คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 6th CLASS • Uniform
6th CLASS • Uniform
ไอ้คีย์น้องรัก วันนี้พี่จะออกไปทำธุระข้างนอกนะ
กว่าจะกลับก็คงค่ำๆโน่นอะ เห็นแกกำลังนอนหลับสบายว่ะ ก็เลยไม่ปลุก
กว่าแกจะตื่นท้องก็คงหิวพอดี ไปเคาะประตูห้องภีมซะนะ วันนี้ภีมมันจัดห้องทั้งวัน
พี่ชายที่แสนดีคนนี้จัดการฝากฝังไว้เรียบร้อยแล้ว ป่านนี้คงซื้อข้าวเช้ามาเผื่อแล้วล่ะ
อยู่กันดีๆนะเว้ย ด้วยรักและหวังดี
พี่อาร์ทของมึง =)
ผมกำลังลืมตาค้าง ยืนอ่านประโยคที่ถูกเขียนด้วยปากกาไวท์บอร์ดลงบนกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบไปๆมาๆให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เมาขี้ตาหรือว่าละเมอลุกขึ้นมาอ่านเพี้ยนไป
ให้ตายดิ!! นี่มันหมายความว่าไง(อีกแล้ว)วะ!!?
ไอ้อาร์ทมันออกไปไหน? ออกไปเมื่อไหร่? มันจะไปไหนทำไมไม่บอกผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานวะ? เมื่อคืนพอกลับขึ้นมาจากร้านป้าจ๋า ไอ้อาร์ทมันก็ตั้งท่าจะชวนไอ้ภีมมานอนเล่นซะห้องนี้ ดีนะที่ไอ้ภีมมันเป็นคนดี (เออ ยอมรับว่ามันเป็นคนดี แต่ดีเกินไง เลยหมั่นไส้เนี่ย!!) มันเลยเกรงใจกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมเลยได้นอนเคลียร์การบ้านให้เสร็จๆ ส่วนไอ้อาร์ทมันก็ยกน้องไวโอ้ออกไปเล่นที่โซฟาจนดึก สรุปคือผมทำการบ้านก็แล้ว ออกไปดูทีวีก็แล้ว จนง่วง ไอ้อาร์ทมันก็บอกว่ามันยังไม่นอน ผมก็เลยกลับเข้ามานอนก่อน
แล้วไหงตื่นมา มันหายไปแล้วล่ะวะเนี่ย??
ไปไหนแล้วไม่บอกไว้นี่ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ที่บอกว่าจัดการฝากฝังผมไว้กับไอ้คนข้างห้องเรียบร้อยแล้วนี่ดิ แม่ง!! เมิงบ้าป่าวไอ้อาร์ท กูโตแล้วนะโว้ย เมิงไม่อยู่กูก็อยู่ของกูคนเดียวได้ ข้าวกูก็มีปัญญาลงไปซื้อให้ตัวเองเป็น ประสาทปะเนี่ย กูอยู่คนเดียวของกูบ่อยๆไม่เห็นต้องมีใครมาทำอะไรให้เลย ไอ้เชี่ยภีมเกี่ยวไรด้วย สาด นี่จงใจใช่มั้ย?? เมิงยังไม่เลิกใช่มั้ยไอ้เชี่ยอาร์ท เอออออออออ กูจะจำไว้
แล้วห่าภีมไม่งงแย่เหรอวะ จู่ๆก็ไปบอกให้มันอุปการะกูเนี่ย =_=
ผมคิดแล้วสะบัดหัวนิดๆ เดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย โผล่ออกมาเงยหน้ามองนาฬิกาอีกที ก็ปาเข้าไปจะเที่ยงซะอีกแล้ว พอแบบนั้นเลยเพิ่งนึกขึ้นได้
ไอ้ภีมมันยิ่งเป็นคนดี…
หวังว่าป่านนี้ไม่ใช่ว่ามันซื้อข้าวมาเผื่อแล้วตัวมันเองจะยังไม่ได้กินไปด้วยนะนั่นน่ะ??
ไม่หรอกมั้ง ห่า ปากท้องตัวเองนะ ใครแม่งจะอะไรขนาดนั้น
ผมคิดกับตัวเองแล้วจัดการตัวเองหน้ากระจกนิดหน่อย คว้ากุญแจกับกระเป๋าตังค์ตั้งใจว่าจะลงไปหาข้าวกินข้างล่าง ที่ไอ้อาร์ทมันฝากไอ้ภีมซื้อก็ให้เจ้าของตังค์มันกินไปเองเถอะ เรื่องอะไรผมต้องไปรบกวนมัน อีกอย่างนี่ก็เที่ยงเข้าไปแล้ว มันคงคิดว่าผมไม่กินกับมันไปแล้วล่ะ คิดได้อย่างนั้นผมก็เดินออกมา ล็อคห้องเสร็จสรรพ
แต่พอจะเดินผ่านหน้าห้อง 1501 เท่านั้นแหละ ขาผมมันก็ชะงักลงไปเองซะดื้อๆ ความคิดนึงผุดวาบขึ้นมาในหัว ก็ไอ้อาร์ทมันฝากไอ้ภีมซื้อไว้แล้วนี่หงว่า ยังไงถึงมันจะกินของมันไปแล้ว แต่คนดีอย่างมันก็คงเก็บของผมไว้อยู่ดี แล้วแบบนี้ถ้าผมไม่กินข้าวฟรีจากมัน จะเป็นการเสียน้ำใจเกินไปมั้ยวะ??
