คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Simmons`s Eyes εїз | Re-write Ver. Ep01
Simmons`s Eyes
(Story of Simmons & Pan-Yee)
And I know it seems beneath me
But sometimes it’s not so easy
To wish you well and let you go
And I say it’s just as well
That I just can’t keep you for myself
I don’t want to see you happier with somebody else
และฉันรู้ว่ามันยังอยู่ใต้ฉัน
แต่บางครั้งมันก็ไม่ง่ายเลย
ที่จะอธิษฐานให้คุณไปดีและปล่อยคุณไป
และฉันพูดว่ามันจะดีเอง
ที่ฉันไม่สามารถรั้งคุณไว้ได้เพื่อตัวฉันเอง
ฉันไม่อยากเห็นคุณมีความสุขกับใครคนอื่นเลย
Song :: Marianas Trench - So Soon
Simmons’s Eyes Ep00
~I Don’t Want To See You Happier With Somebody Else~
ความมืดน่ะ เป็นของคู่กันกับฉันเลยล่ะ…
แต่มีใครเคยบอกว่าความมืดน่ะเป็นของเธอคนนั้น กับเขาคนนั้นมากกว่า ฉันเป็นเหมือนสายลม เหมือนกับธาตุอากาศที่ไม่มีใครต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครเคยมองเห็นเลยสักคน
ฉันชื่อว่า ‘ปันหยี’ เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงพร้อมกับเธอคนนั้น และเขาคนนั้น…
ใช่ ฉันน่ะเป็นอากาศสำหรับทั้งสองคน ถึงแม้ว่า ‘สิตางศุ์’ พี่สาวที่ถูกเก็บมาเลี้ยงด้วยกันจะรักและเอ็นดูฉันเหมือนน้องสาวจริงๆ
แต่สำหรับพี่ชายอย่าง ‘ซิมมอนส์’ ฉันน่ะ เป็นยิ่งกว่าอากาศซะอีก
ฉันน่ะ เคยถูกซิมมอนส์ขืนใจด้วย… มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดซะยิ่งกว่าตายทั้งเป็น และที่เจ็บมากกว่านั้นคือเขาไม่แม้แต่จะสนใจมองเลยแม้แต่หางตา นั่นแหละ มันคือความมืดในหัวใจของฉัน
“เฮ้… ส่งงานยังน่ะ” เสียงของเจสซี่เพื่อนสนิทฉุดให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ได้
ฉันหันไปยิ้มให้เธอ เพราะไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่เจสซี่เป็นคนที่ฉันพึ่งพาได้เสมอ และเป็นคนเดียวที่ห่วงใยฉันจากใจจริง
“ส่งแล้ว ของเธอล่ะ”
“เรียบร้อย…” เจสซี่บอก แล้วก็จ้องหน้าฉันนิ่งๆ
ฉันน่ะไม่สวยเลยเมื่อเทียบกับสิตางศุ์ เป็นเพียงผู้หญิงเฉิ่มๆ ที่ไม่มีอะไรดูดีเลยสักอย่าง ไม่แปลกหรอกที่ซิมมอนส์เขาจะไม่สนใจไม่เคยใส่ใจฉันเลย เขาทำร้ายน้ำใจฉันสารพัด ถึงอย่างนั้นฉันก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่เกลียดเขาซะที อาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนเราอยู่ด้วยกันสามคนมาตลอดล่ะมั้ง ถึงตัดไม่ขาดจนแล้วจนรอด
“ยังคิดถึงเรื่องเดิมอยู่เหรอ”
“ก็นะ…” ฉันหัวเราะแต่ไม่ได้รู้สึกขำเลยสักนิดเดียว
“งั้นไปเที่ยวกันมั้ยล่ะ” เจสซี่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ฉันเลยส่ายหน้าปฏิเสธ ก็นะ สีหน้าแววตาของเธอดูร้ายซะขนาดนี้
ฉันกับเจสซี่ก็เป็นเพื่อนกันแบบที่ไม่น่าจะคบกันได้เลย เพราะทั้งฉันเชยทั้งเฉิ่มตามใครไม่ทัน ในขณะที่เจสซี่น่ะ ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่มีเสน่ห์ บางครั้งก็ถึงกับมีคนแซวว่าเป็นคุณหนูกับคนใช้ แต่ฉันไม่ได้รู้สึกเสียความรู้สึกเสียใจอะไรเลย เพราะเพื่อนสนิทคนนี้เป็นคนที่แสนดีและจริงใจกับฉันมากกว่าใครทั้งนั้น
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเที่ยว”
“น่า ไปเถอะ ไปด้วยกัน เปิดหูเปิดตาบ้างก็ได้” เจสซี่คะยั้นคะยอ แต่ฉันยังส่ายหน้าเหมือนเดิม
“เจส!” แล้วฉันก็ต้องอุทานเมื่อเจสซี่ลากตัวฉันออกมาจากโซฟาและลากเข้าห้องนอนต่อ
ตอนนี้ฉันพักอยู่กับเจสซี่ได้ระยะหนึ่งแล้ว เพราะก่อนหน้านี้อยู่ในหอในมาตลอดแล้วก็ได้รู้จักกันที่มหาวิทยาลัย
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้ชอบฉันนักหรอก บอกว่าฉันน่ะเป็นผู้หญิงที่ดูงี่เง่านุ่มนิ่มเห็นแล้วขัดหูขัดตา แต่เมื่อได้ทำกิจกรรมด้วยกัน ได้ทำรายงานมาด้วยกัน แถมยังเรียนตัวเดียวกันแทบทุกวิชา รู้ตัวอีกทีเจสซี่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทและผู้พิทักษ์ของฉันไปซะแล้ว
หลายคนก็สงสัยว่าทำไมเราสองคนถึงคบกันได้ ทั้งที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่างเดียว
ก็นั่นน่ะสิ เรามาคบกันได้ยังไงก็ไม่รู้
“เธอก็รู้ว่าฉันจะกลับแอลเอ[1]อาทิตย์หน้า ต้องทิ้งเธอไว้คนเดียว กว่าจะเปิดเทอมก็หลายเดือน เฮ้อ ฉันไม่ไว้ใจให้เธออยู่คนเดียวเลย” เจสซี่พูดตอนที่ลากฉันเข้าไปในห้องนอน
ฉันหัวเราะ เพราะในสายตาของเจสซี่ฉันเหมือนเด็กประถมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เหอะ น่าเชื่อตายล่ะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเจอเพื่อนของฉัน จะได้ฝากให้พวกนั้นคอยดูแลเธอด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกปันหยี เธอก็รู้ว่าเธอหัวซื่อ โง่ๆ ทึ่มๆ อยู่ด้วย ฉันไม่ไว้ใจอะไรทั้งนั้น!” เจสซี่ทำหน้าขึงขัง และพูดด้วยคำพูดที่แทบตีแสกหน้าฉัน
“มา มานี่เดี๋ยวนี้เลย”
เจสซี่ไม่ฟังอะไรเหมือนเคย เธอลากฉันไปดูชุดสวยซึ่งส่วนมากก็เป็นของเธอนั่นแหละ และมักจะยัดเยียดให้ฉันสวมด้วยเสมอ และดูเหมือนว่าเพื่อนคนสวยจะสนุกมากที่ได้จับฉันแต่งตัวเล่นและพร้อมจะออกไปข้างนอก
Simmons`s talking…
ผมมานั่งดื่มกับเพื่อนๆ อย่างเบื่อหน่าย ยิ่งหมดเทอมแบบนี้ด้วยแล้วทุกอย่างก็ยิ่งดูน่าเบื่อไปหมดทุกเรื่อง เหนื่อยหน่ายแม้กระทั่งเรื่องร้องเพลงก็ยังไม่อยากจะคุยกับเพื่อนคนอื่น
