ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] : (One Piece) Law x Luffy คุณหมอเย็นชากับนายตัวแสบ!!

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 59


    CR.SHL

    - Chapter 12 -

    My prince did come

     

                ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบๆด้วยโทนสีขาวฟ้า อุปกรณ์ต่างๆถูกเก็บไว้ภายในตู้กระจกที่ทำจากไม้สีขาวอย่างเรียบร้อย เคาน์เตอร์บาร์รอบๆห้องถูกประดับด้วยสัตว์เคยมีชีวิตที่ถูกแช่ไว้ในฟอร์มาลีน พวกมันถูกบรรจุอยู่ในขวดโหลสีใสมากมายหลายขนาดและรูปร่าง ถึงแม้จะเรียงกันไม่เป็นระเบียบแต่มันกลับดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

     

                เด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของดวงตากลมโตสุกใสนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นกระเบื้องเย็นเฉียบอย่างหมดหวัง เขาเช็ดใบหน้าหวานๆของตัวเองกับแขนบางนั่น ถึงแม้จะมีกล้ามเนื้อแบบผู้ชายอยู่บ้างแต่ก็ยังคงบอบบางราวกับว่าจะถูกทำลายได้ง่ายๆ ช่างเป็นร่างที่น่าทะนุทะนอม

     

                เป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่เขานั่งอยู่แบบนี้ ในห้องกว้างๆนี่ ตัวคนเดียว...ตอนนี้เขาทั้งล้า หิว กลัว เหงา และสับสนไปในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

     

    หนาว...ข้างนอกนั่นพายุยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เสียงลมคำรามฟังดูเกรี้ยวกราดยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้หน้าต่างจะปิดอยู่แต่ลูฟี่กลับได้ยินมันชันเจนทุกถ้อยคำราวกับว่ามันกำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเขา ถึงกระนั้น เขากลับรู้สึกว่าเสียงนั้นกำลังปลอบประโลมเขาอยู่

     

                “เอส...ซาโบ ฉันอยากกลับบ้าน...” เสียงสะอื้นเล็กๆดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มของเขา

     

                เขาอยากกลับบ้านเหลือกเกิน...เขาเกลียด...เกลียดการอยู่คนเดียว

     

                เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้เขามาเรื่อยๆ ลูฟี่มั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เสียงของลมก็บอกเขามาแบบนั้นเหมือนกัน เขาเงยหน้าขึ้นจากแขนชื้นๆของตัวเอง ใบหน้าเริ่มซีดเผือดราวกับผีดิบไร้ชีวิต

     

                เขาพยุงตัวเองขึ้น รีบเก็บของที่กองอยู่บนพื้นทั้งหมดใส่ในกระเป๋าเป้ของตัวเองอย่างรวดเร็วและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตรงปรี่ไปยังประตูเพื่อลองเปิดดูอีกครั้ง ไม่แน่บางทีระบบล็อคอาจจะหายรวนและกลับมาเป็นปกติแล้วก็ได้ เขาหวังอย่างนั้น...

     

                ทว่าเท้าเจ้ากรรมกลับสะดุดไม่รู้เวล่ำเวลาทำเอาเจ้าตัวล้มลงไปนอนราบกับพื้น โชคดีที่ใช้ข้อศอกยันไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นเขาคงจะเสียจมูกรั้นเล็กๆของตัวเองไปแล้วเป็นแน่...แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จากแรงทั้งร่างที่ถาโถมลงไปยังจุดจุดเดียวนั้นทำให้เขาเจ็บข้อศอกไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

     

    ลูฟี่ครางต่ำๆในลำคอด้วยความเจ็บ ใช้กำลังทั้งหมดที่มีพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ความเจ็บแปล๊บตรงข้อเท้าเล่นขึ้นมาตามไขสันหลังทำเอาเขาถึงกับเสียการทรงตัวและลงไปกองกับพื้นอีกเป็นครั้งที่สอง

     

                “โอย...เจ็บๆๆ” ลูฟี่พึมพำกับตัวเอง มือบางก็พลางเลื่อนไปลูบข้อเท้าของตัวเองเบาๆด้วยความเจ็บปวด

     