เฮ้ย อย่าเพิ่งมองว่าผมเห็นแก่กินกันเชียวนะคุณ!!
แบบว่า มันก็จริงๆอะ ใช่ปะล่ะ? มันจะดูเสียน้ำใจจริงๆนะ ถูกมะ?
แต่… เอาไงดีวะ ไม่อยากดูเหมือนไปเกาะมันกินเลยอะ ไม่ชอบฟีลนั้นเลยวุ้ย =_=
แล้วอะไรดลใจก็ไม่รู้ ผมเลยเดินไปเกาะหน้าประตูห้องมัน ทำตัวโง่ๆด้วยการพยายามมองบอดผ่านตาแมวไปทั้งที่รู้ว่ายังไงแม่งก็ไม่เห็นอะไรอยู่ดี ยืนเขย่งอยู่นั้นแล้วก็คิดตัดสินใจไปด้วย เอาไงดีวะ เอาไงดีวะ ลดปลายเท้าลงมา ยกมือแล้วคิดวนอีกซักทีสองทีว่าจะเคาะหลังมือลงไปดีมั้ย
กึก… แอ้ดดดดดดดดดด
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!!”
ผมแหกปากร้องด้วยอารามตกใจ เมื่อไอ้ประตูที่ตอนแรกมันปิดอยู่ดีๆถอยหลังวืดเพราะมีคนเปิดออกจนผมที่ยืนเกาะมันอยู่พุ่งถลาไปข้างหน้าจนหน้าเกือบทิ่มพื้น
แต่มันก็ไม่ทิ่มเว้ย…??
ผมเงยหน้า ลืมตาที่ตะกี๊หลับปี๋จนแน่นขึ้นมาดูสถานการณ์รอบตัว จากที่คิดว่าหน้าตัวเองสมควรจะทิ่มพื้นซักอั้ก แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ผมกลับกำลังอยู่รอดปลอดภัยดีในแอ้มแขนที่แนบชิดจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น กอด
กอด กอด กอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด O_O!!!!!!!!!!!!
ผมปรับโฟกัสสายตาเบี่ยงมาทางซ้ายถึงได้เห็นหน้าไอ้คนเป็นเจ้าของห้องอยู่ใกล้เพียงนิด มือข้างนึงมันคว้าตวัดเกี่ยวเอารอบเอวผมไว้ ในขณะที่อีกมือมันก็ใช้พยุงตัวเองด้วยการจับที่ลูกบิดประตู
สามวิ สี่วิ ห้าวิ… ซักกี่วิก็ไม่แน่ใจที่ผมกลับมาค้างมองหน้ามัน
“เฮ้ย…” ผมร้องเสียงเบา เบาอย่างที่คิดว่ามันไม่น่าจะออกมาเบาขนาดนี้ เหมือนร้องแก้เก้อไปอย่างนั้นเองเมื่อผมยังคงสบสายตากับมัน และมันก็ยังคงจับจ้องอยู่แต่ที่ผม ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างแล่นขึ้นมาในมโนสำนึก หากแต่ลึกๆผมกลับพยายามกลบเกลื่อนมัน
“ป.. ปล่อยดิวะ!” ผมร้องกุกกักเมื่อชักจะรู้สึกว่าอยู่ในท่านี้นานเกินไปแล้ว อีกฝ่ายยกยิ้มเล็กๆกวนประสาทเมื่อดันตัวผมให้ยืนขึ้นดีๆในขณะที่มือมันปล่อยเอวผมออก
“ยิ้มเชี่ยไรอีกล่ะ? เห็นหน้ากูแล้วมันตลกมากเลยไง?” ผมขมวดคิ้วถามมันเมื่อยืนด้วยตัวเองได้ห่านี่ มองหน้ากูแล้วเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวขำ มีปัญหาอะไรกับกูมั้ยวะแม่ง
“เปล่านี่…” มันยิ้มตอบพร้อมกับยังมองหน้าผมไปด้วย หน้าตาแม่งยิ้มๆกริ่มๆ ดูมีอะไรทุกทีแหละมันอะ
“กูไม่ชอบ สัด” ผมพูดออกไปแบบนั้น ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหมายความตามที่พูดจริงรึเปล่า แบบว่า ถ้ามันทำหน้าเฉยๆหรือทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ ผมก็คงจะอึดอัดกว่านี้ใช่มั้ยล่ะ? แต่ว่าเห็นแบบนี้แล้วก็หงุดหงิดอยู่ดี ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน =_=
“ว่าแต่ เมื่อกี๊มายืนทำอะไรหน้าห้องผมครับ?” มันยิ้มถาม คำพูดคำจายังกวนรูหูไม่เลิก ไอ้พูดครับๆนี่แหละ ที่ผมระคายหูเป็นบ้า
ว่าแต่ ไหงมันถามงั้นวะ? สาด ถามทำไมล่ะ ก็ไหนไอ้อาร์ทบอกว่าฝากฝังกูไว้กับมึงแล้วไง??
