ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกียรติคุณสุนทรภู่

    ลำดับตอนที่ #23 : ▣ อภัยณราช

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 211
      0
      10 ก.พ. 57


     

    ท่านสุนทรภู่ได้แต่งบทละครเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือ เรื่องอภัยนุราช เพื่อถวายพระองค์เจ้า ดวงประภา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องของท้าวอภัยนุราช กษัตริย์ครองเมืองรมเยศร ครั้งหนึ่งทรงต้องการออกประพาสป่า แต่ไม่ยอมเซ่นสังเวยแสดงความเคารพต่อผีป่าเสียก่อน และได้กล่าวลบหลู่ดูถูก ผีป่าจึงดลบันดาลให้ท้าวอภัยนุราชต้องเสียบ้านเสียเมือง พร้อมทั้งพระนางทิพยมาลีพระมเหสี พระอนันต์พระโอรส และวรรณาพระธิดา

     


    ๏ช้า มาจะกล่าวบทไป
    ถึงท้าวไทอภัยนุราชเรืองศรี
    กับโฉมยงองค์ทิพมาลี
    ครองบูรีรมเยศเขตคัน
    มีโอรสธิดาน่ารัก
    ประไพพักตร์ลักษณ์เลิศเฉิดฉัน
    เชษฐาชื่อว่าพระอนันต์
    น้องชื่อวรรณาสุดาถาวร
    คนละปีพี่สิบขวบเศษ
    ดังเทเวศร์สุรางค์นางอัปสร
    พระวงศาข้าบาทราษฎร
    ทุกข์ร้อนไม่มีบีฑา
    วันหนึ่งจึงท้าวอภัยนุราช
    คิดใคร่ไปประพาสภูผา
    ไล่ฝูงโคถึกมฤคา
    แรมค้างกลางป่าพนาวัน ฯ

    ๏ร่าย คิดพลางทางสั่งเสนี
    พรุ่งนี้เราจะไปไพรสัณฑ์
    เกณฑ์โยธีขี่ม้าสักห้าพัน
    ถือเกาทัณฑ์ปืนยาหน้าไม้ ฯ

    ๏ บัดนั้น
    เสนารับสั่งบังคมไหว้
    ก้มกรานคลานคล้อยถอยออกไป
    เกณฑ์ไพร่พร้อมกันดังบัญชา
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระปิ่นเกศเขตขันธ์หรรษา
    ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยา
    มาโสรจสรงคงคาวารี
    แล้วทรงเครื่องประดับเสร็จสรรพ
    มงกุฎเก็จเพชรพรายหลายสี
    จับพระขรรค์อันเรืองฤทธี
    ไปตรวจพลมนตรีที่เกยลา ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ร่าย พระองค์ขึ้นทรงช้างต้น
    พร้อมพลไพร่นายกราบซ้ายขวา
    เดินทหารควาญไสไอยรา
    ตำรวจหน้านำตรงเข้าพงไพร ฯ
    ฯ กราวนอก ฯ

    ๏ชมดง เดินทางหว่างเขาเงาร่ม
    เพลินชมเชิงผาพฤกษาไสว
    บ้างผลิดอกออกแทรกแตกใบ
    ลูกมะไฟมะเฟืองเหลืองระย้า
    จำปาดะขนุนกรุ่นหอม
    มะปรางปริงกิ่งค้อมริมจอมผา
    ร้อยลิ้นอินจันทร์พรรณพวา
    ฝูงนกกาจิกเจาะเกาะกิน
    บนเขาสูงฝูงหงส์บุหรงร้อง
    เยี่ยมหุบห้องปล่องเปลวเหวหิน
    ชมเพลินเดินรอบขอบคีรินทร์
    มีโกรกสินธุพุปรุปราย
    ริมลำธารศาลเจ้าเก่าแก่
    กษัตริย์แต่ก่อนปางสร้างถวาย
    เสาศิลาฝากรุผุทลาย
    ต้นรังรายรื่นร่มพนมไพร ฯ

    ๏ร่าย จึงหยุดช้างที่นั่งสั่งเสนา
    ปลูกประทับพลับพลาอาศัย
    ให้แยกย้ายรายพลค้นไป
    สกัดไล่โคถึกมฤคา ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกหมื่นขุนมูลนายซ้ายขวา
    ต่างเกณฑ์ไพร่ไปริมหิมวา
    ไล่สกัดสัตว์ป่าพนาวัน
    โห่ครื้นปืนยิงกระทิงถึก
    ล้อมมฤคแรดควายทรายสมัน
    ต้อนตะพัดลัดแลงแทงฟัน
    พัลวันมาหน้าพลับพลาไพร ฯ
    ฯ เชิด ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระภูมินทร์ยินดีจะมีไหน
    เผ่นขึ้นม้าทรงก่งศิลป์ชัย
    ขับไล่เลี้ยวลัดยิงสัตว์ดง ฯ
    ฯ เชิดฉิ่ง ฯ

    ๏ร่าย ลั่นสายหลายลูกไม่ถูกสัตว์
    ก้าวสกัดพลัดแพลงลัดแลงหลง
    จนรอนรอนอ่อนแสงสุริยง
    ขับม้าทรงตรงมาพลับพลาชัย ฯ
    ฯ เชิด ฯ

    ๏ร่าย พร้อมทั้งเสนีรี้พล
    ต่างคนเหนื่อยบอบหอบเหงื่อไหล
    ไม่ได้เนื้อเบื้อบ้างเป็นอย่างไร
    หลากใจนักหนาพูดจากัน ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ร่าย บัดนั้น
    ผู้เฒ่าชาวป่าพนาสัณฑ์
    จึงกราบทูลองค์พระทรงธรรม์
    นี่ชื่อป่าสาลวันบรรพต
    แต่ย่าปู่ผู้เฒ่าเล่าว่า
    เทพารักษ์ศักดาปรากฏ
    แต่ก่อนท้าวเจ้าเมืองเรืองยศ
    มาประณตนับถือลือชา
    ครั้งนี้มิได้เซ่นวัก
    อารักษ์ไม่ให้สัตว์ในป่า
    พระองค์จงบวงสรวงเทวา
    ซึ่งสิงสู่ภูผาพนาลัย ฯ

    ๏ ฟังทูล
    นเรศูรเคืองขัดอัชฌาสัย
    จึงตรัสว่าป่าดงพงไพร
    ก็อยู่ในเขตแคว้นแดนเรา
    เพราะอารักษ์หักแกล้งกูแผลงศร
    ไม่แน่นอนเหมือนหมายอายเขา
    ไม่ยำเยงเกรงกูดูเบา
    เอาไฟเผาศาลให้ไหม้หมดโครง ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกขุนนางต่างใส่ไฟโขมง
    ไหม้หลังคาฝาเปิงเพลิงโพลง
    เสียงผึงโผงเผาศาลเป็นถ่านไป ฯ
    ฯ เหม่งตุมเพล่ง ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    จอมวังนั่งหน้าพลับพลาใหญ่
    ให้เลี้ยงโต๊ะโยธาเสนาใน
    เสวยชัยบาลสำราญครัน ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกเสนาสามนต์พลขันธ์
    ต่างกินเหล้าเมามัวไม่กลัวกัน
    บ่าวขันสู้นายเรียกอ้ายเกลอ
    บ้างร้องลำสำรวจอวดรู้
    การกูผู้ใดไม่เสมอ
    บ้างเมามากรากท้นบ่นเพ้อ
    พูดเอะอะคะเอออึงไป
    บ้างร้องเพลงพาดควายไก่ป่า
    เมาร่ารำแต้ต้องแก้ไข
    บ้างขันชกยกตัวไม่กลัวใคร
    ผลักไสซวนเซเสียงเฮฮา
    จนพลบค่ำกำลังเล่นสนุก
    บ้างล้มลุกหลับกลิ้งพิงพฤกษา
    ทั้งองค์ท้าวเมาเซพวกเสนา
    ลุกถลาล้มทับเลยหลับไป ฯ
    ฯ เซ่นเหล้า ฯ ฯ เจรจา ฯ

