกรธ อะไรนะ เรียกผู้หญิงคนนั้นว่ายาหยีเลยเหรอ บรรลัยแล้วไหมล่ะครับ
“พี่ชาย… ไม่ยักรู้ว่าปันหยีมีพี่ชายอีกคน” ผมจงใจพูดว่าพี่ชายอีกคน เพราะเรื่องนี้ไม่เคยรู้มาก่อน
“ฉันเคยเป็นพี่ชายในครอบครัวอีกครอบครัวของยาหยี และยาหยีเชื่อใจฉันมากกว่าเพื่อนของพวกนาย” ผู้ชายชื่อดอมว่า ผมไหวไหล่เพราะข้อนี้เถียงไม่ได้และไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เขาพูดเท่าไหร่ แต่อะไรนะ ครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่งอย่างนั้นเหรอ
“นั่นพี่ชายยาหยีงั้นเหรอ” เขาว่า แล้วก็ถ่มน้ำลายที่มีแต่เลือดลงกับพื้น
“นั่นเขาไม่เรียกว่าพี่ชายหรอก”
“มันก็ใช่… แต่ผู้ชายอย่างเราๆ ก็น่าจะมองออกนะว่าที่ซิมม์ทำไปน่ะ ทำไมเพื่ออะไร…” ร็อบพูดก่อนจะดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“สักมวนมั้ย?” ร็อบยื่นมันให้ดอม แต่เขาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วก็ยกมือปัดตามเสื้อผ้าที่เปื้อนไปพลาง เขายังดูดีแม้ว่าจะถูกซ้อมจนยับ เห็นน่าสงสารเหมือนกันนะ…
“ไม่เป็นไร แต่เพื่อนของนายไม่แมนเลย…”
“ช่าย ฉันก็ว่าอย่างนั้น” ผมบอก และประสานเสียงหัวเราะกับร็อบไปพลาง
“ฉันต้องไปแล้ว ขอโทษเรื่องที่ซิมม์ทำด้วย เข้าใจหน่อยนะ ถ้าใครมายุ่งกับผู้หญิงของนาย นายคงทำแบบเดียวกับซิมม์มัน” ผมพูดไป และเห็นว่าดอมขมวดคิ้วแน่น
“ฉันไม่อยากคิด…”
“นั่นน่ะเมียซิมม์มัน อย่าไปยุ่งด้วยเชียว ได้รับคำเตือนแล้วนี่” ควันบุหรี่สีขาวขุ่นถูกพ่นจากปากของร็อบเมื่อมันเอ่ยปากพูด สีหน้าของดอมดูแย่ลงไปถนัดตา แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้ฟังยังไงก็น่าตกใจ เพราะสองคนนั้นเป็นพี่น้องกันตามกฎหมาย
“แต่ดูเหมือนว่ายาหยีจะไม่ค่อยยินดีเลยกับการอยู่กับผู้ชายคนนั้น เธออยากอยู่กับฉันมากกว่า”
“คงอย่างนั้นแหละ แต่ทำไงได้ล่ะ” ผมบอก ก่อนจะพยักหน้าให้ร็อบเพราะเราต้องไปกันแล้ว
“เฮ้!” เสียงเรียกของดอมดังขึ้น สีหน้าบอกชัดว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูดไป
“นายไม่คิดจะช่วยยาหยีเหรอ เธอไม่ได้เต็มใจอยู่กับเพื่อนของนาย!!” ดอมพูดเสียงดัง และมันก็จริงทุกอย่างกับคำพูดพวกนั้น
ผมสบตากับร็อบด้วยความกังวลจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก
“ไม่สงสารผู้หญิงคนนั้นเหรอ เธอตัวเล็กนิดเดียว ผ่านเรื่องอะไรมาก็มากมาย ถ้าเพื่อนของพวกนายไม่รักไม่สนใจเธอก็ปล่อยเธอเถอะ!”
“ทำไมซิมม์มันจะไม่สนใจ ถ้าไม่สนใจมันคงไม่ตามมาอย่างนี้หรอก” ผมบอกและนึกเห็นใจปันหยีไม่น้อย
สิ่งที่พวกเราเคยทำไว้น่ะ มันก็หนักหนาพอดูสำหรับเธอ มาคิดเสียใจตอนนี้มันอาจจะสายไป เพราะกลายเป็นว่าเรากระตุ้นให้ซิมมอนส์กลายเป็นปีศาจร้ายที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องการเพียงแค่การเอาชนะอย่างเดียวเท่านั้น
“มันไม่ใช่ความสนใจ มันเพื่อสะใจต่างหาก เฮ้…”
เสียงของดอมยังคงไล่หลังมา ผมทำหน้าลำบากใจและร็อบก็ดึงแขนให้เดินออกห่างก่อนที่จะรู้สึกผิดไปมากกว่านี้
“เราทำอะไรมากไม่ได้…” ร็อบกระซิบ แต่ผมก็ยังลังเลใจอยู่เหมือนเดิม
“ไม่สงสารผู้หญิงคนนั้นเหรอ เธอร้องไห้ เธอหวาดกลัว และเธอไม่ต้องการเพื่อนของพวกนาย!!”
