คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7
- Chapter 7 -
“ลูฟี่!! ตื่นโว้ยยยยยย! จะสายแล้ว!!!”
เสียงเอสตะโกนดังลั่นบ้านแต่เช้าพร้อมๆกันกับเสียงของประตูที่ถูกกระแทกเปิดเข้ามาอย่างแรงโดยไม่มีความเกรงใจเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินตรงปรี่มายังร่างที่แผ่กายนอนอยู่บนเตียงนุ่มอย่างสบายใจเฉิบก่อนจะประเคนหมัดหนักๆลงบนหัวของอีกฝ่ายอย่างแรง
น้องชายตัวแสบผู้เป็นเจ้าของห้องเด้งตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วยกแขนบางๆขึ้นกุมหัวตัวเองอย่างเจ็บปวดพลางโอดครวญในลำคอ
“หนวกหูชะมัด!
นายจะเอะอะทำไมเล่า! อีกอย่างมันเจ็บนะ!”
“แล้วใครใช้ให้นายตื่นสายกันล่ะ!”
ผู้เป็นพี่ตะคอกพลางถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ “นี่มันเปิดเทอมวันแรกนะ
นายกำลังจะทำให้ฉันสายไปด้วยน่ะสิ!
รีบๆลุกไปอาบน้ำแต่งตัวซะจะได้ไปโรงเรียนสักที”
ว่าจบก็เดินออกจากห้องไปทิ้งให้น้องชายตัวแสบนั่งกุมหัวตัวเองอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวดโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องกลับคืนให้
ลูฟี่ทำหน้ามุ่ยใส่ประตูก่อนจะเกาหัวแกรกๆพลางอ้าปากหาวหวอดใหญ่
เขาเด้งตัวออกจากเตียงตรงไปหยิบผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนที่พาดไว้กับเก้าอี้แล้วหมุนปลายเท้าตรงไปยังห้องน้ำ
ลูฟี่ถอดเสื้อยืดสีดำที่เขาสวมอยู่ออกก่อนจะโยนใส่ตระกร้าผ้าที่วางอยู่ข้างๆอย่างไม่ใยดี
ระหว่างนั้นสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นเงาตัวเองในกระจก...
รอยแดงๆเป็นจ้ำๆบนผิวกายอันผุดผ่องตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงช่วงอก...และช่วงเอว...
ลูฟี่ยกมือได้รูปของตัวเองขึ้นวางลงบนรอยจ้ำแดงๆที่มีอยู่ทั่วร่างกายของเขาเบาๆพลันภาพเหตุการณ์นั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาฉายซ้ำไปซ้ำมาราวกับมีคนนำเทปนั่นมาเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัวของเขา
แล้วใบหน้าของลูฟี่ก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น หัวใจก็เต้นรัวจนเขาอยากจะเอามือควักมันออกมาแล้วโยนทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
น่ารำคาญชะมัด...ทำไม? ทำไมถึงต้องเต้นเร็วขนาดนี้ด้วยนะ? อา...คิดถึงไอหมอบ้านั่นทีไรหัวใจก็เป็นแบบนี้ทุกที
น่ารำคาญตัวเองชะมัด!
มือบางของลูฟี่คว้าเอากระเป๋าเป้สีแดงสลับดำที่แขวนไว้กับเก้าอี้มาสะพายที่ไหล่ข้างขวาโดยไม่ลืมที่หยิบหมวกฟางใบเก่าที่วางอยู่ข้างๆมาสวมด้วยความรวดเร็ว เขาวิ่งออกจากห้องนอนของตัวเองและตรงปรี่ไปยังบันไดทั้งๆที่ยังไม่ได้แต่งตัวให้เรียบร้อย
ลูฟี่ในเครื่องแบบนักเรียนแบบชุ่ยๆวิ่งลงบันไดอย่างเร่งรีบโดยไม่กลัวว่าจะหกล้มหน้าคะมำหรือตกบันไดหัวทิ่มกับพื้นเลยแม้แต่น้อย
เขาหยิบรองเท้ามาสวมอย่างทุลักทุเล ขาบางๆทั้งสองก็พยายามที่จะพาตัวเองไปยังรถของผู้เป็นพี่โดยที่ยังไม่ได้แตะอาหารเช้าเลยแม้แต่น้อย
โธ่เอ๊ย...เพราะหมอนั่นแท้ๆเลย ก็เพราะมัวแต่คิดถึงแต่หมอนั่นนั่นแหละเขาถึงได้สายขนาดนี้! ถ้าไม่ใช่เพราะไอหมอปล้นสวาทนั่นเขาคงไม่ต้องไปโรงเรียนสายตั้งแต่วันแรกแบบนี้หรอก! แถมยังต้องเจ็บตัวเพิ่มเพราะพลอยมาทำให้พี่ชายต้องมาสายไปด้วยน่ะสิ!