    ๏ยานี มาจะกล่าวบทไป
    ถึงอารักษ์ที่เขาผาศาลไหม้
    ขึ้นสิงสู่อยู่บนต้นไทร
    แค้นท้าวอภัยนุราชบังอาจนัก
    แต่ก่อนกูอยู่มาป่านี้
    ชาวบูรีเกรงฤทธิ์สิทธิศักดิ์
    ถึงเดือนห้ามาเล่นเซ่นวัก
    ไม่ทำการหาญหักเหมือนดังนี้
    จะแก้แค้นแทนทำให้ส่ำเสีย
    ให้เสียลูกเสียเมียเสียกรุงศรี
    คิดพลางทางแผลงฤทธี
    ไปเรือนอีผีสิงหญิงคนทรง ฯ
    ฯ เชิด ฯ

    ๏ร่าย ครั้นถึงจึงเทพารักษ์
    ลอบหักคออีศรีสาหง
    เข้าสิงสู่ชูใจให้ดำรง
    รูปทรงคงเป็นเหมือนเช่นดี ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางศรีสาหงคนทรงผี
    อยู่แต่ตัวผัวตายหลายปี
    อายุสี่สิบสี่ปีปลาย
    นัยน์ตาพองสองผมนมคล้อย
    ทำชดช้อยลอยเลิศเฉิดฉัน
    นุ่งแดงห่มชมพูพิศดูกาย
    ออกจากเรือนเดือนหงายกรีดกรายมา ฯ
    ฯ ฉุยฉาย ฯ

    ๏ พอรุ่งแจ้งแสงทองถึงกองทัพ
    เข้าหยุดยับยั้งอยู่ริมภูผา
    แกล้งคิดคำทำนองร้องพัดชา
    วิเวกแว่วแนวป่าวนาดอน ฯ

    ๏พัดชา โอ้สงสารพระหน่อวรนาถ
    แรมนิราศเรือนจันทร์พระบรรถร
    อยู่ในวังดังพระศศิธร
    ดารากรแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง
    เคยฟังขับรับพิณซอจีนเจ้ง
    ฆ้องระนาดพาดเพลงวังเวงเสียง
    มโหรีปี่แก้วแจ้วจำเรียง
    เสนาะสำเนียงนางเห่ทุกเวลา
    มานอนในไพรพนมต้องลมว่าว
    อนาถหนาวน้ำค้างพร่างพฤกษา
    หอมดอกกลอยสร้อยสนสุมณฑา
    มะลิลาลมโชยมาโรยริน
    ดอกไม้สดรสรื่นชื่นแช่ม
    เหมือนกลิ่นแก้มแจ่มนวลหวนถวิล
    หอมบุปผาสารพันลูกจันทร์อิน
    ไม่เหมือนกลิ่นนุชเนื้อที่เจือจันทร์
    เจ้าพี่เอ๋ยเชยอื่นไม่ชื่นจิต
    เหมือนเชยชิดโฉมน้องประคองขวัญ
    มานอนเดียวเปลี่ยวใจในไพรวัน
    สะอื้นอั้นอกน้องมัวหมองเอย ฯ

    ๏ร่าย เมื่อนั้น
    พระจอมวังฟังนิ่งอิงเขนย
    สำเนียงขับจับใจกระไรเลย
    ลุกขึ้นเผยพระแกลเล็งแลไป
    ยิ่งเพลินฟังวังเวงในเพลงขับ
    ดูพวกพ้องกองทัพยังหลับใหล
    พระลงจากพลับพลาคลาไคล
    คอยฟังเสียงเมียงไปในไพรวัน ฯ
    ฯ ฉุยฉาย ฯ

    ๏ชมโฉม เห็นนารีผีสิงพริ้งเพริศ
    โฉมเฉิดเลิศอย่างนางสวรรค์
    สวยสำอางคางคิ้วผิวพรรณ
    เป็นสองผมคมสันเพียงขวัญตา
    ถันเทียบเรียบปทุมที่หุ้มฝัก
    ดูหน้าตาน่ารักหนักหนา
    นาสิกเสี้ยมเอี่ยมโอ่โสภา
    นุ่งผ้าแดงห่มสีชมพู
    ดูจ้ำม่ำล้ำหญิงยิ่งอย่าง
    รูปร่างรัดกุมใส่ตุ้มหู
    พินิจไหนให้เห็นน่าเอ็นดู
    จะใคร่รู้เรื่องความตรัสถามไป ฯ

    ๏โอ้ชาตรี ทรามสงวน
    เจ้างามล้วนนวลละอองผ่องใส
    พี่ขอถามตามซื่ออย่าถือใจ
    เจ้าชื่อไรไยมาอยู่อารัญ
    หรือบ้านเมืองเคืองเข็ญเป็นวิบัติ
    จากจังหวัดเวียงชัยไอศวรรย์
    หรือเข็ญใจไร้วงศ์พงศ์พันธุ์
    จะรับขวัญเนตรน้องไปครองวัง
    วาสนาพาพี่มาพานพบ
    อย่าหลีกหลบผินผันหันหลัง
    จงพรายแพร่งแจ้งอรรถตามสัจจัง
    จะขอฟังวาจาเจ้าพาที ฯ

    ๏ร่าย ฟังคำ
    นางทำชม้อยถอยหนี
    พลางนบนอบตอบว่าข้านี้
    ชื่อศรีสาหงไร้พงศ์พันธุ์
    เดิมสำหรับขับร้องรองบาท
    เจ้าไกรลาสเลี้ยงไว้ในสวรรค์
    ข้าเล่นเพื่อนเชือนเที่ยวเป็นโทษทัณฑ์
    จึงสาปสรรให้มาอยู่ป่าดอน
    ผู้เดียวเปลี่ยวเปล่าทุกเช้าค่ำ
    อยู่อาศัยในถ้ำที่สิงขร
    ซึ่งเสด็จเมตตาอาวรณ์
    เหมือนบิดรมารดาปรานี
    จะรับไปไว้วังดังตรัส
    เกรงจะขัดใจพระมเหสี
    จะพาลผิดริษยาด่าตี
    น่าที่ชีวันจะบรรลัย ฯ

    ๏โอ้ชาตรี สาวสวรรค์
    อย่าหวาดจิตคิดพรั่นหวั่นไหว
    จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้
    รักใคร่ให้เหมือนเพื่อนชีวัน
    แม้นเมียหลวงจ้วงจาบหยาบช้า
    จะฆ่าตีชีวาให้อาสัญ
    สมบัติวัตถาสารพัน
    จะมอบขวัญเนตรทั้งวังเวียง
    เจ้าเคยคู่กุศลส่งให้
    พี่จะได้ฟังคำน้ำเสียง
    ว่าพลางย่างย่องประคองเคียง
    อย่าหลีกเลี่ยงเมียงเมินสะเทินใจ
    ขอเชิญเจ้าเข้าวังวันนี้
    ได้อยู่ที่แท่นทองผ่องใส
    พลางพยุงจูงนางมากลางไพร
    ตรงไปที่ประทับพลับพลา ฯ
    ฯ เพลง ฯ