“อย่าไปฟัง…” ร็อบบอก ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อจะได้ไปจากที่นี่กันสักที
“ผู้หญิงคนนั้นผิดอะไร!”
ใช่… ปันหยีผิดอะไร ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ด้วย ผมให้คำตอบตัวเองไม่ได้ นั่งเหม่อมองในรถออกไปนอกหน้าต่างเมื่อร็อบขับรถออกห่างจากไปเรื่อยๆ
“เราทำเรื่องร้ายแรงลงไปใช่ไหม สิ่งที่ทำเรากับปันหยีวันนั้น…” ผมพูดพึมพำ รู้สึกไม่สบายใจเลยที่ปันหยีอยู่กับซิมมอนส์ในเวลานี้
“ทำไงได้วะ มันเป็นเรื่องของซิมม์กับปันหยีสองคน”
“แต่ถ้าวันนั้นเราไม่ถ่ายรูปของปันหยี ไม่ล้อเธอ เธอก็อาจจะไม่ได้ดูน่าสงสารทำเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาแบบนี้ กูทำเห้-อะไรลงไปวะ” ผมถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เมื่อนึกว่าถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง ตอนนั้นผมจะรู้สึกยังไง
“ฉันไม่อยากเห็นปันหยีเป็นแบบนี้เลย เราทำอะไรลงไปกันวะ!”
คำถามนี้ทุกคนอาจจะรู้คำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถพูดมันออกมาได้… ผมเศร้าเสียใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนี้เลยจริงๆ
End Carlo talk…
ฉันนั่งอยู่บนเตียงในเช้าวันใหม่…
แสงแดดอุ่นละมุนที่ทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ทุกอย่างในห้องดูสว่างไสวไปหมด เช่นเดียวกับเจ้าของห้องที่กำลังแต่งตัวเงียบ เสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นพลันสว่างขึ้นอีก มันทำให้ฉันแสบตาไปหมดจนต้องก้มหน้าลง เพราะไม่อาจทนสบสายตากับนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นได้
ฉันจำไม่ได้แม้กระทั่งว่ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ กี่วันแล้วที่ต้องตื่นขึ้นมาบนเตียงหลังนี้ ที่นอนอยู่กับผู้ชายใจร้ายคนนั้น ถ้านับคร่าวๆ ก็น่าจะสามวันแล้วล่ะมั้งที่อยู่ที่นี่ ฉันได้แต่คิดอย่างเศร้าสร้อย
อย่าถามว่าตอนนี้สถานะของฉันกับซิมมอนส์เป็นอะไรกัน เพราะฉันก็ไม่กล้าแม้แต่จะถามตัวเอง
“ฉันจะออกไปทำงานข้างนอก เธอก็อยู่นี่ไปแล้วกัน” เขาสั่ง…
เหมือนเคยตลอดเวลาที่ฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่มองหน้าไม่สบตาเขาตลอด แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
“เฮ้… ได้ยินไหม” เมื่อฉันไม่สนใจเขา ซิมมอนส์ก็เดินเข้ามาใกล้
มือหนาที่อุ่นจนร้อนจับหน้าของฉันไว้ได้ด้วยมือเดียว ก่อนะดึงสายตาของฉันให้สบตาด้วย
“ได้ยิน…” ฉันตอบ และดึงหน้าออกจากการเกาะกุมของเขา
“เมื่อไหร่เราจะคุยกันดีๆ ได้ซะที ปันหยี…”
“ฉันก็คุยด้วยดีๆ แล้วไม่ใช่เหรอ” ฉันถาม ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อปลายนิ้วแข็งๆ ของซิมมอนส์บีบปลายคางแรงๆ จนรู้สึกเจ็บ
“อย่างนี้เหรอเรียกว่าคุยกันดีๆ แต่ช่างเหอะ ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อย่าออกไปจากที่นี่ ฉันจะเช็กตลอดเวลาว่าเธออยู่ที่นี่ไหมจากจีพีเอส เพราะงั้นห้ามคิดไปไหนทั้งนั้นจนกว่าเราจะคุยกันเข้าใจ โอเค้?” เขาถาม แต่เป็นการพูดเพียงข้างเดียวซะมากกว่า
เพราะสองสามวันมานี้เราไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ ฉันมักจะเงียบ ซิมมอนส์เองก็มีงานหลายอย่าง เราเป็นเหมือนคนแปลกหน้า แต่มันน่าหัวเราะตรงที่เรากลับต้องมานอนบนเตียงเดียวกันนี่สิ
“สิตางศุ์อยากคุยกับเธอ ตอนนี้ยัยนั่นกำลังยุ่งอยู่ เพราะงั้นทำตัวดีๆ อยู่ที่นี่ไปก่อน…”