เมื่อก้นลูฟี่ถูกทิ้งลงบนเบาะเสร็จสรรพเขาก็จัดการปิดประตูรถทันที
เอสหันมามองน้องชายตัวแสบของตนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนกล้ามเนื้อมุมปากของเขาจะกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ลูฟี่ที่แอบสังเกตเห็นพี่ชายของตัวเองยิ้มมุมปากอย่างจงใจหัวเราะเยาะก็ทำหน้ามุ่ยใส่ผู้เป็นพี่ด้วยความไม่พอใจถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าหัวเราะเรื่องอะไรก็เถอะ...
“แปลกแฮะ
วันนี้นายติดกระดุมเม็ดบนสุดด้วยทั้งๆที่เกิดมาไม่เคยติดเลยสักครั้งเนี่ยนะ
สงสัยวันนี้ฝนตกหนักแหงๆ” พูดจบก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ปกปิด
ลูฟี่ได้แต่ทำหน้างอใส่ผู้เป็นพี่แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แหงล่ะ!
ใครจะไปกล้าบอกล่ะ ว่าที่ติดกระดุมเม็ดบนสุดเพราะว่าจะปิดรอยคริสมาร์กที่ไอหมอปล้นสวาทนั่นทำไว้น่ะ
ขืนบอกไปก็ได้ตายกันหมดทั้งเขาทั้งหมอปล้นสวาทนั่นน่ะสิ!
เนื่องจากรถค่อนข้างติดเพราะโรงเรียนต่างก็เริ่มทยอยกันเปิดแล้ว
ทำให้ทั้งลูฟี่และเอสมาโรงเรียนสายผิดกับพี่ชายคนกลางอย่างซาโบที่มาถึงตั้งแต่เช้าตรู่
เห็นอย่างนั้นซาโบก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆให้กับพี่ชายและน้องชายของตัวเอง
แต่ก็นะ..นี่แหละเอสกับลูฟี่น่ะ..
เมื่อมาถึงโรงเรียนลูฟี่ก็จำต้องแยกกับเอสและซาโบเนื่องจากตึกมัธยมปลายและมัธยมต้นนั้นแยกกันอยู่
ในตอนที่ก้าวเท้าลงจากรถเขาก็หวังจะหาอะไรกินที่โรงอาหารแต่ก็ต้องรีบวิ่งไปที่ห้องเรียนของตนทันทีเมื่อพบว่าคาบเรียนวิชาแรกนั้นเริ่มไปยี่สิบนาทีแล้ว
โชคดีที่วันนี้เพิ่งเปิดเทอมวันแรกอาจารย์เลยยังไม่อยากจะลงโทษนักเรียนมากนัก
แต่ถึงอย่างนั้นลูฟี่ก็ต้องนั่งทนหิวจนกว่าจะถึงเวลาพักทานอาหารกลางวันอยู่ดีนั่นแหละ
หิวจะตายอยู่แล้ว...ท้องก็ร้องจ๊อกๆ โอ๊ย...ทำไมต้องมานั่งทนหิวต้งแต่เช้าแบบนี้ด้วยนะ
สองคาบเช้าผ่านไปโดยที่ไม่มีอะไรเข้าหัวลุฟี่เลยแม้แต่น้อยเพราะในหัวเขาตอนนี้มีแต่เนื้อ
เนื้อ เนื้อ เนื้อ! คิดถึงเนื้อย่างชะมัดเลย
ถ้าถึงคาบพักทานอาหารกลางวันเมื่อไหร่ล่ะก็เขาจะกินข้าวหน้าเนื้อให้หนำใจเลย คอยดู!
เมื่อถึงเวลาพักเบรกสิบนาทีนามิ อุซปป และซันจิก็เดินตรงปรี่มายังโต๊ะของลูฟี่อย่างไม่ได้นัดหมาย
ส่วนโซโลน่ะหรอ...? ก็นั่งหลับอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิม
จะยังไงก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆนั่นแหละนะ...
“มาสายตั้งแต่วันแรกเลยนะนายเนี่ย
ไม่โดน’จารย์ลงโทษก็บุญโขแล้ว” อุซปปพูดก่อนจะหัวเราะอเยาะพลางเอาแขนโอบรอบคอเพื่อนของตนอย่างสนิทสนม
“หนวกหูน่า!
