คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 3rd CLASS • PAPER
3rd CLASS • PAPER
“ เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ”
ผมได้ยินแต่เสียงของตัวเองสะท้อนก้องเซอราวด์อยู่ในหัว ผมตกใจจัดและไม่ทันได้สนใจอะไรอย่างอื่นรอบตัวนอกจากคนที่นอนอยู่ใต้ร่างของผมตอนนี้ ผมถลึงตาอ้าปากค้างมองใบหน้าที่อยู่ใกล้ไม่เกินคืบ ใกล้ซะจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองหูตาพร่าเลือนไปเพราะอะไรบางอย่างที่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์คงไม่อาจอธิบาย
นี่อาจเป็นสิ่งที่ใครๆเรียกว่า มนต์สะกด…
ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมเพิ่งนึกชมอยู่ในใจเมื่อไม่กี่นาทีก่อนปรากฏใกล้จนผมตั้งตัวไม่ทัน แม้เป็นในยามที่เปลือกตานั้นหลับพริ้ม แต่โครงหน้าได้รูปทุกส่วนก็ลงตัวเสียยิ่งกว่างานพิถีพิถันที่พระเจ้าบรรจงปั้นแต่งขึ้นมา ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายเมื่อสายตาหลงไปจับจ้องคิ้วเข้มหนาเส้นยาวชัด ขนตายาวทิ่มลาด ปลายจมูกโด่งสูงเป็นสัน และริมฝีปากอิ่ม
ดูดีจนน่าอิจฉา…
ผมคิดได้เพียงแค่นั้นแล้วก็ต้องสะดุ้งถดหน้าออกห่างเมื่อเจ้าของใบหน้าที่ผมกำลังลอบพิจารณานั่นลืมตาโพลงขึ้นมาสบสายตาเข้าอย่างจัง
ความใกล้และสายตาที่สบกัน ทำเอาผมเงอะงะตั้งท่าทำอะไรไม่ถูกซักอย่าง
“ทุกคนนั่งลงๆ จับได้ครบแล้ว ใครลืมตาแล้วก็ไม่เป็นไร ใครยังไม่ได้ลืมตาก็นั่งลงแล้วลืมตาได้”
เหมือนหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงดังของพี่โม่พูดขึ้นจากหน้าห้อง ผมผงกหัวตัวเองขึ้นทั้งที่เมื่อครู่เนื้อตัวทั้งตัวแทบจะนอนราบลงไปกับร่างกายของคนที่อยู่เบื้องล่าง และผมคิดว่าสภาพตอนนี้ที่ผมเอามือยันตัวเองขึ้นมาจากแผ่นอกนั่นแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆดูล่อแหลมน้อยลงซักเท่าไหร่ เมื่อ…
“กริ๊ววววววววววววววว ไอ้คีย์มีสปาร์คว่ะ ใช้แบตเตอรี่ยี่ห้ออะไรวะเมิง สตาร์ทติดเร็วชิบหาย”
“ฮิ้วววววววววววววววววววววววว”
เสียงไอ้ฟรองค์พูดขึ้นมาแล้วตามด้วยเสียงฮิ้วโห่ฮาจากไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งห้อง ผมนั่งเหวออยู่บนหน้าท้องของไอ้คนตัวสูงคนนี้ คนที่ผมยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามันชื่ออะไร!!
“กูเปล่านะ!!!!” ผมโวยวายเสียงดังแล้วรีบกระเด้งตัวออกมาจากมนุษย์เสาไฟฟฟ้าที่กะแล้วน่าจะสูงซักร้อยแปดสิบกว่าๆนี่ทันที ผมมองหน้ามันอย่างไม่วางใจ ทั้งๆเมื่อกี๊ผมเป็นฝ่ายพุ่งไปล้มทับมันเอง =_= (และเพิ่งหลงไปกับหน้าตาหล่อๆของมันด้วย!!)
