คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6
- Chapter 6 -
ครืด...ครืด...
ภายในห้องสีเหลี่ยมที่เงียบสนิท
นอกจากเสียงหายใจของชายหนุ่มเจ้าของห้องและเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดำเนินอยู่ยังมีเสียงสมาร์ทโฟนสีขาวที่กำลังสั่นอยู่
ชายหนุ่มผิวแทนร่างสูงในเสื้อยืดสีเหลืองกับกางเกงยีนส์ตัวโปรดที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนุ่มของตัวเองก็ต้องละความสนใจจากหนังสือตรงหน้าและปรายตามองสมาร์ทโฟนสีขาวของตัวเองที่กำลังสั่นอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหน่ายๆและวางหนังสือลงในที่สุดก่อนจะพาร่างสูงๆของตัวเองไปยังโต๊ะอ่านหนังสือ
หนังสือมากมายถูกกองระเนระนาดอยู่บนโต๊ะอย่างไม่เป็นระเบียบ
บางเล่มก็ถูกเปิดไว้ราวกับเพิ่งถูกอ่านมาหมาดๆกับแก้วกาแฟที่ไม่ได้ถูกล้างมาตั้งแต่เมื่อคืน
อุปกรณ์เครื่องเขียนทั้งดินสอและปากกาบ้างก็ถูกวางไว้ระเนระนาดปะปนกับหนังสือ
บ้างก็ถูกใส่ไว้ในแก้วที่ตั้งอยู่ข้างๆโคมไฟตั้งโต๊ะ
มือหนาสีแทนยื่นไปหยิบสมาร์ทโฟนสีขาวที่วางคว่ำหน้าอยู่กับโต๊ะและยังคงสั่นไม่หยุดก่อนจะหงายหน้าจอขึ้นมาดูชื่อผู้โทรเข้า
<< Doffy
>>
เมื่อเห็นชื่อที่คุ้นเคยโชว์หราอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนของเขาเขาก็กดรับสายและเอาสมาร์ทโฟนมาแนบหูโดยไม่พูดอะไร
โดยไม่รอช้าเจ้าของสายรีบกล่าวทักทายแบห้วนๆตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอตามแบบฉบับเจ้าตัว
‘ไง...หึๆ’
เสียงกวนประสาทดังกรอกหูเจ้าของสมาร์ทโฟนทง่าลอว์ยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติ่งและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
‘แกหายหน้าหายตาไปเลยนะ
3 วันนี้น่ะ เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง อกหักมารึไง? หึๆ’
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าแค่พูดกวนประสาทเพื่อหยอกเล่นๆเท่านั้นแต่ทำไมอยู่ๆในใจมันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมากันนะ...
แต่ก็ถูกต้องตามที่หมอนั่นพูดมานั่นล่ะ...เขาไม่ได้ออกจากห้องไปไหนมาสามวันแล้วอาหารหรือของกินก็ไม่แตะเลยแม้แต่ปลายเล็บ
ก็เจอเหตุการณ์แบบนั้นเข้าไป..เป็นใครใครก็ต้องรู้สึกเจ็บทั้งนั้นแหละ แล้วยิ่งอยู่ๆไปรุกเขาแบบนั้นจะยิ่งทำให้เขาเกลียดเอาน่ะสิ...
ลอว์สะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไปก่อนจะยกมือขึ้นยีผมสีดำขลับของตัวเอง
ทั้งๆที่พยายามลืมมาตลอดแต่กลับทำไม่ได้เสียที
ในหัวของเขามีเพียงใบหน้าหวานที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กคนนั้น...ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง
แต่...ในใจลึกๆแล้วเขาก็แอบเป็นห่วงหมอนั่นอยู่ไม่น้อย
ลูฟี่...จะเป็นยังไงมั่งนะ?
‘เฮ้ยๆ
อย่าเงียบสิวะ’ เสียงปลายสายดังกรอกหูลอว์อีกครั้งปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์
‘เออ ยังไงก็ช่างเถอะ ฉันแค่จะโทรมาบอกแกว่าฉันเห็นเสื้อกันหนาวสีเทาที่แกเคยบ่นว่าอยากได้อยากได้หนาที่ร้านพังค์
ช้าหมดอดไม่รู้ด้วยนะ หึหึหึ’
พูดจบก็กดตัดสายไปทันที
เป็นอันว่าบทสนทนาครั้งนี้เหมือนอีกฝ่ายจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า...
