คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2
- Chapter 2 -
“น..นาย..ว่าไงนะ..”
‘ฉันขอโทษ ฮะๆ’
“น..นาย! นายลืมฉันได้ลงคอ ใจร้ายชะมัด!”
ลูฟี่เผลอขึ้นเสียงอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่ทำยังไงได้ล่ะก็โดนพี่ชายตัวเองทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวแบบนี้มันน่าน้อยใจนี่นา
ยังดีที่เจอชายแปลกหน้าคนนี้ก่อนถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาคงต้องอยู่คนเดียวเสียจริงๆ
‘งั้นนายนั่งแท็กซี่มาเองละกัน หรือนายจะปั่นจักรยานมาล่ะ?’
“จะบ้าหรอ! สนามบินอยู่ไกลจะตายไป
อีกอย่างฉันยังไม่หายโกรธนายหรอกนะ!”
ลูฟี่ขมวดคิ้วทำแก้มพองใส่สมาร์ทโฟนที่แนบอยู่ที่แก้มทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเห็นสีหน้างอนตุบป่องของเขาในตอนนี้ได้อย่างแน่นอน
ชายแปลกหน้าเจ้าเก่าได้แต่ยืนกอดอกพิงจักรยานมองดูสองพี่น้องเถียงกันผ่านสมาร์ทโฟนอย่างปลงๆ
แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ
‘โอ๋ๆ ฉันขอโทษน่า ไว้นายมาถึงแล้วเดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงเนื้อย่างไถ่โทษละกัน
หายโกรธฉันเถอะนะ’
เสียงทุ้มต่ำแบบผู้ชายดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ราวกับจงใจให้ชายแปลกหน้าได้ยินและมันก็ได้ผล
คิ้วหนาๆของเขากระตุกเล็กน้อยก่อนจะขมวดกันมุ่น
ไม่ใช่เสียงแบบชายคนแรก เป็นเสียงที่แตกต่างจากเสียงของพี่ชายคนแรกอย่างมาก
ไม่นุ่มนวลเหมือนคนก่อน หยาบกระด้างแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น เป็นสามพี่น้องที่แปลกจริงๆ...
นัยน์ตาสีเทาหินโมราใต้เงาปีกหมวกลอบมองใบหน้าใสที่บัดนี้ถูกแต้มด้วยสีแดงจางๆตรงพวงแก้มทั้งสองข้าง
ริมฝีปากอวบอิ่มยกยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตทอประกายความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
แตกต่างจากก่อนหน้านี้ตอนที่รู้ตัวว่าถูกทิ้งอย่างสิ้นเชิง แล้วเขาก็เผลอเบือนหน้าหนีอย่างควบคุมไม่ได้
“จริงนะ! สัญญาแล้วนะ
ถ้านายผิดสัญญานายต้องเลี้ยงเพิ่มเป็นสองมื้อนะ”
‘ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรีบๆมาล่ะ’
“อื้อ!”
พูดจบนิ้วมือเรียวๆก็กดตัดสายทันทีอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อหรือเปล่า
แล้วก็ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างครุ่นคิด...จะไปยังไงล่ะทีนี้
จะให้ปั่นจักรยานไปก็คงไม่ไหวแถมเข่าก็ยังเจ็บอยู่ด้วย แต่ถ้านั่งแท็กซี่ไปล่ะก็...ต้องโบกอีกกี่สิบชาติกันเขาถึงจะจอดรับน่ะ
คงไม่มีแท็กซี่คันไหนอยากให้มีจักรยานอยู่หลังรถตัวเองหรอก...
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดวงตากลมโตคู่สวยก็เหลือบไปเห็นชายแปลกหน้าเจ้าเก่าที่ยังคงยืนพิงจักรยานอยู่ที่เดิม
ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง ชายแปลกหน้าได้แต่มองรอยยิ้มกว้างนั่นอย่างหวั่นๆ
ลางสังหรณ์ไม่ดีเลยแฮะ...
“นี่...”