ก็รถมันติดนี่” ลูฟี่ตอบพลางทำหน้ายู่ใส่เพื่อนสนิทตน
“เอาน่าๆ
อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ” นามิตัดบทพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆให้กับเพื่อนสนิททั้งสองของตน
ลูฟี่คุยกับเพื่อนสนิทของตนอย่างสนุกสนาน
ต่างคนต่างก็คุยจ้อถามไถ่เรื่องราวระหว่างช่วงปิดเทอมของอีกฝ่าย
ก็เป็นปกติของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานนั่นแหละนะ...
โรงเรียนที่ลูฟี่และพี่ชายทั้งสองของเขาเรียนอยู่นั้นมีชื่อว่า
‘ดองกีโฮเต้ไฮสกูล’ เป็นโรงเรียนมัธยมที่ถูกปกครองโดยผู้อำนวยการตัวใหญ่แถมยังมีบุคลิกแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้านเขามีชื่อว่า
‘ดองกีโฮเต้ โดฟลามิงโก้’
แค่ชื่อก็แปลกแล้วใช่ไหมล่ะ...จริงๆชื่อโรงเรียนก็มาจากนามสกุลเขานั่นแหละ
เขาตัวสูงใหญ่กว่าใครๆในโรงเรียน ผมของเขาเป็นสีบลอนเหมือนดอกทานตะวัน
เขามักจะสวมชุดสูทกับกางเกงสามส่วนโชว์ขนหน้าแข้งที่แสนจะอุบาทว์ตานั่นและเขาจะสวมแว่นกันแดดกับผ้าคลุมขนปุยสีชมพูเดินไปไหนมาไหนเสมอ
เพราะลูฟี่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศักษาปีที่สามส่วนพี่ชายทั้งชายทั้งสองของเขาเรียนอยู่มัธยมปีที่หกจึงทำให้ต้องแยกตึกเรียนกันตามที่ผู้อำนวยการสุดประหลาดกำหนดไว้
เมื่อหมดเวลาพักอาจารย์สาวก็เดินเข้ามาในห้องทำให้ห้องที่แสนจะวุ่นวายและเสียงดังปานตลาดแตกเงียบกริบลงจนแทบจะเป็นลานนั่งสมาธิได้ภายในไม่กี่วินาที
ครูสาวคนเดิมวางข้าวของพะรุงพะรังในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบหนังสือแบบฝึกหัดเล่มหนาปึกขึ้นมาพลิกหน้าไปมา
“เอาล่ะค่ะ
นักเรียน หยิบแบบฝึกหัดขึ้นมาแล้วเปิดไปหน้า...”
เสียงของครูสาวคนนั้นยังดังอย่างต่อเนื่องแต่ทว่าคำพูดพวกนั้นกลับไม่เข้าหัวลูฟี่เลยแม้แต่น้อย
มือเรียวของเขาท้าวคางกับโต๊ะ ดวงตากลมโตคู่สวยก็มองเข็มนาฬิกาที่ตั้งฉากกันชี้ไปที่เลขเก้ากับเลขสิบสองบ่งบอกว่าบัดนี้เป็นเวลาเก้าโมงตรงแล้ว
แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆก่อนจะเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง
เหม่อมองท้องฟ้าโค้งสีครามอันกว้างใหญ่ที่ถูกประดับด้วยริ้วเมฆบางๆ
น่าเบื่อชะมัด...
หลังเลิกเรียน
กริ๊งงงงงงง!!!~
เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงขาเก้าอี้ที่ถูกขูดกับพื้นจนแสบแก้วหู
นักเรียนต่างพากันเก็บของใช้ของตนลงกระเป๋าเป้แล้วทยอยออกจากห้องไปพร้อมกับเหล่าผองเพื่อนของพวกเขา
ลูฟี่ใช้แขนบางๆกวาดเอาข้าวของทั้งหมดที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะใส่ในกระเป๋าเป้ของตนแบบรวดเดียวจบด้วยความรวดเร็วแล้วยกขึ้นสะพายบนไหล่ขวาของตนเตรียมพร้อมจะกลับบ้าน
แหม! ก็เลิกเรียนแล้วนี่นาต้องรีบกลับบ้านไปเล่นเกมให้หนำใจสิ
แต่ยังไม่ทันที่ขาของเขาจะก้าวออกจากตรงนั้นก็ดันถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน..
ลูฟี่หันไปตามแรงและที่มาของสัมผัสอุ่นๆบนไหล่ของเขาก็พบกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังจับไหล่ของเขาเอาไว้อยู่
เธอมีผมสีส้มเป็นเอกลักษณ์ รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรเป็นอย่างยิ่ง
และที่สำคัญกว่านั้น...ใบหน้าระบายยิ้มของเธอกำลังบ่งบอกว่า...ลางร้ายกำลังมาหาเขาและเขาไม่มีทางหนีมันพ้นแน่ๆ!