ลอว์วางสมาร์ทโฟนไว้ที่เดิมที่มันเคยวางอยู่แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงฝังร่างของตัวเองลงบนเตียงนุ่มก่อนจะเอาใบหน้าได้รูปนั่นฝังลงบนผ้าห่มหนาๆของตัวเอง
ในหัวก็พลางคิดถึงแต่เรื่องเมื่อสามวันก่อน ยิ่งพยายามลืมกลับยิ่งจำ
ยิ่งพยายามไม่คิดถึงกลับยิ่งคิดถึง ให้ตายสิ โลกนี้มันกลับตาลปัดไปหมดแล้วหรือไงนะ
ลอว์พลิกตัวนอนหงายเหม่อมองเพดานอันว่างเปล่าก่อนมือหนาสีแทนคู่เดิมจะยกขึ้นยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
หงุดหงิดตัวเองชะมัด...
เขาลุกออกจากเตียงเดินตรงไปยังโซฟายาวสีดำแล้วหยิบเสื้อกันหนาวสีเหลืองสลับดำที่พาดไว้กับพนักพิงและหมวกขนสัตว์สีขาวใบโปรดมาสวมก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้องโดยไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถกับกุญแจห้องที่ห้อยติดกันไว้มาด้วย
เขาติดสินใจแล้ว...ออกไปซื้อเสื้อกันหนาวสีเทาตัวนั้นก็ยังดีกว่านอนเป็นผักอยู่ในห้องนี้ล่ะนะ
ยังไงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัยนี่นา
อีกอย่าง...อยู่เฉยๆแบบนี้ก็มีแต่จะคิดเรื่องสามวันก่อนนั้นเปล่าๆ
ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็คงจะไม่แย่เท่าไหร่
เมื่อลอว์เปิดประตูห้องออกมาเขาก็ต้องพบกับข้าวกล่องจำนวนมากแขวนอยู่กับกลอนประตูจากข้างนอก
ซึ่งบางกล่องดูเหมือนจะเสียแล้ว...แต่บางกล่องก็ยังดูใหม่ๆอยู่
เขาเลือกที่จะไม่สนใจข้าวกล่องเหล่านั้นและเดินตรงไปยังลิฟท์โดยไม่ลืมที่จะล็อคประคูห้องก่อนไป
ไม่นานลิฟท์ก็มาหยุดอยู่ที่ชั้นล่างสุด ประตูลิฟท์เปิดออกช้าๆและทันทีที่มันเปิดออกมากพอจะให้เขาเอาตัวผ่านมาได้เขาก็รีบสาวเท้ายาวๆของตัวเองออกมาก่อนจะตรงไปยังลานจอดรถของคอนโดที่เขาอาศัยอยู่
รถบีเอ็มสีดำคันสวยมาจอดอยู่ที่ลานจอดรถใต้ดินของห้าง
ลอว์ก้าวลงมาจากรถและล็อคมัน ขายาวๆพาร่างของเขาตรงไปยังทางเข้าห้าง
ในหัวก็คิดแต่เรื่องเมื่อสามวันก่อนอย่างหยุดไม่ได้ อา..ทั้งๆที่ออกมาเพื่อลืมเรื่องนั้นแท้ๆแต่ก็ยังลืมไม่ได้
คิดได้อย่างนั้นคิ้วหนาของเข่ก็ขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง
หงุดหงิด..หงุดหงิดตัวเองชะมัด!
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ลืมไม่ได้เสียที
ไม่มีทาง...เขาไม่มีทางลืมเรื่องนั้นได้แน่ๆ...
ลอว์เดินไปตามทางในห้างโดยมีจุดมุ่งหมายคือร้านพังค์ที่มีเสื้อกันหนาวสีเทาตัวที่เขาอยากได้มาตลอดตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในแคตตาล็อกของนิตยาสารฉบับหนึ่ง
แต่ตอนนั้นเองสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเสียนี่...
เด็กหนุ่มร่างบางเจ้าของเรือนผมสีดำขลับ ดวงตากลมโตคู่สวยที่เข้ากับใบหน้าได้อย่าลงตัว
นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายราวกับท้องฟ้ายามราตรีที่ดารดาษด้วยดวงดาวนับล้าน ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อและพวงแก้มใสทั้งสองที่ขึ้นสีแดงจางๆบ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวา...
ลูฟี่ในเสื้อยืดสีแดงลายการ์ตูนกับกางเกงยีนส์สามส่วนที่เขามักจะใส่ประจำและหมวกฟางใบเก่าเป็นเอกลักษณ์กำลังยืนเลือกไอศกรีมพลางคุยกับพนักงานอย่างร่างเริงตามแบบฉบับเจ้าตัว
เด็กบ้า...คนเขาอุส่าห์เป็นห่วงแท้ๆ
แต่เห็นแบบนี้ก็โล่งใจขึ้นมาในระดับหนึ่งล่ะนะ ลอว์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
เขาดีใจที่ลูฟี่ไม่ได้คิดมากเรื่องสามวันก่อน...เหมือนเขา...