กลุ่มของผมมีชื่อว่า The Moxie
เราเป็นนักดนตรีที่ฟอร์มวงกันขึ้นมา ก็มีผมซิมมอนส์, เดมอน, เท็ด, ร็อบ คาร์โล และสุดท้าย นักแต่งเพลงที่อยู่เงามืดไม่ค่อยปรากฏตัวคือ สิตางศุ์…
และตอนนี้ เธอได้ห่างไกลจากผมเหลือเกิน
“สรุปว่าสิตางศุ์คบกับหมอนั่นจริงจังแล้วสินะ” เดมอนพูดขึ้น ผมเลยพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างโหวงหวิว
“ใช่…” ผมตอบพลางคิดถึงใบหน้าของหมอนั่นในความทรงจำ
หมอนั่น… คือ ‘โจแอล’ คนที่ได้หัวใจของสิตางศุ์ไป
ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าผมและสิตางศุ์เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่มีอะไรจะมาแยกเราสองคนออกจากกันได้ แต่ผมน่ะ คิดผิด… เพราะเธอพยายามและโหยหาอิสรภาพที่ต้องการมาตลอด สุดท้ายเธอก็ได้เจอกับใครคนนั้นและจากไป
“แล้วปันหยีล่ะ…” เท็ดพูดขึ้นบ้าง และทำให้จังหวะการสูบบุหรี่ของผมติดขัด ผมหรี่ตาลงมองดูคนพูดด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เพราะชื่อนี้ถือเป็นชื่อต้องห้ามที่ไม่อยากได้ยินในเวลานี้
ผมตามตอแยเอาชนะสิตางศุ์ก็จริง แต่ลึกๆ ลงไปแล้วก็พอจะรู้ว่าไม่ได้ต้องการเธอมาเป็นผู้หญิงข้างตัว เพราะเธอเอาแต่คอยหลบหนีไม่เคยพบปะพูดคุย เหมือนเงามืดจริงๆ อย่างที่บอกเอาไว้ ดังนั้นผมเลยอยากให้เธอก้าวออกมาสู่แสงสว่าง ยังไงซะเราก็โตมาด้วยกันเป็นเหมือนพี่น้องกันมาตลอด
แต่ก็นั่นแหละ… เธอเลือกแล้วที่จะอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม
“ไม่ชอบปันหยีเหรอ ถามจริง…” เท็ดพูดเหมือนไม่กลัวตาย
ก็นะ… อันที่จริงไอ้หมีถึกนี่ก็ไม่กลัวอะไรจริงๆ นั่นแหละ
จะว่าไงดีล่ะ ปันหยีน่ะไม่เหมือนกับสิตางศุ์เลยสักนิดเดียว เหมือนความมืดที่ซ่อนอยู่ในเงาอีกทีหนึ่งอะไรทำนองนั้น ตอนเด็กๆ เธอมักจะหลบอยู่หลังของสิตางศุ์ขี้อายขี้ตกใจและไม่กล้าแสดงออกอะไรเลย ผมรู้มาจากพ่อกับแม่ว่าชีวิตวัยเด็กของเธอน่าสงสาร ถูกพ่อแม่ทุบตีแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ไม่ดูแลเลยกลายเป็นบาดแผลในใจที่ทำให้ไม่กล้าจะพูดหรือแสดงตัวว่ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ แต่มันน่ารำคาญมากนะที่เห็นแบบนั้นน่ะ
สุดท้าย ผมเลยรำคาญเธอมากยังไงล่ะ ไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากได้ยินชื่อ ไม่อยากจะอะไรทั้งนั้นแหละ
“งั้นมึงก็ชอบสิตางศุ์…”
“บอกแล้วไงว่าสิตางศุ์ก็เหมือนน้องคนนึงโว้ย ตอนแรกกูก็คิดผิดนั่นแหละ ว่าถ้ากลายมาเป็นแฟนจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แต่อันที่จริง ก็แค่หวงไม่อยากให้คบกับไอ้โจแอลมันเท่านั้นแหละ” ผมตอบ เพราะไม่เคยมีความลับกับเพื่อนในกลุ่มอยู่แล้ว และไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดๆ ไปด้วย
“ตอนนี้ก็ชอบนะ และดีใจที่สิตางศุ์มีความสุขดี เพราะงั้นอย่าพูดว่ากูจะแย่งหรือหลงรักสิตางศุ์เหอะว่ะ กูไม่อยากให้ยัยนั่นไม่สบายใจ เพราะยังไงนั่นก็น้องสาว…”
“โว้วว ดีนะที่ไม่ได้ทำอะไรสิตางศุ์ตอนที่ยังไม่รู้ความรู้สึกจริงๆ น่ะ ไม่งั้นยุ่งตายห่า…”
คำพูดของคาร์โลกระแทกหัวใจผมอย่างจัง… เพราะครั้งหนึ่ง ผมเมาไม่รู้เรื่องก่อนจะทำร้ายปันหยีอย่างไม่น่าให้อภัย จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้คุยกัน
“แล้วมึงจะทำยังไงกับน้องสาวอีกคนดีล่ะซิมมอนส์…” เท็ดหัวเราะในคอแล้วก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ทำให้ผมขมวดคิ้วส่ายหน้า
“บอกแล้วไงว่าไม่ยุ่งอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมพูดเสียงห้วนๆ ยอมรับว่าไม่ค่อยพอใจที่ได้ยินแบบนี้ ก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปมองด้านหลังเมื่อเห็นคนอื่นๆ พยักพเยิดหน้าให้กันอยู่
แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้ผมเบิกตากว้างขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองมองไม่ผิด ว่าคนตรงหน้านั้นเป็น ‘น้องสาว’ คนหนึ่งจริงๆ
ปันหยีน่ะ…
เธอมากับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง และตอนนี้อยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่… ไม่รู้สิ ผมบอกไม่ได้ว่าทำไมต้องอารมณ์เสียเมื่อเห็นแบบนี้ด้วย
“คนนี้ไม่หวงเหรอ น้องสาวเหมือนกันนี่” เท็ดถามด้วยสีหน้ายิ้มเยาะน้อยๆ
“นี่ถ้านั่นเป็นแบร์นะ กูจะไม่ทนเฉยแน่ มีแต่ผู้ชายหมาป่าทั้งนั้น แต่บังเอิญว่าตอนนี้น้องสาวที่รักของกูก็มีแฟนละ เลยไม่ต้องเหนื่อยมาตามจิกน้องสาวเข้าผับเหมือนเมื่อก่อนอีก…”
แบร์… ที่เท็ดพูดถึงคือน้องสาวของมันเอง ซึ่งเป็นพี่น้องตระกูลหมีที่หน้าตาดีสุดๆ อย่างไอ้เท็ดเนี่ยก็มีผู้หญิงมาคอยตามตื้อหลายคนเหมือนกัน ส่วนแบร์นั้นมีแฟนแล้วชื่อโนอาห์ แล้วก็เป็นไม้เบื่อไม้เมาอีกต่างหาก เรื่องมันฟังดูสับสนนิดหน่อย แต่เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมาเดือดร้อนอะไรด้วย
ตอนนี้ผมควรตัดสินใจซะทีว่าจะทำยังไงกับปันหยีดี…
เพราะตอนนี้เธออยู่ในกลุ่มเพื่อนที่แต่ละคนดูไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น
ให้ตายเถอะ น้องสาวตามกฎหมายของผมไม่ว่าจะเป็นสิตางศุ์หรือปันหยีคิดหาเรื่องให้ผมปวดหัวตลอดเวลาเลยหรือยังไงกัน!