“อ้าว?? ก็ไอ้อาร์ทมันบอกว่าให้กูมากินข้าวกับมึง” ผมขมวดคิ้วตอบมันงงๆ
“อ๋อ มารอกินข้าวฟรีนี่เอง” มันอมยิ้มพูดเหมือนเป็นเรื่องสนุกที่กำลังคุยกับเด็กเล็กๆ ไอ้เชี่ยนี่ ขำเหรอ!!?
“กู ไม่ ได้ อยาก กิน ซัก หน่อย!!!!” ผมร้องขึ้นมาทันทีที่เห็นท่าทางของไอ้คนตรงหน้า “กูแค่เห็นว่าไอ้อาร์ทมันบอกไว้หรอก ถ้ากูไปกินเองแล้วมึงจะเสียน้ำใจ”
“อ๋อ… เหรอครับ” ยิ้ม ยิ้ม มันยังจะยิ้มอีก ไอ้เชี่ยนี่!!!!
“เออ!!! กูเอากระเป๋าตังค์ลงมาแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามึงไม่ถือสาอะไร กูก็จะลงไปกินของกูเองซักที” ผมชูกระเป๋าตังค์กับกุญแจห้องตัวเองขึ้นมาแล้วหันหน้าหนีมัน ตั้งท่าจะคว้าลูกบิดประตูมาดึงออกเต็มที่ ไอ้คีย์นะไอ้คีย์ ไม่น่าหลงไปคิดว่ามันเป็นคนดีเลย มาให้มันพูดจากวนประสาทใส่เพื่ออะไรวะ!!?
หากแต่ว่า ข้อมือผมกลับถูกกำจนรอบแล้วคว้าไว้ด้วยฝ่ามือเจ้าของห้อง
“ใครว่าไม่ถือล่ะครับ” มันพูดเสียงนุ่ม แต่ผมฟังแล้วขนลุกพิลึก
“ให้ผมหิ้วท้องรอจนเที่ยงเนี่ย มารับผิดชอบด้วยครับ ทานนี่แหละ ไม่ต้องไปไหนแล้ว”
มันส่งยิ้มมา แต่ทำไมวะ หน้าหล่อๆอย่างมันกลับสั่นประสาทผมซะงั้นอะ มันยิ้มตาหยีให้ก่อนจะคว้าข้อมือผมเลี้ยวเข้าห้องกินข้าวไป ให้ตายเหอะ!! ทำไมผมรู้สึกเหมือนกำลังเป็นเชลยศึกที่กำลังถูกจับตัวไปเป็นเครื่องบรรณาการอะไรยังไงยังงั้น!!
•
เอ่อ… ตอนเด็กๆ ผมเคยดูหนังไอ้ประเภทที่เค้าจะบูชายัญอะไรทำนองนั้นอะ
ผมจำได้ลางๆว่าก่อนที่เค้าจะเอาเหยื่อไปเผา ไปเชือด ไปต้ม อะไรซักอย่างนั่นอะ จะต้องเอามาขุนให้อิ่มหมีพีมันด้วยอาหารรสเลิศซะก่อน คุณพอจะคุ้นๆเหมือนผมบ้างมะ?
งั้นบอกผมทีซิว่าไอ้อาหารตรงหน้าเต็มโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าเนี่ย ไอ้ภีม ภทร มันต้องการจะจับผมไปฆ่าบูชายัญหลังมื้อนี้รึเปล่าครับ!!?
“ทานสิครับคีย์” เสียงนุ่มๆที่พูดขึ้นมาทำเอาผมที่ถือช้อนส้อมคามือไว้แทบสะดุ้ง เหลือบมองหน้ามันที่นั่งเยื้องอยู่ข้างๆในขณะที่ผมนั่งหัวโต๊ะ มันเองก็ถือช้อนส้องรอไว้ เหมือนจะบอกให้ผมลงมือก่อน แล้วมันก็จะกินด้วย (ตามมารยาทในแบบของมัน มั้ง??)