                เสียงฝีเท้าปริศนายังคงดังอยู่ มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตากลมโตของลูฟี่เบิกกว้างเมื่อเห็นร่างปริศนาของใครบางคนกำลังตรงมาที่ประตู เขามองเห็นไม่ชัดมากนักเพราะข้างนอกนั้นมืดสนิทและประตูกระจกเองก็ติดสติ๊กเกอร์สีขุ่นเอาไว้ด้วย

     

    ลูฟี่เม้มริมฝีปากแน่น สัมผัสได้ถึงหยาดเหงื่อที่ไหลลงอาบแก้มทีละหยดสองหยด เขารวบรวมสติทั้งหมดที่มีพยายามใช้สมองที่ไม่ค่อยจะได้ใช้การเท่าไหร่หาทางเอาตัวรอด

     

    นัยน์ตาสีรัตติกาลทอประกายคู่สวยเหลือบไปเห็นโต๊ะทำงานสีเทารูปตัว L ที่อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก ลูฟี่รู้สึกราวกับได้รับความเมตตาจากพระเจ้า แม้เขาจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็ตาม..เขากระเสือกกระสนพาร่างของตัวเองตรงไปยังโต๊ะทำงานแล้วพาร่างเล็กเข้าไปหลบอยู่ข้างใน

     

    เขาพยายามหอบหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ นัยน์ตาสีรัตติกาลกำลังสั่นคลอนไปด้วยความกลัว ริมฝีปากแห้งปากและซีดเผือดราวกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง เขาเพิ่งได้สัมผัสกับความกลัวอย่างแท้จริงก็วันนี้นี่แหละ...

     

                ไม่นานนักเสียง กริ๊ก ก็ดังขึ้น ลูฟี่รู้ทันทีว่าประตูถูกเปิดออกแล้ว เสียงฝีเท้าหนักๆค่อยๆย่างกรายเช้ามาในห้องช้าๆ ลูฟี่มองเห็นเพียงเงาสูงที่อยู่บนผนังเท่านั้น

     

    เงานั่นเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่าง ลูฟี่ไม่อาจทราบได้ เขาได้ยินเพียงเสียงเหมือนตู้อุปกรณ์ถูกเปิดออกและเสียงแก้วกระทบกันเท่านั้น ขโมย? นั่นคือสิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาตอนนั้น แต่ว่าในเวลาแบบนี้เรื่องนั้นคงไม่สำคัญเท่าไหร่นัก การจะเอาชีวิตให้รอดยังไงต่างหากที่สำคัญกว่า

     

    ถ้าเขาโผล่ออกไปดื้อๆตอนนี้ โจรนั่นอาจทำร้ายเขาก็ได้ โจรนั่นอาจจะพกอาวุธมาด้วย เขาคงทำได้แค่รอให้โจรคนนั้นออกไปก่อนเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโจรนั่นจะกลับมาเจอเขาอีกรึเปล่า เพราะเขาไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้

     

                ลูฟี่เผลอหายใจเสียงดังอยู่ฮืดหนึ่ง เขาหน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความกลัวเมื่อเห็นเงานั่นเหมือนจะหันมาทางเขา ลูฟี่กัดริมฝีปากล่างแน่นด้วยความหวาดหวั่น เหงื่อยังคงไหลอาบใบหน้าหวานของเขาเรื่อยๆ ไม่นะ...

     

                และแล้วสิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้นเมื่อเงาสูงนั้นค่อยๆใกล้เข้ามาหาเขาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆ ลูฟี่กลั้นหายใจโดยอัตโนมัติได้แต่ภาวนาในใจอย่าให้ร่างสูงเจ้าของเงาหาเขาพบ

     

                เสียงฝีเท้านั่นหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงาน เขามองร่างสูงนั่นด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวานหวั่น ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายสั่นระรัวจนเขากลัวว่าร่างนั้นจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา เหงื่อใสผุดขึ้นมาตามใบหน้าและฝ่ามือราวกับเขื่อนแตก ไม่นะ...