“นี่ๆ
วันนี้ร้านจิวเวอรี่มีเดรสสีส้มที่ฉันอยากได้มาใหม่ด้วยล่ะ”
“แล้วยังไงล่ะ?”
ลูฟี่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย
“ฉันอยากได้มันมากๆเลย ถ้าฉันไม่ได้มันมาล่ะก็ฉันต้องตายแหงๆ”
นามิพูดอย่างจงใจเว้นระยะก่อนจะเปลี่ยนใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่มาเป็นสีหน้าหดหู่แทน
“โรบินบอกว่าจะไปซื้อเป็นเพื่อนฉัน แต่วันนี้โรบินดันติดเรียนพิเศษน่ะสิ...”
“ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉันสักนิด...”
“นายช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
นามิพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนแกมบังคับพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย
ฝ่ายลูฟี่ก็ได้แต่มองเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างปลงๆ
แน่นอนว่าเขาคิดจะปฏิเสธอยู่แล้วล่ะ...
“เรื่องสิ เธอก็ไปเองได้นี่
ฉันไม่ว่างไปกับเธอสักหน่อย”
“นายจะใจร้ายปล่อยให้สาวน้อยบอบบางน่าทะนุถนอมอย่างฉันไปคนเดียวจริงๆน่ะหรอ?
ฉันต้องนั่งแท็กซี่ไปคนเดียวนะ แล้วช่วงนี้ก็ยังมีข่าวแท็กซี่ข่มขืนผู้โดยสารเต็มไปหมดเลยแถมยังจับตัวไม่ได้ด้วย
ถ้าฉันถูกทำมิดีมิร้ายขึ้นมาล่ะ” นามิสาธยายยาวยืด
“เธอเนี่ยนะบอบบาง? อีกอย่างใครจะกล้ามข่มขืนเธ...”
ลูฟี่พูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบทโดยกำปั้นหนักๆที่ถูกประเคนลงกลางหัวของเขาอย่างแรงทำเอาเขาต้องยกแขนบางๆขึ้นกุมหัวตัวเองโดยอัตโนมัติ
เนื่องจากลูฟี่สูงกว่านามิแค่ไม่กี่เซนติเมตรทำให้เรื่องการหยิกแก้ม
หยิกหู ดึงจมูก หรืออะไรก็ตามที่ล้วนแล้วแต่ทำร้ายร่างกายเขาเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอไปเลย
“มันเจ็บนะ!
ยัยบ้า” ลูฟี่พูดพลางทำหน้ามุ่ยใส่เพื่อนสาว
“นายก็มากับฉันสิ
อีกอย่างนะ...”
นามิพูดพลางหยิกหูลูฟี่จนเจ้าตัวต้องเอามือขึ้นมากุมหูของตัวเองที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
นี่เขาต้องมาฟังวิปัสสนาตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกเลยหรอเนี่ย!
สุดท้ายลูฟี่ก็ต้องลากสังขารตัวเองตามเพื่อนสนิทของตนมาจนได้...และด้วยเหตุนี้เองทำให้ลูฟี่ต้องโทรหาพี่ชายของเขาก่อนหน้านี้แล้วบอกว่าให้กลับบ้านไปก่อนโดยที่ไม่ต้องรอเขา
ทั้งสองยืนอยู่หน้าร้านเล็กๆร้านหนึ่งที่มีฝูงชนหนาแน่นมาก แน่ล่ะ ก็เพราะมันเป็นร้านมีแต่เสื้อผ้าสวยๆสำหรับวัยรุ่นสาวเต็มไปหมดและมักจะอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับเสื้อผ้าใหม่ๆเสมอ
นั่นเองทำให้ร้านนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่วัยรุ่น
หน้าร้านนั้นถูกตกแต่งสไตล์วัยรุ่น มีป้ายเล็กๆติดเป็นคำว่า ‘จิวเวอรี่’ ภาษาอังกฤษ รอบๆตัวหนังสือมีหลอดไฟแอลอีดีเล็กๆหลากสีติดอยู่ ถึงแม้ร้านนี้จะดูไม่ค่อยเป็นที่ดึงดูดมากนักแต่ก็มักจะมีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่เคยขาดสายเสมอ
โดยไม่รีรอนามิรีบลากลูฟี่เข้าไปในร้านทันที
ทั้งสองเบียดเสียดสีกับเหล่าฝูงชนมากมายที่กำลังแย่งเสื้อผ้ากันอย่างบ้าคลั่งราวกับเหล่าซอมบี้ที่หลุดออกมาจากเกมแฟนตาซีอย่างนั้นแหละ
ไม่นานดวงตากลมโตคู่สวยก็เหลือบไปเห็นเดรสสีส้มตัวสุดท้ายที่แขวนอยู่บนราว
มันเป็นเดรสสีส้มที่ถูกประดับอย่างสวยงามด้วยผ้าลายลูกไม้และช่วงล่างที่เป็นกระโปรงก็ยังมีเพชรเม็ดเล็กๆติดเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ
มันสวยอย่างที่เธอว่าจริงๆนั่นแหละ...