“จะเอายังไงล่ะนั่น… น้องสาวมึงดื่มไปไม่รู้กี่แก้วแล้วนะนั่น” ร็อบถามผมด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทำให้ผมชักสีหน้าให้อย่างหงุดหงิด
“Dammit!!” ทำไมผมต้องมาหงุดหงิดด้วยวะ ไม่เข้าใจตัวเองเลย!!
End Simmons talk…
“เฮ้ย! หยีมันดื่มเหล้าไม่ได้นะเว้ย!” เสียงที่ฟังดูเลือนรางของเจสซี่แหวขึ้น หลังจากที่ฉันดื่มน้ำ…ที่คิดว่าเป็นน้ำหวานเข้าไปสองสามแก้ว ฉันนี่มันโง่จริงๆ เลย คิดไปว่าที่แบบนี้จะมีน้ำหวานให้ดื่มหรือไงกัน
เพราะไอ้ที่ดื่มลงไปน่ะ มันคือค็อกเทล… และแก้วสุดท้ายมันกำลังเผาทางเดินอาหารฉันเหมือนจะไหม้ไปหมดแล้ว
“อ้าว… ไม่เห็นว่าดื่มไปแล้ว”
“ไอ้บ้าเวส! นี่เพื่อนฉันนะเว้ย ฉันตั้งใจพามาให้พวกแกรู้จักแล้วจะฝากให้พวกแกดูแลนะ ฉันจะกลับแอลเอไม่ไว้ใจให้อยู่คนเดียว แบบนี้ฉันจะไว้ใจพวกแกได้ยังไงวะ!” เจสซี่โวยวาย ฉันเลยหัวเราะได้นิดหน่อย
“เห็นมั้ย!? ยัยหยีหัวเราะ ตายๆ ยัยนี่ไม่เคยดื่มเลยนะเว้ย!”
“เสียงแกนี่แสบหูจริงๆ เจส ก็ไม่รู้นี่หว่าว่าดื่มไม่ได้ พาไปพักก่อนไหม ที่นี่คลับของไอ้รอนมัน ชั้นบนมีห้องพักอยู่ ให้พักสักคืนก็ได้”
“พวกแกนี่มันได้เรื่องเลย!” เจสซี่พึมพำไม่หยุด และฉันก็รู้สึกตัวเลือนๆ ว่าเพื่อนประคองขึ้นชั้นบนอย่างระมัดระวัง
“ไหวมั้ยเนี่ยหยี…”
“มึนไปหมดเลย ฉันคิดว่าน้ำส้มอ่ะ” ฉันบอกเสียงอ้อแอ้ เจสซี่ทั้งสบถทั้งหัวเราะจนฉันฟังไม่ออกว่าเพื่อนพูดอะไรเพราะหนักหัวไปหมด
“นอนพักซะ ที่นี่เป็นคลับเพื่อนฉันเองไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันไปลั้ลลากับเพื่อนก่อนนะ แล้วเราค่อยกลับ หรือไม่ฉันเมาแล้วจะมานอนด้วย…” เจสซี่หัวเราะคิกคักพาให้ฉันหัวเราะไปด้วย
ฉันอยู่ในความสงบอีกครั้งเมื่อเสียงรองเท้าส้นสูงของเจสซี่เดินห่างออกไปแล้วก็หลับตาลงอย่างปวดหัว เพิ่งรู้ว่าค็อกเทลแก้วเล็กๆ สีหวานๆ นั่นจะร้ายกาจได้มากขนาดนี้
แต่สักพักก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง ฉันยังหนักหัวอยู่เลยลืมตาไม่ขึ้น ครางอืออาในคอแล้วก็ต้องลืมตาโพลงเมื่อถูกปิดปากเอาไว้แน่น แต่เพราะมันมืดมากเลยมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากโครงหน้าของใครบางคนที่ดูคุ้นตาตรงหน้า
ฉันดิ้นขลุกขลักด้วยความตกใจกลัว และอ่อนแรงลงเรื่อยๆ กลิ่นบุหรี่และกลิ่นเหล้าแอปเปิลเขียวจางๆ ทำให้ฉันเบลอไปหมด กลัวจนน้ำตาไหล ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตข้างหูแผ่วเบา
“…”
ดวงตาของฉันเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงที่ดูคุ้นเคย แต่มันก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก สมองของฉันเหมือนหม้อที่กำลังเดือดปุดและร้อนไปหมดทั้งตัว
“เธอนี่มันงี่เง่าจริงๆ…”
นั่นเป็นคำพูดที่ฉันฟังดูแล้วคุ้นเคยมากที่สุด… ฉันหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เหมือนมีกระทิงดุมาขย่มอยู่ในนั้น บ้าเถอะ ฉันปวดหัวจนอยากจะตายแล้วจริงๆ นะ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนหรือฉันออกมายังไง แต่มารู้สึกตัวก็ตอนที่แผ่นหลังแตะถูกเบาะรถ ฉันปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก หัวใจก็เต้นแรงจนชีพจรตรงต้นคอเต้นตุบๆ ได้ยินเสียงชัดเจน
แล้วฉันก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลียเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูรถอย่างรุนแรง จนตัวรถที่นอนอยู่นั้นไหวโยก
“เชี่ยซิมมอนส์! รถกูแพงนะครับ!!” เสียงใครสักคนดังขึ้น บอกให้รู้ว่าคนที่อุ้มฉันมาน่ะใช่ซิมมอนส์อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
“รถของมึงจะเท่าไหร่กัน จะเท่ามัสแตง[2]ของกูเหอะ!”
เสียงเปิดปิดประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงของซิมมอนส์ที่พูดตอกกลับ ฉันยังปวดหัวอยู่แต่ก็ลืมตาขึ้นมองดูรอบตัวได้ มองจากเบาะหลังแบบนี้ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของรถ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนในกลุ่มเพื่อนของซิมมอนส์นั่นแหละ เขามีเพื่อนที่สนิทๆ อยู่ประมาณสี่คน และคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยได้มาเจอหรือร้องเพลงด้วยกัน
แต่เดี๋ยวนะ… ทำไมฉันถึงได้รู้เรื่องของซิมมอนส์ได้ละเอียดขนาดนี้
บ้าแล้วปันหยี… เธอน่ะงี่เง่าที่สุดในสามโลกเลย เธอรู้ตัวบ้างไหม!?
“เชี่ย คันนี้แพงนะเว้ย ถึงจะไม่เท่าอาเกียร่า[3]ที่บ้านกูก็เหอะ!”
“กูไม่ได้อยากมาเถียงเรื่องความเร็วรถกับมึงนะคาร์โล!” ซิมมอนส์ตะคอก ฉันเลยรู้ว่าเจ้าของรถคันนี้คือคาร์โล หนึ่งในเพื่อนสนิทของเขา
“แล้วแน่ใจนะว่าไม่มีปัญหาทีหลังน่ะ…” คาร์โลเหมือนเอี้ยวตัวหันมามองฉันที่นอนอยู่ ด้วยความมืดเลยทำให้ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ฉันตื่นอยู่และได้ยินที่พวกเขาคุยกันทุกอย่าง
“แต่เมาเพราะค็อกเทลแก้วสองแก้วก็ไม่ไหวนะเว้ย!”