แต่ดีใจได้ไม่นานลอว์ก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่น ในใจก็รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาเสียอย่างนั้นราวกับถูกหยิกด้วยมือที่มองไม่เห็น เขาหันหน้าหนีไปอีกทางและลากขาวยาวๆของตัวเองออกจากตรงนั้น...
แน่ล่ะ
วันนั้นก็เกือบจะไปทำอะไรไม่ดีกับเขาแล้ว ไม่มีทางที่ลูฟี่จะอยากเห็นหน้าเขาอีกแน่ๆ...
ลูฟี่...จะต้องเกลียดเขาแน่ๆ...
“โอ่ยยยยย โทราโอะ!”
เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นไล่หลังมาทำเอาลอว์ถึงกับสะดุ้งเฮือกจนการก้าวเท้าของเขาถึงกับสะดุดไม่ครู่หนึ่ง
แต่ก็จำใจต้องเดินออกมา...เขาเม้มริมฝีปากอีกครั้งก่อนจะรีบสาวเท้าเร็วขึ้นกว่าเก่า
เสียงหวานเมื่อครู่หายไปแล้ว...ดีแล้วล่ะ...
นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงของเด็กนั่น
เขาจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอันสดใสนั่นอีก เขาจะไม่ได้เห็นดวงตาทอประกายนั่นอีก
เขา...จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกแล้ว...
อา...รู้สึกเจ็บยังไงก็ไม่รู้แฮะ...
“โทราโอะ!”
เสียงตะโกนของลูฟี่ดังขึ้นในระยะเผาขนทำเอาลอว์สะดุ้งเฮือกจนต้องหยุดการก้าวเท้าของตัวเองแต่ยังไม่ทันที่เขาจะหันไปหาต้นเสียงเจ้าตัวก็โผล่มาพร้อมกับถาโถมใส่เขาจากข้างหลังทพเอาร่างของทั้งสองล้มลงไปนอนกับพื้นเรียกสายตาจากคนรอบข้างให้หันมามองเป็นตาเดียว
ลอว์ส่งเสียงโอดครวญเบาๆในลำคอด้วยความเจ็บ ส่วนลูฟี่ที่นั่งทับร่างของลอว์อยู่ก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจทั้งๆที่คนที่ไม่พอใจน่ะควรจะเป็นฝ่ายที่กำลังถูกนั่งทับอยู่ตอนนี้ต่างหาก...
“ทำบ้าอะไรของนาย!?”
ลอว์ตะคอกพลางเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่กำลังนั่งทับเขาอยู่แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อพบกับใบหน้าหวานที่กำลังจ้องเขากลับด้วยดวงตากลมโตคู่สวย
ถึงแม้จะมีประกายความไม่พอใจอยู่ในแววตาคู่นั้นแต่มันก็ยังคงทอประกายไม่แพ้ดวงดาวบนท้องฟ้าเลยแม้แต่ดวงเดียว...
คิ้วบางทั้งสองขมวดเข้าชนกันมุ่น ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อบุ้ยออก
พวงแก้มใสทั้งสองข้างพองออกและขึ้นสีแดงจางๆบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“นายนั่นแหละที่ผิด!
ฉันตะโกนเรียกนายตั้งหลายรอบ ใครใช้ให้นายไม่ได้ยินฉันล่ะ!”
พูดจาเอาแต่ใจเสียจริง...
ลอว์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหน่ายๆให้กับความเอาแต่ใจของคนตรงหน้าแต่ก็ยอมแพ้แต่โดยดีเพราะเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะเอาชนะความเอาแต่ใจของลูฟี่ได้
“โอเคๆ ฉันผิดเอง
แต่ตอนนี้ลุกออกไปได้แล้ว...”
“โอ๊ะ จริงด้วย
ฉันนั่งทับนายอยู่นี่นา ‘โทษทีๆ ชิชิชิ”
ลูฟี่พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างและหัวเราะตามแบบฉบับเจ้าตัวก่อนจะลุกออกจากตัวอีกฝ่ายแต่โดยดีปล่อยให้ลอว์เป็นอิสระในที่สุด
ฝ่ายลอว์เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ลุกขึ้นปัดฝุ่นตามเนื้อตัวและเก็บหมวกขนสัตว์สีขาวที่หล่นอยู่ข้างๆขึ้นมาสวมโดยไม่ลืมที่จะจัดทรงให้มันเข้าที่
ลอว์มองใบหน้าระบายยิ้มของลูฟี่ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
แบบนี้สินะ...ที่เขาเรียกว่า ‘ปลง’ น่ะ...เพิ่งจะได้รู้ความหมายของคำนี้ก็วันนี้นี่แหละ
ลอว์ยังคงเดินต่อไปโดยมีจุดมุ่งหมายเดิมคือร้านพังค์แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเขามีเจ้าลิงตัวแสบที่เดินตามเขาเป็นเงาและคุยจ้อไม่หยุดตลอดเวลามาด้วยนี่สิ
ลูฟี่ยังคงคุยกับเขาปกติและยังยิ้ม หัวเราะราวกับเมื่อสามวันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆที่เกือบโดนเขา...