นามิเอื้อมมือไปหวังจะหยิบเดรสตัวนั้นมาครอบครองแต่แล้วเธอก็ต้องชะงักไปทำเอาลูฟี่งงไม่น้อย
เธอจะหยุดทำไมนะ? ทั้งๆที่เดรสที่อยากได้อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ
“นี่
ฉันได้ยินเสียงซีวิลล์ล่ะ ไอหมอนั่นมากับแฟนใหม่”
นามิหันมากระซิบกับลูฟี่ด้วยใบหน้าเหยเกบอกบุญไม่รับ
ส่วนลูฟี่ก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
แหงล่ะ
ก็เพราะว่าซีวิลล์คือแฟนเก่าของเธอที่เพิ่งเลิกกันไปเมื่อสี่เดือนก่อนนี่นา..และตอนนี้เขามาพร้อมกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง
เธอก็ดูสวยดีอยู่หรอกนะ...แต่ยังไงก็คงสู้เพื่อนสนิทสุดโหดของเขาไม่ได้หรอก
คิดได้อย่างนั้นลูฟี่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
นามิยักไหล่อย่างไม่แยแสก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบชุดเดรสนั่น
แต่...ช้าไปเพียงเสี้ยววิ เดรสนั่นถูกหยิบไปโดยมือปริศนา
เมื่อหันไปตามที่มาของมือนั่นก็พบกับเด็กสาวร่างบางผู้เป็นแฟนใหม่ของซีวิลล์หยิบไปทาบกับตัวแล้วซะงั้น...
“นายคงไม่คิดใช่ไหม
ว่าฉันจะเอาเดรสที่ถูกตัวยัยนั่นมาใส่น่ะ”
นามิหันมากระซิบกับเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าเหยเก
ฝ่ายลูฟี่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวตอบกลับไป
เธอถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา “ช่างเถอะ ไว้วันหลังอารมณ์ดีกว่านี้ค่อยมาละกัน”
‘♫~’
สมาร์ทโฟนที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงของเด็กสาวแผดเสียงร้องเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้า
เธอล้วงมือลงไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะกดรับสายแล้วยกขึ้นมาแนบหู
ลูฟี่ได้แต่มองเพื่อนสาวของตัวเองยืนคุยโทรศัพท์ท่ามกลางฝูงชนที่แออัดมากมาย
เนื่องจากว่าในร้านนั้นเสียงดังมากทำให้ลูฟี่ไม่ได้ยินบทสนทนาที่เพื่อนสาวของตนคุยเท่าไหร่นักแต่เขาก็ไม่ค่อยจะสนใจมันเท่าไหร่หรอก
ตอนนี้เขาอยากจะออกจากที่นี่ใจแทบขาดแล้ว...
ไม่นานนามิก็หันมาหาลูฟี่ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างทำเอาลูฟี่ถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว
ลางสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่แฮะ...
“คือว่านะ
โนจิโกะมาทำธุระแถวนี้พอดีเลยโทรมาถามว่าอยากได้อะไรไหม
แต่ฉันบอกไปว่าฉันอยู่ที่นี่แล้ว...ฉันเลยบอกโนจิโกะไปว่าจะกลับพร้อมเธอเลย
เพราะฉะนั้น...” เด็กสาวยกยิ้มกว้างอีกครั้ง “ฉันกลับก่อนนะ ขอบคุณที่มาส่งนะ
บ๊ายบาย~”
พูดจบก็โบกมือบอกลาเพื่อนสนิทตนแล้ววิ่งหายเข้าไปกับฝูงชนจำนวนมากโดยไม่ฟังคำทักท้วงของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ทิ้งให้ลูฟี่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่เพียงลำพัง
ด้วยความขี้เกียจสันหลังยาวที่ไม่อยากจะฝ่าผู้คนจำนวนมหาศาลไปเป็นเหตุให้สมองที่มีรอยหยักอันน้อยนิดของลูฟี่เริ่มทำงาน
เขาหันซ้ายหันขวาก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นพนักงานสาวที่กำลังจัดเสื้อผ้าล็อตใหม่อยู่ไม่ไกลนัก
แล้วริมฝีปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
โดยไม่รีรอลูฟี่รีบตรงปรี่ไปหาพนักงานสาวคนนั้นทันที
ฝ่ายพนักงานสาวเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเดินมาหาก็ละความสนใจจากเสื้อผ้าตรงหน้าแล้วหันมาฉีกยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ?”
เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“ร้านนี้มีทางออกอื่นนอกจากหน้าร้านรึเปล่า?”
ทันทีที่ลูฟี่พูดจบพนักงานสาวคนนั้นก็สะดุ้งเล็กน้อย
เธอเงียบไป คิ้วบางๆของเธอขมวดเข้าหากันอย่างชั่งใจ ริมฝากบางที่ถูกทาด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อนเม้มเข้าหากันแน่น
แววตาเป็นมิตรเมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นแววตาที่เคร่งเครียดและจริงจังจนดูน่ากลัว
ลูฟี่ได้แต่ทำหน้างงมองพนักงานสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย
ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนี้ด้วยนะ? แค่ถามว่ามีทางออกอื่นรึเปล่าเท่านั้นเอง..
“ก็มีนะคะ...เป็นทางออกหลังร้าน”
เธอตัดสินใจพูดออกมาในที่สุดก่อนจะยกยิ้มบางๆอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง
ผิดกับใบหน้าเคร่งเครียดเมื่อครู่เป็นปลิดทิ้ง “แต่น้องออกทางข้างหน้าจะปลอดภัยกว่านะคะ”
ไม่ทันที่ลูฟี่จะได้อ้าปากเถียงอะไรเธอก็ต้องเอ่ยขอตัวเพราะถูกลูกค้าคนอื่นเรียกไปเสียก่อน
ทิ้งให้ลูฟี่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง
เดี๋ยวนะ..? ทางออกหลังร้านงั้นหรอ?
เมื่อนึกถึงคำพูดของพนักงานสาวคนนั้นอีกครั้งเขาก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาเสียนี่
ว่าแล้วดวงตากลมโตคู่สวยนั่นก็สาดส่องมันให้ทั่วร้าน
แล้วสายตาของเขาก็ต้องไปสะดุดอยู่ที่ประตูบานหนึ่งที่มีป้ายเขียนติดไว้ว่า
‘คนภายนอกห้ามเข้า’
แต่คิดหรอ...ว่าคนอย่างลูฟี่จะยอมทำตามคำสั่งใครง่ายๆน่ะ...ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตรงปรี่ไปยังประตูนั่นทันที
เขายืนมองประตูบานนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันซ้ายหันขวาดูเพื่อความปลอดภัยอีกครั้ง
เมื่อพบว่าแถวนั้นไม่มีคนอื่นนอกจากเขา มือบางๆก็เอื้อมไปจับกลอนประตูตรงหน้าแล้วบิดเพื่อเปิดมันออก
เขามองดูภายในห้องที่มีแสงไฟอันน้อยนิดที่สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเพียงไม่กี่บานเท่านั้นก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในที่สุด
ลูฟี่พาร่างของตัวเองให้เดินลึกเข้าไปในห้องนั้นโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องเสียก่อน
ไม่นานร่างของเขาก็กลมกลืนไปกับความมืดมิด ในระหว่างที่ขาบางๆก้าวฉับๆไปข้างหน้าสายตาของเขาก็พลางสาดส่องดูเสื้อผ้าแต่ละตัวที่ถูกแขวนเรียงรายไว้อย่างเป็นระเบียบภายในห้องนั้น
มันมีแต่ชุดสวยๆทั้งนั้น ขนาดมองไม่ค่อยเห็นยังดูออกเลยว่าเสื้อผ้าเหล่านี้สวยจริงๆ
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่พนักงานสาวไม่อยากให้เขาเข้ามาในห้องนี้ก็เป็นได้
แต่เขาก็ไม่ใช่แมวขโมยด้วยสิ...อีกอย่าง
เสื้อผ้ามันกินไม่ได้...
ลูฟี่กวาดสายตาสาดส่องหาทางออกแล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
เขาพยายามเพ่งสายตามองไปยังวัตถุตรงหน้าในความมืด...ประตู!