“อ.. เออ เออ” ผมพยักหน้าเก้อๆแล้วตักปลาหมึกผัดอะไรซักอย่างที่ดูรสจัดๆมาใส่จาน พอตักใส่ช้อนเข้าปากก็เลยจำได้ว่ารสมือแบบนี้ก็มาจากร้านป้าจ๋านั่นล่ะ เพียงแต่ว่า ไม่เข้าใจ เมิงจะซื้อมาทำไมเยอะแยะขนาดนี้วะ กินแค่สองคน เมิงซื้อกะเพราไข่ดาวมาคนละกล่องก็พอแล้ววววววว
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมต้องนั่งเกร็งๆไม่พูดอะไรซักคำระหว่างกิน เหลือบมองมัน มันก็ยังกินอยู่เหมือนกัน ผมจะเกร็งทำไมวะ!!? แต่เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารแค่สองคนแล้วเงียบๆแบบนี้ มันน่าอึดอัดเป็นบ้าเลยอะ จริงๆนะเนี่ย
“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอมึง?” ผมพูดขึ้นมา ขอชวนคุยซักนิดซักหน่อยก็ยังดี แบบนี้มันเงียบเกินไป ไม่ชิน =_=
“ไม่มีธุระอะไรอะครับ ห้องยังจัดไม่เสร็จด้วย” มันพูดแล้วตักต้มกะทิเข้าปาก
“เหลือจัดอะไรอีกอะ?” ผมถามเพราะอยากรู้จริงๆ ก็เห็นว่ามันค่อนข้างเรียบร้อยดีแล้วนี่หน่า เฟอร์นิเจอร์ก็คงจัดครบหมดแล้ว เพราะมันก็ดูเข้าที่เข้าทางดีแล้วนี่หน่า
“ก็ จัดหนังสือ จัดเตียง จัดของในห้องแหละครับ” มันพูด ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆไป ยำไข่ดาวน่ากินว่ะ อา ชิมหน่อยๆ
“แล้วคีย์ล่ะครับ?” มันกลืนข้าวลงคอแล้วถามผมกลับบ้าง
“กูเหรอ? ก็ ไม่รู้จะไปไหนอะ ขี้เกียจ ตื่นมาก็จะเที่ยงอยู่แล้ว จะให้ไปไหนล่ะ” ผมตอบมันสบายๆ ขอบใจว่ะที่ชวนกูคุยบ้างอะไรบ้าง ไม่งั่นกูคงอึดอัดพิลึกเลย มากินข้าวห้องคนอื่นเค้าแบบนี้เนี่ย =_=
“อ๋อครับ” มันรับคำแล้วยิ้มให้ เออเนอะ ยิ้มได้ยิ้มดีนะมึงเนี่ย ถ้ากูเป็นสาวๆคงหลงมึงตายห่าไปละ
“แล้วไมมึงย้ายมาอยู่นี่อะ?” ผมถามต่อ จิ้มทอดมันกุ้งเข้าปากไปด้วย
“ก็ ตอนนี้ต้องเข้าเทรนแล้ว กว่าจะเลิกก็ดึก ไม่ใช่เหรอครับ? กลับบ้านมันไม่ค่อยสะดวก ก็เลยคิดว่าหาที่อยู่ใกล้ๆจะสะดวกกว่า”
“เออเนอะ แล้วบ้านจริงๆอยู่แถวไหนอะ?”
“ถ้าที่พ่อกับแม่อยู่ตอนนี้ก็รามอินทราครับ”
“เออ ไกลจริงๆแหละว่ะ” ผมคิดเทียบระยะทางจากอโศกกลับไปถึงบ้านมัน เลิกซักสี่ห้าทุ่มแบบนั้น ลองคิดว่าถ้าพ่อแม่มันไม่ค่อยว่างมารับมันก็กลับลำบากแน่ๆแล้ว
“แล้วคีย์ล่ะ?” มันถามผมกลับ เออ คำถามเดิมเป้ะ ใจคอมึงจะไม่ตั้งคำถามใหม่ให้กูเลยใช่มะ? ถามย้อนเอาๆ
“คือบ้านกูอยู่เชียงใหม่” ผมตอบ แล้วไอ้ภีมมันก็ทำตาโตมองหน้าผม
“อ้าว? เหรอครับ? แล้วย้ายมาอยู่นี่นานแล้วสิ?”
“ก็เปล่าหรอก เพิ่งย้ายเข้าคอนโดมาตอน ม.ปลาย นี่แหละ ตอนแรกอยู่บ้านญาติ พอขึ้น ม.ปลาย ก็ไม่อยากรบกวนเค้าแล้ว เลยขอออกมาอยู่เอง” ผมตอบคร่าวๆไปแค่นั้น
“ก็เท่ากับว่าย้ายมาอยู่นี่เพราะว่ามาเทรนอย่างเดียวเลยสิครับ?” มันถาม หน้าตาดูเหมือนจะทึ่งอยู่นิดๆว่าอะไรผมจะมีความพยายามได้ปานนั้น
“อือ ก็อย่างที่บอกอะ กูมาออตั้งสองรอบ ตอนแรกพ่อกูก็ไม่ค่อยชอบใจหรอก แต่แม่กูเค้าอยากให้กูทำตามที่กูตั้งใจ เค้าเชื่อใจกู เชื่อว่ากูทำได้ ตอนแรกกูก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะต้องมาเทรนมาอะไรขนาดนี้ แต่กูผ่านมาก้าวนึงแล้ว กูก็จะไม่ก้าวกลับไป จนกว่ากูจะไปยืนตรงที่กูตั้งใจเอาไว้ได้” ผมพูดแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
