ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] : (One Piece) Law x Luffy คุณหมอเย็นชากับนายตัวแสบ!!

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 59


    CR.SHL

    - Chapter 4 –

     

                “ไอพี่บ้า! มันใช่เวลามาห่วงนอนที่ไหนล่ะ!!

     

                ลูฟี่ได้แต่นั่งโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียงของตัวเองไม่วายต่อว่าพี่ชายที่บุกเข้ามาในห้องเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนด้วยความน้อยใจ แน่นอนล่ะ...มีพี่ที่ไหนเขาห่วงการนอนมากกว่าน้องตัวเองกันล่ะ

     

    สองมือบางๆของลูฟี่กุมเข่าทั้งสองที่แดงผากและบวมเปล่งอย่างน่าใจหายด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนแผลที่เข่าทั้งสองจากเมื่อวานจำทำพิษมากกว่าที่คิด...

     

                ในที่สุดเอสก็ตัดสินใจจะพาน้องชายของตัวเองไปหาหมอเพื่อรักษาอาการป่วยจากพิษบาดแผล แต่เพราะน้องชายตัวแสบของเขาดันไม่ชอบไปหาหมอน่ะสิเลยดื้อด้านบอกเขาให้ไปซื้อยาที่เภสัชแทน

     

    ก็เพราะขี้เกียจต่อคิวยาวๆแถมลูฟี่เองก็ไม่ชอบกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่มักจะมากับคุณหมอหรือนางพยาบาลด้วยสิ...ต่อคิวก็ต้องรอตั้งนานอีกต่างหาก คนอย่างเขามีหรือจะอยู่นิ่งๆได้น่ะ มีแต่จะไปหาเรื่องปวดกะบาลมาให้พี่ชายทั้งสองมากกว่าล่ะสิไม่ว่า

     

    มีน้องชายไม่เอาไหนแบบนี้มันน่าปวดหัวจริงๆนั่นแหละ...

     

                เอสพามือหนาๆของตัวเองไปคว้าสมาร์ทโฟนของตัวเองก่อนนิ้วเรียวยาวจะจิ้มลงบนหน้าจอละเลงกดตัวเลขสิบหลักอย่างชำนาญแล้วยกสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมขึ้นมาแนบหู

     

                เขาโทรบอกซาโบเรื่องแผลที่เข่าของน้องชายตัวแสบที่ดูเหมือนจะทำพิษกว่าที่คิด

     

                เพียงไม่กี่อึดใจรถสปอร์ตสีขาวของคุณพี่ชายผมบลอนก็มาจอดเทียบท่าอยู่หน้าบ้านของทั้งสองทันที ตามมาด้วยร่างของซาโบที่ก้าวลงมาจากรถและตรงมาหาน้องชายของตัวเองด้วยความร้อนรนแต่ไม่ลืมที่จะล๊อครถเสียก่อน

     

                “ลูฟี่! นายไม่เป็นไรนะ!? รีบไปหาหมอกันเถอะ”


                “ไม่เอาอ่ะ ฉันไม่อยากไปหาหมอนี่ แค่ไปซื้อยามาทาเดี๋ยวก็หายแล้ว”

     

                ลูฟี่ตอบพี่ชายของตนไปอย่างนั้น ทั้งซาโบและเอสยังคงยืนกรานอยากจะให้น้องชายของพวกเขาไปหาหมอเพื่อที่แผลจะได้หายเร็วๆ

     

    แต่มีหรือที่คนเอาแต่ใจอย่างลูฟี่จะยอมน่ะ...

     

                สุดท้ายแล้วพี่น้องทั้งสามชีวิตก็มาจบอยู่ที่รถสปอร์ตสีขาวสะอาดตาของซาโบและกำลังมุ่งหน้าไปยังห้างที่อยู่ใกล้บ้านของพวกเขามากที่สุดเพื่อที่จะซื้อยาให้ลูฟี่และของใช้ภายในบ้านทั้งหลายแหล่

     

                ใช้เวลาไม่นานทั้งสามชีวิตก็มาถึงจุดมุ่งหมาย เอสก้าวลงจากรถฝั่งเบาะข้างคนขับก่อนจะลงมาเปิดประตูให้น้องของตนที่นั่งอยู่เบาะหลังและพยุงให้ลุกขึ้นเดินอย่างระมัดระวัง