    ๏ ครั้นถึงจึงปลุกพวกเสนี
    ทั้งโยธีไพร่นายซ้ายขวา
    พระนั่งเตียงเคียงนางพลางพูดจา
    ประทานพานสลาให้นารี ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกขุนนางต่างกราบเจ้ากรุงศรี
    เห็นนางนั่งบนเตียงเคียงภูมี
    เหมือนรูปผีปีศาจประหลาดใจ
    จึงทูลถามพระองค์ทรงศักดิ์
    หลากนักนางนี้อยู่ที่ไหน
    เผ่าพงศ์วงศ์วานประการใด
    โปรดให้นั่งเตียงเคียงองค์ ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระทรงธรรม์ฟั่นเฟือนเลอะเลือนหลง
    จึงบัญชาว่านางโฉมยง
    ลอยลงมาจากฟากฟ้า
    ทั้งรูปงามนามเพราะเสนาะเสียง
    สำเนียงในมนุษย์สุดหา
    เคยคู่กุศลจึงส่งมา
    เราจะพาไปเลี้ยงไว้เวียงชัย ฯ

    ๏ บัดนั้น
    อำมาตย์ราชครูผู้ใหญ่
    พิศดูรู้เท่าทูลท้าวไท
    นางนี้มิใช่ชาวฟากฟ้า
    เป็นผีสิงหญิงแก่แม่ม่าย
    สาบแสลงแรงร้ายพรายรักษา
    จะขอทำน้ำมนต์พ่นมารยา
    ให้ผีป่าไปจากซากสตรี ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางศรีสาหงคนทรงผี
    ฟังหมอว่าพาโลโศกี
    มือตีอกร่ำฟายน้ำตา
    สะอื้นอ้อนวอนองค์ทรงฤทธิ์
    พวกข้าเฝ้าเขาคิดริษยา
    แม้นไปอยู่บูรีชีวา
    เห็นว่าไม่ข้ามถึงสามวัน
    ข้าพระจะลาอยู่ป่าเขา
    ตามพระเป็นเจ้าสาปสรร
    เชิญพระเสด็จเข้าเขตคัน
    รำพันพูดจาโศกาพลาง ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    กรุงกษัตริย์ขัดข้องหมองหมาง
    กริ้วกราดราชครูดูหมิ่นนาง
    ว่างผีสางสิงองค์นงเยาว์
    กูมิได้ไต่ถามเอาความบอก
    ชาติชั่วหัวหงอกหลอกเจ้า
    เหวยเพชฌฆาตเอ็งเร่งเอา
    อ้ายเฒ่าไปฟันให้บรรลัย ฯ

    ๏ บัดนั้น
    องครักษ์ชักดาบก้มกราบไหว้
    จิกศีรษะมหาเสนาใน
    พาไปชายป่าพนาวัน ฯ
    ฯ เตียว ฯ

    ๏ บัดนั้น
    ราชครูผู้ใหญ่มิได้พรั่น
    ประกาศก้องร้องสั่งคนทั้งนั้น
    เรากตัญญูจึงโทษถึงตาย
    ท่านที่อยู่ดูไปเถิดไม่ช้า
    ทั้งเวียงชัยไพร่ฟ้าจะฉิบหาย
    เพราะอีผีสิงหญิงร้าย
    เราต้องตายก่อนกรรมได้ทำมา
    พอขาดคำร่ำสั่งนั่งนิ่ง
    ไม่ไหวติงตั้งอารมณ์ก้มหน้า
    เพื่อนขุนนางต่างคนขอสมา
    กลั้นน้ำตาไม่ได้ทั้งไพร่นาย ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    ฝ่ายเพชฌฆาตมาดหมาย
    ย่างสามขุมกุมดาบเดินกราย
    หมายที่ท้ายผมฟันลงทันที ฯ
    ฯ กลองเหม่งโอด ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระจอมวังคลั่งจิตด้วยฤทธิ์ผี
    ให้เลิกทัพกลับหน้าเข้าธานี
    พระชวนศรีสาหงขึ้นทรงช้าง
    นั่งในกูบทองประคองหัตถ์
    ไปเชยชมสมบัติอย่าหมองหมาง
    โลมลูบจูบกอดชวนพลอดพลาง
    เพลิดเพลินเดินทางมากลางดง ฯ

    ๏ ครั้นถึงจึงประทับเกยทอง
    พระประคองเทวีศรีหงสา
    นำดำเนินเดินเรียงเคียงองค์
    เสด็จตรงเข้ายังวังใน ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ ขึ้นบนมนเทียรเขียนผนัง
    ให้นางนั่งแท่นทองผ่องใส
    พิศวงหลงลืมปลื้มใจ
    เฝ้าลูบไล้เล้าโลมนางโฉมยง ฯ

    ๏โอ้ชาตรี น้องรัก
    ผ่องพักตร์ลักขณาศรีสาหง
    เจ้างามเหมือนเดือนแรมแจ่มวง
    ทรวดทรงพลิ้วพร้อมกล่อมกลม
    เจ้าอยู่ถึงไกรลาสวาสนา
    จำเพาะพามาพบประสบสม
    จะเล้าโลมโฉมหอมถนอมชม
    ชื่นอารมณ์ร่วมจิตสนิทใน
    อย่าเมินเมียงเอียงอายสายสมร
    จงโอนอ่อนผ่อนจิตพิสมัย
    พลางขยับจับต้องลองใจ
    นางปัดกรค้อนให้ไม่ไยดี
    พระแนบนางพลางว่านิจจาน้อง
    เฝ้าขัดข้องป้องกันผินผันหนี
    นางพลิกผลักหนักหน่วงทำท่วงที
    พระหยอกเย้าเซ้าซี้ปรีดา ฯ

    ๏ ทรงศักดิ์
    อย่ารุกรานหาญหักหนักหนา
    น้องอุตส่าห์พยายามตามมา
    จะขอเป็นเช่นข้าฝ่าละออง
    ด้วยเกินสาวคราวแก่แพ้ผม
    ไม่ควรคู่ชูชมสมสอง
    ที่รุ่นราวชาวเมืองเนืองนอง
    อันรูปร่างอย่างน้องไม่ต้องการ
    เหมือนเขาเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก
    น้ำผักต้มขมก็ชมหวาน
    เมื่อจืดจางห่างเหินเนิ่นนาน
    แต่น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวดู
    ขอสนองรองบาทเหมือนมาดหมาย
    อย่าด่วนได้ให้อายอดสู
    ราชกิจผิดชอบไม่รอบรู้
    พระภูวไนยได้เมตตา ฯ

    ๏โอ้โลม สุดสวาสดิ์
    แสนฉลาดน่ารักหนักหนา
    โฉมเฉลาชาวสวรรค์ชั้นฟ้า
    จะเป็นข้าอย่าคิดบิดเบือน
    ถึงทั้งเจ้าเฒ่าแก่แพ้ผม
    สาวพรหมจารีไม่มีเหมือน
    อย่าห่วงเหเรรวนชวนเชือน
    จงเป็นเพื่อนรักพี่ร่วมที่นอน
    ที่สาวสาวลาวตายพี่คลายรัก
    ที่เคยคู่รู้หลักไม่พักสอน
    เขาย่อมว่าปรากฏเป็นบทกลอน
    กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนงอนชด
    ได้เชยน้องสองผมสมกับพี่
    ไม่มีที่ตำหนิกะทิสด
    พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมย์รส
    เหมือนแม่มดเจ้าเข้าเมาสุรา
    รำฟ้อนอ่นโยนตีโทนรับ
    เยื้องขยับโยกย้ายซ้ายขวา
    ความอยากเหล้าเฝ้าดื่มไม่ลืมตา
    จนผีออกลอกหน้าไหว้อารักษ์ ฯ
    ฯ โลมปี่พาทย์ ฯ