“ก็นี่แหละถึงได้ต้องพาออกมายังไงล่ะ” ซิมมอนส์พูด แล้วก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบ เป็นประจำอยู่แล้วที่เขาจะสูบมันเวลาที่เครียดๆ
เพราะงั้นแสดงว่าตอนนี้เขากำลังเครียดและหงุดหงิดอย่างมาก พอรู้แบบนั้นฉันก็หลับตาลงอย่างเจียมตัว เขาคงไม่ได้ห่วงอะไรมากจนลากออกมาจากคลับหรอก เพียงแต่ว่าคงไม่อยากให้ใครเอาชื่อฉันไปพูดเสียๆ หายๆ
เพราะไม่ว่ายังไง… ฉันก็คือน้องสาวของเขาตามกฎหมายอยู่ดี
“แล้วทางนั้นจะว่ายังไงเนี่ย ปันหยีมากับเพื่อนไม่ใช่เหรอ ไปลากตัวมาแบบนี้จะไม่มีปัญหาทีหลังหรือไง” คาร์โลถามพลางหมุนพวงมาลัยออกรถอย่างเงียบเชียบ
“So what?” ซิมมอนส์พ่นควันบุหรี่ออกจากปากแล้วก็ย้อนถามเสียงกวนๆ
สมแล้วที่เป็นซิมมอนส์… ผู้ชายเย่อหยิ่งจองหอง และแสนเอาแต่ใจ เขาเป็นตัวของตัวเองและมั่นใจทุกเรื่องอยู่เสมอไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น
“เออ กูไม่ขอยุ่งอะไรกับมึงแล้วครับ ตกลงว่ากลับห้องของมึงเลยใช่มั้ย?”
“เออ กลับเถอะ กูเบื่อว่ะ ไม่ว่าจะไปทางไหนตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดขวางหูขวางตาไปทุกอย่าง” เสียงของซิมมอนส์ฟังดูเป็นอย่างนั้น
และฉันรู้ดีว่าทุกอย่างน่ะ มาจากตัวฉันทั้งหมด…
ทุกอย่าง…
Simmons`s talking…
พอออกจากคลับ พวกมันก็พาตัวเองมานั่งสุมหัวในห้องของผมเนี่ยนะ
ไอ้พวกสันขวานเอ๊ย! ห้องนี้ยังเป็นแหล่งซ่องสุมไม่พอรึไงวะ รู้นะ ว่าที่พวกมันไม่ไปไหนเพราะอยากจะผลาญค่าไฟห้องผมมากกว่า
ผมต้องอุ้มตัวปันหยีที่หลับไม่รู้เรื่องออกมาแล้วก็พากลับห้อง ด้วยท่าของอัศวินอุ้มเจ้าหญิง! เออ ท่านั่นแหละ น่าหงุดหงิดชิบ
“ถ้าพวกมึงถ่ายรูปกูตอนนี้ ได้ตายห่ากันหมดแน่” ผมขู่เมื่อเห็นเพื่อนแต่ละคนหัวเราะคิกคักเห็นเป็นเรื่องสนุกกันทุกคน
แต่มีเหรอที่พวกมันจะกลัว… เพื่อนกันน่ะนิสัยก็เหมือนกันนี่แหละ ทุกคนเหมือนกับผมไม่ผิดเพี้ยนไม่อย่างนั้นเราคงไม่เป็นเพื่อนกัน
แชะ! ครั้งที่หนึ่งดังขึ้น แน่นอนว่ามันต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สามตามมา
แชะ แชะ แชะ!!
“พวกคุณเพื่อน พวกมึงพอใจรึยังครับ…” ผมหันไปทำหน้าโหดๆ ให้เพื่อน แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่แม้แต่จะสนใจ เมื่อทำอะไรมากไม่ได้ผมก็ดึงศีรษะเล็กๆ ของปันหยีหันเข้าอกผม เพื่อไม่ให้คนอื่นได้เห็นหน้าของเธอ
“โห มีหวงซะด้วย” ไอ้เท็ดหัวเราะ แต่แน่ล่ะ ผมไม่หัวเราะด้วย
“เลิกทำแบบนี้ซะทีสิโว้ย พอเหอะ กูหนัก ไม่อยากมีเรื่องกับพวกมึง” ผมบอก แต่พวกมันเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่น่าขนลุก
“หนัก… ผอมๆ อย่างปันหยีเนี่ยนะจะหนัก งั้นให้กูอุ้มแทนมั้ย?” ร็อบเสนอตัวเข้ามา ผมอึกอักไปเล็กน้อยมันเป็นพอดีกับที่ถึงชั้นที่พักพอดีผมเลยไม่ได้ส่งตัวปันหยีให้มันไป
“ออกไปได้แล้ว ถึงแล้ว” ผมพูดบอกเสียงห้วนๆ ก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันหัวเราะสนุกอะไรกันหนักหนา
“ไปเว้ย… ไปหาเหล้ากินดีกว่า…”
ไอ้เพื่อนผู้น่ารักของผมต่างพากันเดินเข้าห้องอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ ผมได้แต่กัดฟันมองคามหลังอย่างแค้นๆ แล้วก็อุ้มตัวปันหยีตามหลังไป
“พวกมึงดูสนุกกันจังเลยนะ!” ผมกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟาเมื่ออุ้มปันหยีไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนฟังที่ไหน เอาแต่เลือกเหล้ากับไวน์ผมอย่างสนุกสนาน ส่วนเจ้าของห้องตัวจริงนั่งหน้าหงิกไม่สบอารมณ์อย่างนี้นี่แหละ
“ซิมม์ มึงดื่มหน่อยมั้ย… แต่ไม่ดีกว่า เดี๋ยวมึงจับปันหยีกดอีก!”
“ไอ้เห้-ร็อบ!!” ผมตะโกนแล้วก็คว้ากระป๋องเบียร์เปล่าๆ เขวี้ยงใส่ไอ้คนปากดีสุดแรง แต่มันหลบได้แล้วก็หัวเราะกันไม่หยุด
“หัวเราะเชี่ยอะไรกันวะ!!”