“โทราโอะ
นายเคยกินไอนี่รึเปล่า? ฉันว่ามันอร่อยมากเลยล่ะ...”
เสียงของลูฟี่ดังขึ้นปลุกลอว์ให้ตื่นจากภวังค์
ลอว์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
เขาหันไปมองลิงตัวแสบที่กำลังสาธยายเรื่องของกินอย่างไม่รู้จบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
แต่แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันช้าๆเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้...
ลูฟี่ไม่ชอบอยู่คนเดียว? ดูจากพฤติกรรมของลูฟี่ในวันแรกที่เจอกันในสวนสาธารณะก็รู้แล้วว่าเขาไม่ชอบอยู่คนเดียว
แต่เท่าที่เห็นเมื่อกี้ลูฟี่อยู่ที่ร้านไปศกรีมคนเดียวนี่...เป็นไปไม่ได้แน่ๆที่หมอนี่จะมาคนเดียวน่ะ
หรือว่าถูกพี่ชายสองคนนั้นทิ้งอีกแล้ว..?
“นายมาคนเดียวหรอ?”
ลอว์ถามออกไปอย่างอ้อมๆแม้ในใจจะเป็นห่วงคนตัวเล็กใจแทบขาดแต่เพราะไม่อยากให้เขารู้จึงทำได้เพียงถามออกไปอ้อมๆแบบนั้น
ในใจก็คิดว่าถ้าถามไปตรงๆยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่รู้หรอก...ก็ซื่อบื้อซะขนาดนี้นี่
แต่เพลย์เซฟไว้ก่อนคงจะดีกว่า
ฝ่ายลูฟี่ที่กำลังคุยจ้ออยู่ก็ต้องหยุดการกระทำของตัวเอง
เขากระพริบตาปริบๆมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง
“อ๋อ ไม่ใช่หรอก
จริงๆฉันมากับนามิและอุซปปน่ะ แต่ดันหลงกันซะได้นี่ ชิชิชิ”
ก็สมกับเป็นหมอนั่นแหละนะ...
ลอว์ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆแต่ก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อปล่อยให้อีกฝ่ายคุยจ้อต่อไปอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแหละนะ...ช่วงสามวันมานี้ไม่มีเสียงแบบนี้มาคอยกวนเขาเลย รู้สึกเคว้งๆยังไงชอบกลเหมือนกัน
ไม่กี่นาทีต่อมาฝีเท้าของทั้งสองก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าจุดหมาย...ร้านพังค์
มันเป็นร้านที่ไม่ใหญ่หรือโดดเด่นอะไรมากนักและถูกตกแต่งด้วยโทนสีเทาเรียบๆดูอึมครึมเล็กน้อยแบบเดียวกันกับห้องนอนของลอว์
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าแต่ลอว์มาเจอร้านนี้หลังจากที่เขาแต่งห้องของตัวเสร็จได้ไม่นาน
แม้ราคาของเสื้อแต่ละตัวนั้นจะแพงหูฉี่แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด
เขามักจะมาร้านนี้กับโคราซอนบ่อยๆ มันเป็นร้านประจำของเขา
ไม่รอช้าลอว์ตรงปรี่ไปยังเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีเทาที่แขวนเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบบนราวแสตนเลสก่อนจะหยิบมันขึ้นดูอย่างไตร่ตรองแล้วนำมาทาบกับร่างของตนทีละตัวๆเพื่อหาขนาดที่พอดีตัว
“ทำไมนายไม่ลองล่ะ?
ทาบไปแล้วมันได้อะไรเล่า”
เสียงใสที่คุ้นเคยดังขึ้นเป็นเรื่องปกติของลูฟี่ที่เสียงมักจะมาก่อนตัวเสมอ แล้วลูฟี่ก็โผล่มาพร้อมกับมือบางทั้งสองที่ประสานกันไว้หลังหัว
“เดี๋ยวฉันช่วย ชิชิชิ”
ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้างที่กว้างจนแทบจะไปถึงใบหูทั้งสองก่อนจะหยิบเสื้อกันหนาวในมือหนาของอีกฝ่ายไปไว้ในมือของตัวเองอย่างถือวิสาสะ
เขาจัดการใส่มันให้ลอว์ทีละตัวๆซึ่งลอว์ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เขายืนอยู่นิ่งๆให้อีกฝ่ายจัดการกับเสื้อผ้าอาภรของตนราวกับภรรยาที่กำลังจัดชุดสูทให้สามีก่อนไปทำงานทุกเช้าที่มักจะพบเห็นกันในหนังบ่อยๆ
อยากทำหน้าที่ภรรยามากรึไงนะ...? เดี๋ยวก็จับทำภรรยาเสียจริงๆเลยนี่...