     

    ฝ่ายซาโบเมื่อเห็นว่าพี่ชายและน้องชายของตัวเองก้าวลงจากรถเป็นอันเรียบร้อยแล้วก็บึ่งรถออกจากตรงนั้นตรงไปยังลานจอดรถทันที

     

                เอสพาน้องชายของตนมุ่งหน้าไปยังร้านขายยาก่อนเป็นอันดับแรก

     

           เมื่อถึงจุดหมายสิ่งแรกที่เอสทำคือลากน้องชายตัวแสบของตัวเองไปที่เก้าอี้แล้วสั่งให้นั่งรอนิ่งๆจนกว่าจะเลือกยาได้ แต่แน่ล่ะ...คนอย่างลูฟี่เนี่ยนะจะอยู่นิ่งๆน่ะ...ไม่มีทางซะละ

     

    ซาโบที่จอดรถเสร็จเดินตามเข้ามาก่อนจะตรงไปยังน้องชายตัวเองด้วยท่าทางเป็นห่วง

     

    เภสัชกรสาวผู้ใจดีใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเลือกยาให้กับลูฟี่ จึงทำให้การมาซื้อยาให้น้องชายตัวแสบของพวกเขาไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คิด ซึ่งนั่นก็ดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นลูฟี่จะต้องหาเรื่องปวดหัวมาให้พี่ชายทั้งสองของเขาอีกแน่..ต้องขอบคุณเภสัชกรสาวคนนั้นจริงๆ...

     

                หลังจากซื้อยาเป็นอันเรียบร้อยแล้วเอสและซาโบก็ลากน้องชายของพวกเขามาที่ร้านไอศกรีมและบอกให้ลูฟี่นั่งรอจนกว่าพวกเขาจะซื้อของเสร็จแล้วพวกเขาจะกลับมารับ


    ลูฟี่(จำใจ)ยอมทำตามที่พี่ชายทั้งสองสั่งในรอบปีเพราะขาของเขาเจ็บต่อให้ไม่ยอมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

     

                เขานั่งอยู่ข้างในสุดของร้านที่ติดกับกระจกเนื่องจากโต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว

     

                ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆที่ถูกตกแต่งสไตล์ยุโรปโบราณ ชื่อร้านถูกเขียนด้วยภาษาอังกฤษตัวโตและถูกวาดด้วยลวดลายเถาวัลย์กับดอกกุหลาบ ทั้งร้านถูกล้อมรอบด้วยกระจกใส เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ทำจากไม้และเป็นโทนสีอ่อนดูสบายตา จะเว้นก็แต่พื้นที่ทำจากไม้มะฮอกกะนีสีเข้มสะดุดตา

     

    ระหว่างนั่งรอไอศกรีมมาเสริฟลูฟี่ก็ได้แต่มองดูเหล่าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็มากับครอบครัว บ้างก็มากับคู่รัก บ้างก็มากับเพื่อนฝูง บ้างก็มาคนเดียว...

     

    นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้น่าเบื่อจริงๆ..

     

    ตอนนั้นเองดวงตากลมโตคู่สวยก็เหลือบไปเห็นร่างสูงที่คุ้นเคย...ทั้งผิวสีแทน ทั้งรอยสักที่เป็นโผล่พ้นออกมาจากเสื้อผ้า ทั้งหมวกขนสัตว์สีขาวที่เป็นเอกลักษณ์ เขารู้จักคนคนนี้...

     

    ลูฟี่ยกยิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ในใจกลับดีใจแปลกๆที่ได้เจอกันอีกครั้ง...ทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวแท้ๆ

     

    เขายกมือบางๆของตัวเองขึ้นเคาะกระจกไปสองสามที แต่ดูเหมือนร่างสูงจะยังไม่ทันสังเกตเห็นเขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียกออกไป

     

    ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้ลอว์ต้องหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคยนั้น และก็เป็นอย่างที่คิด...