“ซิมม์ มึงรู้ป่ะว่าตอนนี้หน้ามึงโคตรแสดงความรู้สึกเลย” พวกมันเอาแต่หัวเราะ จนผมอยากจะหัวเราะตาม มันสนุกสนานหา…อะไรมันกันนักหนา
“แสดงเห้-อะไรวะ ไหน มึงบอกกูมาซิ!” ผมเริ่มไม่สบอารมณ์จริงๆ ก่อนจะเห็นสายตาไม่น่าไว้ใจของเดมอน
“สีหน้าความหื่นยังไงวะ”
“Fu*k you!!” ผมชูนิ้วกลางแสดงความรักให้เพื่อนทุกคนอย่างเท่าเทียม หัวเสียและร้อนไปทั้งตัว
“พวกมึงกลับไปเลยไป๊ กูไม่มีอารมณ์จะมองหน้าพวกมึงอีกแล้ว” ผมเริ่มหยาบคายแบบที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง แต่ตอนนี้มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
“กูไม่ไป คืนนี้กูจะนอนที่นี่” ร็อบแสดงเจตนารมณ์ชัดเจน ดูเหมือนจะต่อมาจากในลิฟต์นั่นแหละ บ้าบอคอแตก ทำไมมันร้อนๆ แบบนี้ก็ไม่รู้
“ถ้ามึงเผลอ กูจะย่องเข้าห้องน้องสาวมึง”
“เชี่ย… พวกมึงนี่มัน” ไม่สามารถจะหาคำมาด่าไอ้พวกเวรตะไลพวกนี้ได้จริงๆ ผมมองหน้าเพื่อนแล้วก็ไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่พวกมันต้องการคืออะไรกันแน่
“อะไรอ่ะ ตอนนี้ทำหวงน้องสาว ปกติไม่เคยเป็น”
“เฮ้ย กูบอกจริงๆ นะเว้ย กูไม่สนุกจริงๆ กูอยากนอนพักพวกมึงกลับไปซะทีเถอะ” ไม่ว่าจะด่าจะว่าพวกมันก็ไม่สะเทือน สุดท้ายผมเลยต้องอ้อนวอน ใช่… ผมนี่มันไร้ศักดิ์ศรีที่สุด ให้ตายเถอะ
“ให้พวกกูรีบกลับ เพราะมึงจะได้ลั้ลลากับปันหยีสินะ!” ว่าแล้วพวกมันก็หัวเราะ
ไม่ไหวแล้วโว้ย…
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ ฮะๆ” ผมเลยหัวเราะบ้าง และทำให้ไอ้เพื่อนนรกแตกพวกนี้อึ้งกันไปใหญ่
บอกแล้วว่าความบ้าต้องล้างด้วยความบ้า การที่หัวเราะเนี่ยไม่ได้แปลนะว่าจะขำ ไม่เลยเว้ย!
“มึงเมาหรือกูมึนวะซิมม์”
“ก็เหมือนพวกมึงเห้-แล้วเชี่ยเห้-ๆ ยังไงล่ะวะ” จบคำพูดผมถูกปาด้วยกล่องเบียร์บ้างกล่องบุหรี่บ้าง ซึ่งมันน่าหงุดหงิดเอาเรื่องเลย
“เอาเป็นว่าพวกกูยังจำเป็นอยู่ไหม กูต้องกลับไปนอนบ้านกูแล้วรึเปล่า?” คาร์โลเอียงคอถาม ผมเองก็ตัดสินใจไม่ได้สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น
“ปกติพวกกูก็มานอนที่นี่เป็นปกติอยู่แล้วนี่หว่า อยู่ๆ จะมาไล่กลับแบบนี้มันไม่ดีนะเว้ย…” เสียงนกเสียงกาไล่หลังมาแต่ผมไม่ได้ใส่ใจ ลุกขึ้นจากโซฟาผลักหัวไอ้เท็ดที่ขวางหูขวางตาตรงหน้า ข้ามผ่านตัวไอ้เดมอนที่นอนเล่นเกมบนพื้นผ่านพวกมันไปอย่างไม่ไยดี
“ได้เวลาเข้านอนแล้วสินะซิมม์ เด็กอนามัยว่ะ นอนเร็วนะวันนี้”
“เชี่ยเอ๊ย…” ผมสบถก่อนจะเดินเข้าห้องนอนที่มีปันหยีหลับบนเตียงด้วยความหัวเสียสุดๆ
ผมรู้ว่าการที่ทุกคนทำแบบนี้ก็เพื่อให้ผมได้กลับมาคุยดีๆ กับปันหยีอีกครั้ง แต่ถึงตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ ต้องพ่นลมหายใจออกมายืดยาวพยายามจะไม่มองร่างเล็กที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงให้มากเกินไป เพราะความร้อนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมันพยายามหาทางออกจากร่างกายอยู่ในตอนนี้
ขึ้นชื่อว่าผู้ชาย… ผู้หญิงที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบน่ะ ก็ทำได้…
ผมไม่ปฏิเสธว่าตัวผมเลว เพราะความจริงแล้ว ผมน่ะสุดยอดของความเลวร้ายเลยต่างหาก
เพราะกลัวว่าเรื่องมันจะซ้ำรอยเดิม เพราะอย่างนั้นผมเลยพาตัวเองเข้าห้องน้ำหวังจะอาบน้ำให้คลายร้อนซะหน่อย เพราะมันร้อนมากจริงๆ
ผมแช่ตัวเองใต้ฝักบัวอยู่เป็นนานก่อนจะพาตัวเองออกมา สิ่งแรกที่เห็นในม่านสายตาก็คือร่างของปันหยีที่นอนบนเตียง ผมยกมือลูบหน้าตัวเองอย่างสิ้นหวัง
สุดท้ายก็ไม่อาจหักห้ามความต้องการลึกๆ ในใจของตัวเองไปได้
ขาของผมมันก้าวออกไปเอง ตรงไปยังเตียงนอนที่มีปันหยีนอนหลับสนิทอยู่ ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ดี ใช่… ผมรู้อยู่แล้ว
แต่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมน่ะ ‘เลว’
End Simmons talk…
ฉันเก็บเสื้อผ้าที่หล่นทิ้งบนพื้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ไม่เคยที่จะสั่นกลัวครั้งไหนเท่าครั้งนี้ น้ำตาก็ไหลเมื่อไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยังไง ฉันไม่เคยรู้และทำอะไรไม่ถูก บางทีเจสซี่อาจจะให้คำแนะนำกับฉันได้
คิดแบบนั้นฉันก็มองซ้ายขวาเพื่อหากระเป๋าอย่างอื่นที่น่าจะอยู่แถวนี้ และเจอกับกระเป๋าสะพายที่เจสซี่ซื้อให้ในวันเกิด พร้อมกับรองเท้าส้นสูงสีแดงเลือดนกแบบรัดข้อเท้าซึ่งก็เจสซี่อีกนั่นแหละเป็นคนซื้อให้ เธอบอกว่าผู้หญิงควรจะมีรองเท้าส้นสูงสีแดงเป็นของตัวเองสักคู่หนึ่ง…
ฉันสวมเสื้อผ้าลวกๆ พยายามไม่ให้ร่างกายสั่นไปมากกว่านี้ พระอาทิตย์เริ่มทอแสงแล้ว ทำให้บรรยากาศในห้องนอนที่อยู่สูงเฉียดฟ้าเริ่มมองเห็นโดยรอบได้ชัดเจนขึ้น และอาจจะเห็นร่างของผู้ชายใจร้ายคนหนึ่งนอนหลับบนเตียงที่ฉันเพิ่งลุกออกมา
ปันหยี อย่าร้องไห้ ฉันบอกตัวเองก่อนจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกไป ถ้าทำได้ในครั้งแรกแล้วน้ำตามันจะแห้งหายไป แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะไม่มีทางทำสำเร็จอีกเลย
ฉันเก็บของตัวเองมาจนคิดว่าหมดแล้วก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอนของซิมมอนส์… คิดว่าจะก้าวผ่านความเจ็บปวดไปได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเหมือนผลักให้ฉันร่วงหล่นลงไปในขุมนรกที่เพิ่งตะเกียกตะกายขึ้นมาได้แค่ไม่นาน
กลุ่มเพื่อนๆ ของซิมมอนส์ยังอยู่ในห้อง พวกเขาดูไม่ตกใจเลยที่เห็นฉันออกมาจากห้องนอนของซิมมอนส์ แถมยังหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลก
ฉันที่อยู่ในสภาพยับเยินทั้งตัวทำอะไรไม่ถูก มันชาไปทั้งตัวจนไม่มีน้ำตาจะไหล ไม่รู้ว่าทำหน้ายังไง เส้นผมที่ยุ่งไปทั้งหัว รอยช้ำที่กระจัดกระจายตามเนื้อตัว รอยยับและรอยเปื้อนบนกระโปรงบอกทุกอย่างว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฉันรีบก้มหน้าเมื่อพวกเขายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปและหัวเราะเยาะฉัน ก่อนจะได้ยินเสียงของซิมมอนส์ที่เปิดประตูออกมา
เขาเหมือนซาตานร้ายที่แหกประตูนรกออกมาฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็น
ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบหิ้วรองเท้าและกระเป๋าเดินเป็นวิ่งออกจากห้องของซิมมอนส์ ซึ่งไม่ได้ฟังว่าเขาพูดอะไรไล่หลังมา ฉันวิ่งออกมาเท้าเปล่าไม่ได้สนใจว่าสภาพของตัวเองจะเป็นยังไง และวิ่งไปยังบันไดหนีไฟก่อนจะทรุดตัวนั่งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจนัก
“ซิมมอนส์… นายจะฆ่าฉันให้ตายไปเลยใช่มั้ย…”
หลังจากร้องไห้อยู่นานฉันก็พาร่างกายที่อ่อนเพลียกะปลกกะเปลี้ยออกมาจากคอนโดที่ซิมมอนส์พักจนได้ ฉันขึ้นแท็กซี่และตรงกลับไปยังห้องชุดของเจสซี่ทันที ระหว่างนี้ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเจสซี่ก็อาจจะตามหาฉันอยู่ เพราะอย่างนั้นฉันเลยเปิดกระเป๋าด้วยมือที่สั่นเทา
เจสซี่โทรเข้ามาพอดี ฉันพบว่ามีไม่ได้รับสายหลายสายตาเกือบจะถึงร้อยสายเลยล่ะมั้ง และแบตเตอรี่ก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย ก่อนที่มันจะหมดจริงๆ ฉันเลยรีบรับสายด้วยน้ำตาที่เปื้อนหน้า
“เจส…”
(หยี แกอยู่ไหน เกิดอะไรขึ้น ฉันเช็กจากกล้องวงจรปิดที่คลับ มีคนอุ้มแกไป ไอ้ซิมมอนส์ใช่มั้ย!?)
ชื่อของผู้ชายที่ฉันไม่อยากได้ยิน ทำให้ฉันน้ำตาไหลด้วยความหวาดกลัว เสียงสะอื้นของฉันคงทำให้เจสซี่รู้ว่ามีเรื่องน่ากลัวอะไรเกิดขึ้น
(อยู่ไหนหยี เดี๋ยวฉันไปรับ แกอยู่ที่ไหน) เสียงของเจสซี่ก็สั่นพร่าไม่แพ้กัน เร่งน้ำตาของฉันไหลจนอาบน้ำ น้ำตามันร้อนจนเหมือนจะลวกผิวได้
“ไม่เป็นไรเจส ฉันกำลังกลับไปน่ะ” ฉันบอกเสียงเครือ พยายามจะเช็ดน้ำตาเท่าไหร่แต่มันก็ไม่จางหายไปซะที
(แน่ใจนะ)
“อือ เดี๋ยวก็ถึงแล้วค่ะ ฉันไม่เป็นไร แบตจะหมดแล้ว” ปากบอกไปแบบนั้นแต่หัวใจยังปวดแปลบน้ำตายังไหล ฉันไม่เคยเจ็บปวดอะไรเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ
(โอเค ฉันจะรอที่หน้าคอนโดนะ)
“อือ เจส…” ฉันพูดอะไรไม่ออกได้แต่เรียกชื่อของเพื่อนด้วยความปวดร้าว
(อื้อ เดี๋ยวจะสั่งข้าวไว้นะ รีบมาแล้วกัน) เสียงสั่นๆ ของเจสซี่ทำฉันน้ำตาร่วงและต้องซบหน้าลงกับฝ่ามือร้องไห้กับตัวเองจนกระทั่งมาถึงคอนโด
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วฉันก็ลงจากรถแท็กซี่และเจอกับเจสซี่ที่ยังอยู่ในชุดเที่ยวเมื่อคืนเหมือนกับกับฉัน
ฉันทิ้งกระเป๋าและรองเท้าก่อนจะโผเข้าไปกอดเจสซี่อย่างไม่อายสายตาของใคร เจสซี่เองก็กอดฉันไว้แน่นเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไรหยี ไม่เป็นไรแล้ว ฉันขอโทษ” เจสซี่ปล่อยโฮออกมา เรียกเสียงสะอื้นของฉันให้หลุดออกจากริมฝีปากตามไปด้วย
“เจส ฉันกลัว…”
“ไม่เป็นไรหยี ไม่เป็นไร กลับห้องกันนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เพื่อนฉันพยายามปลอบ แต่กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม ฉันเองก็เอาแต่สะอึกสะอื้นจนทำอะไรไม่ถูก
“มาเถอะหยี ไปนอนพักกัน”
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ามาถึงห้องได้ยังไง มึนมึนๆ เบลอๆ ไปหมด มารู้สึกตัวก็ถูกผลักให้เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว
“ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวจะหาอะไรให้กิน” เจสซี่บอกด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งเหมือนนางพญาเหมือนทุกครั้ง
แต่เธอต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าตอนนี้หน้าเธอแดงมากแค่ไหนน่ะ ฉันหัวเราะได้นิดหน่อยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเงียบๆ เพื่อล้างคราบน้ำตาและทุกอย่างในร่างกายออกไป
ฉันปวดหัวไปหมด รู้สึกเหมือนมีอะไรมาขย่มในหัวจนมึนงงจะล้มอยู่หลายครั้ง แต่ก็พาตัวเองไปอาบน้ำได้อย่างปลอดภัย น้ำเย็นๆ ช่วยชะล้างความเจ็บปวดและความรุ่มร้อนในใจให้เบาบางลง ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับฉันได้ยังไง
บางที ฉันก็คิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง ที่ไม่น่าจะเกิดมาบนโลกนี้เลย
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วฉันก็เดินออกมาเห็นเจสซี่กำลังจัดจานอาหารตรงหน้าห้องรับแขกพอดี ฉันส่งยิ้มให้เพื่อนที่ตาแดงๆ ไม่แพ้กัน
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เธอถาม ฉันเลยพยักหน้าถึงจะไม่ค่อยรู้สึกแบบนั้นเท่าไหร่
ร่างกายของฉันยังหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยหินแสนหนัก หัวใจก็คล้ายถูกจับฉีดยาชาจนมันแทบจะไม่เต้นไหวเหมือนเดิมอีกแล้ว
“นั่งลงสิ แล้วกินข้าว”
“ขอบใจนะ” ฉันบอกขอบคุณจากใจจริงแล้วก็นั่งลง มองดูเจสซี่ที่วุ่นไม่หยุด ถ้าไม่มีเธอคนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง
ตลอดเวลาที่เรากินข้าวด้วยกันเจสซี่ไม่ถามอะไรสักคำ ซึ่งมันก็ดีแล้วเพราะไม่อย่างนั้นคงได้ร้องไห้อีกครั้งแน่ๆ จนกระทั่งกินข้าวเสร็จแล้วนั่นแหละ ฉันถึงได้รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกตอนที่เพื่อนเลื่อนยาเม็ดเล็กๆ เม็ดหนึ่งมาตรงหน้า น้ำตาเริ่มคลอจนร้อนไปทั้งกระบอกตา
“คงไม่ต้องถามหรอกนะว่าอะไร”
ฉันพยักหน้า… ใช่ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากมายทุกอย่างก็อยู่ตรงหน้าและไม่เลือนหายไปง่ายๆ ด้วย
“งั้นก็กินซะ จะได้หมดเรื่อง ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง” เจสซี่บอก ฉันเลยเอื้อมมือไปกำมันไว้ในมือแต่ก็ยังไม่ได้แกะมันกินในทันที ความร้อนและกระวนกระวายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนทำให้ฝ่ามือของฉันชื้นไปด้วยเหงื่อ ไม่กล้าสบตากับเพื่อนที่มองมาอย่างเป็นห่วง และไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปซ่อนตรงไหนดี
“หยี”
ฉันนิ่วหน้าคิ้วขมวดตอนที่ได้ยินเสียงเจสซี่ปรามเบาๆ เพราะไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่กล้าจะกลืนมันลงคอ
“เฮ้! ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ว่าการกินยาคุมฉุกเฉินน่ะมันน่ากลัวและอันตราย แต่ถ้าไม่กินชีวิตเธอจะจบสิ้นตรงนี้เลยนะ” เจสซี่จับหน้าฉันและดันให้เงยขึ้นสบตากัน
“ซิมมอนส์ไม่เอาเราไว้แน่ถ้าเธอท้องขึ้นมา รู้นิสัยไอ้เลวนั่นใช่มั้ย?”