“อ๊ะ ตัวนี้พอดีตัวเลย”
ลูฟี่พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งเรียกลอว์ให้หลุดจากภวังค์ เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงงๆซึ่งลูฟี่ก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับแบบไร้เดียงสาตามแบบฉบับเจ้าตัว
“นี่ไง
ตัวนี้พอดีตัวเลย ไม่เชื่อก็ลองส่องกระจกดูสิ”
ลอว์ทำตามที่ลูฟี่บอก
เขามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก่อนจะบิดตัวไปมาเพื่อสำรวจว่ามันพอดีตัวอย่างที่อีกฝ่ายว่าหรือเปล่า
และก็ต้องพบว่ามันพอดีตัวอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ
แต่ดูเหมือนที่แขนเสื้อจะมีด้ายหลุดออกมานิดหน่อยแฮะ
“แต่ตัวนี้มันมีด้ายหลุดออกมานะ”
“หือ? จริงด้วย
งั้นเปลี่ยนตัวดีกว่า”
ลูฟี่พูดก่อนจะถอดเสื้อออกให้ลอว์แล้วเอามันใส่ไม้แขวนเสื้อไปแขวนไว้ที่เดิม
เขาหาเสื้อกันหนาวอีกตัวบนราวที่มีขนาดเดียวกันกับตัวนั้นและเมื่อเจอก็หยิบมันมาให้ลอว์อีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“อ่ะ ตัวนี้แหละ
คราวนี้ไม่พลาดแน่”
ลูฟี่พูดพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย
ลอว์หยิบเสื้อมาจากมือลูฟี่และเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานหนุ่มน่าตาดีไม่แพ้ยืนประจำการอยู่
หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เดินออกจากร้านเสื้อผ้า
ลอว์ถูกลูฟี่ลากไปร้านนู้นร้านนี้เรื่อยเปื่อยซึ่งมีหรอที่ลอว์จะเอาชนะความเอาแต่ใจของลูฟี่ได้น่ะ...ไม่มีทางซะล่ะ
ร้านที่ลูฟี่พาเขาเข้าไปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่ขายพวกอาหารหรือขนมเสียมากกว่า
แน่นอนว่าคนที่ออกค่าใช้จ่ายก็เป็นเขาทั้งหมดนั่นแหละ...
เดินไปได้ไม่นานสายตาเจ้ากรรมของเขาก็เหลือบไปเห็นร้านเล็กๆในตรอกร้านหนึ่ง..
“โทราโอะๆ
ตรงนั้นมีร้านขายปลาด้วยล่ะ”
ลูฟี่ที่กำลังเคี้ยวขนมหยุบๆอยู่เต็มปากกระตุกเสื้อลอว์เบาๆมืออีกข้างก็พลางชี้ไปที่ร้านนั้น
โดยไม่รอช้าลูฟี่รีบลากอีกฝ่ายตรงไปยังร้านนั้นทันที
ภายในร้านถูกประดับด้วยโคมไฟหลากสีที่ถูกห้อยลงมาตามผนังร้าน
ตรงกลางร้านมีโคมไฟระย้าสีสันสวยงามห้อยอยู่ดูตระการตา ตามชั้นมีตูปลา อาหารปลายี่ห้อต่างๆและของตกแต่งตู้ปลาวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ
ในร้านมีปลาเยอะพอสมควร มีทั้งปลาที่ลอว์เคยเห็นและไม่เคยเห็นมาก่อน
ส่วนลูฟี่ก็เดินสำรวจดูตู้ปลาต่างๆอย่างตื่นเต้นราวกับเด็กตัวน้อยๆที่เพิ่งมาซื้อปลาครั้งแรก
สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่ลอว์ได้ปลามาสามตัว
แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือเขาหรอก...ลูฟี่ตัดสินใจเลือกปลามาสามตัวโดยบอกว่าจะให้ลอว์เลี้ยง
แม้ตอนแรกเขาจะปฏิเสธหัวชนฝาแต่มีหรือที่คนอย่างลูฟี่จะยอมน่ะ...