     

    เขาเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น...เด็กหนุ่มที่ทำให้เขายิ้มได้ในรอบปีทั้งๆที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตากลมโตที่ใสซื่อ เด็กหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันสดใส เด็กหนุ่มเจ้าของหมวกฟางใบเก่าๆใบนั้น

     

                ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้างให้ลอว์อย่างทุกครั้งก่อนจะกวักมือเรียกเป็นเชิงให้เขาไปหา ลอว์ชะงักไปสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วยกมือหนาขึ้นกุมขมับ


    แต่ถึงกระนั้นก็ยอมทำตามที่คนตัวเล็กว่าแต่โดยดี

     

                เสียงส้นจากรองเท้าหนังสีดำราคาแพงที่ลอว์มักจะใส่ประจำดังกระทบกับผิวไม้มะฮอกกะนีสีเข้มใกล้เข้ามาหาโต๊ะของลูฟี่เรื่อยๆ

     

    ลอว์มาถึงโต๊ะของลูฟี่โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที เขาหย่อนก้นตัวเองลงบนเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้ามลูฟี่

     

                “โย่ นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ”

     

                ลูฟี่ทักทายพร้อมคำถามพลางฉีกยิ้มบางๆ ดวงตากลมโตอันใสซื่อบริสุทธิ์นั่นช่างเข้ากับใบหน้าหวานนั่นได้ดีราวกับกิ่งทองใบหยก คงจะทำให้ใครหลายๆคนใจละลายได้อย่างง่ายๆเลยล่ะ...

     

                ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างสูงตรงหน้า ลอว์ยังคงนิ่งเงียบและซ่อนนัยน์ตาสีเทาหินโมราไว้ใต้ปีกหมวกอย่างครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน

     

                “บู่ บอกหน่อยก็ไม่ได้” ลูฟี่ได้แต่ทำหน้ามุ่ยด้วยความน้อยใจ

     

                ไอศกรีมที่ลูฟี่สั่งถูกยกมาวางอยู่ตรงหน้าโดยพนักงานเสริฟสาวสวย หลังจากเสริฟเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็เดินออกไปทำหน้าที่ของเธอต่อ ลูฟี่เองก็ทำหน้าที่ของเขาเช่นกัน เขาจัดการสวาปามไอศกรีมตรงหน้าทันที

     

    ลอว์มองลูฟี่กินไอศกรีมอย่างเงียบๆ แต่แล้วคิ้วหนาของเขาก็พลันขมวดเข้าหากันมุ่นเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้...ลูฟี่เจ็บเข่า? เขาไม่ควรจะมาเดินห้างแบบนี้ไม่ใช่หรือไง? เขาควรจะพักผ่อนอยู่บ้านหรือไม่ก็ไปหาหมอแล้วแผลที่เข่าเองก็อาจจะอักเสบได้


                “นายเจ็บเข่าไม่ใช่รึไง? ทำไมมาเดินห้างแบบนี้?”

     

                เสียงทุ้มต่ำของลอว์เรียกให้ลูฟี่เงยหน้าขึ้น ลูฟี่กระพริบตาปริบๆพลางมองหน้าลอว์อย่างงงๆก่อนจะเลียคราบไอศกรีมที่เลอะริมฝีปาก

     

                “อื้อ ก็นั่นแหละ ดูเหมือนมันจะอักเสบอย่างที่นายว่าจริงๆนะสิ” ลูฟี่พูดก่อนจะก้มลงจัดการกับไอศกรีมของตัวเองต่อ “ก็เลยมาซื้อยานี่ไงล่ะ”

     

                ลอว์ไม่ตอบอะไรเขามองดูลูฟี่จัดการกับไอศกรีมของเขาอย่างเงียบๆ ลูฟี่เองเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มเงียบอีกครั้งก็ละความสนใจจากไอศกรีมตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย


    คิ้วหนาของลอว์ขมวดกันมุ่นจนเป็นปม นัยน์ตาสีเทาหินโมราคู่สวยกำลังจ้องเขม็งมาที่ลูฟี่อย่างครุ่นคิด ทำเอาลูฟี่ถึงกับขนลุกซู่กับใบหน้าที่แสนจะน่ากลัวของอีกฝ่ายเลยทีเดียว


    ไม่มีใครพูดอะไรอีก ไม่มีคำพูดหรือแม้แต่เสียงหายใจเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของทั้งสอง ความเงียบเกาะกุมบรรยากาศรอบๆจนน่าอึดอัด เงียบ...เงียบจนลูฟี่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ เขาหลุบตาลงเพื่อหลบตาชายตรงหน้าพลางยิ้มแห้งๆทว่าความอึดอัดก็ยังคงไม่จากไปไหน


                 "นี่ โทราโอะไม่กินหรอ?"