น้ำตาของฉันร่วงเมื่อได้ยินชื่อผู้ชายใจร้ายคนนั้น หัวใจมันเจ็บปวดและกรีดร้องบอกว่าเกลียดเขาจนแทบจะทนไม่ไหว ฉันเคยเจ็บมาแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ชินกับความเจ็บปวดนี้ซะที
“หรือหมอนั่นป้องกันแล้ว?” เจสซี่ถามเสียงแหลมสูง ชักสีหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจหน่อยๆ
“ฉันไม่รู้” ฉันสารภาพเสียงอ่อย หน้าร้อนวูบเมื่อเพื่อนทำหน้าไม่พอใจอย่างรุนแรง
“ก็ฉันเมา…” ฉันพึมพำอีกคำ ก่อนจะก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับนางมารร้ายตรงหน้าอีก
ฉันไม่ได้นินทาว่าร้ายเพื่อนนะ แต่เจสซี่น่ะ ร้ายจริงๆ… เธอยกมือกอดอกฉันก็มองได้สูงสุดได้แต่ปลายคางของเธอเท่านั้น
“งั้นก็กินเลย ไม่งั้นฉันจะง้างปากเธอแล้วก็หย่อนมันลงไปเอง!”
เจสซี่กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ลืมไปเลยเพื่อนผู้แสนดีอ่อนหวานที่คอยปลอบให้ฉันหยุดร้องไห้ตอนแรก ตอนนี้เธอกลายเป็นนางมารร้ายเต็มตัว ชักสีหน้าใส่ไม่ยอมผ่อนปรน แล้วก็ส่งแก้วน้ำมาให้ด้วย
ฉันได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็ทำอะไรมากไม่ได้ ถึงจะกลัวถึงจะกังวลแต่ก็เลือกที่จะกลืนยานั่นลงคอจนได้ และมันก็เป็นสิ่งย้ำเตือนไม่ให้ทำผิดพลาดเหมือนที่แล้วๆ มาอีก แม้จะแน่ใจว่าซิมมอนส์คงจะป้องกันตัวเองเพราะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่ฉันก็จำอะไรไม่ได้มากนักอยู่ดีว่าเขาป้องกันแล้วหรือเปล่า
“เด็กดี เด็กดี~” เจสซี่ลูบหัวฉันเหมือนปลอบเด็กตัวน้อย และทำให้ฉันสงบลง
“โทษนะ… ฉันเคยด่าว่าเคยคิดไม่ดีกับสิตางศุ์ แต่สุดท้ายฉันก็ทำตัวเหมือนผู้หญิงคนนั้นจนได้” เสียงของเจซี่เศร้ามาก แต่สำหรับฉันนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขและผ่อนคลายมากที่สุดแล้ว
“เธอช่วยฉันมาตลอดนะเจส มีเธอคนเดียวที่ดูแลฉัน ถ้าไม่มีเธอฉันคงไม่มีความสุขเลยในชีวิตนี้”
“ฉันเป็นพี่สาวเธอไงยะ!”
“ขอบใจนะ…” ฉันบอกจากใจจริง ก่อนจะยื่นมือไปรับยาอีกเม็ดมาจากเจสซี่
“อย่าลืมกินอีกเม็ดล่ะ รู้ใช่มั้ยว่ากินยังไง”
“รู้” ฉันตอบเสียงแผ่ว ใจโหวงหวิวและเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
ฉันเก็บตัวอยู่ในห้องชุดของเจสซี่ไม่ยอมออกไปไหนทั้งนั้น เรื่องของเรื่องก็คือยังกลัวและตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว ยังขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้ด้วย ดังนั้นฉันเลยต้องดูแลและปกป้องตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม จะเอาแต่ร้องไห้และนึกโทษอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“ไม่ให้ฉันไปส่งจริงๆ เหรอ…” ฉันถามเสียงแผ่ว เพราะอยากจะไปส่งเพื่อนที่สนามบินในวันที่เจสซี่จะเดินทางไปแอลเอ
“บ้าเหอะ อยู่ที่นี่ไปเลยนะยะ ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น เข้าใจ๋?” เจสซี่ถามเหมือนจะหาเรื่อง ฉันเลยหัวเราะแทนคำตอบ
“แต่ฉันอยากไปส่งนี่ เธอไปตั้งนาน เหงายังไงไม่รู้”
“ไม่ได้ ไม่ให้ไป!” เพื่อนตัวร้ายยืนยันเสียงแข็งและทำหน้าขึงขังไปด้วย
ฉันเลยทำหน้าละห้อย เพราะความจริงก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องขังตัวเองในห้องแบบนี้มาหลายวันแล้ว อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง แต่ผู้ปกครองคนสวยเหมือนจะไม่ฟังเสียง
“เจส… ฉันไม่เถลไถลหรอก แค่ขอไปส่งหน่อย นะ ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อนะเจสนะ” ฉันอ้อน และเห็นว่าเจสซี่ทำหน้าไม่พอใจ เหวี่ยงๆ ตามประสาคนมั่นใจในตัวเองสูงอยากได้อะไรต้องได้
“เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ น่ะเหรอ…” ฉันแกล้งทำหน้าเศร้า เจสซี่เลยถอนหายใจและพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ ยัยตัวดี”
“ฉันมีแค่เธอไงเจส… ดีจัง เดี๋ยวไปซื้อเค้กด้วยเนอะ”
“ย่ะ!” เจสซี่ทำหน้าไม่พอใจ ฉันเลยหัวเราะและยิ้มกว้างคิดว่าพรุ่งนี้คงจะสดชื่นแจ่มใสมากกว่าเดิมแน่นอน
Robert`s talking…
ผมนั่งสร้างแลนด์มาร์กในโทรศัพท์อย่างเพลินๆ ใสนสนามบิน ระหว่างที่รอญาติผู้พี่อย่าง ร็อดดริค เดินทางมาจากอเมริกา
เพราะผมเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย ดังนั้นเลยเดินทางบ่อยและต้องรอรับญาติบ่อยๆ แบบนี้ด้วย บอกเลยว่าบางทีก็รำคาญเหมือนกัน พวกมันไม่เคยเลยที่จะรู้จักช่วยเหลือตัวเองบ้างเลย น่าหงุดหงิดชะมัด
ระหว่างที่กำลังเทคโอเวอร์อย่างเมามัน ผมก็บังเอิญเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุณตาผ่านไปพอดี
“ปันหยีนี่หว่า…” ผมพึมพำ และเป็นจังหวะที่ชนะพอดี ผมออกจากเกมก่อนจะยกโทรศัพท์ถ่ายรูปเธอคนนั้นก่อนจะเปิดเฟซบุ๊กและอัพโหลดภาพขึ้นในกลุ่มเพื่อนสนิทที่มีแค่ The Moxie ทันที แล้วก็ยิ้มกว้าง เพราะรู้ว่ามีบางคนกำลังว้าวุ่นอยากเจอเธออยู่
แล้วก็มีในกลุ่มเพื่อนที่ตอบกลับกันมาอย่างรวดเร็ว…
Rob Ronnarod Nash
Just now .