     

    ความเงียบโรยตัวลงอย่างน่าอึดอัดจนลูฟี่กลัวอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ เขาขบริมฝีปากแน่นภาวนาให้เงาสูงนั่นหายไปสักที ใบหน้าหวานของเขาถูกแต้มไปด้วยความหวาดกลัว

     

                ไม่นานเงาสูงนั่นก็เดินจากไป เสียงสวิตช์ไฟดังขึ้นพร้อมกับไปที่ดับลง ลูฟี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาค่อยๆคลานออกมาจากหลังโต๊ะพลางกวาดสายตาไปทั่วทั้งห้อง ไม่อยู่แล้ว...

     

                ลูฟี่เดินออกมาอย่างโล่งใจสุดๆ โล่งใจจนลืมไปว่าขาตัวเองกำลังเจ็บอยู่ เขาล้มตัวลงบนพื้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับโชคร้ายกว่าครั้งที่ผ่านๆมาเพราะมือเจ้ากรรมดันไปจับเก้าอี้บาร์เข้า ทำเอาเก้าอี้ที่วางเรียงกันอยู่ล้มระเนระนาดไปทั้งแถว

     

                เสียงเก้าอี้ล้มลงกระทบกับกระเบื้องดังกังวานแทบจะทั้งตึก แต่บางตัวกลับล้มลงทับข้อเท้าของลูฟี่ซะนี่ เขาร้องเสียงดังลั่นด้วยความทรมาน ความเจ็บปวดเล่นปลาบขึ้นไปทั่วทั้งขาจนไม่อาจขยับได้ หยดน้ำใสๆเริ่มเอ่ออยู่ที่ขอบตาอย่างกลั้นไม่อยู่

     

                “โอย....” ลูฟี่โอดครวญในลำคอ พยายามกลั้นสียงโอดโอยและน้ำตาของตัวเองอย่างสุดกำลัง

     

                เสียงประตูถูกเปิดดังขึ้นอีกครั้ง ลูฟี่เบิกตากว้างด้วยความกลัว สัมผัสได้ถึงความร้อนจากขอบตาที่เริ่มจะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เขาหลับตาปี๋ด้วยความกลัว หยาดน้ำใสๆที่ไหลลงอาบแก้มสีกุหลาบค่อยๆหล่นลงกระทบกับพื้นกระเบื้องสีขาวทีละเม็ดๆ ยังไงเขาก็คง...หนีไม่พ้นแน่ๆ

     

                ลุฟี่รู้สึกได้ว่าสวิตช์ไฟถูกเปิดเมื่อรู้สึกถึงแสงสว่างที่แยงตา

     

    เขาควร...จะทำยังไง ในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็คงหนีไม่พ้น เขาอยากให้ทั้งหมดนี่เป็นเพียงความฝัน หากเขาลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่ความฝันก็คงดี...

     

                เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็หยุดลง มีเพียงเสียงหายใจและเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้นที่ดังอยู่ในหัว อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ...คงทำได้แค่เพียงยอมรับมันเท่านั้น

     

    ลูฟี่ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น

     

                “หมวกฟาง-ยะ”

     

                เสียงนุ่มทุ้มที่อสนคุ้นหูดังขึ้น ดวงตากลมโตของลูฟี่เบิกโพลง เขาจ้องมองไปยังร่างสูงตรงหน้า แม้จะมองไม่ค่อยเห็นมากนักเพราะทุกอย่างพร่ามัวไปหมดแต่เขาก็รู้ดีว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้...

     

                ร่างตรงหน้ามองลูฟี่ที่กองอยู่กับพื้นด้วยความอึ้งระคนสงสัย เขาค่อยๆย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น มองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีโมราคู่สวยฉายแววเป็นห่วงคนตัวเล็กอย่างเห็นได้ชัด แต่น่าเสียดายที่คนตัวเล็กไม่เห็นมัน ถึงจะเห็นก็คงไม่รู้ตัวหรอกมั้ง...

     

                “นายมาทำอะไรที่นี่?”