ชื่อของสิตางศุ์ทำฉันเจ็บแปลบอีกหน แต่ก็พยายามไม่คิดมากและทำใจให้เย็นลง เพราะรู้ดีว่าอันดับหนึ่งในใจของเขาคือสิตางศุ์คนเดียวเท่านั้น
“ฉันสั่งอาหารขึ้นมาให้แล้ว ตอนเที่ยงกับตอนเย็นถ้าอยากกินอะไรก็ลงไปชั้นล่างของคอนโดแล้วกัน ที่นี่น่าจะมีอะไรให้เลือกกินเยอะอยู่ แต่เตือนแล้วนะว่าห้ามไปไหน อย่าให้ฉันต้องโมโหอีก…”
เพราะรู้ดีว่าเวลาที่เขาโมโหน่ากลัวมากแค่ไหน ดังนั้นฉันเลยไม่โต้ตอบอะไร นี่เป็นโอกาสดีที่ฉันจะสามารถติดต่อหาดอมได้ หลังจากที่สามวันนี้ถูกยึดโทรศัพท์ไป ป่านนี้ทั้งดอมและเจสซี่คงเป็นไฟไปแล้วแน่เพราะติดต่อฉันไม่ได้เลย โดยเฉพาะเจสซี่ที่น่าจะอาการหนักกว่าใคร
“ฉันไปล่ะ…” พูดจบซิมมอนส์ก็ทำท่าจะจากไป แต่ฉันเรียกเขาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวซิมมอนส์…”
เขาหันกลับมาและทำหน้าสงสัย แต่ก็ยอมหยุดเดิน
“อะไร…” เสียงเขาเย็นชา แต่จะทำอย่างไรได้เพราะสุดท้ายมันก็ไม่ต่างจากตอนแรกเลย
“ขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหม ฉันอยากโทรหาเจส” พอบอกไปเขาก็แค่นหัวเราะทั้งที่ไม่มีอะไรตลกเลย
“หึ… อยากจะโทรไปหาใครนะ อ้อ ดอมินิกมากกว่าล่ะมั้ง…” เขายิ้มเย้ย แต่ฉันไม่โต้ตอบ รู้ดีว่าทำไปก็ไร้ผล คนอย่างซิมมอนส์ไม่เคยตามเอาใจใครอยู่แล้ว
“เอาไป… แต่ถ้าเธอออกไปจากที่นี่กับหมอนั่นเมื่อไหร่ ฉันไม่รับประกันว่าหมอนั่นจะจบลงยังไง เหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่า” เขาขู่เอาไว้เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่กล้าเถียงอะไรอีก
จนเมื่อเขาออกไปจากกห้องนั่นแหละ ฉันถึงได้ส่งข้อความไปหาดอมกับเจสเพื่อที่จะได้ไม่เป็นห่วง และไม่กล้าจะรับสายใครในตอนนี้ และส่งเป็นข้อความเหมือนกันบอกทั้งสองคนข้อความเดียวกัน
To; Dominic S. , Jessie Carlton
ฉันสบายดี ขอโทษที่ส่งข้อความมาหาช้าไปหน่อย
ตอนนี้ฉันยังคุยด้วยไม่ได้ ฉันเสียใจจริงๆ
ขอเวลาให้ฉันอยู่คนเดียวสักระยะ ฉันสัญญาว่าจะติดต่อกลับไปอีกครั้ง
ฉันไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่าที่บอกไปแบบนี้ แต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
ฉันนั่งเหม่ออยู่คนเดียวจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สายตาจ้องมองผ่านบานกระจกที่กว้างซึ่งทำเป็นผนังด้านหนึ่งของห้องพักเหมือนคนไข้จิตเภท น่าหัวเราะที่ฉันมีแต่เรื่องว้าวุ่นใจได้ตลอดไม่รู้จบ
มารู้สึกตัวอีกครั้งก็มืดค่ำมากแล้ว ความมืดโรยตัวปกคลุมไปทุกที่ และมีแสงไฟให้ความสว่างแทนที่แสงอาทิตย์ ฉันได้ยินเสียงเปิดประตู ตามมาด้วยร่างสูงของซิมมอนส์ที่กลับมา…
แต่เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยและเซ็กซี่จนหาตัวจับยากตามมาด้วย…
ฉันรู้ได้ทันทีว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอีกครั้ง
ซิมมอนส์ดูเหมือนเมามายจนไม่ได้สติ ฉันรู้ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะผิดหวังจากเรื่องของสิตางศุ์ไงล่ะ มันเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้เขาเสียศูนย์ได้
“เธอเป็นใครเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นถาม แต่ฉันให้คำตอบเธอไปไม่ได้
“ฉัน…” ฉันพูดไม่ออก มองเห็นความเหมาะสมของทั้งคู่ชัดเจน
ตอนนี้สิตางศุ์มีคนรักแล้ว ไม่แปลกที่ซิมมอนส์จะหาผู้หญิงอื่นมาแทนที่ ซึ่งที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของฉัน
“เอ่อ ฉันคงต้องไปแล้ว” ฉันบอก ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปอีกทาง แต่เธอคนนั้นก็ยังเรียกฉันไว้ตลอด
“เดี๋ยวก่อน เธอ เดี๋ยวนะ!”