พอพูดถึงจุดนี้ขึ้นมาทีไร ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆมาถ่วงอกไว้ตลอด ทุกวันนี้พ่อผมยังไม่ยอมรับกับสิ่งที่ผมทำอยู่เลย เค้ายังคิดว่าผมกำลังเอาเวลามาทิ้งเปล่า เค้าคิดว่าวันนึงผมจะคว้าอากาศกลับไป เพราะฉะนั้นที่ผมไม่ยอมแพ้และตั้งใจเทรนมาตั้งหลายปี ก็เพราะวันนึงผมจะทำให้เค้าเห็นให้ได้ ว่าเค้าคิดไม่ผิดที่ยอมเสี่ยงให้ผมมาทำอยู่ตรงนี้
ผมเงยหน้ามองไอ้คนข้างๆที่เงียบไป เห็นมันนั่งมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม แต่คราวนี้เป็นยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
“คีย์มีความตั้งใจจริงมากกว่าที่ผมคิดไว้อีก…” มันพูดทั้งรอยยิ้ม แล้วจู่ๆหน้าผมก็ร้อนขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป
“ผมก็เชื่อเหมือนกัน… คีย์ทำได้อยู่แล้ว”
รอยยิ้มและแววตาที่จริงจังนั่น รวมทั้งน้ำเสียงนั้น ทั้งที่ผมเพิ่งเจอมันครั้งแรกเมื่อวาน แต่ผมกลับรู้สึกว่าความเชื่อมั่นที่มันส่งให้มามีมากกว่าคำพูดที่เอื้อนเอ่ย อะไรบางอย่างในกระแสความรู้สึกที่ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคย แต่ก็ไม่เข้าใจ
ไอ้ภีมก้มหน้าตักข้าวคำสุดท้ายใส่ปากแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ในขณะที่ผมก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนที่เจ้าตัวมันจะรวบช้อนส้อมไว้เคียงกัน
“อิ่มรึยังครับ? เดี๋ยวผมเก็บจานไปล้าง”
“อ.. เออ อิ่มแล้ว แต่ เฮ้ย เดี๋ยว กูล้างก็ได้” ผมนึกขึ้นได้ก็รีบท้วง มากินข้าวห้องมันแล้วจะปล่อยให้เจ้าของห้องล้างเองก็ยังไงๆอยู่ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีที่เอาเปรียบมันมากไป
“ไม่เป็นไรครับ คีย์ออกไปดูทีวีข้างนอกเถอะ ผมล้างเอง” ผมตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ไม่รู้ทำไมว่ะ แต่ผมก็ยอมเดินออกมาปล่อยให้มันจัดการทำด้วยตัวเองไป
ผมเดินออกมาจากห้องกินข้าว ที่จริงจะเรียกว่าห้องก็ไม่เชิง มันเหมือนเป็นมุมกินข้าวที่เป็นมุมถัดมาจากห้องนั่งเล่น มีผนังกั้นซ้อนให้ดูเป็นสัดส่วนมีระเบียบ
จริงๆแล้วห้องผมกับห้องมันก็สร้างออกมารูปแบบคล้ายๆกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าการจัดวางเฟอร์นิเจอร์จะต่างกันออกไปนิดหน่อย คอนโดนี้พื้นที่มันไม่ได้กว้างเวอร์ขนาดที่จะเป็นคอนโดสำหรับครอบครัวหรืออะไรแบบนั้น แต่เหมือนเป็นห้องพักที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าอพาร์ทเมนท์ธรรมดาๆ การตกแต่งก็หรูเหมือนคอนโดอื่นทั่วๆไป ง่ายๆก็คือเป็นคอนโดที่พื้นที่ไม่กว้างมากเหมาะสำหรับเอาไว้อยู่ชิลๆแบบพวกผมนี่ล่ะ
ผมเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟาหน้าทีวี บนโต๊ะมันมีแลปทอปที่ปิดพับไว้ ยังไม่อยากวิสาสะเปิดทีวีตอนนี้ ถึงแม้เจ้าของห้องจะอนุญาติเป็นที่แล้วห้องก็เงียบไปนิดก็เถอะ ผมกลับเอนหลังลงนั่งกอดหมอนบนโซฟามองสำรวจห้องนี้แทน
มองจากตรงนี้จะเห็นห้องนอนที่อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่นเข้าไป ติดกับประตูห้องนอนจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ที่ห้องผมจะเปิดหน้าต่างโปร่งๆเอาไว้ให้มันดูโล่ง มองจากหน้าห้องเข้าไปก็เห็นถึงเตียงหมดทุกอย่าง ผมไม่อยากให้มันดูมิดชิดอะไร เปิดมันให้ปล่อยโล่งๆไว้แบบนั้นน่ะดีแล้ว แต่ห้องไอ้ภีมนี่มันติดผ้าม่านเอาไว้ ทำให้ดูเป็นส่วนตัวกว่า