ริมฝีปากของลูฟี่ฉีกกว้างเป็นรอยยิ้มที่แทบจะไปถึงใบหู
เขาวิ่งตรงปรี่ไปยังวัตถุตรงหน้าและก็พบว่ามันเป็นประตูจริงๆ
มันเป็นประตูเหล็กที่บานค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว
เขาปลดล็อคประตูและใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักมันออก แม้จะฝืดไปหน่อยแต่ใช้เวลาเพียงไม่นานประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์
ภาพที่เขาเห็นหลังบานประตูเป็นเพียงซอยแคบๆซอยหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นซอยที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีผู้คน...ไม่มีแม้แต่สุนัขจรจัดด้วยซ้ำ มีแค่โคมไปที่จะดับแหล่มิดับแหล่ประดับอยู่ตามสองข้างทางเป็นระยะๆเท่านั้น
ลูฟี่พาร่างของตัวเองออกมาจากประตูบานนั้นแล้วปิดมันลงอย่างเดิมก่อนจะเดินไปตามซอยแคบๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเดินไปจนสุดซอยจะไปโผล่ที่ไหน...
เงียบ...ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นมีเพียงเสียงฝีเท้าของลูฟี่เท่านั้นที่ดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
น่าวังเวงชะมัด..แถมนี่มันก็เริ่มค่ำแล้วด้วยน่ะสิ น่ากลัวเหมือนกันแฮะ...
เดินไปได้ไม่นานก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้มาจอดอยู่หน้าลูฟี่
มันปิดทางทั้งซอยแคบๆนี่จนลูฟี่แทบจะเดินผ่านไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าไปไหนหรืออ้าปากพูดอะไรก็มีรถอีกสองคันตามมาจอดเพิ่มอีก
ลูฟี่ที่กำลังจะอ้าปากโวยวายใส่ก็ต้องหยุดการกระทำนั้นไปทันทีเมื่อประตูรถถูกเปิดออกตามมาด้วยชายร่างสูงกำยำที่ก้าวลงมาจากรถ
เขามีผมสีแดงเพลิงแสบตาที่ชี้ขึ้นไปมาราวกับกินเม่นเข้าไปทั้งตัวไม่มีผิด...เขาคาดแว่นกันแดดราคาแพงไว้บนหัว
จมูกของเขาโด่งเป็นสันเข้ากับใบหน้าได้รูปของเขาเป็นอย่างดี นัยน์ตาสีอำพันคู่สวยทอประกายราวกับหมาป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตรงหน้าได้ทุกเมื่อ
สรุปง่ายๆ...หล่อ
เอ๊ะ..! แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย! เขากำลังจอดรถขวางทางลูฟี่อยู่นะ แล้วอย่างนี้จะเดินผ่านได้ยังไงกันล่ะ!
“นี่นายน่ะ! คิดจะจอดก็จอดขวางกันแบบนี้ คนอื่นเขาจะผ่านยังไงล่ะ!?”
“หือ?”
ชายร่างสูงที่เหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นลูฟี่เหลือบมองใบหน้ามุ่ยของอีกฝ่ายก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คนอื่น? แถวนี้ก็มีแค่นายกับพวกเรานี่”
พวกเรา..?
หมายถึงไอรถสองคันนั่นด้วยน่ะหรอ...แต่ช่างเถอะนั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย
“อะไรก็ช่าง
ฉันจะกลับแล้ว”
ลูฟี่ตอบชายร่างยักษ์ตรงหน้าแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าไปไหนประตูรถอีกสองคันก็ถูกเปิดออกพร้อมๆกับชายร่างยักษ์อีกสองสามคนที่ก้าวลงมาจากรถ
พวกเขาเดินตรงมายังชายหัวแดงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เฮ้ยๆ
อย่าไปรุกเด็กเขาอย่างนั้นสิ เดี๋ยวเด็กก็ตกใจพอดี
แล้วเด็กขนาดนี้...อยากติดคุกรึไง?” ชายร่างสูงในหน้ากากลายแทงฟ้าขาวพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ
“แต่ไอหมอนี่ก็น่ารักดีนะ”
ชายอีกคนพูด
“อย่ามายุ่ง
ไอเด็กนี่ของฉัน” ว่าแล้วก็ประกาศความเป็นเจ้าของเรียบร้อย...ไม่วายมาจับข้อมือบางๆของอีกฝ่ายอีกต่างหาก
แต่เดี๋ยวนะ..เมื่อกี้เขาบอกว่า
‘ของเขา’ งั้นหรอ?
“ฉันไม่ใช่ของนายสักหน่อย!”
ลูฟี่ตอบกลับด้วยใบหน้ายุ่งที่ไม่รู้จะยุ่งยังไงแล้ว
ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องไปยังร่างยักษ์ตรงหน้าเขม็ง นัยน์ตาสีรัตติกาลทอประกายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
คิ้วบางของเขาขมวดเข้าขนกันมุ่น ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อบุ้ยออก
ไม่ว่าเป็นใครก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...น่ารัก...