     

                ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย เขาเห็นริมฝีปากอวบอิ่มของอีกฝ่ายสั่นไม่หยุดเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับทำไมได้

     

                หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรุออกมามากกว่าเก่าจนดวงตากลมโตคู่สวยนั้นแดงก่ำ ลูฟี่ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ราวกับว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดอ่อนแรงไปเสียหมด

               

                “ทะ...” ลูฟี่เอ่ยเสียงสั่น “โทรา..โทราโอะ”

     

                พูดจบก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายทันทีพร้อมกับซุกใบหน้าใสนั่นลงกับไหล่กว้างกำยำของอีกฝ่าย อยากจะบอกเหลือเกิน...สิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมด ว่าเขาดีใจไหน โล่งอกแค่ไหน ตื้นตันแค่ไหน อยากจะเล่าเรื่องราวร้ายๆออกมาให้หมด แต่ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียงบอกผ่านอ้อมกอดเท่านั้น

     

                ลูฟี่สะอื้นพลางถูหน้าไปมาบนแผ่นไหล่กว้างของอีกฝ่าย ลอว์สัมผัสได้ถึงความอื่นอุ่นๆบนเสื้อนักศึกษาของตัวเอง เขาปลอบใครไม่เป็น มือหนายกขึ้นลูบเรือนผมสีดำนั่นอย่างแผ่วเบาแทนคำปลอบประโลมแสนหวาน

     

    ลอว์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขาฝังจมูกโด่งเป็นสันของตัวเองลงบนเรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ มือหนายังคงลูบกลุ่มผมสีดำนั่นอย่างอ่อนโยน

     

    อยากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่านี้...แต่ร่างนี้บอบบางเหลือเกิน มันบอบช้ำมามากเกินพอแล้ว เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ไหว แต่เมื่อไหร่ที่ร่างนี้ต้องการเขา เขาจะมาหาให้เร็วที่สุด...

     

                “ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่นี่แล้ว”

               

     

     

                สายฝนมักจะนำพาความหนาวเหน็บมาหา แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย สัมผัสได้เพียงความอบอุ่นที่ส่งผ่านแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย

     

                ยามค่ำคืนมักจะมาพร้อมกับความมืดมิด แต่เขากลับพบแสงสว่างที่คอยนำทางให้เขาก้าวเดินไปในความมืดจากร่างเล็กๆบนหลังเขา

     

                “นี่ โทราโอะไปทำอะไรที่นั่นหรอ” เสียงใสดังขึ้นข้างหู

     

                ร่างเล็กที่ถูกแบกอยู่บนหลังขยับร่มในมือไปมาอย่างอารมณ์ดี ลอว์สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ตรงใบหูของตัวเองทำเอาเจ้าตัวใจสั่นไม่น้อย เขาเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความระอากับร่างเล็กบนหลัง

     

                ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังสะอื้นไม่หยุดแท้ๆ...แต่ก็ดีแล้วล่ะ หมอนี่น่ะชอบทำให้เขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย...ไม่ว่าจะตอนที่เขาอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วย ลูฟี่นี่มันลูฟี่จริงๆ

     

                “ฉันต่างหากที่ต้องถามนาย นั่นมันตึกม.ปลายไม่ใช่รึไง”

     

                “ฉันถามนายก่อนนะ!” ร่างเล็กโวยวายพลางดิ้นไปมา แขนบางที่โอบรอบคอแกร่งโอบรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนอีกฝ่ายแทบจะหายใจไม่ออก ลอว์เหงื่อตก เขากระชับแขนที่แบกรับร่างเล็กๆเอาไว้ให้แน่นกว่าเก่าเพราะกลัวว่าร่างเล็กๆนี่จะดิ้นจนหล่นลงไปพลางถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆอีกครั้ง

     

                “ฉันเอาหลอดทดลองที่ยืมมาไปคืน”

     

                ลูฟี่เงียบไปสักพักเหมือนกำลังครุ่นคิด เขาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยพลางเอาคางมนเกยไหล่กว้างของอีกฝ่าย “เห? แล้วนายเข้าไปได้ยังไงล่ะ?”

     

                “ก็เหมือนนายนั่นแหละ”

     

                คราวนี้ร่างเล็กถึงขมวดคิ้วมุ่นกว่าเก่า “เอ๋? แล้วนายมีกุญแจกับคีย์การ์ดได้ไงล่ะ?”