    ๏ช้า บัดนั้น
    นางศรีสาหงกราบทรงศักดิ์
    แอบชะอ้อนวอนว่าสามิภักดิ์
    น้องซื่อตรงจงรักพระจักรี
    เหมือนเกือกทองรองบาทมาดหมาย
    ไม่ม้วยมอดวอดวายไม่หน่ายหนี
    แม้นขัดเคืองเบื้องหน้าจงปรานี
    อย่าฆ่าตีชีวันให้บรรลัย
    ซึ่งทรงเดชเมตตาเอามาเลี้ยง
    พระคุณเพียงแผ่นฟ้าจะหาไหน
    ซึ่งสัญญาว่าขานประการใด
    จงโปรดให้ตลอดอย่าทอดทิ้ง ฯ

    ๏ลำนำ เมื่อนั้น
    ท้าวอภัยนุราชปีศาจสิง
    นางว่าไรให้เห็นเป็นจริง
    แอบอิงพิงนางพลางพูดจา
    จะถนอมกล่อมเกลี้ยงไว้เคียงข้าง
    ไม่ละเมินเหินห่างเสน่หา
    ไม่ถือโกรธโทษทัณฑ์กัลยา
    สาวสวรรค์ขวัญตาอย่าปรารมณ์
    ร้อยปีพี่ไม่ลืมแม่ปลื้มจิต
    พลางโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนม
    เพลินพลอดกอดเกยเชยชม
    จนบรรทมระงับหลับไป ฯ
    ฯ กล่อม ฯ

    ๏ช้าปี่ ครั้นรุ่งเช้าท้าวตื่นฟื้นองค์
    ให้ลุ่มหลงปลงจิตพิสมัย
    ลืมเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน
    มิได้ว่าขานการบูรี
    ลืมเสวยเลยลืมสรงน้ำ
    พระพักตร์คล้ำดำหมองเพราะต้องผี
    ลืมโอรสธิดาลืมมาลี
    เล่นกับศรีสาหงทรงสกา
    นางแพ้เสียเบี้ยทับนับแต้ม
    ต้องเอียงแก้มถวายทั้งซ้ายขวา
    นางชนะกษัตริย์จัดจินดา
    ธำมรงค์ลงยาให้นารี ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ช้า เมื่อนั้น
    นางโฉมยงองค์พระมเหสี
    ให้ลอบดูรู้ว่าพระสามี
    ไปได้อีหญิงแก่มาแต่ไพร
    พระลุ่มหลงปลงจิตพิศวาส
    ไม่จากอาสน์คลาดนางไปข้างไหน
    ไม่ว่าขานการบำรุงกรุงไกร
    หรือท้าวไทถูกฤทธิ์กฤษยา
    ประหลาดนักจักใคร่ขึ้นไปเฝ้า
    ดูอีเจ้ายาแฝดแพศยา
    แต่เกรงท้าวคราวหลงจะสงกา
    ว่าอิจฉานางเมียจะเสียที
    จำจะใช้ให้สองหน่อนาถ
    ไปทูลราชการงานกรุงศรี
    นางนิ่งนึกตรึกตราเห็นว่าดี
    เรียกโอรสบุตรีทั้งพี่น้อง ฯ

    ๏ร่าย มานบนอบหมอบเฝ้าค่อยเล่าเรื่อง
    ความบ้านเมืองสอนสั่งเจ้าทั้งสอง
    แล้วแต่องค์ทรงเครื่องให้เรืองรอง
    ไปปรางค์ทองทูลพระชนกา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    ทั้งสององค์อภิวันท์หรรษา
    ชวนพี่เลี้ยงสาวสรรค์กัลยา
    ลีลาขึ้นเฝ้าท้าวไท ฯ
    ฯ เพลง ฯ

    ๏ ครั้นถึงจึงค่อยมองเมียง
    อยู่เพียงม่านทองสองไข
    เห็นอีเฒ่าเฝ้าอยู่ภูวไนย
    เข้าเคียงไหล่ลูบต้องกระกองกร
    ค่อยแหวกม่านคลานเคียงกันพี่น้อง
    ถึงแท่นทองสุวรรณบรรถร
    บังคมสมเด็จพระบิดร
    เห็นภูธรทำยอบหมอบเมิน ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    ท้าวไทไหลเล่อเก้อเขิน
    ออกห่างนางพลางถามตามสะเทิ้น
    มาหมอบเมินมองหน้าอยู่ว่าไร ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    สองกุมารกราบก้มบังคมไหว้
    จึงทูลว่ามาเฝ้าท้าวไท
    ด้วยอาลัยไม่แจ้งแคลงความ
    ไม่เห็นพระเสด็จออกข้างหน้า
    พวกเสนาน้อยใหญ่เข้าไต่ถาม
    ราษฎรร้อนใจดังไฟลาม
    เพราะถ้อยความมีคู่ความอุทธรณ์
    ทั้งตีกลองร้องทุกข์พลุกพล่าน
    ความโรงศาลเก่าแก่แซ่สลอน
    ไม่รู้ที่ชี้ขาดราษฎร
    ยิ่งซับซ้อนเก่าใหม่แน่นในวัง
    ผู้ชำระจะคอยทูลฉลอง
    ที่ขัดข้องต้องบังคับรับสั่ง
    เสนาในใหญ่น้อยเขาคอยฟัง
    วอนให้ข้ามาบังคมทูล ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    ท้าวไทอภัยนุราชนเรนทร์สูร
    ค่อนคลายคลั่งฟังเล่าเค้ามูล
    อนุกูลไพร่ฟ้าเสนาใน
    จึงว่าพ่อก็เป็นเหน็บเจ็บปวด
    ให้เขานวดหน้าหลังพึ่งนั่งได้
    วันนี้มีแรงจะแข็งใจ
    ออกไปไต่ถามความพารา
    แล้วเข้าที่สระสรงทรงเครื่อง
    รุ่งเรืองระยับวับเวหา
    ชวนโอรสบุตรีลีลา
    สาวสรรค์กัลยาตามคลาไคล ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ ออกห้องท้องพระโรงรูจี
    พระนั่งที่แท่นทองผ่องใส
    เห็นเสนาข้าเฝ้าท้าวไท
    คลั่งไคล้ไม่ถามความบูรี
    เคลิ้มเคล้นเห็นหน้าศรีสาหง
    ตะลึงหลงปลงจิตด้วยฤทธิ์ผี
    จึงถามว่าข้าเฝ้าเหล่านี้
    เคยมีเมียชู้เคยรู้รัก
    อันสาวแก่แม่ม่ายหลายอย่าง
    ใครรักข้างไหนจะใคร่ประจักษ์
    กูชอบแก่แม่ม่ายแยบคายนัก
    รู้หลักยักย้ายได้หลายเพลง
    ไม่พักเตือนเบือนเห็นก็เป็นได้
    รู้จักใจจำเพาะเหมาะเหม็ง
    มีเมียสาวลาวตายเหนื่อยกายเอง
    มันโก้งเก้งกูไม่พอใจคบ ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกข้าเฝ้าเจ้าชู้รู้ประจบ
    ต่างชอบแก่แม่ม่ายแยบคายครบ
    ท้าวเธอตบเพลาสรวลชวนพูดจา ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    องค์พระมเหสีเสน่หา
    รู้ว่าองค์พระเสด็จออกเสนา
    จะขึ้นไปดูหน้าอีกาลี
    จึงจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่อง
    รุ่งเรืองจำรัสรัศมี
    ชวนเหล่าสาวสรรค์ขันที
    ไปที่มนเทียรวิเชียรรัตน์ ฯ
    ฯ เพลงช้า ฯ