“ไม่”
ชายแปลกหน้ารีบตอบปฎิเสธทันทีโดยไม่ต้องฟังที่เด็กแสบตรงหน้าจะพูดเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นความคิดที่แย่สุดๆ
ลูฟี่ทำหน้ามุ่ยเบ้ปากใส่ชายร่างสูงตรงหน้า
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
“ฉันกลับล่ะ”
พูดแค่นั้นก็หันหลังกลับเตรียมเดินหนีอย่างไม่ลังเล
“นายจะทิ้งฉันไว้จริงๆหรอ...”
ลูฟี่พูดเสียงแผ่วเบาทว่าชัดเจนกับอีกฝ่าย
การก้าวเท้าของชายแปลกหน้าหยุดลง เขาหันมาหาลูฟี่อีกครั้ง ใบหน้าหวานที่เคยระบายยิ้มก่อนหน้านี้กลับแฝงไปด้วยความเศร้า
นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นแฝงไปด้วยความโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
ลูฟี่เกลียดการอยู่คนเดียว...ใช่แล้วล่ะ
เขาเกลียด เกลียดที่สุดเลย การที่ต้องอยู่คนเดียวน่ะเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้รับบาดเจ็บทางกายเสียอีก
เจ็บเสียยิ่งกว่าแผลที่เข่าตอนนี้เสียอีก...ถ้าให้เลือกล่ะก็ เขายอมเจ็บตัวยังจะดีเสียกว่า
น่าแปลก...ทั้งๆที่เด็กเอาแต่ใจตรงหน้าไม่ได้รั้งเขาไว้เลยแม้แต่น้อย
แต่ในใจลึกๆเขากลับรู้สึกว่าไม่สามารถทิ้งเด็กคนนี้ให้อยู่คนเดียว
เขา..ปล่อยเด็กบ้านี่ไว้คนเดียวไม่ได้
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ
เกลียดตัวเองจริงๆ...ทำไมถึงปฏิเสธเด็กนี่ไม่ได้สักที นึกแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า!
“จะไปไหม”
เป็นประโยคสั้นๆตามแบบฉบับเจ้าตัว
แต่มันทำให้ลูฟี่เงยหน้าขึ้นอย่างทันควัน ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกกว้าง
ก่อนมุมปากทั้งสองจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่กว้างจนแทบจะไปถึงใบหู
“นายจะปั่นจักรยานไปส่งฉันหรอ”
นัยน์ตาสีดำทอประกายตื่นเต้นจนน่าหมั่นไส้
“จะบ้าหรือไง”
ชายแปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงปรามเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเอือมระอา
“อ้าว
ไหนว่าจะไปส่งไง ถ้าขึ้นแท็กซี่แล้วนายจะเอาจักรยานไปยังไงล่ะ”
ลูฟี่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางกอดอกเอียงคอมองชายแปลกหน้าอย่างอย่างงงๆ
และก็ได้เสียงถอนหายใจกลับมาอย่างเคย
“ตามฉันไปที่รถ
ฉันจะไปส่งเอง เอาจักรยานไปด้วย”
พูดจบก็หันหลังเดินตรงไปอย่างไม่รีรอ
ลูฟี่รีบตรงไปจับแฮนด์จักรยานแล้วลากขาเจ็บๆของตัวเองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างทุลักทุเล
แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของลูฟี่ก็ยังคงถูกแต้มด้วยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์
เห็นเด็กนี่ยิ้มออกแล้วก็รูสึกใจชื้นขึ้นมานิดๆอย่างบอกไม่ถูกแฮะ...ยังไงใบหน้าหวานๆนั่นก็เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่ารอยน้ำตาจริงๆนั่นแหละ
