คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 7th CLASS • Tea for Two
7th CLASS • Tea for Two
ผมเปิดประตูกลับเข้าห้อง 1501 มาอย่างยากลำบาก ประคองถาดใบโตที่มีของหลายอย่างวางเรียงอยู่บนนั้นด้วยมือและท่อนแขนข้างเดียว ในขณะที่ใช้อีกมือบิดลูกบิดประตูเปิดเข้าไป ก่อนจะปิดลงแล้วกลับมาถือด้วยสองมือระมัดระวัง เดินดุ่มๆเข้าครัวที่อยู่ด้านหลังสุดของห้อง
อะไรครับ? ทำไมทำหน้างงๆ สงสัยอะไรกันอยู่?
ก็ผมบอกว่าผมตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างสเปเชี่ยลให้ไอ้ ภทร ไงล่ะ
แน่ะ คิดว่าผมจะแกล้งมันกันล่ะสิ =_= อะไร เห็นผมเป็นคนแบบไหนไปแล้วเนี่ย? ผมไม่ใช่คนช่างแกล้งอะไรขนาดนั้นนะครับ ก็กวนตีนบ้างอะไรบ้างไปงั้นๆน่ะแหละ (แต่บางทีมันก็แล้วแต่อารมณ์แล้วสถานการณ์ด้วยน่ะนะ =v=) เอาเป็นว่าตอนนี้ผมตั้งใจจะทำอะไรดีๆให้มันจริงๆครับ สาบานได้!!
ผมวางถาดที่จัดของที่จำเป็นต้องใช้บนเคาน์เตอร์ในห้องครัวของไอ้ภีม ครัวสะอาดเชียวครับ เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ก็เงี้ยะ (แต่ดูท่าทางมันแล้ว คงสะอาดไปอีกนาน ทำห่านอะไรเป็นบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้น่ะมันน่ะ) ผมยกกาต้มน้ำดินเผาสองใบเอาออกมาวางไว้ด้านนอกก่อน กล่องพัสดุที่เพิ่งได้มาเมื่อวานก็ยังไม่ได้จัดการแกะห่อ คว้ามีดด้ามเล็กที่เสียบอยู่ใกล้ๆมือได้ก็ขอยืมใช้มากรีดสก็อตเทปที่แปะเอาไว้ออก
จัดการไม่นานผมก็แกะเอากล่องชาทไวนิงส์ออกมาได้เป็นที่เรียบร้อย ของเก่ามันเพิ่งหมดไปครับ เพิ่งสั่งของใหม่มา ปกติแล้วผมจะชงแบบซองมากกว่า นานๆดื่มที แต่ตอนนี้นึกคึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เห็นเค้าบอกกันว่าถ้าชงแบบต้มสดๆมันจะกลิ่นหอมได้รสดีกว่า นั่นล่ะ ผมก็เลยลงทุนซื้อชาแบบนี้มา (เฮ้ย มันแพงกว่าด้วยนะอยากบอก) รวมทั้งซื้อไอ้กาต้มน้ำดินเผานี่มาใหม่ๆซิงๆเลยด้วย (เห็นเค้าบอกว่าต้มในกาแบบนี้มันจะรสชาติดีสุด เชื่อครับ เลยซื้อมาซะเลย)
นั่นล่ะ ความพิเศษ ผมจะชงชาให้ไอ้ภทรมัน!!!!