รวมๆแล้ว เท่าที่ผมดู ห้องไอ้ภีมมันจะต่างจากห้องผมตรงที่ห้องมันจะดูแยกเป็นโซนๆเป็นห้องๆค่อนข้างชัดเจน ในขณะที่ห้องผมกับไอ้อาร์ทจะเปิดหน้าต่างทุกห้องให้โล่งมองเห็นถึงกันหมด จะได้เป็นฟีลแบบว่าเหมือนหอพักทั่วๆไปที่ไม่ได้เป็นห้องชุดแยกน่ะครับ มันโปร่งกว่า โล่งกว่า แล้วก็ดูสมเหตุสมผลกว่าสำหรับเด็กผู้ชายที่จะอยู่ด้วยกันสองคน
จะว่าไป ถ้ามันจัดห้องเองจริงๆ มันก็จัดเก่งเหมือนกันนะ อบอุ่นแล้วก็น่าอยู่
ไม่รู้ทำไม… ผมคิดว่ามันจัดห้องได้เข้ากับตัวมันเองดี
ผมหันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงไอ้ภีมเดินออกมาจากครัว มันยิ้มให้ผมนิดนึงซะเฉยๆแล้วก็เดินเลยเข้าห้องนอนไปแล้วกลับออกมาพร้อมกับชุดนักเรียนที่แขวนอยู่เป็นตับ เอามาวางพาดไว้ที่พนักโซฟาอีกฝั่ง ส่วนเจ้าตัวมันก็กลับเข้าห้องไปอีกรอบ
เออ ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ มันเกิดปีเดียวกับผมนี่หน่า ไม่ได้นึกจะถามมันเลยว่าเรียนที่ไหน พอมาเห็นสีกางเกงมันแล้วก็ชักนึกสงสัย คุ้นๆว่ะ… สีดำๆแบบนี้มีอยู่ไม่กี่ที่ จะเป็นอริโรงเรียนในเครือผมเปล่าว๊า? ฮ่าๆๆ
ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับ เอาจริงๆแล้ว กางเกงสีไหนมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอก ด้วยความสัจจริง จริงๆแล้วมันต่างคนต่างอยู่นั่นแหละ แต่มันก็จริง ที่มีไอ้พวกส่วนน้อยบางกลุ่มที่ทำตัวอย่างที่คนภายนอกมองเข้ามากัน ซึ่งมันก็สร้างผลกระทบไปหมดทั้งต่อตัวคนที่อยู่ในสถาบัน แล้วก็เสื่อมเสียภาพพจน์แบบที่คนภายนอกคิด
เอาง่ายๆคืออย่างผมที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร (จริงๆคือโรงเรียนผมมันค่อนข้างจะไม่มีกรณีกับใครด้วยแหละ แต่ด้วยสีกางเกงแล้วก็เลยแอบหวาดๆนิดหน่อย) เวลาเดินอยู่นอกๆก็ต้องระวังซ้ายทีขวาที จะมีกางเกงสีไหน ตัวอักษรย่ออะไรมันอยู่แถวนี้มั้ยวะ? แบบว่าไอ้เราก็ไม่รู้คนอื่นมันคิดยังไง ใครมันเป็นแบบไหน และด้วยความที่ไม่รู้และไม่แน่ใจนี่แหละ มันก็เลยต้องระวังตัวไว้ก่อน เพราะไม่ใช่ว่าเรื่องแบบนั้นมันไม่เคยเกิดซะเมื่อไหร่ ถึงจะเหมารวมหมดไม่ได้ แต่มันก็ทำให้ต้องรู้จักดูตาม้าตาเรือขึ้นไปเองโดยปริยายอยู่ดี
เพราะฉะนั้นแล้ว
ยังไงก็อดรู้สึกปุเลี่ยนๆไม่ได้ =_= มันเป็นเรื่องของสัญชาติญาณล่ะมั้ง
ผมกำลังจะชะโงกหน้าเข้าไปดูที่ชุดนักเรียนมันให้แน่ใจ ไอ้เจ้าของชุดมันก็เดินออกมาจากห้องพอดีพร้อมกับกุญแจห้องแล้วก็กระเป๋าสตางค์ของมัน ผมขมวดคิ้วมองงงๆ มันจะไปไหน?
“จะไปไหนอะ?” ผมถามขณะที่มันคว้าชุดนักเรียนตัวเองขึ้นมา
“เอาเสื้อไปส่งข้างล่างรีดครับ” มันตอบผม ในขณะที่ผมทำหน้าประหลาดใส่มัน
“เพื่อออออออออ?? อะไรวะ ชุดนักเรียนไม่กี่ชุดเอง พรุ่งนี้วันจันทร์เมิงก็ต้องใส่แล้วด้วย แล้วไปส่งตอนนี้ป้าเค้าจะรีดให้เมิงทันเหรอ? รีดเองดิวะ” ผมเบรคมันเต็มที่เมื่อได้ยินแบบนั้น มองมันถือชุดนักเรียนมันค้างไว้อบย่างนั้น ในขณะที่ผมทำหน้าไม่เข้าใจใส่มัน มันก็กำลังทำหน้าไม่เข้าใจกลับมาให้ผมเหมือนกัน
“รีดเอง?” มันทวนคำผมเหมือนคิดว่าผมพูดอะไรผิดไป แต่ไม่นะ ผมไม่ได้พูดอะไรผิดไปซักหน่อย =_=
“เออดิ รีดเอง” ผมมองหน้ามัน
“เอ่อ…” มันทำสีหน้าลำบากใจแล้วมองหน้าผมประหลาดๆ อะไรวะ อย่าบอกนะว่ารีดผ้าเองไม่เป็น??