     

                “ดอฟฟี่เป็นผู้ปกครองของฉัน ของของเขาก็เหมือนของของฉัน” ลอว์ตอบไปแบบนั้น ลูฟี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนสงสัยราวกับเด็กไร้เดียงสาตัวน้อยๆ

     

                “มิงโก้น่ะหรอ? มิงโก้เป็นพ่อนายหรอ?”

     

                “เปล่า”

     

                “อ้าว แล้วพ่อแม่นายล่ะ?”

     

                “ตายแล้ว ตั้งแต่ฉันยังเด็ก”

     

                “แล้วนายมีพี่น้องรึเปล่า?”

     

                “ก็มี น้องสาวหนึ่งคน”

     

                “แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?”

     

                “ตายไปแล้ว พร้อมกับพ่อแม่”

     

                “...”

     

                บทสนทนาจบลงด้วยความเงียบ ลูฟี่ผละคางมนออกจากไหล่แกร่ง ลอว์สัมผัสได้ถึงใบหน้าใสของอีกฝ่ายที่แนบอยู่ตรงหลังของเขา นัยน์ตาสีเทาหินโมราคู่สวยพยายามเหลือบมองร่างเล็กที่อยู่ๆก็เงียบไป แต่กลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากไหล่กว้างของตัวเอง

     

                ลูฟี่ซบใบหน้าลงกับแผ่นหลังอุ่นของอีกฝ่าย มือทั้งสองข้างกำเสื้อไว้แน่นแม้จะถือร่มอยู่จนอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งนิดๆ เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับคนคนนี้...ก็หมอนี่น่ะ..เสียทั้งพ่อ แม่ และก็น้องสาวเพียงคนเดียว ไม่เหลือครอบครัวอยู่เลย เขาคงจะเหงาและโดดเดี่ยวมากๆ

     

    การที่ต้องอยู่ในโลกกว้างนี้เพียงลำพังมันจะทรมานแค่ไหนกันนะ? แค่คิดก็กลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่แล้ว...ไม่อยากเลย เขาไม่อยากเผชิญโลกอันแสนกว้างใหญ่และโหดร้ายนี่เพียงลำพังโดยปราศจากครอบครัวและเพื่อน

     

    คนคนนี้จะต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะถึงได้อยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด

     

                “นายอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดสินะ...”

     

                เสียงของอีกฝ่ายช่างแผ่วเบา แผ่วเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงลมและฝน แต่กระนั้นลอว์กลับได้ยินมันชัดทุกถ้อยคำ เขาสัมผัสได้ว่าเสียงหวานๆนี้กำลังสั่นคลอน...เพราะเสียใจงั้นหรอ?

     

                “ก็ไม่เชิง...”

     

                ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากร่างเล็กบนหลัง มีเพียงความชื้นอุ่นๆบนเสื้อและเสียงลมหายใจจากเจ้าตัวเท่านั้น

     

                “นายน่ะ...นายน่ะ...ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรอกนะ” การย่างก้าวของลอว์สะดุดไปครู่หนึ่ง เขาพยายามหันหน้าไปหาอีกฝ่าย ริมฝีปากเรียวอ้าเป็นคำว่า หา? แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปก็ถูกแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ฉันจะอยู่ข้างๆนายเอง!

     

                การย่างก้าวของร่างสุดหยุดไป คิ้วหนากระตุกเล็กน้อย

     

                ในน้ำเสียงนั่นไม่มีการประชดประชัน ไม่มีการโกหก มีเพียงความจริงจัง ความไร้เดียงสา และความซื่อตรงเท่านั้น เขาล่ะเหนื่อยใจกับเด็กคนนี้จริงๆ...นี่ไม่รู้ตัวเลยรึไงนะ ว่าเขาพูดอะไรออกมาน่ะ

     

                ริมฝีปากเรียวได้รูปของลอว์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆด้วยความเอ็นดู น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้เห็นมัน

     

     

     

                “นี่ โทราโอะจะมางานเชื่อมไมตรีรึเปล่า?”

     

                “อือ”

     

                “โทราโอะ นายหนักไหม?”

     

                “ไม่ค่อย”

     

                “โทราโอะ”

     

                “....”

     

                “โทราโอะ!