อย่าทำหน้าแบบนั้นกันดิ =_= มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่จริงๆนะเว้ยคุณ
เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ห้องมันติดตั้งแก๊สไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ไม่แน่ใจว่าไอ้เจ้าของห้องมันจะได้ใช้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมจัดการเอากาต้มน้ำไปวางไว้บนเตา ใช้ไฟแค่อ่อนๆ น้ำมันจะได้ไม่เดือดปุดๆปุบปับเกินไป อีกอย่าง ไม่เคยลองต้มแบบนี้ครับ กลัวกามันระเบิดใส่หน้า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ไอ้เจ้าของห้องมันอาจตื่นขึ้นมาช็อคตายที่ผมไปทำครัวมันพัง
ระหว่างนั้นผมก็จัดการเปิดกระป๋องตักช้อนกะชาเตรียมใส่กาอีกใบไว้รอ จัดสมูธเค้กที่ซื้อไว้เมื่อตอนกลับจากโรงเรียนมาเมื่อเย็นวันศุกร์ ยังไม่ได้กินเลย เก็บไว้ตั้งใจว่าถ้าได้ชามาจะเอามากินคู่กันนี่ล่ะ กูแบ่งให้เมิงกินด้วยเลยนะเว้ยไอ้ภทร ขนาดไอ้อาร์ทกูยังสั่งนักสั่งหนาไม่ให้มันขโมยกิน
ยืนพิงเคาน์เตอร์รอซักพักน้ำก็เดือดครับ จำได้ว่าต้องเอาให้เดือดแค่พอดีแล้วก็ยกลงมา อย่ารอให้เดือดนาน พอปิดแก๊สปิดเตาเสร็จก็รินน้ำเดือดลงกาอีกใบที่ใส่ใบชาไว้แล้วเลยครับ กะน้ำพอดีก็หยุดเทแล้วเอาฝากาปิดไว้ แค่นี้ก็ได้เรื่องละ!! (มั้งนะ…)
เอาล่ะ ทีนี้ก็เคลียร์ของอย่างอื่นออกจากถาด เอาเค้กกับกา แล้วก็แก้วชาใส่ถาดไว้ เอ่อ.. นี่ถ้าผมยกไปเสิร์ฟมันถึงเตียงจะทะแม่งๆไปรึเปล่าอะ? คงไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่อะเนอะ เออ งั้นอย่าเลยดีกว่า ว่าแต่ ห่า มันยังไม่ตื่นเลยนี่หว่า ผมเงยหน้ามองนาฬิกา ชานี่ชงไว้ซัก 5 นาที 7 นาทีก็ควรจะเทดื่มได้แล้ว ดังนั้น ไปปลุกมันดีกว่าครับ
ผมเดินเข้าห้องนอนไอ้ภีมไป เงยหน้ามองนาฬิกาบนผนังห้องมัน ห้าโมงกว่าๆแล้วล่ะ ไม่รู้เจ้าตัวมันง่วงอะไรนักหนา ผมมองหน้ามันที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ก็เดินอ้อมเตียงเข้าไปยืนก้มๆเงยๆอยู่ทางหัวเตียงใกล้ๆ
“ไอ้ภีม เมิง เย็นแล้วเว่ย ตื่นๆ” ผมลองเรียกดู หากทว่า ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองจากสสารที่กองอยู่ตรงหน้า =_=
“เมิงงงง ตื่นดิ ตื่นๆ นอนห่าไรนักหนาเนี่ย” คราวนี้ลองเอื้อมแขนไปเขย่าๆตัวมันด้วยครับ หากกระนั้น มันก็ทำเพียงแค่ขมวดหัวคิ้วมุ่นเข้าหากันนิดหน่อยแล้วซบหน้าลงกับหมอนข้างใบยาวเหมือนเดิม
ยังไงของมันวะเนี่ย!!
ผมหันรีหันขวาง ลองเอื้อมมือไปเขย่าๆมันอีก ก็มีแต่สีหน้าติดจะรำคาญมาจากคนบนเตียง เออ ด๊าย!! เมิงไม่ตื่นใช่มั้ยไอ้ภีม!!? ลองดีกับกูเหรอมึง? กูสั่งให้ตื่นก็ต้องตื่นเซ๊!!
คิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็ปีนขึ้นเตียงไปดึงหมอนข้างมันออกมาทันทีครับ จับโยนออกไปไกลๆแล้วปีนขึ้นไปคร่อมทับจับตัวไอ้คนที่หลับเป็นตายเขย่าไปเต็มแรง
“ตื่นโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!” ผมแหกปากเสียงดังลั่น จับมันเขย่าจนตัวผมโยกหน้าโยกหลังโงนเงนตามไปด้วย แต่เห็นไอ้ภีมขมวดคิ้วมุ่ยหน้าแบบนี้แล้วยิ่งมีอารมณ์อยากจะแกล้งมัน น่าหมั่นไส้นักนะมึงอะ ไหนๆก็ได้โอกาสทั้งทีละ กูต้องเอาให้เข็ด!!