“เมิงรีดผ้าเองไม่เป็น??” ผมย้อนถามกลับไป แล้วก็ได้การพยักหน้าหงึกหงักงงๆมาเป็นคำตอบ
“โอโห เมิง =_= เดี๋ยวนะ ถามจริง มีเตารีดปะเนี่ยห้องมึงอะ?” ผมกุมขมับถามมันที่ยังถือชุดนักเรียนตัวเองค้างไว้อย่างนั้น คราวนี้มันส่ายหน้าช้าๆ
“เยี่ยม =_= งั้นรออยู่นี่อะ ไม่ต้องเอาลงไปนะ เปลือง!! เดี๋ยวกูมา” ผมพูดแล้วส่ายหัวนิดๆ คว้ากุญแจห้องตัวเองได้ก็ก้าวฉับๆกลับไปห้องตัวเอง
ไปทำอะไรน่ะเหรอ? แน่ล่ะ ผมก็ไปเอาโต๊ะรอวรีดกับเตารีดมาน่ะสิถามได้!!
“เมิงไปทำอะไรก็ไปไป เดี๋ยวกูรีดให้” ผมพูดเมื่อกลับเข้าห้องมาได้ก็เอาโต๊ะรีดตัวเตี้ยไปกางใกล้ๆกับปลั้กในห้องนั่งเล่นมันนั่นล่ะ จัดแจงสถานที่เสร็จสรรพ เสียบปลั้กเตารีดเตรียมพร้อม ส่วนไอ้เจ้าของห้องมันยังเลิ่กคิ้วยืนมองผมงงๆอยู่เลย
“คีย์รีดผ้าเป็น?” มันถามผมด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ ผมมองข้ามไหล่ไปจ้องหน้ามัน
“เออ กูรีดเป็น เอาชุดเมิงมานี่” ผมพูดเชิงสั่ง ไอ้ภีมมันก็เลยยอมเอาชุดตัวเองมาวางลงข้างๆที่ผมนั่งอยู่ ผมลากเอาเบาะรองนั่งใต้โต๊ะหน้าทีวีมารองก้นเรียบร้อย ปรับไฟเตารีด แต่ไอ้คนตัวสูงข้างๆก็ยังยืนค้ำหัวอยู่ไม่ไปไหน
“เอ่าเมิง จะจัดห้องไม่ใช่ไง๊? จะไปไหนก็ไปดิ กูรีดได้ ไม่ทำเสื้อเมิงไหม้หรอกไอ้บ้า” ผมพูดไล่มัน ไอ้ภีมยังคงมองมาด้วยสายตาไม่ค่อยจะไว้ใจ บ้ะ!! ไอ้บ้านี่ กูรีดเป็นนะโว้ย ทำไมวะ?? รีดผ้ามันยากตรงไหน?? ทำไมต้องทำท่าแบบนั้นใส่ด้วย?? เมิงแหละบ้าที่รีดไม่เป็น กูรีดเป็นแล้วมันแปลกตรงไหนวะ??
ทำไมอะ?? เด็กผู้ชายรีดผ้าเป็นมันผิดปกติเหรอคุณ!!?
ผมขี้เกียจจะคิดต่อให้หงุดหงิด เพราะตอนนี้ไอ้ภีมมันเดินไปทำอย่างอื่นแล้ว ผมก็เลยได้เริ่มต้นรีดซักที เตารีดร้อนได้ที่ก็เอาเสื้อนักเรียนสีขาวมาวางทาบลงกับโต๊ะ ถึงตอนนี้ก็เลยได้เห็นอกเสื้อมันชัดๆ อักษรย่อสองตัวปักไหมสีแดง ตรงตามที่กะไว้ตอนแรก เป้ะ ไม่มีผิด
อืม… ก็สมควรละล่ะ เห็นสาวแม่งกรี๊ดกันนักกรี๊ดกันหนาอะโรงเรียนมันเนี่ย
ไอ้ภีมก็จัดห้องทำนู่นทำนี่ของมันไป ผมไม่ได้สนใจ เพราะผมก็รีดชุดนักเรียนให้มันไปเรื่อย จริงๆแล้วที่ผมรีดให้มันนี่ก็ไม่ใช่ว่าผมปรารถนาดีอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่แบบ ไม่อยากมีหนี้บญคุณด้วยอะ ไหนๆผมก็กินข้าวมันแล้ว ดังนั้นผมถือว่าผมรีดชุดนักเรียนให้มันล้างบุญคุณไปแล้วกัน แบบนี้พอไหวใช่ปะ?
