คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผู้แต่งชอบกินเฉาก๊วยมาก อยากรู้ว่าใครเป็นคนประดิษฐ์เฉาก๊วย จะส่งถ้วยรางวัลไปให้
สมชายเบื่อชื่อของตัวเองมาก มันเป็นชื่อที่แสดงถึงความสิ้นคิดของบุพการีผู้เลือกสรรอย่างเห็นได้ชัด หากสมชายมีเครื่องย้อนเวลาสิ่งแรกที่เขาจะทำคือย้อนกลับไปบอกชื่อที่เขาต้องการให้กับพ่อของเขา ซึ่งเขายังไม่รู้หรอกว่าชื่ออะไรแต่เขาก็นึกไว้ในหัวบ้างเวลาว่าง พออายุถึงเกณฑ์เมื่อไหร่เขาจะรีบไปเปลี่ยนที่อำเภอทันที
“สมชาย” อาจารย์เรียกเขาซ้ำ เขวี้ยงเขาด้วยแปรงลบกระดานแต่เขายังคงฟุบหลับอยู่ อาจารย์อรภาเกลียดนักเวลาใครกล้าทำอะไรผิดระเบียบในคาบของแก อาจารย์เดินเข้าใกล้โต๊ะเรียนของสมชายช้าๆ ทั้งห้องเรียนเงียบกริบด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงสีดำของอาจารย์อรภา สมชายลุกขึ้นตื่นเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระแทกโต๊ะดังมาก
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูก็เห็นดาบซามูไรเล่มยาวปักอยู่เบื้องหน้าห่างจากผมรองทรงของสมชายไม่ถึงคืบ มือของอาจารย์กำด้ามดาบแน่น ดวงตาแฝงไปด้วยความแค้นที่สะสมไว้นับปี ทุกครั้งที่นักเรียนหลับในห้องเรียนอาจารย์อรภาจะลงโทษด้วยการตัดนิ้วของนักเรียนที่หลับครั้งละนิ้วเพื่อให้รู้สำนึกว่ายุคของอาจารย์อรภาจะไม่ผลิตอาชญากรออกไปสู่สังคมภายนอก
ตาของทั้งสองจ้องกันโดยไม่พูดอะไร ในที่สุดสมชายก็เปิดการสนทนา “ถ้าจะมีเรื่องกับผม รอมีดผมตื่นก่อน มันยังหลับไม่ได้ที่” อาจารย์อรภาขำเหมือนที่ในหนังจีนชอบทำ “เห็นเสาธงหน้าโรงเรียนไหม” อาจารย์อรภาบอก สมชายหันไปมอง ข้างๆเสาธงชาติมีเสาหนึ่งตั้งอยู่ซึ่งเขาอยู่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้มาสี่ปีแล้วยังไม่รู้ว่ามันตั้งไว้เพื่ออะไร
“ฉันจะตัดหัวเน่าๆของแกไปเสียบประจานที่เสาต้นนั้นแล้วเอาเลือดของแกไปให้เป็ดกิน” สมชายหันไปมองหน้าอาจารย์ แล้วถามว่า “อาจารย์มีหมวกใบโปรดรึเปล่าครับ” สมชายยิ้มข่มขู่ขณะที่อาจารย์ไม่สะทกสะท้าน
“หมวกใบโปรดมันเกี่ยวอะไร” อาจารย์อรภาถามย้อน รอยยิ้มเผยที่มุมปากของสมชาย “เพราะอาจารย์คงจะไม่มีหัวที่จะใส่มันอีกต่อไปยังไงล่ะ” สมชายคว้ามีดโกนจากกระเป๋า กวาดมันโดยเล็งไปที่ลำคอของอาจารย์ แต่อาจารย์ไหวตัวทันเงื้อดาบขึ้นปัดป้อง แม้มีดโกนจะไวและคล่องตัวแต่สู้น้ำหนักของดาบชินิคามิไม่ได้ เพื่อนโต๊ะข้างๆถอยห่าง หลายคนเริ่มตะโกนเชียร์ คมมีดทั้งสองปะทะกันจนเกิดประกายไฟ