“รีบปฏิเสธแบบนี้ก็ยิ่งน่าสงสัยสิคีย์” เสียงพูดลอยมาจากหน้าห้อง ผมหันไปมองหน้าพี่โม่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เมื่อบนใบหน้าของเทรนเนอร์ประจำคลาสดันมีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มฉายชัด ว้อย อะไรวะเนี่ย พี่โม่พูดแบบนี้ได้ไง ผมเสียหาย(?)นะพี่!!!
“นั่นไง พี่โม่ยังพูดอะ ตอนพวกกูหลับตาเมิงลอบจัดการภีมระยะประชิดใช่มั้ยวะ?” ไอ้ฟรองค์ยังเล่นไม่เลิก ถ้ามีอะไรอยู่ใกล้มือผมคงไม่ลังเลที่จะหยิบมาปาหัวมันทันที ว้อย พูดเชี่ยไรเนี่ย กูเสียหายไปหลายล้านแล้วนะว้อย
ว่าแต่ เมื่อกี๊ว่าไงนะ? อะไร ภีม?? ภีมคืออะไร??
ภีม…
ผมมองหน้าคนที่นั่งอยู่ใกล้กับผม
อ๋อ… ชื่อภีมสินะ ไอ้หล่อนี่
ผมมองหน้าไอ้ตัวต้นเหตุ (หรือกูเองวะที่เป็นตัวต้นเหตุ?? แต่ช่างเหอะ ก็กูจะบอกว่ามันเป็นตัวต้นเหตุหนิ!!) มันเองก็กำลังนั่งมองหน้าผมอยู่เหมือนกัน สายตาที่จ้องมานั่นคงก่งก๊งไม่ต่างจากที่ผมกำลังจ้องมันเท่าไหร่ ต่างออกไปก็แค่ไม่มีอารมณ์หงุดหงิดเหมือนที่ผมเป็นอยู่นี่
แววตามันดูตระหนกและประหม่านิดๆด้วยเหอะ
ห่า กูไม่ได้ชอบผู้ชายน่า อย่าทำหน้าเหมือนกลัวกูได้ปะล่ะ!!
“หุบปากได้แล้วพวกเมิง สาด เค้ากลัวกูแล้วมั้งเนี่ย” ผมขมวดคิ้วใส่วกมันแล้วดันตัวขึ้นมานั่งในสภาพดีๆ ผมพยายามปรับสีหน้าตัวเองให้ปกติ Ice Breaking เว้ย Ice Breaking ท่องไว้ไอ้คีย์ กิจกรรมนี้เค้ามีไว้ลดช่องว่างระหว่างเพื่อนร่วมกรุ้ป
“พอๆ เลิกเล่นเถอะ เดี๋ยวภีมเข้าใจผิดหมด” พี่โม่พูดขึ้นมาในที่สุด แต่ไอ้ฟรองค์ก็ยังไม่ทำหน้าทะเล้นและดูกวนตีนที่สุดในความรู้สึกใส่ผมอยู่ดี แม่ง เดี๋ยวกูเอารีบ็อกซ์ยัดปากให้ซ่าไม่ออกเลยไอ้นี่
“เออ ทีนี้ก็ได้คู่กันครบแล้วใช่มั้ย? เลขคู่นะวันนี้ ไม่มีใครไม่มีคู่ใช่เปล่า?”
“คร้าบบบบบบบบบบบ” สามัคคีกันตอบอย่างพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ
“ทีนี้ก็นั่งหันหน้าเข้าหาคู่ตัวเองที่จับได้ซะ” พี่โม่แกสั่ง ผมก็เลิ่กคิ้วงง สรุปว่าคู่ของผมก็คือไอ้ภีมนี่ใช่ปะ? ผมเลิกคิ้วข้างนึงหันไปทางมัน มันก็หันมามองหน้าผม ห่า มึงพูดกับกูซักคำบ้างยั้งเนี่ย? เอาเหอะ ไม่เป็นไร ช่างมันก่อน ผมขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้มัน ถือว่าจับคู่กันตามคำสั่งของพี่โม่
“เดี๋ยวพี่จะแจกกระดาษให้นะ ที่จะให้ทำก็คือให้เขียนในสิ่งที่คิดว่ายังไม่รู้ของอีกฝ่ายมาใส่กระดาษ พูดคุยทำความรู้จักกัน โอเคปะ? พี่จะให้เวลาคุยกัน” พี่โม่พูด คนอื่นก็ดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกันเท่าไหร่ อันที่จริงก็ผมด้วย ก็แค่คุยกันนี่นะ ไม่เห็นยาก!