     

                “อะไร”

     

                “ฉันปวดฉี่”

     

                “...”

     

     

     

                “โทราโอะ...เมื่อไหร่จะถึงอ่า ฉันง่วงแล้ว...” ร่างเล็กพูดเสียงแผ่วพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ “...ทำไมนายถึงไม่เอารถมาล่ะ...”

     

                “ฉันเอารถไปล้าง”

     

                “งั้นหรอ...” ลูฟี่พึมพำเบาๆก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างนั่นอีกครั้งแล้วหลับตาลงช้าๆด้วยความล้า

     

                “วันนี้กลิ่นนายแปลกๆนะ...กลิ่นเหมือน..อืม....กลิ่นนายเหมือนโรงพยาบาลเลย”

     

                “ฉันเรียนแพทย์นี่ก็ต้องมีกลิ่นยาติดตัวเป็นธรรมดา”

     

                ลอว์ตอบไปอย่างนั้น แน่ล่ะ มีไม่กี่คนหรอกที่จะทนอยู่กับกลิ่นแบบนี้ได้น่ะ ถ้าไม่คุณหมอหรือพยาบาลก็มักจะไม่ชอบกลิ่นนี้เป็นธรรมดา คนส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามหลีกเลี่ยงกลิ่นนี้ทั้งนั้น ก็คงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไม่ชอบกลิ่นนี้...

     

                “ฉันชอบนะ ถึงมันจะแปลกๆก็เถอะ...” ลูฟี่พูดพลางคลี่ยิ้มบางๆ เขาถูไถใบหน้าหวานนั่นลงกับแผ่นหลังอบอุ่นของอีกฝ่ายราวกับลูกแมวน้อย

     

                นี่เขารู้ตัวเขารู้ตัวรึเปล่านะ...ว่าพูดอะไรออกมาน่ะ...

     

     

     

                ลอว์หยุดฝีเท้าลงที่หน้ารั้วบ้านของร่างเล็กๆบนหลัง พลางย่อตัวลงต่ำๆเพื่อให้อีกฝ่ายก้าวลงมาจากหลังของเขาได้สะดวกขึ้น

     

                ลูฟี่ก้าวขาบางๆของตัวเองออกจากหลังของอีกฝ่ายทีละข้างจนในที่สุดก็ลงมาเหยียบพื้นได้สำเร็จ

     

                “มีกุญแจบ้านใช่ไหม?” ลอว์ถาม เขายังคงย่อตัวอยู่อย่างนั้น เพราะถ้ายืนเต็มความสูงหัวของเขาต้องชนร่มที่อีกฝ่ายถืออยู่เป็นแน่...

     

                “เอสอยู่บ้านน่ะ ไม่ได้ล็อคหรอก” ลูฟี่ว่าพลางเอามืออีกข้างที่ไม่ได้ถือร่มพิงประตูรั้วเพื่อทรงตัว

     

                ลอว์ผละออกจากใต้ร่ม เขาเดินไปเปิดประตูรั้วให้ร่างเล็กอย่างระมัดระวังก่อนจะเดินกลับมาหา “งั้นฉันกลับแล้วนะ คราวหน้าจะทำอะไรก็ระวังด้วยล่ะ” พูดแค่นั้นก็หันหลังให้เตรียมจะกลับบ้าน

     

                ลูฟี่มองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เขาเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ

     

                “หือ?” ลอว์หันมามองในขณะที่กำลังเสยผม ฝนที่โปรยลงมาทำให้ทั้งร่างของเขาเปียกไปหมด เสื้อนักศึกษาสีขาวบางแสนบางนั่นก็ไม่ได้ช่วยปกปิดร่างกายนั่นเลยสักนิด ลูฟี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวจนทอดไข่ดาวสุกได้

     

                “ข..ขอบคุณนะ” ลูฟี่กระซิบก้มหน้ามองแอ่งน้ำที่ถูกน้ำฝนสาดกระทบเป็นวงกว้างหลายจุด

     

                อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร ลูฟี่ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆของอีกฝ่ายตามมาด้วยสัมผัสชื้นๆบนหัว เขาเงยหน้ามองร่างสูงเจ้าของมือหนาบนหัวตัวเอง พวงแก้มใสของเขาถูกแต้มด้วยสีแดงจางๆจนอีกฝ่ายคิดว่าเขาเริ่มจะไม่สบาย