ทั้งสองต่างออกแรงอย่างไม่ลดละ อาจารย์อรภาใช้ส้นสูงถีบหน้าแข้งของสมชายอย่างจังจนทำให้เขาเสียหลัก อาจารย์ตวัดดาบใส่ต้นคอแต่สมชายก้มหลบได้และกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียดเมื่อดาบตวัดกลับมาอีกครั้งหมายจะฟันต้นขาของเขา
สมชายถอยตั้งหลักบนโต๊ะเรียน มีดโกนที่มือซ้ายหาจังหวะที่อาจารย์เผลอ มันอยากซดเลือดของอาจารย์ที่ให้เกรดศูนย์แก่เจ้าของของมันมาตลอดมัธยมต้น
อาจารย์อรภาหยิบแว่นกรอบทองขึ้นสวม มันเป็นแว่นแห่งสัจธรรม ทำให้ผู้สวมใส่สามารถรับรู้ถึงความกลัว ความเจ็บปวด ความระแวงในทุกการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม มืออาชีพอย่างสมชายไม่พลาดท่าปล่อยให้อารมณ์มาทำให้การออกอาวุธของเขาผิดพลาดหรอก
อาจารย์เดินไปมาอย่างค่อยเป็นการคุมเชิง หากพลาดไปแม้แต่วินาทีหมายถึงความเป็นความตาย เธอยิ้มเยาะมายังสมชาย เขาก้มดูสภาพของตัวเอง บาดแผลที่ต้นขา ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สมชายกำหนดลมหายใจ เขาจะต้องได้เตรียมในการจู่โจมครั้งนี้ อย่าปล่อยให้แว่นจับเขาได้ว่าเขาคิดอะไร เขานึกถึงเพลงของ ร.ด. แด้นซ์ ของวงพาราด็อกซ์ในหัวเพื่อสะกดความคิด มือของอาจารย์เริ่มมีปฏิกิริยา การคุมเชิงจะหมดความสนุกสำหรับเธอในไม่กี่อึดใจ เธอจะออกแรงสุดตัว และเธอจะพลาด
เขาไม่เผลอยิ้มในความคิดแม้จะรู้สึกอยาก เขาเองก็พร้อมเหมือนกัน สมชายนับหนึ่งถึงสาม นิ้วกำมีดโกนในท่าที่เหมาะมือ ดวงตาคำนวณสิ่งที่จะเกิดขึ้น เสียงปืนดังขึ้น ร่างของสมชายล้มลง โต๊ะและเก้าอี้กระจายออกตามแรงที่ถูกส่งจากร่างที่สมชายเสียการควบคุม เขารู้สึกร้อนที่หน้าอก เลือดสีแดงไหลรินแต่มันไม่ใช่เลือดของอาจารย์อรภา ดวงตาของเขามองพัดลมบนเพดานที่ปั่น ภาพเริ่มพร่ามัว หัวใจของเขาเต้นช้าลงจนเขาแทบอาเจียน ผ.อ. เดินมาหยุดตรงหน้าของเขา ปืนที่มือขวาเล็งมาทางสมชาย เขาพยายามอ้าปากห้ามแต่เสียงปืนทำให้ทุกสิ่งเงียบไป
สมชายลืมตาขึ้นมาพบกับหญิงสาวที่ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน หน้าตาเธอออกจีนๆปนฝรั่งหน่อย ผิวขาวใส จมูกโด่งสวย เธอตบหน้าเขาแล้วตะโกนซ้ำๆว่า “ตื่นได้แล้วไอ้โง่” สมชายคาดว่าตัวเขาน่าจะโดนตบมาสิบกว่าครั้งแล้วเพราะสิ่งแรกที่รู้สึกได้หลังจากลืมตาคืออาการชาที่แก้มซ้าย