    ๏ร่าย ครั้นถึงจึงเผยม่านบัง
    เห็นนางนั่งบนแท่นเท้าแขนหยัด
    ดัดจริตกรีดมือกระพือพัด
    แป้งผัดหน้าขาวเหมือนจาวตาล
    หน้านิ่วคิ้วผูกจมูกยักษ์
    ไม่ควรพระจะรักสมัครสมาน
    ตาผองสองผมนมยาน
    ยังโปรดปรานประหลาดหวาดวิญญาณ์
    เห็นท่วงทีอีเฒ่าเจ้าเล่ห์
    ทำเสน่ห์ยาแฝดแพศยา
    น้อยหรือนั่งตั้งปึ่งทำขึงตา
    ไม่พูดจาจองหองจะลองทัก
    จึงเข้าใกล้ไต่ถามนางงามนี้
    นั่งร่วมที่พระองค์ทรงศักดิ์
    ทำละเมิดเพลิดเพลินเหลือเกินนัก
    ไม่รู้จักเราบ้างหรืออย่างไร
    จะขอถามนามวงศ์พงศ์เผ่า
    พวกพ้องของเจ้าเป็นชาวไหน
    ยวนลาวชาวละครหรือมอญไทย
    บอกให้รู้บ้างอย่าพรางกัน ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางผีสิงยิ่งหัวเราะเยาะหยัน
    แล้วย้อนว่าข้าเจ้าชาวสุพรรณ
    ไม่รู้ชั้นเชิงเช่นเป็นชาววัง
    ก็ตัวเจ้าเผ่าพงศ์วงศ์ไหน
    ชื่อไรไม่บอกออกมั่ง
    ข้าเคยอยู่สุวรรณบัลลังก์
    จะมาบังคับข้าว่าไร ฯ

    ๏ ได้ฟัง
    แค้นคั่งดังว่าเลือดตาไหล
    เหลือที่จะสะกดอดใจ
    มันฮึกฮักซักไซ้กลับไล่เลียง
    จึงชี้หน้าว่าแน่อีแก่แรด
    วาสนายาแฝดพูดแผดเสียง
    เห็นทรงศักดิ์รักใคร่ใกล้เคียง
    มาทุ่มเถียงลามเลียมเทียมทัด
    กูเป็นพระมเหสีเอก
    ร่วมที่ภิเษกเอกฉัตร
    มึงชาติข้ามานั่งบัลลังก์รัตน์
    เท้าแขนแอ่นหยัดดัดทรง
    เชื่อดีผีสิงอีกิ้งก่า
    พูดจาปั้นเจ๋อเห็นเธอหลง
    ขึ้นนั่งแท่นแม้นดื้อถือทะนง
    จะถีบส่งลงให้สาใจมึง ฯ

    ๏ นางเมียหลวง
    หยามหยาบจาบจ้วงหวงหึง
    มเหสีชิชะเอะอะอึง
    ขึ้นกูมึงถึงแรดแผดร้อง
    ข้ามันอีผีสิงหยิ่งเย่อ
    จึงดุดันปั้นเจ๋อจองหอง
    ริษยาว่านั่งบัลลังก์ทอง
    มาถีบลองดูเล่นก็เป็นไร
    ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง
    ที่กูจะละมึงอย่าสงสัย
    แท่นทองของพระภูวไนย
    ประทานให้ได้อยู่อย่าดูแคลน
    มิใช่ข้าอาศัยเมื่อไรเล่า
    ของเราเจ้าล่วงมาหวงแหน
    จะตีปีกฉีกแหกให้แตกแตน
    มเหเสือเหลือแสนทำแทนเธอ ฯ

    ๏ น้อยหรือ
    จะสู้มือถือดีตีเสมอ
    จองหองร้องแรกแหกกระเชอ
    ปากจะเจ่อจริงวะไม่ละมึง
    เข้าตบตีผีสิงสะบิ้งสะบัด
    ผลักพลัดตกเตียงเสียงผิง
    ร้องเรียกเหล่าสาวศรีมี่อึง
    เข้าหยิกทิ้งทุบปล้ำด้วยกำลัง ฯ

    ๏ บัดนั้น
    คนทรงผีตีต่อยไม่ถอยหลัง
    ต่างยุดยื้ออื้ออึงตึงตัง
    เสียงอึกทึกทั้งวังใน ฯ
    ฯ เชิด ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกพระมเหสีตีผลักไส
    มันกลอกลับรับรองว่องไว
    เลี้ยวไล่ล้มลุกคลุกคลี ฯ

    ๏ บัดนั้น
    ผีสิงยิ่งขยิกไม่หลีกหนี
    คนเดียวเลี้ยวตลบตบตี
    ข่วนเทวีอีบ่าวเลือดซาวไป ฯ
    ฯ เชิด ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระจอมวังคลั่งคิดพิสมัย
    เสียงอื้ออึงตึงตังที่วังใน
    เสด็จจากพระโรงชัยฉับพลัน ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ ขึ้นบนมนเทียรเขียนทอง
    เห็นหญิงแก่แซ่ซ้องสาวสรรค์
    พวกพระมเหสีตีรัน
    เข้ายืนขวางกางกั้นทันที
    พลางถามว่าอะไรมิใคร่หยุด
    อุตลุดฉุดคร่าน่าบัดสี
    ดูฮึกฮักหนักหนานางมาลี
    ประเดี๋ยวนี้ก็ได้ขัดใจจริง ฯ