“ตื่นๆๆ มึงตื่นเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงไม่ตื่นตอนนี้กูจะเผาห้องมึง!!” ผมแหกปากเสียงดัง ขู่มันด้วยคำขู่ที่ปัญญาอ่อนสุดๆ แหงล่ะ ห้องผมกับห้องมันอยู่ข้างกัน เผาห้องมันห้องผมก็ไหม้ด้วยอยู่ดี (ขู่ได้ควายมากไอ้คีย์ เครียดตัวเอง =_=)
ผมยันตัวไอ้ภีมสุดปลายแขน มันหยุดแกว่งไปแกว่งมาเมื่อผมหยุดเขย่า ห่า นี่กูแกล้งมันแต่ทำไมกูเหนื่อยเองเป็นบ้าเลยวะเนี่ย มองมันที่กำลังยกมือขึ้นมาขยี้ตาด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สาแล้วชักจะรู้สึกว่าไอ้ที่กูทำไปเมื่อกี๊นี่ งี่เง่าชิบหาย
“ตื่นได้ยังมึง!?” ผมถามมันที่ลดมือลง คอยาวๆนั่นบิดซ้ายทีขวาที แล้วย้ายสองมือไปท้าวแขนเอนตัวลงด้านหลัง จากนั้นมันก็ลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าผม
สถานการณ์แปลกๆ…
ทำไมแทนที่มันจะตกใจโวยวาย ไหงแม่งดูสบายๆชิลๆได้ขนาดนี้ล่ะ…
แล้วพลัน รอยยิ้มเล็กๆนั่นก็ถูกจุดขึ้นที่มุมปากของเจ้าของเตียง…
“ทำอะไรครับคีย์…” มันถามพร้อมกับรอยยิ้มกริ่ม ท่าทางที่แค่ยันตัวขึ้นมาคุยด้วยสบายๆและสายตาคู่นั้น ผมก้มลงมองสภาพตัวเองที่นั่งคร่อมทับตัวมัน แถมยังจับไหล่มันเอาไว้แน่น
ชิบหาย… เหมือนว่าผมกำลังจะมาลักหลับมันเลยอ้ะ!! T^T ไม่ใช่นะเว้ย!!
“ก็กูเรียกแล้วมึงไม่ตื่น เลยปลุกมึงอยู่นี่ไง ถามได้ ควายโคตร!!” ผมละล่ำละลักตอบมันออกไป ขอด่าซักหน่อยเหอะ บอกตรงๆ อายว่ะ กูคิดได้ไงวะว่าจะแกล้งมันแบบนี้เนี่ย เข้าตัวชัดๆเลยไอ้คีย์ เมิงนั่นแหละที่ควายยยยยยยยยยยยย
“อ๋อ เหรอครับ…” มันเลิ่กคิ้วนิดนึงแล้วยิ้มตอบ เอาอีกละ อ๋อเหรอครับอีกละ กูเกลียดคำนี้จัง มึงอย่าพูดแบบนี้ได้มะ? กูรู้สึกสูญเสียเสียรภาพความมั่นคงมทางจิตใจยังไงไม่รู้ว่ะ
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ร้องโวยตอกหน้าอะไรมันไป ร่างกายของผมก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวขืนนิ่ง เมื่อไอ้ภีม ภทรที่นอนอยู่ และ ผม คีตภัทร ไอ้โง่ ไอ้ง่าว ที่ยังนั่งเกาะมันอยู่แบบนั้นไม่ยอมลงไป จนไอ้ภีมมันยันตัวขึ้นมาแล้วโน้มช่วงตัวสูงๆของมันให้ต่ำลงมาหาจนใกล้
ใกล้จนปลายจมูกโด่งของมันแทบเฉียดระไปกับข้างแก้มของผม
“ถ้างั้น ขอบคุณนะครับ…”
เสียงพูดเบาหวิวราวกับเสียงกระซิบที่อยู่ชิดข้างหู เพราะอะไรไม่รู้ ตัวผมเย็นวาบไปหมดทั้งตัว ท้องไส้ปั่นป่วน หัวสมองอื้ออึง คนพูดมันยังคงค้างอยู่ท่านั้นพักหนึ่ง และกับอีกวูบนึงที่ผมรู้สึกเหมือนปลายจมูกนั้นเฉียดผ่านข้างแก้มผมไปนิดเดียว
นี่มัน… นี่มัน…
“ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ผมแหกปากร้องเสียงดังแล้วทั้งแขนทั้งขาก็ทั้งผลักทั้งยันตัวมันออกมา หน้าตาผมตอนนี้คงผวาเหวอสุดขีด แต่ไอ้คนโดนถีบกลีบเอามือกุมน้องท้องไว้แล้วนอนหัวเราะชอบใจ
ไอ้สัด!! แกล้งกูเหรอ!!?