“ขอบใจนะ”
ลูฟี่พูดกับชายแปลกหน้าที่ยังคงเดินหน้าต่อไป
เขาไม่หันกลับมา เขาไม่ตอบ สิ่งที่ลูฟี่เห็นคือแผ่นหลังกว้างของเขา
แต่ลูฟี่รู้ดีว่าเขาได้ยิน เพราะหูเขาเริ่มแดงแล้วล่ะ
คิดอย่างนั้นก็เผลอหัวเราะออกมานิดๆถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ
ลูฟี่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับมองดูถนนพลางฮัมเพลงเบาๆคลอเสียงเพลงจากวิทยุที่ชายแปลกหน้าตรงเบาะคนขับเปิดไว้โดยมีจักรยานคันเดิมอยู่ที่เบาะหลัง
“นี่ๆ
ว่าแต่นายชื่ออะไรหรอ”
อยู่ๆลูฟี่ก็โพล่งขึ้นพลางหันหน้ามาหาชายแปลกหน้าร่างสูงข้างๆตน
ดวงตากลมโตคู่สวยที่จ้องมายังชายแปลกหน้าแฝงไปด้วยความสงสัยกระพริบปริบๆ
ริมฝีปากอวบอิ่มยังคงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ
พวงแก้มขึ้นสีแดงบางๆบ่งบอกถึงความมีชีวิตชีวา
ยังไม่ยอมแพ้กับชื่อเขาอีกหรอ...พอคิดได้อย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆพลางเอาแขนข้างหนึ่งท้าวคาง
แต่ก็ยอมบอกไปแต่โดยดี
“ทราฟาลก้า
ลอว์”
ลอว์ตอบด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบๆ
ดวงตาสีเทาหินโมราคู่เดิมยังคงทอดไปยังถนนข้างหน้า มือหนาสีแทนข้างหนึ่งจับพวงมาลัย
อีกข้างท้าวคางกับขอบประตูอย่างปลงๆกับเด็กแสบข้างๆตน
“ทรา..ทารา..โทรา...”
ลูฟี่พึมพำกับตัวเองทว่าลอว์ยังคงได้ยิน เขาเหลือบมองลูฟี่ที่กำลังทำหน้ายุ่งเพราะพยายามพูดชื่อของเขา
ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “โทราโอะสินะ! ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อลูฟี่นะ ชิชิชิ”
ลูฟี่แนะนำตัวครั้งที่สองพลางหัวเราะ
นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ว่าเมื่อกี้หมอนั่นเรียกเขาว่า’โทราโอะ’งั้นหรอ?
ชื่อบ้าอะไรล่ะนั่น พอคิดได้อย่างนั้นก็ปรายตามองใบหน้าหวานนั่นเล็กน้อยและถอนหายใจออกมายาวๆอย่างหน่ายๆเป็นรอบที่ร้อยของวัน
ลอว์ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร
นัยน์ตาสีเทาหินโทรายังคงจับจ้องไปที่ถนนตรงหน้าอย่างไม่วางตา
แต่เขากลับรู้สึกร้อนขึ้นมาดื้อๆอย่างไม่มีเหตุผลเสียนี่ แล้วมือหนาสีแทนที่ถูกตกแต่งด้วยรอยสักก็ยื่นไปเร่งเครื่องปรับอากาศให้แรงขึ้น
“นายร้อนหรอ?”
“ปกตินายพูดมากแบบนี้ตลอดเลยหรอ”
“ฉันถามนายก่อนนะ”
ลุฟี่พูดพลางเบ้ปากใส่ชายร่างสูงตรงหน้า
คิ้วหนาๆของลอว์ขมวดกันมุ่นก่อนจะกลอกตามองเด็กแสบที่กำลังทำหน้าเหยเกอย่างไม่พอใจ
“เออ
ฉันร้อน”
ตอบไปแค่นั้นลูฟี่ก็เริ่มคุยจ้อต่อตามประสาเด็ก
ลูฟี่ไม่เคยตอบคำถามเขาและมักจะคุยเรื่องอื่นที่เขาอยากคุยและในบางครั้งก็จะถามเรื่องอื่นแทนนั่นทำให้คำถามของเขาถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบ
ลูฟี่คุยเรื่องมากมายให้เขาฟัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บ้าน โรงเรียน หรือครอบครัว