“ฉันไม่รบกวนเวลาของเธอแล้ว ฉันต้องไปแล้วล่ะโทษที… ฉันเป็นน้องสาวบุญธรรมของซิมมอนส์ ไม่ต้องห่วง” ฉันน้ำตาซึม และเดินออกจากชีวิตของซิมมอนส์อีกครั้ง…
“เฮ้! เธออย่าเพิ่งไปสิ!!” ผู้หญิงคนนั้นทิ้งตัวซิมมอนส์ไว้และปราดเข้ามาจับตัวฉันเอาไว้ไม่ให้เดินออกไป
“ฉันต้องไปหาแฟนนะ เธอต้องดูแลแฟนเธอสิ!”
“คะ…” ฉันพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งเธอก็ส่ายหน้าไปมาทำเหมือนฉันโง่ทึ่มเหลือเกิน
“ฉันต้องกลับไปหาแฟนฉัน เธอก็ต้องช่วยดูแลแฟนเธอสิ ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปไหนอีก” เสียงต่อว่านั้นทำให้ฉันเข้าใจ แล้วก็รีบปฏิเสธไปทันที
“ฉันไม่ได้เป็นแฟนซิมมอนส์…”
“โอ๊ย! อย่ามาตลกน่า อยู่กับหมอนี่ที่ห้องด้วยกันอย่างนี้ยังจะว่าไม่ได้เป็นแฟนกันอีกเหรอ ฉันไม่ใช่คนโง่นะ เอาล่ะช่วยดูแลหมอนี่ต่อด้วย งานของฉันเป็นผู้จัดการเฉยๆ ไม่ใช่มาตามปรนนิบัติใครด้วย” เธอบ่นพึมพำจนฉันพูดไม่ออก เธอดูหัวเสียหน่อยๆ คล้ายกับกลุ่มเพื่อนของซิมมอนส์ที่นิสัยใกล้เคียงกัน
“ฉันไปนะ ดูแลหมอนี่ต่อด้วย หรือให้มันนอนตรงนี้ก็ตามใจ ไปล่ะ อ้อ บอกมันส่งงานให้ฉันด้วยนะ ขอบคุณ” สาวสวยว่ามาเป็นชุด ดูเธอไม่กลัวซิมมอนส์เลยและนั่นทำให้ฉันรู้สึกอิจฉามาก
“เอ่อ…”
“เข้าใจมะ!” เธอถามย้ำ ฉันเลยต้องรีบพยักหน้าให้ทันที
“ดี ฉันต้องไปแล้ว ไปล่ะ แล้วเจอกัน…” พูดจบเธอก็เดินออกไปอีกทางหนึ่ง ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้
ดีจังนะ กล้าพูด กล้าทำทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องสนใจสายตาของใคร แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ มันรู้สึกเหมือนต้องเจ็บปวดและต้องหวาดกลัวอยู่เสมอจนตัวเองก็ยังเกลียดที่มันเป็นแบบนี้
ฉันถอนหายใจมองดูซิมมอนส์ที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นก็มองไปรอบๆ ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี แต่จะทิ้งเขาไว้แบบนี้ก็ไม่ดี สุดท้ายฉันเลยช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้นจากพื้น โชคดีที่คนเมายังให้ความร่วมมืออยู่บ้างและมีสติอยู่
“ลุกหน่อยสิ” ฉันบอก ต้องกลั้นหายใจเอาไว้เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์จากลมหายใจของซิมมอนส์ฉุนกึกจนแสบจมูก
“หือ… ครายน่ะ!” เสียงยานคางนั่นบอกได้อย่างดีว่าเขาเมา
ฉันถอนหายใจและออกแรงรั้งเขาให้ลุกอีกครั้ง แล้วก็ออกคำสั่งตามไปด้วย
“ลุก!” ฉันสั่งอีก
“คราย… อ้อ ปันหยี”
คราวนี้ฉันสะดุ้ง เพราะต่อให้เขาเมาก็ยังจำได้อยู่ดีว่าฉันเป็นใคร แต่เดาไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไงอยู่
“เธอเกลียดฉันช่ายม้าย” เขาถาม ฉันเลยถอนหายใจแต่ไม่ตอบคำถาม
“ลุกหน่อยได้มั้ย” เพราะเขาทิ้งน้ำหนักตัวลงกับพื้นทั้งหมดจนไม่ยอมขยับตัว ฉันพยายามลากแล้วแต่ก็สู้แรงเขาไม่ไหว
“ซิมม์!” ฉันเรียก แต่เขาก็เอาแต่ครางอ้อแอ้ไม่ยอมลุกขึ้นนั่ง
“ฉันปวดหัว”