                 สุดท้ายลูฟี่ที่เป็นฝ่ายทนกับความเงียบอันแสนจะกระอักกระอ่วนต่อไปไม่ไหวก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกไปแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

     

    ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของลูฟี่เลยก็ว่าได้ที่มีของกินวางอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่กลับกินไม่ลงเสียอย่างนั้น

     

    ลูฟี่ได้แต่ก้มหน้าเงียบไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย เหงื่อเม็ดใสผุดขึ้นมาบนใบหน้าหวานอย่างควบคุมไม่ได้ ริมฝีปากอวบอิ่มยังคงยกเป็นรอยยิ้มอย่างฝืนๆ มือบางๆจับช้อนไอศกรีมไว้แน่นจนมือแฉะไปด้วยเหงื่อ ให้ตายสิ...อึดอัดเป็นบ้า

     

                “ขอดูยาที่ซื้อหน่อยสิ”


                ลอว์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่ง ฝ่ายลูฟี่ก็ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างงงๆแต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบหยิบถุงพลาสติกสีขาวที่มีชื่อร้านขายยาเขียนติดอยู่ขึ้นมาและยื่นให้กับอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

     

    เมื่อลอว์เห็นลูฟี่ยื่นถุงพลาสติกที่บรรจุยาที่ซื้อมา เขาก็รีบยื่นมือไปรับก่อนจะเอามาเปิดออกและหยิบยาแต่ละอันขึ้นมาสำรวจ

     

    ภายในถุงมียาเม็ดแบบทานอยู่สองถุงถุงหนึ่งเป็นยาเม็ดเล็กๆสีขาวอีกถุงเป็นยาแคปซูลสองสีและยังมียาแบบทาอยู่หลอดหนึ่งหลอดไม่ใหญ่มากนัก เป็นหลอดสีขาวมีโลโก้บริษัที่ผลิตตัวโตติดอยู่

     

                “ยาแก้อักเสบ...ยาปฎิชีวนะแบบทากับแบบกินงั้นหรอ...”

     

                ลอว์พึมพำกับตัวเองเบาๆ ในมือหนาสีแทนยังคงจับยาแต่ละอันและสำรวจดูอย่างไตร่ตรอง ลูฟี่ได้แต่มองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างงงๆแต่เขาก็ไม่มีความรู้อะไรมากเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้นักหรอก บอกให้กินก็มีหน้ากินไปนั่นแหละ

     

    เมื่อสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เก็บยาทั้งหมดกลับใส่ถุงแล้วส่งมันคืนให้กับลูฟี่โดยไม่พูดอะไร ลูฟี่ยื่นมือไปรับถุงยามาไว้ในอ้อมแขน

     

    “ยาพวกนี้มีอะไรผิดปกติงั้นหรอ?”

     

    ลูฟี่ที่รับถุงยาคืนมาอย่างงงๆก็ถามออกไปตามที่คิดพลางเอียงคอมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย


    “เปล่า แค่จะดูว่านายซื้อยาอะไรมาบ้าง”

     

    “งั้นหรอ” ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้างให้ลอว์พลางหัวเราะเล็กน้อย “แต่ฉันไม่ได้เป็นคนเลือกหรอก พี่เภสัชฯคนนั้นเขาเป็นคนเลือกให้น่ะ ชิชิชิ”

     

    ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อพี่ชายทั้งสองของเขาก็เดินกลับเข้ามาในร้านพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มทั้งสองมือ ทั้งถุงพลาสติกที่มีอาหารสดและถุงกระดาษที่มีพวกเสื้อผ้า

     

    เอสและซาโบเดินตรงมาหาลูฟี่ที่นั่งอยู่กับลอว์ที่โต๊ะข้างในสุดของร้าน ทั้งสองมองคนแปลกหน้าพลางขมวดคิ้วมุ่น นั่นมันคนที่มาส่งลูฟี่ที่สนามบินวันนั้นนี่...


    ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้างตามแบบฉบับเจ้าตัวพลางทักทายพี่ชายทั้งสองของตัวเองโดยไม่ลืมที่จะแนะนำตัวเพื่อนคนใหม่

     

                “โย่! ซาโบ เอส หมอนี่ไงที่ฉันเล่าให้ฟังเมื่อวานน่ะ ชิชิชิ” ลูฟี่พูดพลางหัวเราะพลาง “โทราโอะล่ะ”

     

                คิ้วหนาๆของลอว์ขมวดมุ่นเมื่อชื่อของเขาถูกบอกออกมาอย่างผิดๆ เขาหลับตาลงอย่างปลงๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

                “ทราฟาลก้า...”