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เถียงอะไรต่อลูฟี่ก็สะบัดมืออกจากการจับกุมแล้วรีบสาวเท้าเดินฝ่าเม้นยักษ์ตรงหน้าเพื่อที่เขาจะได้รีบหาทางออกจากไอซอยบ้าๆนี่เสียที!
ชายร่างยักษ์แสยะยิ้มเข้าเล่ห์ก่อนจะเดินตรงมาขวางลูฟี่ไว้ โดยไม่ทันที่ลูฟี่จะได้อ้าปากโวยวายอีกหนเขาก็ถูกชายร่างยักษ์ตรงหน้าผลักอย่างแรงจนร่างบางเซไปชนกับกำแพง กระเป๋าเป้ใบเก่งที่สะพายอยู่หล่นลงไปกองกับพื้น และยังไม่ทันที่ลูฟี่จะได้ตั้งสติเขาก็ถูกชายร่างยักษ์คนเดิมคร่อมไว้เสียก่อน
เหยื่อผู้โชคร้ายได้แต่ดิ้นพยายามขัดขืนให้ตัวเองหลุดพ้นจากการจับกุมของหมาป่าตรงหน้า
แต่ดูเหมือนกระต่ายก็ยังคงเป็นกระต่าย...ไม่มีทางที่จะไปสู้กับหมาป่าได้หรอก...
“ปล..ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ชายผมแดงร่างยักษ์ไม่สนใจคำทักท้วงของลูฟี่
เขายังคงประดับยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นไว้บนใบหน้าก่อนจะค่อยๆก้มหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าใสของอีกฝ่ายและฝังจมูกโด่งเป็นสันนั่นลงไป
ลูฟี่ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว
แม้เขาจะพยายามขัดขืนเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าชายร่างยักษ์ตรงหน้าจะปล่อยเขาเลยแม้แต่น้อย
ชายร่างยักษ์เลื่อนจมูกได้รูปของตัวเองลงมายังซอกคอขาวๆของลูฟี่แล้วสูดดมเอากลิ่นหอมเข้าปอดไม่อยากหลงเหลือให้ใครทั้งสิ้น...เขาเลื่อนใบหน้าขึ้นมาสบตาร่างบางใต้อาณัติอีกครั้งแต่ก็ไม่ลืมที่จะขบกัดซอกคอขาวๆนั่นเล่นอย่างนึกสนุก
นัยน์ตาสีรัตติกาลของลูฟี่จ้องเข้าไปยังนัยน์ตาสีอำพันตรงหน้าเขม็ง
แต่ดูเหมือนแววตาของหมาป่าผู้หิวกระหายนั้นจะไม่ได้สนใจแววตาของกระต่ายน้อยที่จ้องเขาอย่างอาฆาตแค้นเลยแม้แต่น้อย
ชายตรงหน้ายื่นใบหน้าเข้ามาหาเหยื่อใต้พันธนาการหวังจะประกบจูบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มนั่น
แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจะไม่ยอมง่ายๆ
เมื่อรู้ตัวว่าชายตรงหน้าหวังจะจูบตนลูฟี่ก็รีบหันหน้าหนีทันที
เป็นเหตุให้ริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายประกบลงบนใบหูอันร้อนผ่าวของเขาแทน
แล้วลูฟี่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกัดเบาๆที่ใบหูของเขา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขนลุกซู่เพราะถูกกัดใบหูก็ต้องมารู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลังเสียก่อนเมื่อชายตรงหน้าฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์มองเหยื่อใต้อาณัติที่เขาพร้อมจะกลืนกินเข้าไปทุกเมื่อ
“เป็นของฉันซะเถอะ...หึหึ...”
ไม่นะ..ไม่เอา...ใครก็ได้ช่วยด้วย!
โทราโอะ!!
- to be continue -
โฮกกกกกกก ในที่สุดก็ได้มาอัพอีกตอนสักทีTwT กะว่าอัพตอนนี้เสร็จแล้วจะอัพตอนที่ 16 แล้วค่ะ รอก่อนกันก่อนเน่อ <3 สัญญาว่าจะรีบอัพให้เร็วที่สุดค่ะTwT (ได้ข่าวว่าตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มเขียนสักตัวอักษร#ผิด)
ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วอ่ะ=w= อ่านกันเสร็จก็อย่าลืมคอมเม้น กดแชร์ หรือกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ รักรีดเดอร์ทุกท่านเน่อ <3
ความคิดเห็น