“ขอบคงขอบคุณเหี้ยอะไร กูปลุกมึงเฉยๆ สัด วันหลังถ้ามึงไม่ตื่นอีก กูจะปลุกแบบอื่น กูจะถีบมึงตกเตียงให้ตายไปเลยไอ้เชี่ย!!” ผมร้องโวยวายโว้งเว้งเสียงดัง รีบปีนลงมาจากเตียงแล้วยืนมองหน้ามันด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน ไอ้ภีมก็เอาแต่เงยหน้าหัวเราะชิบอกชอบใจ ไอ้ควายยยยยยยยยยยยย เกลียดมึงที่สุดเลย!!
แล้วผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมตั้งใจจะปลุกมันทำไม
กี่นาทีแล้ววะ ชาเอิร์ลเกรย์ของมึงอะไอ้คีย์ ป่านนี้เป็นไงแล้ววะเนี่ย!!
“ตื่นแล้วก็ลุกเลย แม่ง กูจะให้มึงตื่นมากินชากู ป่านนี้เย็นหมดแล้วมั้ง ถ้าชากูไม่อร่อยกูจะโทษมึง!!” ผมล้งเล้งของผมต่อไปในขณะที่หน้าไอ้คนบนเตียงเหมือนจะตั้งคำถาม ปากมันพะงาบๆเหมือนจะถามว่าชาอะไรแต่ผมก็ไม่รอให้มันถามหรอก หงุดหงิดโว้ย
ผมสะบัดหน้าเดินกลับเข้าครัวไป ได้เวลาแบบเกือบพอดี เลยมานิดหน่อย แม่ง ถ้าไม่อร่อยกูโทษมึงจริงๆด้วยไอ้ภีม คิดไประหว่างที่ยกสำรับชาออกมาจากครัว พอเดินผ่านออกมาเห็นมันยืนเกาะประตูห้องนอนอยู่ผมก็เหลือบมองด้วยหางตาใส่หน้าไอ้เจ้าของห้อง
“จะแดกไหน?” ผมถาม เวลาอารมณ์ไม่ดีศัพท์แสงสมัยพ่อขุนนี่ก็หลุดออกมาถี่ตามไปด้วย
“ชาอะไรน่ะครับ?” มันชะโงกหน้ามาถาม แต่ผมไม่ตอบ
“กูถามว่าจะแดกไหน เร็วๆ เมื่อย” ผมยืนยันคำถามเดิมไอ้ภีมมันเลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปด้านหลัง มันเดินกลับเข้าห้องนอนไป เปิดม่านที่เป็นบานประตูพับออกไปไว้ฝั่งเดียวกัน ก่อนจะเปิดบานประตูเลื่อนที่ด้านหลังห้องนอนออกแล้วหันกลับมายกยิ้ม ผายมือให้
สรุปคือมันจะแดกชาที่ระเบียง โอเค จัดไป ผมยกถาดชาหยั่งกะสาว(?)ใช้ที่ไอ้คุณชายมันเลือกสถานที่ วางถาดชาลงบนโต๊ะตัวเตี้ยด้านนอกนับว่าพอดิบพอดีมากที่มันจัดมุมนั่งเล่นเอาไว้ที่ระเบียงนอกห้องมันด้วย เก้าอี้เอนตัวนึงชิดมุมด้านใน กับอีกตัวเป็นเก้าอี้ไม้ธรรมดาๆ ผมวางถาดชาแล้วมองเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าแล้วถามเจ้าของห้อง
“เมิงนั่งไหน?” ไอ้ภีมมันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ เสร็จแล้วก็ผายมือให้ผมไปนั่งที่เอ้าอี้เอนด้านในที่มีหมอนอิงวางไว้ด้วย
ทำซะกูรู้สึกเหมือนเป็นซินญอริต้าที่มีคนมาคอยให้เกียรติเลยว่ะ ตกลงนี่กูจะเป็นสาวใช้หรือเป็นอะไรกันแน่ และ ทำไมกูต้องเปรียบเทียบให้ตัวเองเป็นอะไรสาวๆด้วยวะ เว้ย!! =_=
ผมหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ปรับเอนได้ด้านในแล้วพลิกตัวหันมานั่งดีๆแล้วก้มลงจัดแก้วชาในถาด เอามือรองก้นกาดู กำลังร้อนๆอุ่นๆอยู่ ก็ยกกาขึ้นมารินต่ำๆช้าๆลงแก้ว เป็นวิธีการรินชาที่ถูกวิธีครับ รินต่ำๆ รสชาติจะดีกว่า (ก็จำเค้ามานั่นล่ะ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นงั้นจริงๆด้วย)