     

                “ก็ชื่อนายมันเรียกยากนี่...เรียกโทราโอะมันง่ายกว่านี่นา” ลูฟี่พูดพลางทำหน้ามุ่ยใส่

     

    ลอว์ได้แต่ทำหน้าปลงใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าพลางถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ

     

                “ยังไงก็เถอะ ขอบคุณนะครับ ที่พาน้องชายผมมาส่งน่ะ...คุณทราฟาลก้า”

     

                ซาโบรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขาพูดพลางยิ้มให้ชายแปลกหน้าอย่างเป็นมิตรผิดกับเอสที่ทำหน้าเหยเกอย่างไม่สบอารมณ์แถมยังไม่เป็นมิตรสุดๆเลยด้วย...

     

                “จริงสิ เรารีบไปกันเถอะ”

     

                พูดจบซาโบก็เดินไปจ่ายค่าไอศกรีมที่เค้าน์เตอร์ ฝ่ายเอสก็ได้แต่มองชายแปลกหน้าผู้มาใหม่ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ถูกชะตาด้วยอย่างเห็นได้ชัดแต่ดูเหมือนฝ่ายที่ถูกจ้องเขม็งจะไม่มีท่าทีสนใจเลยแม้แต่น้อย

     

    หลังจากที่จัดการกับบิลค่าไอศกรีมได้แล้วซาโบก็เดินกลับมาหาน้องชายและพี่ชายของตน เขาฉีกยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน

     

                “พวกเรามือไม่ว่างคงพยุงลูฟี่ไม่ได้...” ซาโบพูดอย่างจงใจเว้นระยะแต่ถึงกระนั้นยังคงรอยยิ้มกว้างอันแสนอ่อนโยนระคนความเจ้าเล่ห์ไว้บนใบหน้า “รบกวนคุณทราฟาลก้าช่วยพยุงลูฟี่หน่อยได้ไหมครับ?”

     

                “หา!?”

     

                ไม่ต้องสืบก็คงจะรู้ว่าเป็นเสียงใคร แน่นอนล่ะ...จะเป็นเสียงใครได้นอกจากพี่ชายขี้หวงคนนี้น่ะ...เอส

     

    เอสไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของซาโบอย่างยิ่งและปฎิเสธหัวชนฝา พี่ชายทั้งสองเถียงกันอยู่นานจนคนอื่นๆในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียวราวกับถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็ก

     

    หากเป็นคนอื่นคงจะอาบจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ดูเหมือนน้องชายตัวแสบของพวกเขาจะไม่มีท่าทีเดือดร้อนใดๆทั้งสิ้นแถมยังนั่งดูทั้งสองเถียงกันเงียบๆจนลอว์ถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เป็นสามพี่น้องที่แปลกจริงๆนั่นแหละ...

     

                ซาโบพามือหนาๆของตัวไปหยิกแก้มตกกระของเอสและลากออกจากร้านไปโดยไม่ฟังคำทักท้วงของอีกฝ่ายเลยแต่น้อย ทิ้งให้ลูฟี่กับลอว์นั่งมองอย่างเอือมระอา

     

                “สองคนนั้นทิ้งฉันอีกแล้ว”

     

                ลูฟี่พูดออกมาอย่างเอือมระอาระคนน้อยใจเล็กน้อย บอกเลยต่อให้โดนทิ้งอีกกี่ทีเขาก็ยังไม่ชินหรอกนะ แน่ล่ะ ใครจะไปชินกับการถูกทิ้งกันล่ะ

     

    พูดจบลูฟี่ก็ลุกขึ้นยืนและพยายามทรงตัวเพื่อเดินตามพี่ชายทั้งสองของเขาไป แต่ดูเหมือนบาดแผลที่เข่าจะยังคงทำพิษไม่ได้บรรเทาลงเลยแม้แต่น้อยส่งผลให้เขาต้องเสียการทรงตัวและเซล้มในที่สุด