แล้วพี่โม่แกก็หยิบกระดาษเอสี่ปึกใหญ่พร้อมปากกามาเดินแจกให้พวกผมทีละคู่ๆไป เสียงจ้อกแจ้กๆก็ดังมาจากทุกมุมห้อง ผมเองก็นั่งมองหน้าไอ้หล่อนี่อยู่ นึกไม่ออกว่าจะเริ่มคุยอะไรกับมันก่อน แต่พี่โม่ก็เดินมาหย่อนกระดาษลงตรงหน้าผมพอดี
“ไม่ต้องกลัวไอ้คีย์มันนะภีม” พี่โม่แกพูดติดขำแล้วขยิบตาให้ผมทีให้ไอ้ภีมทีแล้วเดินจากไป ซึ่งไอ้คนตรงหน้าผมมันก็เอาแต่อมยิ้มขำ เชี่ย จะขำไรของมึงล่ะ กูไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะโว้ย!
“ขำไร?” ผมทำหน้ามุ่ยถามมันที่นั่งผมยิ้มอยู่ตรงหน้า ประโยคคำถามแรกของผมนี่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเลยแฮะ แต่ทำไงได้ ก็มันทำตัวให้ผมหงุดหงิดนี่!
“เปล่าครับ” มันผมยิ้มตอบแล้วมองหน้าผม ปากมันยิ้ม ตามันก็ยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกวูบวาบในอกพิกล แล้วเสียงเมิงอะ จะหล่อไปไหนวะ! พูดไม่กี่คำ แต่เสียงทุ้มๆต่ำๆนั่น นุ่มหูเป็นบ้า!
“มันเป็นอุบัติเหตุนะเว้ย กูไม่ได้ตั้งใจ” ผมรีบพูดก่อน ซึ่งมันก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้
“ครับ รู้แล้ว” แล้วมันก็ยังไม่เลิกยิ้ม บ๊ะ! การยิ้มเป็นการแสดงอัธยาศัยที่ดีนะครับ แต่ไอ้ยิ้มหน้ากรุ้มกริ่มแบบมันนี่ผมรู้สึกว่าชักจะกวนประสาทพิกล
“พูดเพราะจังวะ เป็นเกย์เหรอไง?” ผมพูดไม่รู้นึกไงถึงปากดีกวนตีนถามมันไปแบบนั้น อาน่ะ ขำๆ จะได้สนิทสนมกันไวๆ ใช่ป้ะ?
“อ้าว ไม่ใช่คีย์เหรอครับที่เป็น? หรืออยากให้ผมเป็นด้วยกัน?” มันยิ้มแล้วเลิ่กคิ้วถามด้วยท่าทางที่เหมือนจะจริงจัง
แต่… ห่าาาาาาาาาา เมิงพูดบ้าไรเนี้ยะ!!?