แน่ล่ะ กินเหล้าจนเหมือนอาบกลิ่นหึ่งไปขนาดนี้ไม่ปวดหัวก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ฉันถอนหายใจก่อนจะลากเขาขึ้นโซฟาได้ในที่สุด ซิมมอนส์ยังเพ้ออยู่ไม่รู้เป็นอะไรของเขาแล้วก็ลืมตาขึ้นมองจนฉันต้องถอยหลัง รู้ดีว่าต่อให้เมายังไงซิมมอนส์ก็คือซิมมอนส์ เขาน่ากลัวยังไงก็น่ากลัวอย่างนั้นอยู่แล้ว
“เธอเกลียดฉัน!” เขาถามขึ้น ด้วยตาฉ่ำชื้นเหมือนจะร้องไห้
แต่ที่เป็นแบบนี้ฉันว่าเขาปวดหัวจนน้ำตาคลอมากกว่า คนอย่างซิมมอนส์ไม่เคยรู้สึกอะไรกับคนอื่นหรอก เขาคิดถึงแค่เรื่องของเขาอย่างเดียวเท่านั้นแหละ
“ทำไมเธอเกลียดฉัน” ซิมมอนส์ตัดพ้อ แต่ฉันต่างหากล่ะที่อยากจะถามเขา
“เธอเกลียดฉันมากเหรอ”
“ฉันไม่ได้เกลียดนาย นายต่างหากที่เกลียดฉัน ซิมมอนส์…”
Simmons`s talking…
ผมตื่นขึ้นมาบนโซฟาบนเช้าวันใหม่ และตามด้วยอาการปวดหัวอย่างถึงที่สุด มันปวดจนระเบิด สิ่งแรกที่รู้สึกคือปวดหัวตุบๆ จนแทบทนไม่ไหว
“เมื่อคืนดื่มไปเท่าไหร่วะกู” ผมถามตัวเองอย่างหงุดหงิด
จำได้ว่าเมื่อคืนออกไปร้องเพลงกับเพื่อนในกลุ่ม หลังจากนั้นผมก็ไม่อยากกลับห้อง ไม่อยากมองหน้าที่มีแต่น้ำตาของปันหยีอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น พอดื่มเสร็จผมก็ฟุบไปเลย เพิ่งมารู้ตัวตัวเอาก็ตอนนี้นี่เอง แต่ให้ตายมันปวดหัวสุดๆ ไปเลย
ผมจำไม่ได้กระทั่งว่าใครพามาส่งที่นี่ แล้วก็นอนบนโซฟาแบบนี้ คิดไปถึงปันหยีแล้วก็ต้องครางเฮอะในคอ ไม่รู้ว่าตัวเองหวังอะไรอยู่
“ผู้หญิงคนนั้นจะมาดูแลทำไมวะ ใช่เรื่องรึไง” ผมบอกย้ำเตือนตัวเอง
บอกให้จำได้ว่าปันหยีน่ะเกลียดผมมากแค่ไหน
แต่ก็นะ… ทุกอย่างที่ทำกับเธอไว้ มันน่าสาสมแล้วที่เธอรู้สึกแบบนั้นกับตัวผมเอง
ดังนั้นผมเลยตั้งใจจะไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วก็หากาแฟดำดื่ม เพราะมันจะช่วยลดอาการปวดหัวจากการเมาค้างได้
แต่พอเหวี่ยงขาลงจากโซฟาผมก็ต้องถอนหายใจ รู้สึกแปลกๆ กับตัวเองเมื่อเห็นว่าปันหยีนอนหลับบนโซฟาอีกตัว บนพื้นมีผ้าผืนหนึ่งวางพาดเอาไว้ ไม่อยากคิดว่าเธอเป็นคนดูแลตอนที่ไม่ได้สติ แต่ก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาแย้งว่าสิ่งที่เธอทำอยู่นั้นทำไปเพื่ออะไร
“บ้าจริง…” ผมบ่นกับตัวเอง
เกลียดที่ต้องเจอกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย และเกลียดที่รับมือกับมันไม่ได้
ผมลุกจากโซฟาอย่างระมัดระวัง อยากปลุกให้เธอตื่นแต่ใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่าควรจะปล่อยให้เธอนอนแบบนั้นน่ะดีแล้ว ดังนั้นผมเลยค่อยๆ ย่องเพื่อเดินกลับห้อง
แต่…
เคร้ง!! ผมหลับตาแน่นเมื่อเดินสะดุดกะละมังเล็กๆ ที่วางเอาไว้บนพื้นที่มองไม่เห็นก่อนหน้านี้
ให้ตาย ผมสบถอยู่ในใจเมื่อตัวเองทำเรื่องอีกแล้ว ก่อนจะหันไปมองปันหยีที่นอนบนเตียง ภาวนาให้เธอหลับเหมือนเดิม แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น
ปันหยียันตัวเองขึ้นมาจากโซฟา เธอขยี้ตาแล้วก็มองไปรอบๆ ด้วยความงัวเงีย สุดท้ายเธอก็มองหน้าผมในที่สุด
“ซิมมอนส์…” เธอพูดเสียงแผ่ว ผมเลยต้องคิดหาคำพูดบางอย่างขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว
“เธอทำอะไรของเธอ!” ผมพูด และไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรไปแล้ว
ผมเมาอยู่ ใช่ ผมต้องเมาอยู่แน่ๆ!