ลอว์ถือตู้ปลาใบใหญ่เต็มทั้งสองมือภายในตู้ปลาที่ยังไม่ได้รับการทำความสะอาดมีอาหารปลาหนึ่งถุง
ของตกแต่งตู้ปลา และปลาสามตัวที่ถูกใส่ไว้ในถุงที่มีน้ำวางไว้
เขาทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆให้กับความเอาแต่ใจแบบเด็กๆของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่เคยจะปฏิเสธอีกฝ่ายได้เลยสักครั้งเดียว
ให้ตายสิ...น่าโมโหตัวเองชะมัด
“ว้าว
ห้องโทราโอะใหญ่จังเลยน้า~”
ลูฟี่พูดในขณะที่ตรงปรี่ไปทิ้งตัวลงบนเตียงของลอว์อย่างไม่มีความเกรงใจ
ฝ่ายลอว์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป
ลอว์ถอดรองเท้าออกและเตะมันทิ้งให้วางกระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบด้วยความเคยชินก่อนจะเดินไปวางตู้ปลาไว้บนโต๊ะกระจกใสที่ยังว่างอยู่โดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้อง
เขามองเด็กชายตรงหน้าที่กำลังนั่งแกว่งขาไปมาพลางฮัมเพลงอย่างสบายใจเฉิบโดยไม่พูดอะไร
ตอนแรกเขากะไว้แค่ว่าจะไปซื้อเสื้อกันหนาวที่ตัวเองอยากได้เท่านั้นแต่ทำถึงมาลงเอยอย่างนี้ได้นะ...เขาได้ปลากัยมาเลี้ยงให้เป็นภาระเพิ่มสามตัวกับลิงตัวแสบที่มานั่งเล่นอยู่ในห้องเขาโดยที่ไม่มีความเกรงกลัวหลังจากเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน!
“นี่ๆ โทราโอะ
ใส่น้ำแล้วเอาปลาใส่เลยสิ”
ลูฟี่พูดพร้อมกับเด้งตัวออกจากเตียงและเดินตรงปรี่มายังตู้ปลาที่ตั้งอยู่
เขามองปลาตัวน้อยๆสามตัวที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในถุงเล็กๆใบนั้นอย่างตื่นเต้น
ลอว์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะดีดหน้าผากอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง
“โอ๊ย!
มันเจ็บนะ!”
“ใครเขาทำกันแบบนั้นล่ะ
เขาต้องล้างตู้ก่อนต่างหาก”
ลอว์พับแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอกเผยให้เห็นรอยสักตรงแขนที่ก่อนหน้านี้เคยถูกซ่อนเอาไว้ใต้เสื้อที่เขาสวมอยู่
เขายกตู้ปลาไปวางไว้ในห้องน้ำก่อนจะจัดการทำความสะอาดมันโดยใช้ฝักบัวฉีด
ส่วนลูฟี่ก็ทำได้แค่มองดูและให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง
หลังจากที่ทำความสะอาดตู้ปลาเป็นอันเรียบร้อยแล้วเขาก็ยกตู้ปลาไปวางไว้ที่เดิมและเริ่มใช้ผ้าแห้งเช็ดมัน
ลูฟี่บอกว่าเขาจะเป็นคนตกแต่งตู้ปลา
ลอว์ก็ไม่ได้ขัดอะไรเขาไม่ค่อยชอบขั้นตอนนี้มากนักอยุ่แล้วจึงปล่อยให้หน้าที่นี้ตกเป็นของลูฟี่ไป
แม้มันจะออกมาดูเละๆไปเสียหน่อยแต่ด้วยความที่ไม่อยากไปขัดความตั้งใจของอีกฝ่ายเขาจึงไม่คิดจะตกแต่งใหม่
ลอว์ค่อยๆเทน้ำลงไปทีละนิดเพื่อไม่ให้ของต้นไม้และสาหร่ายปลอมที่วางลงไปก่อนหน้านี้ล้มลง
เมื่อจัดการเทน้ำลงไปเสร็จสรรพเขาก็ปล่อยปลาสามตัวนั้นลงไปทันที
“ว้าว~~”
ลูฟี่ที่เกาะตู้ปลาอยู่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนจะแนบหน้าลงกับตู้กระจกราวกับเด็กน้อยไม่มีผิด..
ลอว์ที่นั่งอยู่บนเตียงมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ทั้งๆที่บอกว่าเหนื่อยใจแท้ๆแต่...ในใจมันกลับรู้สึกโล่งๆแปลกๆ
อบอุ่น...ราวกับมีดอกไม้ดอกใหญ่กำลังบานสะพรั่งอยู่ในใจของเขา อา...
ไม่ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้หรือได้อยู่ใกล้เด็กคนนี้เขามักจะอยากได้ยินเสียงหัวเราะและอยากเห็นรอยยิ้มนั่นเสมอ...ทำไมกันนะ...
ลอว์ดีใจที่อีกฝ่ายยังคงร่าเริงเหมือนปกติ เขาอยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป
เขาอยากเห็นใบหน้าไร้เดียงสานั่น เขาอยากได้ยินเสียงหัวเราะอันสดใสนั่น เขาอยากเห็นรอยยิ้มที่ทำให้ดอกไม้บานได้และดวงตาคู่สวยคู่นั้นที่ทอประกายไม่แพ้ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน...ตลอดไป
และก็เป็นอีกครั้งที่มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มในองศาเล็กๆอย่างควบคุมไม่ได้
“อ๊ะ จริงสิ
โทราโอะ ข้าวกล่องที่ห้อยไว้หน้าห้องนายนั่นทำไมมันเยอะจัง นายไม่กินเลยหรอ?”