    ๏โอ้ช้า บัดนั้น
    นางมารยากาลีผีสิง
    ทำร้องครางพลางฉะอ้อนวอนวิง
    พระทอดทิ้งเมียไว้ไม่นำพา
    เขามากลุ้มรุมตีหนีไม่พ้น
    เหลือทนจนชีวังจะสังขา
    จะเลยลับดับสูญขอทูลลา
    พลางโศกากอดบาทไม่คลาดคลาย ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ร่าย เมื่อนั้น
    ท้าวอภัยนุราชหวาดหวั่นขวัญหาย
    เห็นหอบรวนครวญครางจะวางวาย
    ประคองเมียเสียดายฟายน้ำตา ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    มเหสีมีแต่แผลนขา
    เจ็บแสบแทบจะมรณา
    ยิ่งโมโหโศกาพาที
    พระองค์จงแลดูแผลน้อง
    แขนขนองเลือดซับดังสับสี
    ทั้งคางคิ้วริ้วรอยมันต่อยตี
    ร้ายกาจชาติฝีมือมีพิษ
    ฉะครางร่ำสำออยน้อยหรือนั่น
    ไหนตัวมันมีแผลแต่สักหนิด
    พระหลงเชื่อเสือเฒ่าเจ้าความคิด
    ไม่พินิจผิดชอบเฝ้าปลอบมัน
    แม้นครั้งนี้มิเลี้ยงตามเยี่ยงอย่าง
    จะเข้าข้างอีแก่แปรผัน
    พระองค์จงพิฆาตฟาดฟัน
    ให้ข้านี้ชีวันวางวาย
    แม้นเอ็นดูอยู่ว่าเป็นข้าเก่า
    โทษอีเฒ่าหัวเสือเหลือหลาย
    ขอใส่บททดแทนที่แสนร้าย
    อย่าให้อายอดสูชาวบูรี ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ ทรงฟัง
    ยิ่งแค้นคั่งว่าเหม่มเหสี
    ไม่ยำเยงเกรงผัวตัวดี
    มารุมตีเมียข้าด่าทอ
    ยังจะเอาเขาไปใส่บท
    ตั้งกฎโกงไว้ศาลไหนหนอ
    แม้นชำระจะยับต้องปรับพอ
    เบี้ยรุกเบี้ยก่อหมอความ
    ที่โทษตัวชั่วช้าไม่ว่ามั่ง
    ทำลำพังใจเองไม่เกรงขาม
    ชอบเอาบ่าวข้าที่มาตาม
    เฆี่ยนถามสามยกผ่าอกมัน
    ยังไม่ไปให้พ้นบ่นบ้า
    ประเดี๋ยวนี้ชีวาจะอาสัญ
    อีผีสิงยิ่งครางไม่ห่างกัน
    เฝ้านวดฟั้นฟกช้ำลูบคลำไป ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    นางกษัตริย์ขัดข้องไม่ผ่องใส
    เห็นสามีวิปริตผิดใจ
    นางครวญคร่ำร่ำไรโศกา ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏โอ้ช้า โอ้ว่าพระองค์ทรงศักดิ์
    ช่างลุ่มหลงปลงรักมันหนักหนา
    เสียแรงน้องรองบาทไม่คลาดคลา
    ต้องต่ำต้อยน้อยหน้าอีกาลี
    เหมือนละลดยศศักดิ์อัคเรศ
    จงห้ำหั่นบั่นเกศเกศี
    ไม่ขออยู่ดูหน้าชาวธานี
    ชาตินี้มีกรรมก็จำตาย
    ต้องกริ้วกราดคาดโทษโกรธแค้น
    สุดแสนอดสูไม่รู้หาย
    ร่ำพลางนางทุ่มทอดกาย
    ฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ร่าย บัดนั้น
    นางศรีสาหงเห็นหลงใหล
    แสร้งฉะอ้อนวอนพระภูวไนย
    ขอลาไปสู่ป่าพนาวัน
    อยู่ในวังดังไฟใกล้ฝอย
    จะตบต่อยตีด่าให้อาสัญ
    เขาเขม่นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
    ชุ่ยฉันนั่นแน่พระแลดู ฯ

    ๏ ฟังยุ
    พระพลอยดุเดือดว่าน่าอดสู
    กูเห็นแน่แก่ตาต่อหน้ากู
    แขนชูชุ่ยนางทำอย่างนี้
    คอยเขม่นเข่นเขี้ยวเจียวอุเหม่
    เจ้าโมโหโวเว้มเหสี
    ไม่ยำเยงเกรงกลัวถือตัวดี
    ประเดี๋ยวนี้ก็ได้ถูกไม้เรียว ฯ

    ๏ ทูลเกล้า
    พ่อเจ้าประคุณอย่าฉุนเฉียว
    ช่างเชื่ออีผีสิงจริงเจียว
    เห็นชุ่ยเห็นเข่นเขี้ยวคอเดียวกัน
    ฉะหนักหนอตอแหลอีแก่แรด
    ทำออดแอดอ้อนวอนผ่อนผัน
    มิยำเยงเกรงองค์พระทรงธรรม์
    จะเอาฟันออกจากปากมึง
    จะข่มขู่กูนั้นอย่ามั่นหมาย
    ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง
    เฝ้าแต้มเติมเหิมฮึกลึกซึ้ง
    ไม่แคล้วแล้วมึงแมวพึ่งพระ ฯ

    ๏ แม่เจ้า
    จะทำไมทำเข้าเอาซินะ
    เข้าเคียงนางพลางว่ามาแล้วคะ
    จะตบจะต่อยทำตามลำพัง ฯ

    ๏ เหลือกลัว
    นางจิกหัวตบตีหน้าที่นั่ง
    อีผีสิงยิ่งร้องก้องดัง
    ตาทั้งสองบอดทุ่มทอดกาย ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    ท้าวไทได้กราดฟาดโฉมฉาย
    โมโหมาตามัวหวดขรัวยาย
    ตีรายร้องอึงคะนึงไป ฯ
    ฯ เชิด ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    มเหสีหนีออกข้างนอกได้
    พาเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน
    กลับไปปรางค์มาศปราสาททอง ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระภูธนร้อนรนหม่นหมอง
    พยุงนางวางเตียงเคียงประคอง
    พลางถามว่าตาน้องเป็นอย่างไร ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางผีสิงยิ่งทำร่ำไห้
    ปวดนักจักขุปะทุไป
    แกล้งพิไรคางร้องกุมสองตา ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระจอมวังฟังนางครางนักหนา
    เร็วเร็วเข้าเถ้าแก่บอกเสนา
    ให้ผูกคอหมอมาอย่าช้าที ฯ

    ๏ บัดนั้น
    เถ้าแก่ประณตบทศรี
    ไปเร่งสั่งข้างหน้าหาหมอดี
    อยู่ที่ไหนไหนไปเอามา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    กรมวังทั้งหลายซ้ายขวา
    ไปเที่ยวผูกคอหมอยาตา
    ได้มาพาเข้าเฝ้าเจ้านาย ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    จอมกษัตริย์ตรัสสั่งหมอทั้งหลาย
    ให้รักษายาใส่แม้นไม่คลาย
    ถูกถองเฆี่ยนเจียนตายหลังลายไป ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางศรีสาหงเห็นหลงใหล
    ทำมารยาว่ากล่าวกับท้าวไท
    เพื่อนที่ไกรลาสมาเมื่อราตรี
    เขาบอกว่าถ้าพระองค์จงรัก
    ให้ควักเนตรพระมเหสี
    เอามาใส่นัยน์ตาข้านี้
    จะเห็นดีเหมือนดังแต่หลังมา

    ๏ ทรงฟัง
    กำลังคลั่งรักหนักหนา
    จึงว่าบุญแล้วเจ้าแก้วตา
    เทวาบอกความให้ทรามวัย
    อีทิพมาลีมันตีน้อง
    จนจักขุพุพองเป็นหนองไหล
    โทษหนักจักทำให้หนำใจ
    ควักตามาใส่ให้เทวี
    แม้นโฉมฉายหายแน่แลเห็น
    จะให้เป็นที่พระมเหสี
    ว่าพลางย่างเยื้องจรลี
    ออกนั่งที่แท่นโถงพระโรงใน ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ ตรัสเรียกกรมวังมาสั่งว่า
    โทษอีมาลีหนักถึงตักษัย
    ตีเมียรักจักขุปะทุไป
    จะควักตามาใส่ให้นงลักษณ์
    ตัวมันนั้นส่งเป็นโขลนจ่า
    ริบหมดยศถาบรรดาศักดิ์
    จะคอยเอาเข้ายาอย่าช้านัก
    ไปควักลูกตามาไวไว ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    กรมวังบังคมประนมไหว้
    กับท้าวนางต่างพากันคลาไคล
    ตรงไปปรางค์ปรานางมาลี ฯ
    ฯ เชิด ฯ