“เอ่อ… ฉัน” ปันหยีพึมพำก่อนจะลงจากเตียง หยิบผ้าตรงพื้นมาซับน้ำที่ผมเตะกะละมังจนล้มคว่ำบนพื้น ท่าทางเงิ่นนั้นมันอะไร ทำไมผมต้องรู้สึกผิดและอยากตะคอกให้หนักกว่าเดิม
“เอาอะไรมาวางเกะกะวะ!”
ไอ้โง่ซิมม์ มึงนี่โคตรโง่เลย ผมได้แต่ด่าตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำร้ายจิตใจของปันหยีด้วยคำพูดตลอดเวลา
“ขอโทษ เมื่อคืนนายเมามากฉันเลยเช็ดหน้าให้” เธอตอบ ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองน่ะเมาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย เธอเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อให้มันก็ดีแล้ว แต่ผมพูดขอบคุณไม่ออก มันรู้สึกแปลกๆ
“ทีหลังไม่ต้อง ไม่จำเป็น!”
เชี่ย ซิมม์ มึงพูดบ้าอะไรออกไปวะเนี่ย ผมด่าตัวเอง เพราะตอนนี้คิดว่าอาการเข้าขั้นโคม่าได้แล้ว บอบอคอแตกที่สุด
ปันหยีไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเช็ดพื้นเสร็จก็เดินเลี่ยงไปทางอื่น ทิ้งให้ผมถอนหายใจกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยายความโง่งี่เง่าของตัวเองออกมาได้
สุดท้ายผมก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาและอาบน้ำ ปันหยีก็เก็บตัวเงียบๆ ไม่ออกมาเจอหน้าผมอีก เวลาผมอยู่ในห้องนอนเธอจะอยู่ข้างนอก แต่เมื่อผมออกมาข้างนอกเธอก็จะหลบหน้าผมเข้าไปในห้องนอนแบบนี้สลับไปมา เพราะห้องผมมีห้องนอนเดียวเพราะอย่างนั้นเราเลยต้องอยู่ด้วยกัน…
นอนบนเตียงเดียวกันแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนห่างไกลกันมากเหลือเกิน ผมรู้สึกเหมือนถูกแย่งอากาศหายใจไปทีละน้อยจนไม่เหลืออะไรเลย
วันนี้ผมไม่มีอะไรต้องทำไม่ต้องออกไปไหน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของปันหยีแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องคว้ากุญแจรถกับซองบุหรี่เดินออกมาจากห้องเงียบๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปที่ไหน
กว่าจะรู้ตัว ผมก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่ห้องพักของเท็ดแล้ว…
“มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าวะ” เจ้าของห้องถาม เมื่อผมทิ้งตัวนอนบนโซฟาและหลับตาลงอย่างอ่อนล้า
“กูเมาค้าง มึงช่วยหากาแฟดำให้กูหน่อย” ผมบอกโดยไม่มองหน้าเพื่อน และยกท่อนแขนขึ้นมาบังหน้าตัวเองเอาไว้
“แล้วไม่หากินที่ห้องวะ”
“เมล็ดกาแฟกูหมด ขี้เกียจทำเอง…”
“อะไรของมึงวะ” เท็ดบ่นงึมงำแล้วก็หายไปสักพัก และกลับมาพร้อมกับกาแฟดำข้นๆ แก้วหนึ่ง
“นี่ยังไม่เก้าโมงเลย มึงเป็นอะไรวะ ทำไมมาอยู่ที่นี่”
“บอกแล้วไงว่ากูมาหากาแฟดื่ม” ผมบอก แล้วก็นั่งตัวตรงบนโซฟาก่อนจะดื่มกาแฟเงียบๆ
“แล้วปันหยีล่ะ”
“ถามถึงทำไมวะ” ผมถามอย่างไม่พอใจ ไม่ชอบให้ใครมาพูดถึงเธอทั้งนั้น
“วะ มึงก็พูดแปลก ก็มึงเอาเค้าไปอยู่ด้วยไม่ใช่รึไง ทิ้งมาแบบนี้จะดีเหรอ”
“ยังไงยัยนั่นก็ไม่กล้าหนีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก” พูดจบผมก็แค่นหัวเราะ แล้วอยากระเบิดความหงุดหงิดออกมานัก