“พ่อมึงเซ่! กวนตีนนะเนี่ย ไม่ได้เป็นว้อย เอาอะไรมามองว่ากูเป็น บ้าป่าว” ผมดึงกระดาษเอสี่สีขาวมาตรงหน้าแล้วกดปากกาเล่น
“…ก็ว่างั้นแหละ” มันพูดแค่นั้นแล้วดึงกระดาษไปเหมือนกัน แต่ว่ารอปากกาจากผมอยู่ พี่โม่มีโควต้าแค่คู่ละด้ามครับ เพราะฉะนั้นต้องแบ่งกันใช้ไปตามอัตภาพ
“เฮ้ย ปากกามีด้ามเดียวอะ เอางี้ดีกว่า อยากบอกอะไรก็เขียนใส่กระดาษ ดีมะ? แล้วค่อยมาแลกกันเอา” ผมคิดแล้วเสนอไอเดียให้มัน เงยหน้าขึ้นมาถามความเห็น
“อืม แล้วแต่คีย์สิครับ” มันพยักหน้า พูดจาว่าง่ายดีเนอะ
“ไม่ต้องพูดเพราะนักได้มะ? จั๊กจี้หูว่ะ ไม่มีใครเค้าครับๆผมๆกันซักคน เมิงเห็นมั้ยเนี่ย?” ผมถามแล้วเริ่มต้นเขียนชื่อตัวเองลงไปบนกระดาษ เอาตัวโตๆชัดๆเด่นๆ
KEY
คีตภัทร
“ถ้าเพื่อนพูดไม่เพราะ จำเป็นด้วยเหรอว่าเราต้องพูดไม่เพราะตามไปด้วย?” มันถาม แต่เป็นคำพูดคำจาที่น่าโมโหปนน่าหมั่นไส้สุดๆ ผมขี้เกียจจะเถียงกับมันก็เลยไม่ต่อล้อต่อเถียงเรื่องนี้ต่อ
“เออ เรื่องของมึงเถอะครับพ่อคุณชาย ว่าแต่ อยากรู้อะไรมั่งอะ คือกูเขียนไม่ถูก” ผมชะงักปลายปากกาไว้แล้วถามมัน มันก็เงียบไปพักนึงเหมือนใช้ความคิด
“อือ… อะไรก็ได้นี่ครับ วันเกิด ส่วนสูง กรุ้ปเลือด ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”
“เออเนอะ เหมือนกรอกประวัติส่วนตัวส่งระเบียนกิจการฯเลยว่ะ” ผมพูดงึมงำๆ แต่ก็ก้มหน้าลงไปเขียนตามคำแนะนำที่มันบอก
23 กันยา 1991
สูง 177 กรุ้ปเลือด B
ชอบ สีชมพู ฟังเพลง ดูซีรี่ เล่นเน็ท หัดทำกับข้าว ทำเครื่องประดับใส่เอง และช็อปปิ้ง!
(อันแรกและอันหลังสุดกูชอบมาก แต่กูแมนนะว้อย)
ไม่ชอบ คนตีสองหน้า แล้วก็ แครอท กับน้ำองุ่น! (กูไม่กิน อย่าเอามาใกล้!)
“เขียนเสร็จแล้วอะ แล้วไรต่อดีวะ?” ผมถาม เมื่อมองลงมาแล้วพบว่ากระดาษยังเหลืออีกตั้งเป็นครึ่งแผ่นแน่ะให้ตายสิ
“ก็…” มันทำหน้านึกอีก แล้วถึงพูดออกมา “ความสามารถพิเศษ ความใฝ่ฝัน แล้วก็ อยากมีแฟนแบบไหน…”
มันตอบ ตอนแรกๆผมก็ฟังอยู่ดีๆหรอก แต่พอมาถึงไอ้ข้อสุดท้ายนี่ ชักจะแปร่งๆ คือ เพื่ออะไรวะ??