    ในตอนนั้นเองก่อนที่ใบหน้าของลูฟี่จะจูบกับพื้นมือหนาของลอว์ก็เอื้อมไปจับต้นแขนบางๆของเขาอย่างอ่อนโยนแล้วลอว์ก็ดึงเขาเข้ามาหาตัวโดยอัตโนมัติ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...ทำไมต้องเป็นห่วงเด็กนี่ขนาดนี้นะ

     

                “เดินระวังๆหน่อย”

     

                ลอว์ปรามลูฟี่เล็กน้อยแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่ ลูฟี่หันมาส่งยิ้มกว้างให้ลอว์เหมือนเคยพลางหัวเราะเล็กน้อย


                “โอ๊ะ โทษทีๆ แต่ก็ขอบใจนะ ชิชิชิ”

     

                ลอว์เบือนหน้าหนี ซ่อนนัยน์ตาสีเทาหินโมราคู่สวยไว้ใต้เงาปีกหมวกขนสัตว์สีขาวก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ


    ทำไมกันนะ..เขาไม่เคยสบตากับเด็กนี่แบบจริงๆได้เลยสักหน พอเห็นดวงตาคู่สวยที่แสนจะใสซื่อนั่นทีไรก็จำเป็นต้องเบือนหน้าหนีตลอด ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

     

                “มานี่ เดี๋ยวช่วยพยุง ฉันจะได้รีบไปสักที”


                ลอว์ช่วยพยุงลูฟี่ให้ลุกขึ้นเดินอีกครั้งซึ่งลูฟี่ก็ไม่ขัดขืนอะไรและทำตามแต่โดยดี

     

    แต่ดูเหมือนอะไรๆมันจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด...นี่ก็ผ่านมาราวๆสิบนาทีได้แล้วแต่ทั้งสองก็ยังคงไม่ขยับไปไหน ชักจะสงสัยแล้วสิว่าเมื่อเช้าใช้เวลากี่ชั่วโมงกันกว่าจะเดินมาถึงร้านไอศกรีมน่ะ นั่งเครื่องตัดหญ้ามายังจะเร็วเสียกว่า...

     

                “หมวกฟาง-ยะ เดินเร็วขึ้นหน่อยสิ”

     

                “ก็ขามันเจ็บนี่”

     

                และลูฟี่ก็โวยวายกลับมา ไม่เหนือความคาดหมายของเขาเลยสักนิด...

     

    คิ้วหนาของลอว์ขมวดกันมุ่นด้วยความหงุดหงิดแต่แล้วมันก็ต้องคลายออกเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของเขา ดูเหมือนเขาจะทำให้เด็กหนุ่มโกรธเข้าซะแล้วสิ...

     

    แต่ขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ละก็ต่อให้ใช้เวลาทั้งวันพวกเขาทั้งสองคงจะไม่ได้ออกจากร้านไอศกรีมอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนั้นลอว์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ

     

                “ถ้าฉันเดินเร็วได้ ฉันก็คงไม่ต้องให้นายมา...หวา! น..นายทำอะไรน่ะ โทราโอะ!

     

    ลูฟี่ถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อถูกอีกฝ่ายใช้แขนแกร่งทั้งสองช้อนตัวเขาขึ้น แถมยังเดินหน้าตาเฉยไม่แคร์สายตาชาวบ้านที่กำลังมองมาที่พวกเขาทั้งสองเลยสักนิด

     

    ใบหน้าของลูฟี่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล หัวใจของเขาก็พลันเต้นรัวผิดจังหวะจนเจ้าตัวถึงกับแปลกใจ ทำไมกันนะ? ไม่เห็นเข้าใจเลย แถมอยู่ๆก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัวเหมือนตัวจะระเบิดเสียอย่างนั้นทั้งๆที่เมื่อกี้ยังหนาวเพราะเครื่องปรับอากาศอยู่แท้ๆ

     

                “นี่! ทำอะไรของนายน่ะ โทราโอะ! ปล่อยฉันนะ”

     

                ลูฟี่ดิ้นพลางขัดขืนอย่างสุดชีวิตแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย แถมยังโอบเขาแน่นกว่าเดิมเสียอีก


    ลูฟี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความงอนทั้งๆที่ใบหน้าของตัวเองตอนนี้ก็ร้อนผ่าวจนแทบจะทอดไข่ดาวได้อยู่แล้วแท้ๆ