“แล้วมึงก็ทิ้งๆ ขว้างๆ เขาอย่างนี้แหละ งั้นก็ปล่อยปันหยีไปเหอะ กูไม่เข้าใจว่ามึงเป็นอะไร ทำไมปันหยีแบบนั้น” เท็ดถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความข้องใจแต่ผมไม่ตอบอะไรทั้งนั้นนอกจากทำหน้านิ่ง
“มึงอย่าขวางปันหยีเลยว่ะ ปล่อยให้เขามีความสุขไปเหอะ”
ฮึ! ปล่อยให้มีความสุขกับไอ้ดอมินิกน่ะเหรอ… ปล่อยไปก็โง่เต็มที ถึงผมจะไม่สนใจปันหยียังไง คนอื่นก็ห้ามมายุ่งกับเธอ…
“ฉันไม่มีทางปล่อยปันหยีไปง่ายๆ หรอก ไม่มีทาง…”
End Simmons talk…
ฉันไม่เข้าใจตัวเอง ในเมื่อตอนนี้ซิมมอนส์ไม่ได้สนใจไยดีฉันเลย แต่ทำไมฉันถึงไม่ไปจากที่นี่ซะที ยังคงรอคอยเขาอยู่ทั้งๆ ที่รู้ว่ารอไปก็ไร้ค่าไร้ความหมาย ยิ่งดูโง่งมมากขึ้นอีก
ซิมมอนส์หายไปตั้งแต่เช้า เขาไม่ได้บอกอะไรไว้ฉันเองก็ไม่ได้ถามอะไร เซ้าซี้มากไปก็คงถูกเกลียดมากกว่าเดิม รู้ว่าเขาเกลียดมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากถูกเกลียดไปมากกว่านี้ นั่นแหละ ความคิดของคนที่ยังสับสนไม่รู้จบ
เขาบอกว่าสิตางศุ์อยากคุยด้วยและไม่ยอมให้ฉันไปไหนจนกว่าจะได้คุยกับสิตางศุ์ เห็นไหม ว่าฉันน่ะน่าสงสารมากแค่ไหน
แต่ตอนนี้ฉันเริ่มจะเกินทนแล้ว มันมากเกินไปที่จะต้องมาทรมานว้าวุ่นใจเรื่องของซิมมอนส์กับสิตางศุ์กะว่าจะออกไปจากที่นี่ตอนนี้เลย ยังไงเขาก็คงหาตัวไม่เจอง่ายๆ หรอก แต่บังเอิญเขากลับมาซะก่อนฉันเลยลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้าห้องนอนเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากันตอนนี้
ไม่นานเขาก็เดินเข้ามาในห้องนอน ฉันจะทำอะไรได้นอกจากเดินหนีเขาอีกครั้ง
แต่คราวนี้ซิมมอนส์คว้าต้นแขนฉันเอาไว้แล้วก็ถามด้วยสีหน้าแววตาหม่นๆ จนไม่กล้าหือด้วย
“จะไปไหน”
“ฉันคิดว่าจะออกไปข้างนอก”
“มันดึกแล้ว ทำไมไม่นอน” เขาถาม ฉันเลยหลบสายตา
นั่นสิ เขารู้ว่าตอนนี้ดึกแล้ว แล้วทำไมเพิ่งกลับมา ฉันถามอยู่ในใจแล้วก็อยากจะร้องไห้ บอกแล้วไงว่าในสายตาของเขาฉันน่ะเป็นแค่ผู้หญิงที่น่ารำคาญ อยู่ใกล้เขาได้ตอนนี้ก็เพราะเขามีเรื่องอยากจะคุยด้วยเท่านั้น
“ไปนอนซะ ฉันเหนื่อยมาก” ซิมมอนส์บอก และแน่นอนว่าฉันไม่กล้าถามต่อว่าเขาเหนื่อยอะไรมาก เพราะหัวใจของฉันก็เหนื่อยหนักมากเกินไปแล้ว
ฉันนอนหลับและฝันร้ายอยู่ทั้งคืน อาจเป็นเพราะนอนข้างเขา นอนข้างคนที่เกลียดตัวเองมาตลอด เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นเรื่องที่แสนเจ็บปวดยากจะบรรยายออกมาได้ เมื่อถึงตอนเช้าฉันก็ลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ตั้งใจจะกลับห้องของเจสซี่ไม่สนใจว่าเขาจะว่ายังไง
ฉันเหลียวมองดูซิมมอนส์อีกครั้ง เห็นเขายังหลับสนิทอยู่ก็พอหายใจได้คล่องคอ ค่อยๆ เดินออกมา หวังกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของตัวเอง
แต่ว่า…
ฉันต้องตัวแข็งทื่ออยู่หน้าประตูห้องนอน เมื่อเห็นคนที่มาเยี่ยมในตอนเช้าอย่างคาดไม่ถึง…
“คุณแม่…”
เพราะคนที่มาใหม่นั้น เป็นแม่บุญธรรมของฉัน และเป็นแม่จริงๆ ของซิมมอนส์ยืนมองมาด้วยสายตาที่แสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ปันหยี หนูมาทำอะไรที่ห้องซิมม์แบบนี้ลูก!”