ทั้งพี่ชายทั้งสองคนของเขาที่ต่างกันคนละขั้ว
ทั้งปู่สุดโหดที่เลี้ยงพวกเขาทั้งสามมาด้วยลำแข้ง และเพื่อนอีกหลายๆคนที่โรงเรียน
เห็นได้ชัดว่าเขามีเพื่อนเยอะมากเลยทีเดียว
แน่นอน...ว่าลอว์ไม่ได้สนใจที่เขาพูดมาเท่าไหร่
เขาใช้สมาธิส่วนใหญ่จดจ่อไปกับใบหน้าและรอยยิ้มตื่นเต้นราวเด็กๆของหมอนั่นมากกว่า
เวลารถติดเขาจะแอบมองใบหน้าหวานไร้เดียงสาที่สดใสนั่นและภาวนาในใจให้ไฟแดงนานกว่านี้อีกหน่อย
แต่ดูเหมือนไม่ว่ามันจะนานเท่าไหร่ก็ไม่พอสำหรับเขา
และเวลาที่เราอยากให้เวลาผ่านไปช้าๆมันกลับผ่านไปเร็วราวกับเรื่องโกหกเสมอ
ในที่สุดรถบีเอ็มสีดำขลับก็มาจอดอยู่หน้าสนามบิน
ลูฟี่ขอบคุณลอว์อีกครั้งก่อนจะลงจากรถไปโดยไม่ลืมที่จะเอาจักรยานของตัวเองลงไปด้วย
แต่...เขายังค้างคาใจอยู่ ยังมีบางอย่างที่เขาอยากจะรู้และจะต้องรู้ให้ได้
ค้างคา..ค้างคาเหลือเกิน
ลอว์ลดกระจกรถลงมองแผ่นหลังเล็กๆที่กำลังเดินไปอย่างทุลักทุเลเพราะพิษจากบาดแผล
แล้วเขาก็ตัดสินใจหยุดลูฟี่ไว้
“หมวกฟาง-ยะ”
ฉายาของอีกฝ่ายถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากเรียวได้รูปของเขา
มันได้ผล ลูฟี่หยุดเดินและหันหลังกลับมาหาลอว์ด้วยใบหน้าสงสัย
ลอว์ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ถามอะไรต่อรีบปริปากพูดออกไปก่อน
“นายไม่เคยตอบคำถามฉันเลย...”
เขาเว้นระยะห่างอย่างจงใจ “ปกตินายพูดมากแบบนี้ตลอดเลยหรอ?”
ลูฟี่ยืนนิ่งเงียบก่อนริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อจะฉีกเป็นรอยยิ้มกว้างอีกครั้งจนดวงตากลมโตทั้งสองแทบปิด
พวงแก้มทั้งสองขึ้นสีแดงบางๆอย่างมีชีวิตชีวา
“ไม่เข้าใจหรอ?
ฉันก็แค่อยากคุยกับนาย”
สิ่งสุดท้ายที่ลอว์เห็นคือรอยยิ้มที่ฉีกกว้างจนแทบจะไปถึงใบหูทั้งสองของเด็กแปลกๆที่ชอบสะพายหมวกฟางใบเก่าไว้ที่คอ
คนที่มักจะหาเรื่องปวดหัวมาให้เขาทั้งๆที่เพิ่งเจอกันไม่นาน คนที่..เรียกตัวเองว่า’ลูฟี่’
แปลก...กล้ามเนื้อปากของเขากลับกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆอย่างควบคุมไม่ได้
ทำไมกันนะ? พอคิดแล้วก็หงุดหงิดเป็นบ้า หงุดหงิดชะมัดเลย...ทั้งๆที่หงุดหงิดแท้ๆ
แต่กลับหุบยิ้มไม่ได้เลย!
- to be continue -
โย่^o^/ สวัสดีค่ะ เค้ามาอัพอีกตอนล๊าววววว ♥ ช่วงนี้อาจจะไม่ได้อัพเลยนะคะ ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนล่ะT-T เค้ายังไม่ทิ้งเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นไปไหนแค่ขอเวลาเคลียร์กับชีวิตตัวเองสักเดี๋ยวเดียวค่ะTwT แล้วเค้าสัญญาเค้าจะรีบกลับมาอัพค่ะ
ยังไงอ่านกันแล้วก็อย่าลืมกดแชร์ คอมเม้น หรือว่ากดติดตามเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยนะ^-^ Sharing is loving! สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อนนะคะ จุ้บๆ ♥
ความคิดเห็น