    ๏ ครั้นถึงจึงทูลนงลักษณ์
    สั่งให้ควักแก้วตามารศรี
    ริบหมดลดถอดเทวี
    เป็นที่โขลนใช้อยู่ในวัง ฯ

    ๏ ได้ยิน
    สุดสิ้นสติตะลึงนั่ง
    เขาฉุดองค์ลงจากบัลลังก์
    กรมวังพร้อมพรักจะควักตา
    นางอ้อนวอนว่าช้าสักหน่อย
    ตะโกนเรียกลูกน้อยเสน่หา
    องค์พระอนันต์นางวรรณา
    วิ่งมากอดองค์พระชนนี ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    ท่านท้าวนางต่างว่ามารศรี
    จะรอช้าข้าเจ้าเหล่านี้
    จะมีโทษทัณฑ์อันตราย
    กรรมของพระแม่แน่นัก
    สุดที่จักแก้ไขให้หาย
    พลางผูกหัตถ์มัดเงื่อนไม่เคลื่อนคลาย
    เจ้าขรัวนายสั่งให้ควักนัยน์ตา ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    มเหสีชีวังจะสังขา
    สงสารพระอนันต์นางวรรณา
    โศกาครวญคร่ำรำพัน ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏โอ้ปี่ โอ้ลูกแก้วแววตาของแม่เอ๋ย
    แม่เคยเลี้ยงถนอมจอมขวัญ
    อยู่กับเจ้าเช้าเย็นได้เห็นกัน
    ครั้งนี้ชีวันจะบรรลัย
    ทั้งสององค์จงจำคำสั่ง
    คอยระวังกายาอัชฌาสัย
    แม้นขับหนีตีโบยต้องโพยภัย
    พากันไปพึ่งพระอัยกา
    แม้นเลี้ยงดูอยู่ดีทั้งพี่น้อง
    จงปกป้องครององค์ไร้วงศา
    ฝ่ายน้องรักภักดีฝ่ายพี่ยา
    พ่ออย่าด่าตีน้องจงครองกัน
    แม่นี้ชีวิตไม่รอดแล้ว
    จะคลาดแคล้วแก้วตาม้วยอาสัญ
    จะเกิดไหนให้สองพี่น้องนั้น
    ได้กำเนิดเกิดครรภ์ของมารดร
    แล้วฝากฝังทั้งปวงข้าหลวงใหญ่
    แม้นหน่อไทผิดพลั้งช่วยสั่งสอน
    สงสารลูกผูกใจอาลัยวอน
    สะอื้นอ้อนโศกาอาลัย ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ร่าย เมื่อนั้น
    พระพี่น้องสองราน้ำตาไหล
    กันแสงพลางต่างกอดพระแม่ไว้
    มิให้ผู้ใดควักนัยน์ตา
    แล้วร้องว่าฆ่าเรานี้เสียด้วย
    จะสู้ม้วยชีวังสังขา
    แม้นไม่ประหารผลาญชีวา
    ไม่ให้นัยนาชนนี ฯ

    ๏ บัดนั้น
    ท้าวนางต่างประคองสองศรี
    ค่อยผันผ่อนวอนว่าพาที
    ขัดขวางอย่างนี้มีโทษทัณฑ์
    ถ้าเพ็ดทูลฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด
    ต้องรับราชอาชญาอาสัญ
    แม้นพี่น้องสองราพากัน
    ไปทูลขอโทษทัณฑ์พระมารดา
    ถ้าออกโอษฐ์โปรดให้ไม่ม้วย
    ได้ช่วยชนนีดีหนักหนา
    จะรอรั้งยังไม่ควักนัยน์ตา
    ทั้งสององค์จงพากันคลาไคล ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระพี่น้องสองทรงกันแสงไห้
    สวมสอดกอดองค์พระแม่ไว้
    ครวญคร่ำร่ำไรโศกา ฯ

    ๏โอ้ปี่ โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย
    พระองค์เคยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา
    แม้นพระชนนีสิ้นชีวา
    ลูกยาจะอยู่กับผู้ใด
    พระบิตุรงค์หลงเมียเสียแล้วจ้ะ
    จะเหมือนพระชนนีลูกที่ไหน
    จะอดอยากยากเย็นจะเห็นใคร
    ลูกเปลี่ยวใจไม่อยู่จะสู้ตาย
    ใครใครไปทูลเถิดว่าข้า
    สงสารมารดาไม่รู้หาย
    ถ้าแม้นว่าตาบอดคงวอดวาย
    จะขอตายด้วยพระชนนี
    จะทูลขอก็เห็นจะไม่ให้
    แค้นใจน้อยหน้าอีทาสี
    อย่าช้าอยู่ผู้รับสั่งทั้งนี้
    เร่งฆ่าตีชีวันให้บรรลัย
    พระแม่จ๋าอย่าอยู่เลยพูคะ
    ตายเถิดจ้ะประเสริฐไปเกิดใหม่
    ลูกดูแม่แลดูลูกผูกใจ
    สะอื้นให้ไม่วายฟายน้ำตา ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ร่าย บัดนั้น
    กรมวังทั้งขรัวนายซ้ายขวา
    สงสารคำรำพันจำนรรจา
    ต่างปรึกษาว่าจะทำกระไร
    หน่อกษัตริย์ขัดขวางอย่างนี้
    ไม่รู้ที่จะควักจักขุได้
    จะฉุดลากพรากเธออำเภอใจ
    ก็เกินไปไม่ควรลวนลาม
    เหมือนหลบลู่ดูถูกลูกหลวง
    ลามล่วงจ้วงจาบหยาบหยาม
    ที่ขัดข้องต้องทูลมูลความ
    สุดแต่ตามจะโปรดโทษทัณฑ์
    ปรึกษาพลางทางพากันมาเฝ้า
    ก้มเกล้ากราบกลัวตัวสั่น
    ทูลถามตามจริงทุกสิ่งอัน
    กล่าวโทษพระอนันต์นางวรรณา ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ ได้ฟัง
    ค่อยคลายคลั่งยังรักหนักหนา
    ไหนลูกกูอยู่ไหนทั้งสองรา
    กับแม่มันนั้นพามาไวไว ฯ