“อันสุดท้ายเมิงจะอยากรู้ไปทำไมอะ?” ผมทำหน้าตาไม่ไว้วางใจแล้วถามมัน
“ไม่รู้สิ ก็เห็นปกติเวลาเค้าสัมภาษณ์ศิลปินกันเค้าก็ชอบถามคำถามนี้นี่ ไม่ใช่เหรอ?” มันทำหน้าซื่อตาใส (แต่เหมือนผมเห็นประกายวิบๆนิดนึงนะ เอาเถอะ ผมคงตาพร่าไปเองมั้ง!?) มันตอบผมง่ายๆ ซึ่งผมก็เอียงคอฟังแล้วคิดตาม เออเนอะ ก็จริง ผมพยักหน้าหงึกหงักๆให้มัน ไม่ได้สนใจจะหงุงหงิงอะไรแล้วก้มหน้าก้มตาเขียนต่อ
ความสามารถพิเศษ เต้น ร้องเพลง วาดรูป เปียโน สกีน้ำ พูดได้หลายภาษา
(บ้านรวย! พ่อแม่ส่งไปนอกบ่อย 555555555)
ความใฝ่ฝัน อยากเป็นนักร้องนี่แหละ ไม่งั้นก็วาดภาพ อะไรทำนองนั้น
สเป็ค คนที่สูงแล้วใส่อะไรก็ดูดี
ผมมองไอ้ที่ตัวเองเขียนลงไป เรื่องสเป็คนี่มันตอบกันยากจริงๆนะครับ แต่ก็ นั่นแหละ ผมำได้ว่าล่าสุดผมเคยบอกตัวเองว่าผมอยากมีแฟนหุ่นนางแบบ สูงๆหน่อย หึหึ แล้วถ้าเวลาใส่อะไรก็ดูดีก็คงจะเจ๋งไปเลย
“พอละ อะ เมิงเขียนมั่ง” ผมพูดง่ายๆแล้ววางปากกาลงบนกระดาษเปล่าของมัน ซึ่งมันก็หยิบขึ้นไปตั้งท่าจะเขียน
“เขียนแบบที่เมิงบอกให้กูเขียนเมื่อกี๊อะแหละ กูขี้เกียจคิดละ” ผมพูดง่ายๆแล้วยิ้มใส่มัน มันก็ยิ้มขำมองผม ผมก็ไมได้ว่าอะไร อยากยิ้มก็ยิ้มไป เรื่องของเมิงงงงง
มันคงมือเขียนอะไรยุกยิกๆ แต่ผมรู้สึกว่าการที่ปล่อยให้มันนั่งเขียนอะไรไปคนเดียวแบบนี้ก็เงียบไปซะหน่อย โห่ แบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวกลายเป็นว่าผมไม่เทคมัน มันเป็นเด็กใหม่นี่นะ ผมต้องเอาใจใส่หน่อยใช่มใยล่ะ? ควรจะชวนมันคุยบ้างอะไรบ้างดิเนอะ
“ทำไมเมิงมาเข้ากรุ้ปเทรนนี่ได้อะ?” ผมนั่งดูมันเขียนไปก็ถามไป อ่านกลับหัวแบบนี้มองไม่รู้เรื่องว่ะ ไว้มันเขียนเส็จค่อยอ่านละกัน
“ก็ ผู้จัดการติดต่อให้ครับ” มันพูด แต่ไมได้เงยหน้าขึ้นมามองผม แต่คำตอบของมันทำใผ้ผมขมวดคิ้ว ผู้จัดการ อะไรวะ??
“หา?? ยังไงอะ? ไม่เข้าใจ” ผมก็ถามไปตรงๆ ไมได้แปลว่าใช่มั้ยครับเนี่ย? =_=
“ก็ ผู้จัดการให้ทางโมเดลลิ่งต้นสังกัดผมเข้ามาคุยกับที่นี่ แล้วเค้ารับ ก็ได้เข้ามาเทรนครับ” มันเงยหน้าขึ้นมาตอบนิดนึงแล้วก้มลงไปเขียนต่อ ทำมันนั่งเลิ่กคิ้วงงอยู่อย่างนั้น เฮ้ย อะไรวะ?? มันเป็นอะไรอะ?? ดาราเหรอ?? ไม่ดิ ไม่เคยเห็น งั้น เป็นนายแบบอย่างที่ผมคิดจริงๆใช่ปะ?? เฮ้ย ไรอะ เดี๋ยวนี้มีแบบนี้ด้วยเหรอ?? ระบบใหม่เหรอวะเนี่ย??