เจอนางฟ้าว่ะ ใครกำลังคิดถึงอยู่มั้ยวะ
Ted Ditsayasak โอ๊ะ! >O<!!
Carlo McGrady Who’s that girl? Do you know her Simm?
Damon Tanagritklai I thought, he doesn’t know her at all :p
Rob Ronnarod Nash จริงอ่ะ ซิมม์ มึงไม่รู้จักเหรอคะ
Ted Ditsayasak ไอ้ซิมม์มันอ่านรึเปล่าเหอะ
Damon Tanagritklai กูว่ามันอ่านนะคะ โฮะๆ :p
Ted Ditsayasak แม่ง เงียบว่ะ
Carlo McGrady Simm, Are you alive? คิกๆ
Damon Tanagritklai ถ้ามันไม่ได้อ่าน ยังไม่เห็น เพราะงั้น Get her now ไอ้ร็อบ
Rob Ronnarod Nash ให้กูทำไงอ่ะ กูไม่รู้ กูแบ๊ว
Carlo McGrady ลักพาตัวมาสิ กูนัดกับไอ้ซิมม์ที่ห้องว่ะ มาทำงาน ฮิๆ กูก็ไม่รู้ กูแบ๊ว ><!
Rob Ronnarod Nash Okay, I got it
ผมเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าตามเดิมเมื่อเห็นว่าปันหยีกำลังล่ำลาใครบางคนอยู่ ไม่นานเธอก็เดินออกมาเงียบๆ โป๊ะเชะ เอาล่ะ เราเลิกสนใจร็อดดริคดีกว่า ยังไงหมอนั่นคงหาทางไปคอนโดผมได้เองนั่นแหละ มาบ่อยแล้วคงเดินทางเองได้
แต่สำหรับไอ้คนที่กำลังหลงทางอยู่ในความมืดอย่างซิมมอนส์น่ะน่าสงส้ารน่าสงสาร เพราะงั้น จัดไป…
ผมเดินไปประชิดตัวปันหยีตอนที่เธอเดินอยู่คนเดียว คงจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้านอะไรทำนองนั้นหลังจากส่งเพื่อนเสร็จแล้ว และทำให้เธอตกใจจนหน้าซีดเผือด
“ร็อบ!” เธออุทานอย่างตกใจ แล้วก็ก้มหน้าลงทำท่าจะเลี่ยงไปทางอื่น แต่ผมก็เดินไปดักหน้าเอาไว้แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงนักบุญที่กำลังชี้แนะลูกแกะหลงทางอย่างปรารถนาดี
“มายังไงอ่ะ จะไปไหน ให้ไปส่งมั้ย?”
“…” ปันหยีก้มหน้านิ่งไม่ยอมสบตาผมสักแวบแล้วก็ทำท่าจะหนี แต่ผมไม่ยอมแพ้เดินตามหลังเธอไป
“เฮ้! ซิมม์มันอยากเจอเธอนะ ไปด้วยกันมั้ย เธอมาคนเดียวนี่” ผมถาม ทำเหมือนแก๊งข้างถนนที่กำลังขูดรีดไถเงินเด็กประถมที่เดินผ่านมา
ใช่… ดูเชี่ยแบบเห้-ๆ เลยล่ะ แต่ใครจะสน จริงไหม!?
“น่า… มาเถอะ ไม่ต้องกลัว” ว่าแล้วผมก็ตรงเข้าไปลากแขนปันหยีแล้วก็ลากเธอออกมาทันที เธอตกใจพยายามจะสะบัดมือออกแต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องให้คนช่วย นั่นแหละ นิสัยประหลาดๆ แบบนี้แหละ ซิมมอนส์มันเลยละสายตาไม่ค่อยได้
“ไปด้วยกันน่า…” ผมยิ้ม และจินตนาการใบหน้าของซิมมอนส์ด้วยความครึ้มใจ
End Robert talk…
Simmons`s talk…
ผมยกมือลูบหน้าระหว่างที่อ่านข้อความตรงหน้าอย่างละเอียด ลมหายใจเริ่มร้อนขึ้นและไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
ถ้าไม่ไปที่ห้องของคาร์โลปันหยีอาจจะถูกกักตัวไว้ที่นั่น และแน่นอน ยัยบ้านั่นทำได้อย่างเดียวคือร้องไห้!
“Dammit!!” ผมสบถอย่างสุดทน กับการมัดมือชกของเพื่อนผู้แสนดี
แสนดีกับผีน่ะสิ! อยากจะไปกระทืบไอ้ร็อบให้จมธรณี!
แล้วนี่ผมควรทำยังไง!?
ไป หรือ ไม่ไป…
[1] ลอสแอนเจลิส (Los Angeles) หรือที่รู้จักในชื่อ แอลเอ (L.A.) เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง ทางด้าน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการบันเทิง ลอสแอนเจลิสตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
[2] ฟอร์ด มัสแตง (Ford Mustang) เป็นรถมัสเซิล (ชื่อเรียกรถสปอร์ตของอเมริกัน ) ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ฟอร์ด ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกที่วันที่ 17 เมษายน 1964 ปัจจุบันฟอร์ด มัสแตง ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฟอร์ด
[3] คอนิกเส็กก์ อาเกียร่า (Koenigsegg Agera) รถสปอร์ตจากประเทศสวีเดน เคยได้รับสมญานามว่า 'ซูเปอร์คาร์ประจำปี 2010' จากนิตยสาร Top Gear
ตอนนี้ “สำนักพิมพ์ Jai Luck” เปิดพรีหนังสือเล่มแรกของเซต Angel Eyes แล้วค่ะ
เป็นเรื่อง Simmons’s Eyes ค่ะรายละเอียดคลิกที่รูปได้เลยนะคะ มู่ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ
และอีกช่องทางการติดต่อที่ Line นี้เลยนะคะ
Talk 1...
Song :: Marianas Trench - So Soon
ซิมมอนส์กับปันหยีมาแล้วค่ะ
หลายคนคงลืมไปแล้ว นานเกิน แง้
แต่กลับมาพร้อมกับความโหดความโฉดค่ะ
อีซิมมอนส์จะร้ายแค่ไหน เรื่องนี้จะน้ำเน่ามากเท่าไหร่
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ความคิดเห็น