น้ำชาสีส้มแดงนอนนิ่งอยู่ในถ้วยชาสองใบที่วางเคียงกัน ผมแก้วแก้วหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นไปให้มัน ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมานั้นเอง ที่ผมเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจดจ้องทุกการกระทำของผมอยู่ ไอ้ภีมเลิ่กคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“เอาไป ของมึง” ผมเม้มปากนิดหนึ่ง รู้สึกเก้ๆกังๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สองมือของไอ้ภีมยื่นเข้ามา แล้วแตะสัมผัสลงบนแก้วกระเบื้องเคลือบใบสวยในมือผม แต่ถึงอย่างนั้น ปลายนิ้วเรียวยาวก็กอบกุมมือของผมเอาไว้เกือบทั้งมือ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นมือของผมมันกำลังชาหรือมันกำลังสั่น ผมรู้สึกแต่ว่ามันกำลังจะทำให้ผมเสียการควบคุมบางอย่างไป ผมไม่กล้าดึงมือออกมาเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ดึงมือกลับ
“ขอบคุณนะ…”
ผมไม่รู้ว่าเคยมีใครบอกมันมั้ย มันเป็นคนที่พูดขอบคุณได้สั่นไหวหัวใจคนฟังที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา นี่ขนาดผมเป็นผู้ชาย ย้ำ ผู้ชาย ผู้ชายแท้ๆ ผมยังอดรู้สึกวูบๆไหวๆไมได้ ถึงมันจะพูดคำนี้บ่อยๆ แต่ทุกครั้งผมก็รู้สึกได้ว่ามันขอบคุณออกมาจากใจจริงๆ
ไอ้ภีมยกถ้วยชาของตัวเองไปแล้ว ผมรีบดึงมือตัวเองกลับมา แล้วยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นมาแก้เก้อบ้าง
“ไม่รู้อร่อยป่าว เพราะมึงอะ ไม่ตื่นซักที” ผมยกแก้วชาค้างไว้อย่างนั้น แล้วลอบมองมันที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วจิบลงคอ
“ก็อร่อยดีออกนี่” มันตอบกลับมาแล้วมองหน้าผม
“มึงกินเป็นเหรอ ทำมาเป็นรู้ดีว่ะว่าอร่อยไม่อร่อย” ผมพูดกลับไปใส่มัน ไม่รู้ทำไมพู฿ดจาแบบนั้น ก็นะ ทำให้มันกินเองแล้วพอมันชมก็ยังไปบ่นมันอีก กูนะกู… นิสัยเสียขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“เป็นงั้นไป คนอุตส่าห์ชม” มันยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง ถึงมันจพูดแบบนั้น แต่การที่มันยกชาขึ้นมาจิบซ้ำๆครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำให้ผมแน่ใจว่ามันไมได้พูดไปอย่างนั้นๆ มันคงหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ว่ามันจะกินเป็นจริงๆหรือไม่ก็เถอะ
แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาซะเฉยๆ…