เธอยั้งมือเมื่อเห็นว่าสมชายตื่นแล้ว มือของเขาสัมผัสบริเวณที่เคยเป็นรอยกระสูนแต่แผลกลับสมานจนเกือบหายดีแล้ว “น้องชื่ออะไรครับ” สมชายถาม หญิงสาวหันมามอง ทั้งสองสบตากัน สมชายอยากหยุดเวลานี้ไว้ตลอดกาล เธอทำหน้าเขินแล้วยิ้มให้อย่างสุภาพและพูดว่า “ป้ายชื่อก็มีหัดอ่านซะบ้างนะไอ้โง่ มัวแต่หาเรื่องตีชาวบ้านเลยอ่านหนังสือไม่ออกใช่ไหมล่ะ แหม โง่เหมือน___ ไอ้___ แม่แกเป็นหนูแฮมสเตอร์ พ่อแก_________ ชู้พ่อแก____________ ส่วนแกมัน_________เลวและ___ ไอ้โง่” สรุปจากป้ายชื่อแล้วน้องคนนั้นชื่ออุ้ม น่าจะเป็นพยาบาลอาสาของโรงเรียน เธองอนเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกไป สมชายเป็นคนไม่ละเอียดอ่อนมาแต่ไหนแต่ไร เป็นความผิดของเขาที่ไม่ใส่ใจความรู้สึกของผู้หญิงเรียบร้อย เป้าหมายในชีวิตของเขาในตอนนี้คือหาเรื่องเจ็บตัวให้มากที่สุดเพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้พยาบาลคนนั้นอีกครั้ง
สมชายเดินกลับเข้าชั้นเรียน ยังเจ็บแผลอยู่เล็กน้อยแต่เคยเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าการโอดโอยนั้นลดระดับความเท่ลง เมื่อก้าวขาเข้าชั้นเรียนทุกคนต่างพากันโห่ชื่นชมวีรกรรมของสมชาย เสียงตะโกนจากพวกผู้ชายจะดังหน่อย “โคตรเจ๋งเลยว่ะ” “สุดยอด” “ยืมตังหน่อยดิ” แม้จะเพิ่งเปิดเทอมวันแรกและไม่รู้จักกันดีแต่สมชายก็รู้สึกตื่นเต้นที่เพื่อนในชั้นมองว่าเขาเจ๋งและสุดยอดและมีเงินให้ยืม อาจารย์ใช้ค้อนไม้ทุบโต๊ะเพื่อให้นักเรียนเงียบลง
สมชายนั่งลงบนที่นั่งของตัวเองแล้วฟุบหลับ เพื่อนโต๊ะข้างเคียงหาจังหวะที่อาจารย์ไม่สนใจเพื่อสะกิดสมชาย “เราชื่อหมอกนะ” สมชายพยักหน้าทั้งที่ยังหลับอยู่ “วิทยายุทธนายโคตรเจ๋งเลยอ่ะ จริงๆ สุดยิดมาก ทุกคนอยากรู้จักนายมากเลยนะ” เสียงค้อนไม้ทุบโต๊ะดังอีกครั้งทำให้หมอกต้องกลับเป็นท่าตั้งใจเรียนอีกครั้ง
สมชายถามโดยไม่เงยหน้าขึ้น “นี่คาบอะไร” หมอกกระซิบตอบ “คาบสังคมของอาจารย์ระเบียบ อาจารย์คนนี้ใจดี” เสียงอาจารย์พูดถึงระเบียบในการเรียนซึ่งเป็นธรรมเนียมในการสอนครั้งแรก “...ใครคุยในห้องเรียน ตัดลิ้น ใครไม่ส่งการบ้าน ตัดมือข้างหนึ่ง ใครหลับในห้องเรียน ตาย...” หมอกหันไปกระซิบกับสมชายในจังหวะที่อาจารย์ไม่ใส่ใจ “ทำไมเอ็งนอกกระแสจริง กล้าหลับในห้องเรียนด้วย ไม่กลัวอาจารย์ลงโทษเหรอ” สมชายยิ้มในท่าฟุบทำให้หมอกไม่เห็นประกายความชั่วร้าย “ก็อยากรู้ว่าการลงโทษมันจะแน่สักแค่ไหน”
หลังจากการบ่นยาวนานก็ถึงเวลาพัก หมอกพาสมชายไปรู้จักกับเพื่อนในห้อง นี่คือสิ่งที่สมชายได้เรียนรู้จากการพูดคุยกันครั้งแรก การันต์มีพ่อเป็นสุลต่าน ชื่อเล่นจริงๆของมันเป็นชื่อเครื่องบินรบของอเมริกาแต่ทั้งห้องมีชื่อเล่นไทยหมดมันเลยไม่อยากนอกกระแส บ้านมันรวยมาก มีนางสนมเป็นร้อยคน พ่อมันคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้ สมชายได้นามบัตรของมันมา เขียนว่า ’พ่อเป็นสุลต่าน มีบ้านเป็นพันหลัง มีเครื่องบินเป็นร้อยลำ มีฐานทัพนิวเคลียร์’ ปืนเป็นคนใส่แว่น ถึงมันจะพูดอะไรมีสาระหลักการแต่สมชายก็ยังนึกออกอย่างเดียวว่ามันใส่แว่น แว่นหนาๆดำๆจากท็อปเจริญ ตอนเด็กสมชายเคยโดนแว่นตาว่ายน้ำเกี่ยวขนตา มันเจ็บมาก ต้องไปเอาส่วนที่ติดออกที่โรงพยาบาล ผู้หญิงที่สมชายเจอที่โรงพยาบาลก็ใส่แว่นเหมือนกัน แต่เป็นแว่นที่น่ารักกว่านี้ สมชายจำทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้ ยกเว้นสีแว่นกับชื่อของเธอ ธามเป็นคนที่จะต้องมีการแสดงออกรุนแรงเป็นพิเศษทุกครั้งที่ทำอะไรสักอย่างทำให้ดูเข้าถึงง่ายและโรคจิต ธามชอบวงไปส่งกู บขส ดู๊และเทเลอร์ สวิฟท์ เทเลอร์ สวิฟท์สุดยอดมาก ธามบอกว่ามันเขียนนิยายอะไรสักอย่างในเว็ปเด็กดีที่สมชายฟังกี่รอบก็จำชื่อไม่ได้ จนธามด่าว่าโง่และมีสมองไว้คั่นหูและควรลองหาหญ้ามาทานเหมือนวัวโง่แถวอินเดียและโง่
สมชายเหลือเวลาพักสามสิบนาทีหลังจากโดนธามด่า สมชายรีบลงไปที่โรงอาหารและสั่งก๋วยเตี๋ยวไก่ที่ร้านประจำที่อุดหนุนมากว่าสามปี บอกว่าขอติดค่าก๋วยเตี๋ยวไว้ตามเดิม ลุงแกบอกสมชายติดค่าก๋วยเตี๋ยวไว้รวมสามปีสองหมื่น ไม่จ่ายก็อย่ามากินอีก สมชายบอกขอครั้งนี้ครั้งเดียวตอนนี้เงินไม่พอ ลุงแกบอกอยากกินฝีเท้าเจ้าของร้านใช่ไหม ลุงแกพูดอย่างนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้วสมชายเลยนึกว่าแกพูดเล่น ลุงเจ้าของร้านเดินไปหลังที่หลังร้าน ท่าทางการเดินดูกะเผลก คงเป็นเพราะไขข้อไม่ดี กลับมาพร้อมกับเท้าข้างหนึ่งใส่ชามราดน้ำซุปถั่วงอก แกบอกสมชายว่า “ถ้ากินไม่หมดไม่ต้องกลับมาอีก”
สมชายถือชามออกไปด้วยความงุนงง ไม่ลืมที่จะใส่น้ำตาลเล็กน้อยเผื่อรสชาติของมันจะดีขึ้น มารู้ตัวอีกทีพบว่าตัวเองนั่งจ้องชามมากว่าสิบนาที “ทำไมไม่รีบกินวะเดี๋ยวอืดหมด” การันต์มาพร้อมกับข้าวมันไก่นั่งลงข้างสมชาย
สมชายคิดคำตอบอยู่ห้าวินาทีก่อนจะตอบไปว่า “เราลืมตะเกียบ ไปหยิบก่อน” สมชายเดินไปหยิบตะเกียบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวสวนทางกับธามที่บอกกับสมชายว่าแค่ตะเกียบยังลืม โง่มากและโง่ สมชายจงใจหยิบตะเกียบที่ไม่เข้าคู่กันเพื่อเวลามีคนถามเขาจะได้กลับไปเปลี่ยนตะเกียบอีกครั้ง เมื่อกลับไปนั่งที่เดิมหมอกที่นั่งกินน้ำแข็งไสอยู่ก็ถามว่า “แกกินเข้าไปได้ไงวะ”
สมชายถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันเหมือนกัน ตลอดเวลาที่ปิดเทอมเขาต้องทนกินกับข้าวบ้านซึ่งเขาทำเองและไม่อร่อยเลย สิ่งเดียวที่เขาดีใจเป็นพิเศษในการเปิดเทอมคือร้านก๋วยเตี๋ยวไก่จะเปิดและเขาจะได้กินฝีมืออร่อยของเจ้าของร้านอีกครั้ง ภาพความทรงจำของการกินก๋วยเตี๋ยวครั้งล่าสุดยังตราตรึงในสมองเป็นภาพช้าเหมือนถ่ายฟิล์มเบลอ น้ำซุปที่หมักจากโครงกระดูกวัวสิบสองชั่วโมงจนหอมหวนน่ารับประทาน เส้นบะหมี่เหลืองจากฮอกไกโดที่ลวกอย่างพิถีพิถัน ถั่วงอกที่ปลูกในโรงเพาะชั้นดีมีเพลงโมสาร์ทเปิดเพื่อให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ ลูกชิ้นและเนื้อสับที่ทำจากหมูนิพพานกินแล้วได้บุญ ร้านสะอาดสะอ้านไม่มียุงแม้แต่ตัวเดียว คนขายหน้าตายิ้มแย้มแจกแถมลดฟรีน่าอุดหนุน ตัดมาที่ภาพเท้าเจ้าของร้านในชาม มโนภาพในหัวของสมชายซูมเข้าไปช้าๆยังเท้าเจ้าของร้านเหมือนหนังสแตนลีย์ คูบริก สื่อถึงความงุนงงปนหดหู่ที่สมชายกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้
หมอกหันมาบอกขณะที่กำลังเคี้ยวน้ำแข็งไส หน้าตาของหมอกดูอร่อยกับน้ำแข็งไสมาก “แกไม่อยากกินก็ไปซื้ออย่างอื่นกินสิ”
สมชายหันมาอย่างเศร้าสร้อย แล้วตอบไปว่า “ถ้าเราไม่กินเราจะไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวร้านเขาอีกว่ะ”
หมอกขมวดคิ้วแล้วถาม “เขาไหน”
สมชายผงกหน้าไปยังชาม “วัตถุดิบข้าวเที่ยงเรานี่แหละ”
หมอกพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “ทำไมแกไม่เอาไปเททิ้งวะ เจ้าของร้านเขาไม่รู้หรอก”
สมชายถอนใจ “เป็นแกถ้าคนเอาเท้าแกไปเททิ้งแกจะรู้สึกยังไง” การันต์ที่กำลังตักไอศกรีมกินอยู่แทรก “แกผูกพันกับเจ้าของร้านแกเลยไม่กล้ากิน ให้หมอกมันกินสิ” หมอกปัดมือปฏิเสธ “เราเคยกินแล้วแต่เราไม่ชอบ รันเอ็งมากินแทนสมชายสิ” การันต์ตอบ “พ่อเราเป็นสุลต่านนะเว้ย”
การสนทนาวนอยู่ที่เรื่องใครควรจะกินเท้าเจ้าของร้านอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งเสียงออดดังเป็นสัญญาณของเวลาเข้าเรียน สมชายถือเท้าเจ้าของร้านขึ้นไปนั่งจ้องต่อที่โต๊ะเรียน อาจารย์เข้าคาบช้าทำให้คนอื่นมีเวลาทำความรู้จักกันขณะที่สมชายนั่งจ้องเท้าเจ้าของร้าน
สาวคนหนึ่งเดินเข้ามาแนะนำตัวว่าชื่ออิงฟ้าอยู่ห้องเดียวกัน บอกว่าสมชายเท่มาก ไม่เคยเห็นใครสั่งอาหารจีนมาทานที่โรงเรียน และขอถ่ายรูปสมชายชูนิ้วโป้งคู่กับอาหาร คุยต่ออีกสักพักก็กลับไปยังกลุ่มผู้หญิงตามเดิม หมอกเดินกลับมาพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องอีกคนที่แนะนำตัวว่าชื่อต้อง หรือที่หมอกเรียกว่าไอ้หน้ายิ้ม ต้องผิวดำ หน้ายิ้มตายิ้มเวลาพูดก็ยิ้มหัวเราะก็ยิ้มอยู่เฉยก็ยิ้ม หมอกเห็นสมชายยังคงเซ็งกับเท้าเจ้าของร้านจึงตะโกนบอกทุกคนว่า