ลูฟี่ละความสนใจจากตู้ปลาเขาหันมาหาลอว์พร้อมเอียงคอมองอีกฝ่าย
“อย่าไปสนใจเลยมันเสียหมดแล้ว”
ลอว์ตอบข้อข้องใจของอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้นยืน “ว่าแต่..นายไม่กลัวรึไง?
ใครเขาใข้ให้เข้าบ้านของตนแปลกหน้ากัน?”
โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าที่เกือบจะข่มขืนตัวเองน่ะ...
“บ่นอะไรของนาย”
ลูฟี่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจังคิ้วบางทั้งสองก็พลางขมวดเข้าชนกันมุ่น “นายน่ะ...ไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย”
ลูฟี่ตอบก่อนจะหันมายืนประจันหน้ากับลอว์ มือบางๆข้างหนึ่งก็พลางยกขึ้นจับหมวกฟางใบเก่าที่สวมอยู่ราวกับกลัวมันจะปลิวหายไปเสียตรงนั้น
‘♫~’
สมาร์ทโฟนในกระเป๋าของลูฟี่แผดเสียงบ่งบอกว่ามีคนโทรเข้า
เขาสะดุ้งเล็กน้อย
มือบางก็ตะปปกระเป๋ากางเกงสามส่วนที่ใส่อยู่ก่อนจะล้วงมือลงไปหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นขึ้นมาดู
ทันทีที่เห็นชื่อคนโทรเข้าที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอใบหน้าจริงจังของเขาเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเหยเกบอกบุญไม่รับสุดๆแทน
เขากดรับสายก่อนจะยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู
‘ลูฟี่!!! นายอยู่ไหนเนี่ย!
อุซปปโทรมาบอกว่านายหายไปเป็นชั่วโมง หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ โทรไปก็ไม่รับ!’
เสียงทุ้มต่ำแบบผู้ชายดีงทะลุลำโพงสมาร์ทโฟนออกมาจนลอว์สามารถได้ยินชัดแจ๋วทุกคำโดยไม่ต้องแม้แต่จะเงี่ยหูฟังเลยแม้แต่น้อย
ให้เดาคงจะเป็นคนผมดำสินะ..
“จ..ใจเย็นๆน่า...”
ลูฟี่ตอบพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ
‘นายอยู่ไหน?!’
“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันอยู่กับโทราโอะ..”
‘อะไรนะ!? นายอยู่กับหมอนั่นหรอ? ที่ไหน!?’
“คอนโดของ..”
‘นายอยู่คอนโดของหมอนั่นหรอ!? คอนโดไหน?’
ลูฟี่หันมามองหน้าลอว์และกำลังจะอ้าปากถามแต่ลอว์ที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดมาตั้งแต่เริ่มรีบชิงตอบก่อนทันที
“ซาบาวดี้”
“ซาบาวดี้”
ลูฟี่ที่ได้รับคำตอบมาอย่างนั้นก็บอกพี่ชายของตัวเองไป
‘ฉันจะไปรับนายเดี๋ยวนี้แหละ!’
เมื่อคำพูดสุดท้ายของผู้เป็นพี่จบลงลูฟี่ก็กดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่มีการกล่าวทักทายหรือไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรต่อ
ลอว์เองก็อดสงสัยไม่ได้..ทั้งๆที่วันนั้นเขาเกือบจะข่มขืนหมอนั่นแท้ๆแต่ลูฟี่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆที่วันนั้นยังตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่เลยแท้ๆ
อา...นึกถึงก็ชักจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วสิ...ไม่ได้!
ห้ามทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด!
ควบคุมตัวเองหน่อย...ลอว์ได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไป
แต่...พูดถึงก็รู้สึกอยากลองอะไรบางอย่างขึ้นมาเลยแฮะ...
“อะไรของหมอนั่น..ทำไมต้องโวยวายขนาดนั้นด้วยนะ..”
ลูฟี่พูดก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆแล้วจัดการยัดสมาร์ทโฟนของตัวเองกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงยังที่ที่มันเคยอยู่อีกครั้ง
ไม่เห็นจะเข้าใจเลยทำไมต้องโวยวายด้วยนะ เขาก็แค่อยู่กับลอว์เท่านั้นเอง
ซาโบยังไม่เห็นจะโวยวายสักแอะเลย...แต่ก็คงเป็นเรื่องปกติของเอสละมั้ง
เมื่อนึกได้ลูฟี่ก็หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาดูเวลาอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้สี่โมงกว่าๆใกล้จะห้าโมงเต็มทีแล้ว
บางทีเขาน่าจะลงไปรอเอสข้างล่างอาจจะดีกว่า
“โทราโอะ
ฉันจะไปรอเอสข้างล่า..”