    ๏ บัดนั้น
    กรมวังฟังตรัสกราบไหว้
    ต่างวิ่งมาหาสองหน่อไท
    จูงไปทั้งองค์นงเยาว์ ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    มเหสีวิโยคโศกเศร้า
    เห็นคลายโกรธโทษทัณฑ์บรรเทา
    คลานเข้าไปกราบกับบาทา ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏โอ้ปี่ โอ้พระผ่านเกล้าเจ้าประคุณ
    เคยพึ่งบุญอุ่นเกศเกศา
    แต่รุ่นราวสาวหนุ่มคุ้มชรา
    ไม่ข้องขัดอัชฌาพระสามี
    มาเกิดเข็ญเป็นเคราะห์เพราะวิวาท
    ให้ขุ่นเคืองเบื้องบาทบทศรี
    เพราะเบาจิตผิดพลั้งครั้งนี้
    พระภูมีจงโปรดยกโทษทัณฑ์
    ถ้าแม้นควักจักขุปะทุบอด
    เหมือนม้วยมอดชีวาอาสัญ
    จงโปรดไว้ให้มีชีวัน
    อยู่เลี้ยงเจ้าอนันต์กับวรรณา
    พระองค์จงคิดถึงเมียมั่ง
    มาไกลทั้งบิตุรงค์วงศา
    พระชุบย้อมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา
    ไม่นิราศคลาดคลาฝ่าธุลี
    ถึงมิเลี้ยงเคียงองค์พระทรงเดช
    ใช้เช่นเป็นวิเสทโรงสี
    สะอื้นอ้อนวอนว่าพระสามี
    โศกีกอดบาทไม่คลาดคลา ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ร่าย ฟังวอน
    กระกองกรแก้มัดหัตถา
    ค่อยคลายคลั่งนั่งเคียงขอสมา
    ให้คงว่าที่พระเสาวนีย์ ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางศรีสาหงรู้เพราะหูผี
    ทำครางร้องมองมาเตือนสามี
    ไม่ปรานีน้องบ้างหรืออย่างไร
    จะขอแก้วแววตาทำยายอด
    ให้หายบอดชื่นแช่มแจ่มใส
    พลางเคียงเข้าเป่ามนต์ให้ดลใจ
    พระกลับคลั่งสั่งให้ควักนัยน์ตา ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    กรมวังฟังตรัสผูกหัตถา
    จะจูงไปให้ห่างนางพญา
    ร้องทูลอ้อนวอนว่าจาบัลย์ ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏โอ้ร่าย โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว
    โปรดแล้วกลับฉุนหุนหัน
    แม้นเนตรน้องต้องประสงค์ทรงธรรม์
    ถึงชีวันบรรลัยไม่เสียดาย
    จะควักไปให้อีผีสิง
    น้อยหน้าจริงเจ็บใจไม่รู้หาย
    ถึงแสนชาติคลาดแคล้วเกิดแล้วตาย
    ไม่เคลื่อนคลายวายแค้นแสนทวี
    พระองค์สงสารกับบุตรบ้าง
    จะอ้างว้างทั้งสองหมองศรี
    เห็นกับพระชนกชนนี
    ได้ฝากฝังครั้งนี้ขอชีวี
    ไว้ชีวิตคิดมั่งสักครั้งหนึ่ง
    อย่ามึนตึงขึ้งโกรธโปรดเกศา
    เขาลากฉุดหยุดยั้งรั้งรา
    สะอื้นอ้อนวอนว่าโศกาลัย ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏โอ้ช้า เมื่อนั้น
    พระพี่น้องสองราน้ำตาไหล
    กราบบิดรวอนทูลท้าวไท
    พระบิตุรงค์จงได้โปรดปราน
    ถึงแม้นพระมารดาตาบอด
    จะม้วยมอดมั่นคงน่าสงสาร
    ลูกเปล่าใจไร้พงศ์วงศ์วาน
    ขอประทานโทษพระชนนี
    มิโปรดเกล้าเอาลูกฆ่าเสียด้วย
    ไม่ขออยู่สู้ม้วยไปเป็นผี
    เห็นสุดคิดบิดาไม่พาที
    ต่างโศกีกลิ้งเกลือกเสือกกาย
    ฯ โอด ฯ

    ๏ ฟังวอน
    พระทัยอ่อนอาลัยจิตใจหาย
    สมประดีมีมั่งคลั่งคลาย
    กลับเสียดายกัลยาอาลัย
    เรียกตำรวจเหวยพากลับมานี่
    ครั้นอีผีเป่าองค์เคลิ้มหลงใหล
    กลับเคืองขัดตรัสว่าพามาไย
    เอาตัวไปควักตาเสียอย่าฟัง ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    พวกโขลนจ่าว้าวุ่นรุนหน้าหลัง
    ฉุดคร่าพานางไปกลางวัง
    พระลูกทั้งสองวิ่งเข้าชิงไว้
    พวกท้าวนางต่างเหนี่ยวหน่อกษัตริย์
    กอดกระหวัดไว้สิ้นดิ้นไม่ไหว
    ต่างผูกมัดรัดองค์อรไท
    ยุดไว้ให้ตึงตรึงตรา
    แล้วแขวะควักจักขุเลือดพุพลุ่ง
    นางสะดุ้งร้องกรีดหวีดผวา
    เอาพานทองรองแก้วแววตา
    นางพญาเสือกซบสลบลง ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระหน่อไททั้งสองร้องเสียงหลง
    เขาละวางต่างชิงกันวิ่งตรง
    เข้าสวมสอดกอดองค์ชนนี
    เห็นเลือดนองสองตาซ้ายขวาบอด
    ระทวยทอดทุ่มอกชกเกศี
    สงสารแม่แน่นิ่งยิ่งโศกี
    ครวญคร่ำร่ำพิรี้พิไรไป ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏โอ้ปี่ โอ้สงสารมารดาตาบอด
    เลือดยังฟอดฟูมโซมชโลมไหล
    ช่วยไม่ทันมันฉุดยุดไว้
    ไม่เห็นใจเจ้าคุณสิ้นบุญแล้ว
    ลูกแลเหลียวเปลี่ยวจิตสุดคิดอ่าน
    สิ้นวงศ์วานว่านเครือเชื้อแถว
    จะเกิดอื่นหมื่นชาติอย่าคลาดแคล้ว
    ให้ลูกแก้วเกิดครรภ์พระมารดร
    ได้เคยเห็นเย็นเช้าเจ้าประคุณ
    พระการุญรับขวัญรำพันสอน
    ถนอมเลี้ยงลูกยาไม่อาทร
    จะนั่งนอนเป็นสุขทุกเวลา
    ลูกจะใคร่ได้ม้วยด้วยพระแม่
    สงสารแต่น้องรักหนักหนา
    พลางสวมกอดพลอดกันจำนรรจา
    แม่วรรณาหนะม้วยเสียด้วยกัน
    ขนิษฐาว่าจ้ะจะตายด้วย
    เป็นเพื่อนม้วยช่วยพาฉันอาสัญ
    แล้วพี่น้องสองราร่ำจาบัลย์
    สะอื้นอั้นอ่อนซบสลบไป ฯ
    ฯ โอด ฯ

    ๏ บัดนั้น
    หลวงแม่เจ้าเถ้าแก่เข้าแก้ไข
    ขรัวนายนั้นพรั่นตัวกลัวภัย
    เชิญพานใส่แก้วตารีบมาพลัน ฯ
    ฯ เสมอ ฯ

    ๏ ครั้นถึงจึงประคองพานทองตั้ง
    ถนอมพระจอมวังนรังสรรค์
    แล้วทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน
    สามองค์นั้นแน่นิ่งไม่ติงองค์ ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    ท้าวไทได้ของต้องประสงค์
    ยกพานไปในห้องทองผจง
    ตั้งให้ศรีสาหงนงลักษณ์ ฯ
    ฯ เจรจา ฯ

    ๏ บัดนั้น
    นางสาหงทรงผียินดีนัก
    ทำเสกใส่นัยน์ตาฤทธิ์อารักษ์
    ให้ท้าวเห็นเป็นจักขุคืนดี ฯ

    ๏ เมื่อนั้น
    พระจอมวังนั่งชมนางโฉมศรี
    มาพบเห็นเป็นเมียมิเสียที
    ได้เทวีชาวสวรรค์ชั้นฟ้า
    พระเนตรน้องสองข้างสว่างแล้ว
    ดูผ่องแผ้วผิวพักตร์นวลหนักหนา
    พลางกอดเกี้ยวเกลียวกลมภิรมยา
    จนโพล้เพล้เวลาราตรี ฯ
    ฯ โลมปี่พาทย์ ฯ





    เว็บนี้เหมาะสำหรับเปิดในเบาเซอร์
    Chrome,Firefox
    ขอบคุณธีมตกแต่ง G Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×