“วันนี้อาจารย์วีนาไปเที่ยวเกาหลี ไม่มีคาบเรียนแล้ว ปาร์ตี้ให้ลืมโลกไปเลย!” ทุกคนในห้องร้องดีใจ บางคนคงเคยเรียนกับอาจารย์วีนา หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นคนที่น้ำตาไหลพรากแล้วร้องเพลงลาวดวงเดือนและอีกคนที่ฉีกเสื้อนักเรียนออกเหวี่ยงแล้วตะโกนว่า “ฆ่าให้เหี้ยน!” ขนาดคนที่ไม่เคยเรียนยังกรีดร้องดีใจเหมือนปิดเทอมแล้ว “ในที่สุดความฝันของเราก็เป็นจริง!” เพื่อนคนหนึ่งเปิดไวน์ฉลองฟองกระเซ็นกระซ่านบานกระจายเต็มห้อง วงโยทวาทิตที่การันต์จัดหามาเล่นบรรเลงเพลงชื่อ ‘พ่อเป็นสุลต่าน’ ไฟในห้องมืดลงแทนด้วยไฟดิสโก้ คาวบอยขี่ม้าถือแส้ฟาดอากาศดังเปรี๊ยะ
ธามหยิบกีต้าร์ไฟฟ้าขึ้นไปยืนบนโต๊ะเรียนหลังจากเพลง ‘พ่อเป็นสุลต่าน’ จบ และโซโล่เปิดตัวเพลงที่เพิ่งแต่งเมื่อสักครู่ในโอกาสพิเศษชื่อว่าเพลง ‘ไปลงนรกซะวีนาจากธาม’ โดยวงพ่อโทรมา เพื่อนอีกคนชื่อเก้าประจำตำแหน่งเบส เพลงเปิดตัวด้วยโซโล่กีต้าร์และเบสอย่างหดหู่สิ้นหวังเหมือนทุกเพลงที่มีชื่ออาจารย์วีนาอยู่ในเพลง เมื่อจบท่อนโซโล่ต้องก็รัวกลองอย่างเร็วและดุดันเปลี่ยนให้บรรยากาศของเพลงตื่นเต้นสดใส ขณะที่เบสดังขึ้นอย่างค่อย ธามหยิบไมค์จากขาตั้งขึ้นร้อง
นับตั้งแต่วันที่เธอจากไป
โลกมันช่างสดใสเมื่อไม่มีเธอ
เหมือนทุกสิ่งมีความหวังที่ขาดหายไป
โลกทั้งใบก็เบาลง
โรงเรียนก็ประหยัดงบประมาณ
นักเรียนและอาจารย์ก็มีความสุข โว้โฮ
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร
หากไม่มีเธอทุกคนคงมีความสุข
เพราะความทุกข์มันหมดลง เมื่อเธอจากไป
ในโลกใบนี้ที่ไม่มีเธอ จะไม่มีน้ำตาและความโหดร้าย
ไม่มีความช้ำ ไม่มีความเศร้า
นับตั้งแต่วันที่เธอจากไป
หากลำดับภาพแห่งความทรงจำ
จะทิ้งภาพเธอเป็นภาพสุดท้าย
เพราะชีวิตฉันจะเลวร้ายน้อยลง เมื่อคนอย่างเธอจากไป
สมชายยิ้มเมื่อเห็นความเท่ที่เพิ่มขึ้นของทุกคนบนเวที โบกป้ายไฟที่เขียนว่า ‘วงพ่อโทรมาสุดยอด’ แสงไฟและลำโพงดังทำให้เหมือนว่าโลกนี้มีอยู่เพียงแค่ความสนุกของปาร์ตี้ เด็กหญิงคนหนึ่งในชุดมัธยมต้นเดินมาที่โต๊ะของสมชาย “พี่ใช่ป่ะที่ท้าดวลกับอาจารย์อรภา” สมชายพยักหน้างงๆ “โคตรเท่เลยพี่ พี่คบกับหนูนะ” เมื่อถึงท่อนโซโล่ ธามไล่โน๊ตกีต้าร์อย่างพลิ้ว หมอกขึ้นเวทีพร้อมไวโอล่าในมือ เวทีเหมือนถูกยกให้กับหมอกเมื่อเขาโซโล่คู่กับกีต้าร์ของธาม หลังจากจบท่อนโซโล่และซ้ำท่อนคอรัสการันต์ก็ขึ้นมาเป็นนักร้องรับเชิญในท่อนจบ จังหวะของเพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะซ้ำของเบสและกลองที่เร้าใจ การันต์หยิบไมโครโฟนขึ้นร้องท่อนจบ