     

                “เข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ว่าพลางขยี้กลุ่มผมนั่นเบาๆ ใบหน้าคมปลาบพลันอ่อนโยนขึ้นมาทันใด

     

                ลูฟี่พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าบ้านไป พวงแก้มของเขายังขึ้นเป็นสีแดงเรื่อไปจนถึงใบหู หัวใจเต้นรัวราวกับมีลิงนับสิบกำลังเล่นกันอยู่ข้างในแถมใบหน้ายังร้อนผ่าวเสียยิ่งกว่าแดดตอนกลางวันอีก ให้ตายสิ หรือว่าเขาจะไม่สบายจริงๆนะ...


                 ว่าแล้วก็ลองยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองเบาๆ 

     

                ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายกลับเข้าบ้านไปแล้วลอว์ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาหม่นสีเดียวกันกับดวงตาของเขาอย่างเหม่อลอย ทว่าในตอนนั้นนัยน์ตาของเขากลับดูสุกใสกว่าสีท้องฟ้าในยามนั้น

     

     

     

                “ไอน้องบ้า! ใครใช้ให้แกกลับดึกขนาดนี้กันห๊ะ!?”

     

                “ลูฟี่!! เท้านายไปโดนอะไรมา ทำไมมันม่วงอย่างนั้น! แล้วโทรไปตั้งหลายสายทำไมไม่รับ”

     

                “ใจเย็นๆสิ พวกนายคิดมากไปแล้ว ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่หกล้มนิดหน่อยเอง”

     

                ลุฟี่หัวเราะเจื่อนๆตอบพี่ชายทั้งสองของตัวเอง กะไว้แล้วล่ะว่าจะต้องเป็นแบบนี้...พอเขาเปิดประตูบ้านมาปุ๊ปก็โดนเอสและซาโบจู่โจมจนเขาเลือกแทบไม่ถูกว่าตอบคำถามไหนก่อน



     

                เรื่องวุ่นวายทั้งหมดผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้เขาอาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังจะเข้านอน เขาไม่คิดจะทำการบ้านหรือโปรเจกต์ต่อแล้วล่ะ...ก็เหนื่อยมาขนาดนี้ เขาง่วงจะตายอยู่แล้ว...

     

                หลังจากปิดไฟแล้วลูฟี่ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความล้า ฝังร่างเล็กๆนั่นให้จมลงกับฟูกนุ่มและผ้าห่มอุ่นๆของตัวเอง นัยน์ตาสีรัตติกาลคู่สวยจ้องมองไปยังสติ๊กเกอร์เรืองแสงบนเพดานพลางนึกถึงใบหน้าและสัมผัสอันแสนอ่อนโยนที่ใครบางคนได้มอบให้เขา

     

    ริมฝีปากอวบก็เผลอฉีกยิ้มกว้างออกมา

     

                เอ๊ะ...เขาลืมอะไรไปรึเปล่านะ...

     

                จี้เส้นนั้น! เขาลืมคืนจี้เส้นนั้นให้เขานี่! อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วเชียว!


    - to be continue -


                   ว้าว^0^ อีกแค่สองตอนก็จะรีไรท์ครบหมดแล้วนะคะ เย่ๆๆๆ>< คราวนี้ไรท์มาแบบจุใจสองตอนรวดเลยค่ะ เพื่อไม่ให้นักอ่านรู้สึกขาดตอน ถถถถ #ผิด 

                   ฮรือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ //โผล่มาก็คร่ำครวญเลย #ผิด อยากจะบอกว่างานที่โรงเรียนเยอะมากกกกกกกกกกกกค่ะ;_; เลยอาจจะอัพช้าไปหน่อย คือเรื่องอื่นนี่ดองมากT_T ดองจนกลิ่นเค็มลอยมาแต่ไกลเลยค่ะ;_; ยังไงก็อย่างทิ้งกันไปไหนนะคะ อ่านกันแล้วก็อย่าลืมให้กำลังใจกันด้วยน้า รักรีดเดอร์ทุกท่านค่ะ <3

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×