“โห อะไรวะ ดีเนอะ กูนะหน้าด้านมาอออยู่ตั้งสองปีแน่ะกว่าเค้าจะให้เข้ามา” ผมพูดออกไป แล้วก็คิดอย่างที่พูดจริงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก คนเราโอกาสกับดวงมันต่างกันนี่นะ จะไปโทษมันก็ไม่ได้ อีกอย่าง มันก็หล่อลากซะขนาดนี้ ไม่แปลกหรอกถ้าจะเข้ามาได้สบายๆอย่างที่มันว่า
“ขอโทษนะครับ…” มันพูดเบาๆทั้งที่ยังไม่เงยหน้า ในมือก็ชะงักปลายปากกาที่กำลังเขียนอยู่ไป
“หา? ขอโทษอะไรอะ?” ผมทำหน้าเหวอมองมัน เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้บนหน้าไอ่หล่อนั่นดูมีแววกังวลน้อยๆ
“ขอโทษ ที่เอาเปรียบคนอื่นๆ” มันพูด น้ำเสียงนั่นสลดลงไป ถึงะเป็นเสียงทุ้มนุ่มเหมือนที่ผมได้ยินแต่แรก แต่มันกลับแฝงความรู้สึกกดดันบางอย่างเจือมา ชัดเจนซะจนผมรู้สึกได้ตามไปด้วย
“เฮ้ย มึง คิดมาก อะไร ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ของแบบนี้มันอยู่ที่โอกาส มึงได้โอกาสมาแล้วก็คว้าไว้ไม่แปลก คิดมากไมวะ อย่างี้ดิ” ผมพูดแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าหมับจับไหล่มันเขย่าเบาๆ มองหน้ามันอย่างเข้าใจและจริงจัง แต่มันกลับสะดุ้งไปนิดหนึ่งเมื่อจู่ๆผมเข้าไปใกล้
สายตามันที่มองผมตอนนี้นั้น… ผมอธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ
แต่มันมีบางสิ่ง ที่ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้จัก และไม่รู้ว่ามันคืออะไร…
ผมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นเป็นครั้งที่สองของวัน นานพอดูแต่ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ จนในที่สุดอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกตัวก่อนแล้วผละตัวออกไป ผมเห็นหมอนั่นกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วก้มหน้าลงเขียนตัวหนังสืออีกไม่กี่ตัวแล้วหยิบกระดาษตรงหน้าตัวเองขึ้นมา
“เสร็จแล้ว” มันพูดสั้นๆง่ายๆ ซึ่งผมก็เข้าใจ เลยหยิบกระดาษของตัวเองแลกไปสลับกัน
เสียงพี่โม่พูดบอกอะไรไม่รู้อยู่หน้าห้อง เรียกให้พวกเราทุกคนไปรวมกันแล้วเริ่มจัดบล็อกกิ้งให้เป็นระเบียบเพื่อที่จะได้เริ่มซ้อมเป็นจริงเป็นจังสำหรับวันนี้
ระหว่างคลาสทุกคนตั้งใจ และไม่มีใครวอกแวก หากแต่สำหรับผม ถึงแม้ผมจะไม่ได้คุยกับใครเลยเช่นกัน แต่มันแตกต่างจากทุกวันที่ผมหันไปสบเข้ากับสายตาของไอ้หล่อหน้าใหม่นั่นบ่อยๆ บ่อยจนผมเองยังรู้สึกหวั่นๆในใจ
ไอ้อาการที่ใจแอบเต้นแรงเวลาที่มันมองมาที่หมายความว่ายังไงวะ!!?
นี่ผมคงไม่เผลอใจไปกับอิแค่หน้าหล่อๆของมันหรอกใช่มั้ยเนี่ย??
ตลกแล้วคีตภัทร เมิงเป็นผู้ชายนะ!!!!!!!!
ไอ้หล่อภีมครับ นี่เมิงทำอะไรกับกูไว้เนี่ย?? ห๊า!!!!!??
To be continue...
TALK: เราทำได้ เราทำได้ จะมาอัพทุกวัน เราต้องทำให้ได้! พาร์ทนี้พระเอกนายเอกเค้าพูดคุยกันแล้วนะ คึ พระเอกของเราเป็นยังไงบ้าง? ถูกใจคนอ่านปะ? ฮ่าา ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ ถึงจะมีไม่มากก็ขอบคุณ จะพยายามแต่งต่อไปนะ แต่ถ้าได้คอมเม้นเยอะๆก็จะดีมากเลย อยากได้กำลังบ้างอะไรบ้างนะ แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ :)
ความคิดเห็น