พูดไม่ทันจบเขาก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆลอว์ก็พุ่งมาหาเขาและผลักเขาจนชิดกับกำแพง
ทันใดนั้นภาพเมื่อสามวันก่อนก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาและฉายซ้ำไปซ้ำมา
ใช่แล้ว...ไม่ใช่ว่าเขาลืมหรอกนะ...เขาจำมันได่ดีเลยต่างหากล่ะ
นั่นเป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขาเต้นเร็วขนาดนั้น
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจู่โจมเขารุนแรงและเร็วไปหน่อยเขาเลยกลัว...
วันนี้เขาคงไม่...
ลูฟี่เม้มริมฝีปากแน่นและรวบรวมความกล้าทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
แววตาของชายตรงหน้าไม่ใช่แบบสามวันก่อน...มันเป็นแววตาที่อบอุ่น อ่อนโยน
ไม่มีความดุร้ายหรือรุนแรงแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย...
ลูฟี่ไม่อาจละสายตาจากนัยน์ตาสีเทาหินโมราคู่นั้น
สรรพเสียงรอบกายพลันอื้ออึงอย่างไร้เหตุผล ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะราวกับว่ามีคนกำลังตีกลองสะบัดชัยแข่งกันอยู่ในอกของเขา
ลอว์ค่อยๆก้มหน้าลงมาหาใบหน้าหานของอีกฝ่ายจนจมูกทั้งสองชนกัน
วินาทีนั้นลูฟี่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ทั้งห้องเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่เต้นจนเกือบจะหลุดออกมาจากหน้าอกเสียตรงนั้น
แล้วริมฝีปากบางๆของลอว์ก็ประกบลงบนริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อของลูฟี่อย่างอ่อนโยน
หวาน...นอกจากหวานแล้วยังเป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและอบอุ่นเหลือเกิน...
ลูฟี่หลับตาลงช้าๆลิ้มรสความหวานจากริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย
แต่เขาก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อลอว์เอื้อมมือมาจับท้ายทอยของเขา
สอดนิ้วมือมาตามเรือนผมสีดำขลับอันยุ่งเหยิงแล้วลิ้นร้อนของอีกฝ่ายก็ถูกส่งเข้ามาในปากของลูฟี่อย่างอ่อนโยน
อา...หวาน...
ก่อนที่ลมหายใจของลูฟี่จะหมดลงลอว์ก็ถอนจูบออกอย่างติดเสียดายนิดๆ
ลูฟี่ได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้ามึนๆที่แดงก่ำราวกกับลูกตำลึงสุก ริมฝีปากอวบอิ่มก็อ้าหอบถี่
เมื่อเห็นอย่างนั้นลอว์ก็ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตรงหน้าทุกเมื่อ
เขาเลียริมฝีปากตัวเองช้าๆ
“คราวนี้ไม่ดิ้นด้วยแฮะ”
ลอว์พูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์จบ
ลูฟี่ก็พระพริบตาปริบๆมองอีกฝ่ายอย่างงงๆและทันทีที่ตั้งสติได้ใบหน้าที่แดงก่ำของเขาก็แดงก่ำขึ้นกว่าเดิม
“ท..ท..โทราโอะบ้า!
คนผีทะเล! ไอหมอปล้นสวาท!”
พูดพร้อมกับทุบอกกว้างของอีกฝ่ายไปแรงๆหนึ่งทีแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้รับแรงกระทบกระเทือนนั่นเลยแม้แต่น้อยและเขายังพอใจยิ่งกว่าเก่าเสียอีกที่เห็นใบหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย
ลอว์รวบมือทั้งสองของลูฟี่ไว้ด้วยมือข้างเดียวของเขาแล้วก้มฝังจมูกโด่งเป็นสันลงบนแก้มใสของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ
“เอาล่ะ
รีบๆกลับไปได้แล้ว ก่อนที่มันจะค่ำไปกว่านี้”
ลอว์ปล่อยลูฟี่ให้เป็นอิสระจากพันธนาการในที่สุดซึ่งลูฟี่เองก็รีบถอยออกห่างจากลอว์แล้วใช้นิ้วดึงเปลือกตาล่างของตัวเองลงข้างหนึ่งพลางแลบลิ้นใส่อีกฝ่าย
ลูฟี่ปิดประตูใส่ลอว์ก่อนจะเดินลงไปข้างล่างของคอนโดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ให้ตายสิๆ
คนบ้าเอ๊ย..ขโมยจูบแรกไปแล้วยังจะมาขโมยจูบกันอีกรอบหรอเนี่ย...ไอหมอหัวขโมย!
- to be continue -
ความคิดเห็น