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่จะอัพให้อ่านได้แล้วนะคะ
เพราะจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วค่ะ ฝากผลงานไว้ด้วยนะคะ
Simmons`s Eyes รักปิดตาย วายร้ายที่รัก
(Story of Simmons & Pan-Yee)
วางขาย ตุลาคม 2017 ตามร้านหนังสือทั่วไป
E-Book Meb ➡ https://goo.gl/HXC1Fr
E-Book Naiin➡ https://goo.gl/EpQArS
สั่งซื้อสอบถามโดยตรงได้ที่ https://m.me/meejairakpublishing
มันคือความเกลียดชัง
ที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นความรัก
อะไรคือความสงบสุข?
เธอไม่เคยได้รู้จักมันอีกตั้งแต่เจอกับเขา
ซิมมอนส์คือวายร้ายตัวป่วนที่คอยก่อกวนโลกของเธอ
ต้องเกลียดกันเบอร์ไหนนะ...ถึงได้ทำร้ายกันขนาดนี้
แล้วผู้หญิงอย่าง ปันหยี คนนี้หรือจะกล้าสู้
เขาร้ายมา…เธอก็ยิ่งถอยหนี
จนไม่ทันได้คิดเลยจริงๆ ว่า…สิ่งที่เขาทำไม่ใช่ความเกลียดชัง
<!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 0 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-2130706429 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Cambria Math"; panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-536870145 1107305727 0 0 415 0;} @font-face {font-family:Calibri; panose-1:2 15 5 2 2 2 4 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-536870145 1073786111 1 0 415 0;} @font-face {font-family:"Century Gothic"; panose-1:2 11 5 2 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:647 0 0 0 159 0;} @font-face {font-family:"MS Mincho"; panose-1:2 2 6 9 4 2 5 8 3 4; mso-font-charset:128; mso-generic-font-family:auto; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-536870145 1791491579 134217746 0 131231 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; font-family:Calibri; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi; mso-bidi-language:AR-SA;} a:link, span.MsoHyperlink {mso-style-priority:99; color:#0563C1; mso-themecolor:hyperlink; text-decoration:underline; text-underline:single;} a:visited, span.MsoHyperlinkFollowed {mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; color:#954F72; mso-themecolor:followedhyperlink; text-decoration:underline; text-underline:single;} p.MsoNoSpacing, li.MsoNoSpacing, div.MsoNoSpacing {mso-style-priority:1; mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; font-family:Calibri; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi; mso-bidi-language:AR-SA;} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; font-family:Calibri; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-fareast-font-family:Calibri; mso-fareast-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} @page WordSection1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.WordSection1 {page:WordSection1;} -->
แต่เป็นความรักที่ไม่กล้าบอกเธอต่างหาก!
Talk 3...
เรื่องนี้เขียนไปเศร้าไป
ทำไมนะ ทำไมปันหยีถึงได้น่าสงสารตลอด ส่วนซิมมอนส์วินตลอด
แต่หลังจากนี้ซิมม์จะทำอะไรหยีไม่ได้แล้ว
แล้วทีนี้จะเป็นยังไงต่อล่ะ ถ้าหยีจะกลับไปหาดอม อิๆ
Talk 2...
ช่วงนี้เค้าไม่สบายอย่างมากเลยค่ะ
กินยาก็ง่วง ไม่กินยาก็อยู่ไม่ได้
ชีวิต ฟหกดกหกฟ มากๆ เลยค่ะ #น้ำตา
ว่าปันหยีน่าสงสารแล้ว มิราน่าสงสารกว่า
แล้วจะมาอัพให้ต่อนะเออ ถ้ามาช้าไปหน่อยก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ
ช่วงนี้ร่างกายไม่ไหวจริงๆ
Talk 1...
Song :: One Man Drinking Games - Mayday Parade
โอ๊ย อีซิมม์คะ แกเป็นมาเฟียกลับชาติมาเกิดเหรอ ร้ายกาจไม่มีใครเกิน
ปล อ่านทอล์คต่อจากนี้หน่อยนะคะ
ความคิดเห็น