แล้วมึงไม่กินล่ะวะไอ้คีย์… บ่นแต่มัน ผมคิดแล้วยิ้มขำตัวเอง ยกแก้วชาขึ้นมาชิดริมฝีปากแล้วจิบลงคอไปบ้าง ฮ่าๆ นั่นไงล่ะ ไอ้ห่าภีมมันกินไม่เป็นจริงๆด้วย จืดลงไปตั้งเยอะ แต่ก็ไม่เท่าไหร่ อารมณ์เหมือนแบบซองที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆนั่นล่ะ เพียงแต่คิดว่าถ้าดื่มให้พอดีเวลากว่านี้ รสก็คงดีกว่าที่จิบอยู่นี่
กูโทษเมิงแล้วนะไอ้ภีม… กูโทษมึงอยู่ โทษมึง โทษมึง โทษมึง
โทษมึง… ทั้งที่ก็ยังไม่แน่ใจ ว่าเรื่องอะไรเหมือนกัน
ผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันมากมายไปกว่านั้น มีเพียงแสงสีส้มทองรำไรที่ระบายไปทั่วผืนฟ้ากว้าง ยอดตึกสูงระฟ้าที่แข่งบันกันประชันความสูงทั่วบริเวณในกรอบสายตานั้น ผมเพิ่งเห็นว่ามันก็ดูน่ามองดีไปอีกแบบ เสาไฟต้นสูงค่อยๆติดขึ้นมาเมื่อถึงเวลาจนเป็นแสงสีส้มสวยไปตามเส้นทางสายยาวบนถนน เสียงเด็กเล่นกัน เสียงรถรา จากที่ไหนไกลๆ ลอยผ่านไปมา นกที่กำลังบินไปไกลๆลับตา และอะไรอีกมากมายที่ยังดำเนินต่อไป
ไม่รู้ว่าความรู้สึกดีๆของผมตอนนี้มันมาจากไหน…
สงสัยจะเพราะชาเอิร์ลเกรย์ในมือผมนี่ล่ะมั้ง!! …อื้ม ใช่ ต้องใช่แน่ๆเลย
•
แพ้อีกละ… =_=
ผมอยากจะเขวี้ยงปุ่มจอยในมือใส่หน้าไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆซะให้รู้แล้วรู้รอด กูชนะเมิงในเกมส์ไม่ได้ กูก็จะฟาดเมิงตรงนี้แหละ!! ได้แต่คิดอย่างหงุดหงิด เพราะในความเป็นจริงก็ทำอะไรมันไม่ได้อยู่ดี
เนื่องด้วยจนถึงป่านนี้ ไอ้อาร์ทมันก็ยังไม่กลับห้องครับ ผมเลยติดแหง็กอยู่ในห้องไอ้ภีมนี่ เล่มเกมส์นู้นเกมส์นี้กับมัน ซึ่งผมได้พบสัจธรรมข้อหนึ่งวันนี้ว่าไม่ว่าไอ้ภีมจะงัดเกมส์อะไรมา มันก็ชนะไปหมด (เฮ้ย เมิงแอบเอาจอยไปสักยันต์อะไรมาป้ะเนี่ย!!) อันที่จริงผมจะกลับห้องตัวเองก็ได้นั่นแหละ แต่แบบ จะไปอยู่คนเดียวทำไมล่ะ ที่สำคัญนะ คือ มัน เปลืองค่าไฟ!! ฉะนั้นอยู่ห้องมันนี่แหละ ค่าไฟห้องตัวเองก็ไม่ขึ้น สบ๊ายสบาย ไม่ได้งกนะครับ แค่ช่วยชาติประหยัดไฟและร่วมมือไปกับโครงการ Save World, Save Life เท่านั้นเอ๊ง!!
“จะเล่นอะไรอีกครับ?” มันหันมาถามผม กะว่าพอผมแพ้ตานี้ต้องมีขอเปลี่ยนเกมส์อีกแน่ๆ ผมกระแทกจอยลงพื้นทันที (ในใจนึงแอบกลัว กูกระแทกแรงไปมั้ยวะ ของมันพังกูต้องเสียตังค์ซื้อให้ใหม่ป้ะเนี้ยะ)
“ไม่ล่งไม่เล่นแม่งแล่ว ง่วงโว้ย เมื่อไหร่ไอ้อาร์ทจะกลับเนี่ย” ผมขมวดคิ้วโวยวาย นี่ง่วงจริงๆนะเนี่ย ให้ตายสิ
ก็เชื่อปะล่ะ นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้วอะคุณ!! ตอนแรกผมก็รอ รอจนเย็น จนหิว ไอ้ภีมก็เป็นคนดี๊คนดี พอบ่นหิวได้คำเดียว แม่งรีบลงไปซื้อข้าวมาให้ ดีนะที่บอกมันไปว่าข้าวกล่องก็พอ ขอร้อง ไม่ต้องเวอร์แบบเมื่อเช้า กูลำบากใจ ก็ได้ข้าวกล่องมากินสมใจ จนอิ่ม จนเซ็ง จนต้องยอมเล่มเกมส์กับไอ้ภีมมัน (ใช้คำว่า ต้งยอม นะครับ จะว่าผมประหลาดก็ได้อะ แต่ผมไม่ชอบเล่นเกมส์ ให้ผมนั่งเล่นเกมส์นี่ ถ้าเลือกได้ มีอะไรอย่างอื่นทำ ผมขอบายอะ นั่งอ่านตำราทำอาหารยังเปรมกว่าเลยเหอะ)