     

    ลอว์ส่งสายตาปรามมาอย่างเงียบๆแต่แล้วก็ต้องเบือนหน้าหนีอีกครั้ง

     

                “อย่าดิ้น ถ้าตกลงไปแล้วเจ็บกว่าเก่าล่ะก็ฉันไม่รู้ด้วยนะ” ลอว์พูดในขณะที่ยังคงไม่สบตากับร่างเล็ก “ขืนปล่อยให้นายเดินเองมีหวังฉันแก่ตายก่อนแน่”

     

                “จะบ้าหรือไง ฉันไม่ได้เดินช้าขนาดนั้นนะ”

     

                “นายเดินช้าขนาดนั้นก็ไปแต่งงานกับหอยทากได้เลย”

     

                ลอว์ตอบโดยยังไม่หันมาสบตากับลูฟี่ ถึงลูฟี่จะแปลกใจเล็กน้อยกับการกระทำแปลกๆของเขาแต่นั่นไม่ใช่เวลาจะมาสนเรื่องนั้นสักหน่อย ตอนนี้เขากำลังถูกอุ้มอยู่นะ!

     

    ลูฟี่ดิ้นอย่างขัดขืนและโวยวายอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ลอว์ปล่อย แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลยสักนิด...

     

                ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองก็มายืนอยู่หน้าร้านไอศกรีม...แต่ทั้งสองกลับไม่พบพี่ชายทั้งสองของลูฟี่เลยแม้แต่เงา อะไรกัน! นี่เขาโดนทิ้งอีกแล้วหรอ!?

     

    ลูฟี่รีบล้วงเอาสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงสามส่วนที่เขาสวมอยู่แล้วกดเลขสิบหลักโทรหาพี่ชายเขาอย่างรีบร้อนแล้วยกสมาร์ทโฟนขึ้นแนบหู

     

    ไม่ต้องรอนานให้เสียเวลาเจ้าของสายก็กดรับ โดยไม่ปล่อยให้ปลายสายได้พูดอะไรลูฟี่รีบชิงพูดก่อนทันที

     

                “เอส พวกนายอยู่ไหน? พวกนายทิ้งฉันอีกแล้ว”

     

                โอ๊ะ ลูฟี่ แต่เสียงปลายสายที่ตอบกลับไม่ใช่เสียงของเอส “ซาโบ?”

     

                คือฉันกับเอสเห็นหนังเรื่องใหม่เพิ่งเข้าน่ะแล้วเห็นมันน่าสนใจดี ก็เลย...จองตั๋วกันไปแล้ว แล้วมันก็จะถึงเวลาแล้วด้วย นายอยาก...

     

                ระหว่างที่พูดกับซาโบก็มีเสียงพี่ชายอีกคนของเขาโวยวายดังกรอกหูแว่วๆเป็นระยะแต่อยู่ๆก็เงียบไป คงจะโดนซาโบจัดการล่ะสิท่า...

     

    ลูฟี่ได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่สมาร์ทโฟนที่แนบอยู่กับหูของเขาก่อนจะตอบไปอย่างเอือมๆ

     

                “ไม่เอาอ่ะ งั้นพวกนายดูไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับบ้านละ”

     

                พูดจบก็ตัดสายทิ้งและดับหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองก่อนจะยัดมันกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงที่มันเคยอยู่อีกครั้ง

     

    ฝ่ายลอว์ที่ยืนฟังบทสนทนาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหน่ายๆ คิ้วหนาของเขายังคงขมวดกันยุ่งไม่ได้คลายลงเลยสักนิด ยิ่งคิดว่าเด็กนี่ต้องกลับบ้านคนเดียวทั้งๆที่ขายังเจ็บคิ้วหนาของเขาก็พลันขมวดกันยุ่งมากกว่าเก่า

     

                “แล้วนายจะกลับยังไง?”