แต่ว่าก็นะ ผมก็แอบเลวอยู่ดี พอผมรีบชุดมันเสร็จ ผมก็วิ่งกลับห้องตัวเองไปเอาชุดผมที่ซักตากไว้มารีดด้วย วะฮ่า ไหนๆก็ไหนๆ รีดไปเลยทีเดียว ไม่เปลืองค่าไฟห้องตัวเอง แจ่มใช่มั้ยคุณ? =v=
ไม่รู้ว่าชุดนักเรียนเป็นสิบชุดนี่กินเวลานานแค่ไหน ผมว่าผมก็ไม่ได้รีดช้าอะไรมากมายนะ สงสัยกว่าจะกินข้าวเสร็จตอนนั้นมันก็บ่ายกว่าแล้วมั้ง เพราะตอนนี้พอผมมองออกไป ตะวันก็คล้อยแสงแล้ว
ผมถอดปลั๊กเตารีดแล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย จัดการเอาชุดนักเรียนของตัวเองพาดไว้กับโซฟา แล้วก็เอาชุดนักเรียนของมันขึ้นมากะว่าจะเอาไปแขวนเก็บให้ ว่าแต่ ตู้เสื้อผ้ามันอยู่ในห้องนอนนี่หว่า? ผมคิดแล้วลองบิดประตูห้องนอนมันเปิดเข้าไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ล็อคเอาไว้
แต่พอเข้าไปแล้ว สิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้
ก็ไอ้เจ้าของห้องน่ะสิ นอนซบหมอนข้างหลับไปซะแล้ว
ผมส่ายหัวขำๆ ไม่รู้ว่ามันเหนื่อยจนหลับไปหรือตั้งใจจะนอนกลางวัน ผมถือวิสาสะเอาชุดนักเรียนมันไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าที่พอเปิดเข้าไปก็พบว่ามีเสื้อผ้าอยู่เยอะพอสมควร และแน่นอน ดูแล้วแพงๆทั้งนั้นด้วยเถอะไอ้ที่มันใส่แต่ละอย่าง
ผมปิดประตูตู้เสื้อผ้าลงแล้วเดินเข้าไปดูคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง
เป็นอีกครั้งที่ผมได้พิจารณาใบหน้าของคนๆนี้ ดูกี่ทีก็พบว่ามันหล่อ หล่อแบบที่มองเท่าไหร่ก็คงไม่เบื่อ เพราะไม่ว่าจะพิศมองตรงไหนก็ลงตัวไปหมดทุกอย่าง ไม่แปลกที่มันบอกว่ามันเป็นนายแบบ เพราะถ้าจะนิยามว่ามันเหมาะจะเป็นอะไรที่สุด ก็คงเป็นนายแบบนั่นแหละที่ถูกต้องแล้ว ช่วงตัวเพรียวกับช่วงขายาวๆนั่นยิ่งทำให้ใส่อะไรก็คงดูดีไปหมด
คิดถึงตรงนี้ก็สงสัย มันเหมาะกับเป็นนายแบบจะตาย เอาดีทางนั้นก็ได้
จะมาเหนื่อยฝึกเป็นเทรนนีไปเพื่ออะไรวะ??
ผมส่ายหัวเบาๆกับความคิดตัวเอง แล้วจู่ๆตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรแน่ที่ดลใจให้ผมคิดว่าผมควรจะตอบแทนอะไรมันอีกซักนิดซักหน่อย ว่าแล้วผมก็เดินออกจากห้องนอนมันมา คว้าเอาชุดนักเรียนตัวเองเอากลับเข้าไปไว้ที่ห้อง
เอาล่ะ นี่กูตั้งใจจะสเปเชี่ยลฟอร์มึงเลยนะเว้ย ไอ้ภทรคนดี!!
To be continue...
TALK: ช่วงนี้แอบมาอัพช้าลงเนอะ แบบว่ากิจกรรมที่มหาลัยเริ่มเยอะแล้วอะ ก็เลยแบบว่าช้านิดนึง อัพช้าบ้างอะไรบ้างอย่าเพิ่มเบื่อกันเลยเน้อ พาร์ทนี้ก็เลยเขียนเอาใจให้ยาวกว่าพาร์ทอื่นไปเลย พาร์ทนี้ชายภีมกับนายคีย์ก็ได้รู้จักกันมากขึ้นแล้ว ได้อยู่กันสองต่อสองแล้ว ว่าแต่พาร์ทต่อไป นายคีย์เค้าจะมีอะไรสเปเชี่ยลให้ชายภีมกันน๊อ?? คึ
คาดว่าอ่านจบ คงมีคนแอบเดาโรงเรียนของชายภีมกับคีตภัทรกันแล้วแน่ๆ ฮ่าๆ เรื่องนี้จะไม่ขอเอ่ยชื่อสถาบันไหนนะคะ เพราะว่าอ้างอิงมาประกอบเนื้อเรื่องเท่านั้น แล้วก็แอบเห็นว่ามีแต่คนอยากให้พระเอกของเรารุกนายเอกไวๆ เอาน่ะ ชายภีมเค้าก็มีสไตล์ของเค้าอยู่ล่ะเนอะ ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นที่เม้นให้ แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่เริ่มติดตามอ่านด้วยนะคะ แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ :)
ปัจฉิมลิขิต: พาร์ทนี้มีแก้ไขเนื้อหานะคะ เปลี่ยนโรงเรียนของภีมกับคีย์เล็กน้อย เลยต้องแก้เนื้อหาในตอนนี้ อ่านใหม่แล้วพยายามอย่าสับสนเน้อ แก้ไขนิดเดียวค่ะ
ความคิดเห็น