ก็นั่นแหละ แม่ง พรุ่งนี้กูมีเรียนนะ กูง่วงอะ กูอยากนอน อยากนอนนนนนนนนนน แล้วววววววววววว
“”ง่วงเหรอครับ? คีย์กลับไปนอนก่อนก็ได้นี่” มันพูดแล้ววางจอยในมือมันลง หันมามองหน้าผมที่ตอนนี้ดูมึนๆงงๆได้ที่ สงสัยจะเล่นไอ้เกมส์พวกนี้มากไป ไม่ชอบเลยอะ เล่นไม่ค่อยจะเป็นด้วย แม่งมาจ้องนานๆแบบนี้ ปวดตาอะ ปวดตา ปวดหัว มึนโคตร
“อือ อยากนอน…” มึน มึนมาก แต่ในความมึนผมก็ยังตระหนักได้ว่า ตราบใดที่ไอ้อาร์ทยังไม่กลับมา ผมก็จะไม่กลับไปห้องตัวเองเด็ดขาด เรื่องอะไร เปลืองไฟ ไหนๆมาแล้วต้องใช้ไฟห้องไอ้ภีมให้คุ้มสิครับ จะกลับไปให้ค่าไฟห้องตัวเองขึ้นโดยใช่เหตุทำเพื่อล่ะ
“อ่า เดี๋ยวผมโทรหาพี่อาร์ทให้นะครับ” มันพูดบอกผม ผมก็ได้แต่พยักหน้าอือออให้มันไป แม่ง มึน สาด ไม่ปิดหน้าจอทีวีวะ ปล่อยไอ้พวกตัวประหลาดนี่วิ่งไปวิ่งมาวูบๆวาบๆใส่หน้ากูอยู่ได้ ปวดหัวโว้ย ผมมุ่นคิ้วซบหน้ากับโซฟาที่อยู่ด้านหลัง ไอ้ภีมมันลุกไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้เงยหน้ามองตามไป
ไม่ไหวอะ ง่วง มึน ปวดหัว…
เสียงไอ้ภีมเดินวนรอบห้อง กดโทรศัพท์จึ้กๆตั้กๆดังแว่วๆเข้าหู แต่ซักพักผมก็รู้สึกว่าเสียงไอ้ภีมมันดังไกลออกไป ไกลออกไป ได้ยินเสียงสุดท้ายเหมือนมันคุยอะไรกับใครที่ปลายสาย อา… งืม สงสัยไอ้อาร์ทจะรับสายแล้ว ช่างแม่ง มึงจะไปตายที่ไหนก็ไปเลย กูเกลียดมึงแล้ว บังอาจเอาน้องที่น่ารักอย่างกูมาทิ้งไว้กับไอ้ภีมได้ลงคอ กูเกลียดมึง
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ ก่อนที่ความปวดหัว มึน งง ง่วงจะหายไป ในที่สุด…
To be continue...
TALK: มาต่อช้านิดช้าหน่อย ไม่ว่ากันเนอะ ยังไงก็ไม่หายไปนานๆแน่นอนค่ะ จะมาต่อเรื่อยๆ (ตราบเท่าที่ยังมีคนอ่านอยู่น่ะนะ ฮ่าา) พาร์ทนี้ก็ยังไม่ค่อยมีอะไร ปล่อยให้พระเอกนายเอกเค้าได้ใช้เวลาสองต่อสองร่วมกันไปเยอะๆ คึ ช่วงนี้หนาวแล้วเนอะ หนาวมากอะ ประหยัดค่าไฟไปได้มากเลยทีเดียว ไม่ต้องเปิดแอร์ (ที่จริงพัดลมก็ไม่ต้องเปิด มันหนาวขนาดนั้นเลยทีเดียว)
เมื่อวันเสาร์มีจตุรมิตร ใครเชียร์โรงเรียนไหนกันบ้าง? แต่โรงเรียนที่คนเขียนเชียร์ชนะมาเมื่อวันเสาร์ล่ะ ฮ่าา (โรงเรียนอื่นรุมสกรรม) เอาล่ะ ยังไงช่วงนี้ก็นอนห่มผ้าหนาๆ ออกไปเรียนก็ใส่เสื้อคลุมกันไปด้วยนะ รักษาสุขภาพกันด้วย แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ :)
ความคิดเห็น