ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ▣ นิราศภูเขาทอง
นิราศภูเขาทอง แต่งราว พ.ศ. ๒๓๗๑ ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งที่สุนทรภู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชบูรณะหรือวัดเลียบ และได้เดินทางไปกรุงเก่าโดยทางเรือ นายธนิต อยู่โพธิ์ สันนิษฐานว่าสุนทรภู่คงจะแต่งนิราศเรื่องนี้เมื่อท่านมีอายุได้ ๔๒ ปี และอุปสมบทได้ราว ๔ หือ ๕ พรรษา นิราศภูเขาทองนี้นอกจากจะมีคำกลอนไพเราะแล้ว ยังช่วยให้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติสุนทรภู่มาก เรื่องนี้พิมพ์ครั้งนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ รวมอยู่ในประชุมกลอนนิราศสุนทรภู่ ภาค ๑
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา | |
รับกฐินภิญโญโมทนา | ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย |
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส | เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย |
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย | มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น |
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร | แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น |
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น | เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง |
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง | ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง |
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง | มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ๚ |
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด | คิดถึงบาทบพิตรอดิศร |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร | แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น |
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด | ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ |
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น | ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา |
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย | ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา |
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา | ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป ๚ |
๏ ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง | คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย | แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง |
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ | เคยรับราชโองการอ่านฉลอง |
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลอง | มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา |
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ | ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา |
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา | วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ ๚ |
๏ ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ | ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล |
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล | ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ ๚ |
๏ ถึงอารามนามวัดประโคนปัก | ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน |
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน | มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา |
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย | แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา |
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา | อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง |
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ | แพประจำจอดรายเขาขายของ |
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง | ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา ๚ |
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง | มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา | ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย |
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ | สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย |
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย | ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป |
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก | สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน |
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป | แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ๚ |
๏ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง | มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน |
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน | จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง |
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง | เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง |
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง | ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน |
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์ | ร่มริโรธรุกขมูลให้พูนผล |
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล | ให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกาย ๚ |
๏ ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง | มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย |
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย | พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง |
จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน | ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง |
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง | พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน ๚ |
๏ โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ | มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น |
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน | ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา |
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง | เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา |
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา | พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน |
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก | กลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน |
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน | ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน |
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง | ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน |
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล | ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลา ๚ |
๏ ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง | สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา |
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคง | เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ |
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง | ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ |
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ | เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย |
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ | มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย |
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย | พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน ๚ |
๏ มาถึงบางธรณีทวีโศก | ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น |
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น | ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร |
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ | ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย |
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ | เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ๚ |
๏ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า | ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา |
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา | ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย |
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง | เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย |
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ | ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิด ๚ |
๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ | มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต |
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร | จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา ๚ |
๏ ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน | จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา |
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา | จะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย |
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด | บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้ |
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน | อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา |
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก | สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา |
เป็นล่วงพ้นรนราคราคา | ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดี ๚ |
๏ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า | พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี | ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว |
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง | แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว |
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว | ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ |
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ | ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย |
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด | ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี |
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง | อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี |
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี | ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมา ๚ |
๏ ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง | ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา |
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา | นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ |
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม | ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว |
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย | ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง |
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว | ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง |
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง | เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร ๚ |
๏ โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด | ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว |
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ | ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น |
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง | ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ |
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น | เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา ๚ |
๏ พระสุริยงลงลับพยับฝน | ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา |
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา | ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว |
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง | ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว |
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว | ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย |
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด | เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย |
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย | ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก |
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน | เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก |
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก | น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด |
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง | พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด |
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด | ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน ๚ |
๏ แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง | ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน |
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร | กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม |
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย | พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม |
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ | ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส |
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม | อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ |
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด | ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย |
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก | ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย |
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย | ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร |
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก | ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร |
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร | ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา |
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า | เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา |
กระจับจอกดอกบัวบานผกา | ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย |
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น | จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย |
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย | เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา |
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง | ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา |
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา | อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน |
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ | ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน | ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ ๚ |
๏ มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง | คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย | ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน |
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก | อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล |
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร | จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณ ๚ |
๏ มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม | ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน |
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ | ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง |
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ | ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง |
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง | เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู |
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก | ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู |
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู | จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน ๚ |
๏ ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด | จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน |
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร | อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ |
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง | มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ |
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ | เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ |
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง | ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ |
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ | ชัยชนะมารได้ดังใจปอง ๚ |
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ | เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง |
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง | ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย |
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น | เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส |
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได | คงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน |
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด | ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น |
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน | เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม |
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น | ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม |
ประทักษิณจินตนาพยายาม | ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์ |
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย | ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน |
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์ | แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก |
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก | เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก |
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก | เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น |
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ | จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น |
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น | คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น ๚ |
๏ ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ | บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์ |
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์ | เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย |
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ | ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย |
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย | แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์ |
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ | ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง |
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง | ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน |
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว | อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน |
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ | ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวร ๚ |
๏ พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ | พบพระธาตุสถิตในเกสร |
สมถวิลยินดีชุลีกร | ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา |
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว | ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา |
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา | ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ |
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ | ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล |
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล | เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน |
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก | กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน |
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ | ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี ๚ |
๏ ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง | ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์ |
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ | ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา |
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป | ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา |
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา | ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ |
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด | แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย |
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร | ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา |
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัด | สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา |
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา | ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจ ๚ |
๏ จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น | อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน |
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ | จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย ๚ |
เ
ก
ริ่
น
นำ
บ
ท
๔
ก
ริ่
น
นำ
บ
ท
๔
เราจะได้รู้ถึงความเป็นมาของนิราศภูเขาทองของสุนทรภู่
หากขาดตกบกพร่อกแต่ประการใด ทางเราขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยคะ
★ten tativo
หากขาดตกบกพร่อกแต่ประการใด ทางเราขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยคะ
★ten tativo
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น