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นสุลต่าน
พ่อผมเป็นตำนาน โอ้เย้
จบลงด้วยการรัวกีต้าร์และกลองจากสไตล์ของร็อกแอนด์โรล เสียงกรีดดังขึ้นเมื่อเพลงจบลงด้วยการตีกลองจังหวะสุดท้ายพร้อมกับเบสที่ดังกระหึ่มประกอบด้วยควันน้ำแข็งแห้งและแสงไฟที่สาดส่องหลังเวที สมชายเห็นกลุ่มอิงฟ้ากรี๊ดจนหนึ่งในนั้นสลบไปจนต้องเรียกรถพยาบาลไปปั๊มหัวใจ ผู้ชมจากต่างห้องเริ่มหลั่งไหลเข้ามา ตะโกนให้วงพ่อโทรมาเล่นอีก
ซึ่งเมื่อหมอกควันและแสงเริ่มจาง พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับการันต์ในเพลงที่ชื่อว่า ‘พ่อเป็นสุลต่าน’ ซึ่งก็เรียกเสียงเชียร์ได้มากกว่าเดิม อาจารย์บางคนถึงกับโดดคาบสอนมาดูวงพ่อโทรมาเล่น เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงต้องเลิกราสมชายก็เข้าไปแสดงความเป็นสาวกตัวยงหน้าใหม่ “เราควรจะมีชื่อกลุ่มนะครับจะได้ดูเป็นหนึ่งเดียว” ปืนบอก ธามเสนอความคิด “เอาแบบตอนตั้งชื่อวงไหมล่ะ ใครพูดอะไรอย่างแรกเอาชื่อนั้นเลย” เสียงโทรศัพท์ดังเป็นเพลงออกแนวแขก การันต์หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาดู แล้วบอกทุกคนว่า “พ่อโทรมา” แล้วหายออกไปรับโทรศัพท์ ทุกคนมองหน้ากัน แสดงถึงความไม่เห็นด้วยในชื่อกลุ่ม หลังจากความเงียบทำให้ทุกคนอึดอัดได้ที่หมอกก็ตัดสินใจพูด “ไว้คิดวันหลังละกัน”
เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้านสมชายตัดสินใจเอาเท้าเจ้าของร้านไปคืนให้ที่ร้าน “ผมทนกินเท้าเฮียไม่ได้จริงๆ” สมชายบอกไปตามตรงโดยน้ำเสียงห้าวหาญ “ผมรู้ว่าผมมันไม่ใช่ลูกผู้ชายที่ทำให้เฮียต้องผิดหวังในหลายอย่าง แต่ผมไม่มีเงิน ผมไม่จ่าย ผมไม่สนใจว่าเฮียจะว่าอะไรผม ผมไม่มีเงิน เฮียด่าผมไปกระเป๋าตังผมก็ไม่มีเงินผุดขึ้นมา แต่ผมสมควรโดนด่า ถ้ามันจะทำให้เฮียสะใจ เฮียด่าผมเลย” สมชายก้มหน้ายอมรับผิดเหมือนที่เคยเห็นในหนังญี่ปุ่น ลืมนึกไปว่าเจ้าของร้านเป็นคนจีน เจ้าของร้านทำหน้าเหมือนพอใจ “นั่นไม่ใช่เท้าอั๊วะหรอก” สมชายเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน เจ้าของร้านยิ้ม “แต่เป็นเท้าของคนที่กล้าเย้ยหยันทายาทตระกูลซ้งอย่างอั๊วะ ตระกูลซ้งไม่ปล่อยใครที่หยามหน้าเดินไปง่ายๆ มันต้องคลานกลับไปร้องไห้กับอาป๋าอาม้าของมัน อั๊วะกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะจะตัดขาลื้อกี่ข้างดี วันนี้อั๊วะจะปล่อยลื้อไปก่อน แต่ถือว่าลื้อติดหนี้บุญคุณอั๊วะ ไสหัวไปได้แล้ว”
ความคิดเห็น