     

                “ก็แท็กซี่ไง” ลูฟี่ตอบโดยไม่เงยหน้ามองร่างสูง “เอ้า ปล่อยได้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน”

     

                ลูฟี่เงยหน้ามองลอว์ก่อนจะดิ้นนิดๆเป็นนัยว่าให้เขาปล่อย ทว่าลอว์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของเขาแม้แต่น้อยแถมยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นกว่าเก่า

     

    ลูฟี่มองหน้าลอว์ที่ยังคงไม่สบตากับเขาพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หัวใจก็พลันเต้นรัวอีกครั้งอย่างบังคับไม่ได้ แต่ก็...อบอุ่นดีล่ะนะ

     

                “ฉันจะไปส่งเอง”

     

                ลอว์พูดโดยไม่สบตากับลูฟี่ เมื่อได้ยินอย่างนั้นคิ้วเล็กทั้งสองของลูฟี่ขมวดชนกันมุ่นด้วยความสงสัย ลอว์ไม่ปล่อยให้ลูฟี่พูดอะไรต่อเขาเดินตรงไปทางบันไดเลื่อนอย่างไม่สนใจคนรอบข้างรวมถึงเด็กหนุ่มในอ้อมแขนที่ขัดขืนแทบเป็นแทบตาย

     

    อยู่ๆลูฟี่ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งตัวเสียอย่างนั้น อีกแล้วหรอ...? ไอความรู้สึกร้อนจนตัวแทบแตกเนี่ย ถ้าเป็นตอนเหนื่อยๆก็ว่าไปอย่างนะ แต่นี่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แถมหัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาดื้อๆเสียนี่ ไม่เห็นเข้าใจเลย!

     

                “หยุดดิ้นสักที” ลอว์พูดจบลูฟี่ก็อ้าปากเตรียมเถียงต่อแต่ก็โดนขัดเสียก่อน “ถ้าอายนักก็หลับตาไปซะ แล้วคิดว่าคนอื่นมองไม่เห็นนาย”

     

    จะบ้าหรือไงนะ...ถ้ามันทำได้ง่ายๆแบบนั้นจริงๆก็ดีสิ!

     

    แต่ในเวลาแบบนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ถึงแม้ในใจจะอยากเถียงใจแทบขาดแต่ลูฟี่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะเถียงเลยแม้แต่น้อย เขาจำใจหลับตาแน่นตามที่ลอว์บอกและเอาหน้าหวานของตัวเองซุกกับหน้าอกกว้างอันแสนอบอุ่นของลอว์ มือบางๆก็พลางกำเสื้อของเขาไปด้วย

     

    อา...อบอุ่นชะมัดเลย...

     

    ตึกตัก...ตึกตัก

     

    เสียงหัวใจเต้นรัวผิดจังหวะดังระงมอยู่ข้างหูของเขา แต่ว่า...นั่นไม่ใช่เสียงหัวใจของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวก็จริง แต่เขามั่นใจว่านั่นไม่ใช่เสียงหัวใจของเขา...

     

    เสียงหัวใจของลอว์...หัวใจของเขากำลังเต้นรัว

     

    ลูฟี่มั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอนว่าหัวใจของคนร่างสูงที่กำลังอุ้มเขาอยู่ตอนนี้กำลังเต้นรัวผิดปกติไม่ต่างจากของเขาเลยสักนิดแต่...

     

    ทำไมล่ะ?

     

                “ฮัลโล? เออ ฉันเอง...ซาชิ เพนกวิ้น มารับที”


    - to be continue -


                   สวัสดีค่ะ^-^ หายไปนานเลยT^T คิดถึงกันไหมคะTwT พอดีช่วงปิดเทอมไม่ว่างเลยค่ะแล้วที่บ้านก็กำลังมีปัญหากันนิดๆหน่อยๆด้วย ฮือ...ตอนนี้เรื่องseniorก็ดองไว้อยู่ด้วยต้องรีบปั่นแล้วค่ะ ฮรือออออ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะT__T สำหรับคนที่ทวงนะคะ กำลังปั่นอยู่ค่ะTwT ใจเย็นๆนะคะ แต่ก็ต้องขอบคุณกำลังใจหลายๆกำลังใจนะคะ^_^ ทำให้เค้ามีกำลังใจที่จะแต่งต่อเลยค่ะ

                   ส่วนเรื่องseniorกำลังเขียนอยู่ค่ะ ยังไม่ได้ทิ้งไปไหนนะคะTwT อย่าเพิ่งทิ้งกันล่ะ

                    สุดท้ายแล้ว....อ่านกันเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมคอมเม้น กดติดตาม หรือกดแชร์ให้กันด้วยนะคะ^_^ อย่าลืมเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ^^ รักรีดเดอร์ทุกคนนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×