คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12
- Chapter
12 -
My prince did come
ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบๆด้วยโทนสีขาวฟ้า
อุปกรณ์ต่างๆถูกเก็บไว้ภายในตู้กระจกที่ทำจากไม้สีขาวอย่างเรียบร้อย เคาน์เตอร์บาร์รอบๆห้องถูกประดับด้วยสัตว์เคยมีชีวิตที่ถูกแช่ไว้ในฟอร์มาลีน
พวกมันถูกบรรจุอยู่ในขวดโหลสีใสมากมายหลายขนาดและรูปร่าง
ถึงแม้จะเรียงกันไม่เป็นระเบียบแต่มันกลับดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
เด็กหนุ่มร่างเล็กเจ้าของดวงตากลมโตสุกใสนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นกระเบื้องเย็นเฉียบอย่างหมดหวัง
เขาเช็ดใบหน้าหวานๆของตัวเองกับแขนบางนั่น
ถึงแม้จะมีกล้ามเนื้อแบบผู้ชายอยู่บ้างแต่ก็ยังคงบอบบางราวกับว่าจะถูกทำลายได้ง่ายๆ
ช่างเป็นร่างที่น่าทะนุทะนอม
เป็นเวลานานพอสมควรแล้วที่เขานั่งอยู่แบบนี้
ในห้องกว้างๆนี่ ตัวคนเดียว...ตอนนี้เขาทั้งล้า หิว กลัว เหงา
และสับสนไปในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
หนาว...ข้างนอกนั่นพายุยังคงโหมกระหน่ำอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
เสียงลมคำรามฟังดูเกรี้ยวกราดยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
แม้หน้าต่างจะปิดอยู่แต่ลูฟี่กลับได้ยินมันชันเจนทุกถ้อยคำราวกับว่ามันกำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเขา
ถึงกระนั้น เขากลับรู้สึกว่าเสียงนั้นกำลังปลอบประโลมเขาอยู่
“เอส...ซาโบ
ฉันอยากกลับบ้าน...” เสียงสะอื้นเล็กๆดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มของเขา
เขาอยากกลับบ้านเหลือกเกิน...เขาเกลียด...เกลียดการอยู่คนเดียว
เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้เขามาเรื่อยๆ
ลูฟี่มั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เสียงของลมก็บอกเขามาแบบนั้นเหมือนกัน
เขาเงยหน้าขึ้นจากแขนชื้นๆของตัวเอง ใบหน้าเริ่มซีดเผือดราวกับผีดิบไร้ชีวิต
เขาพยุงตัวเองขึ้น
รีบเก็บของที่กองอยู่บนพื้นทั้งหมดใส่ในกระเป๋าเป้ของตัวเองอย่างรวดเร็วและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตรงปรี่ไปยังประตูเพื่อลองเปิดดูอีกครั้ง
ไม่แน่บางทีระบบล็อคอาจจะหายรวนและกลับมาเป็นปกติแล้วก็ได้ เขาหวังอย่างนั้น...
ทว่าเท้าเจ้ากรรมกลับสะดุดไม่รู้เวล่ำเวลาทำเอาเจ้าตัวล้มลงไปนอนราบกับพื้น
โชคดีที่ใช้ข้อศอกยันไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นเขาคงจะเสียจมูกรั้นเล็กๆของตัวเองไปแล้วเป็นแน่...แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
จากแรงทั้งร่างที่ถาโถมลงไปยังจุดจุดเดียวนั้นทำให้เขาเจ็บข้อศอกไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
ลูฟี่ครางต่ำๆในลำคอด้วยความเจ็บ
ใช้กำลังทั้งหมดที่มีพยุงตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
ความเจ็บแปล๊บตรงข้อเท้าเล่นขึ้นมาตามไขสันหลังทำเอาเขาถึงกับเสียการทรงตัวและลงไปกองกับพื้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“โอย...เจ็บๆๆ”
ลูฟี่พึมพำกับตัวเอง มือบางก็พลางเลื่อนไปลูบข้อเท้าของตัวเองเบาๆด้วยความเจ็บปวด
เสียงฝีเท้าปริศนายังคงดังอยู่
มันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ดวงตากลมโตของลูฟี่เบิกกว้างเมื่อเห็นร่างปริศนาของใครบางคนกำลังตรงมาที่ประตู
เขามองเห็นไม่ชัดมากนักเพราะข้างนอกนั้นมืดสนิทและประตูกระจกเองก็ติดสติ๊กเกอร์สีขุ่นเอาไว้ด้วย
ลูฟี่เม้มริมฝีปากแน่น
สัมผัสได้ถึงหยาดเหงื่อที่ไหลลงอาบแก้มทีละหยดสองหยด
เขารวบรวมสติทั้งหมดที่มีพยายามใช้สมองที่ไม่ค่อยจะได้ใช้การเท่าไหร่หาทางเอาตัวรอด
นัยน์ตาสีรัตติกาลทอประกายคู่สวยเหลือบไปเห็นโต๊ะทำงานสีเทารูปตัว
L ที่อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก
ลูฟี่รู้สึกราวกับได้รับความเมตตาจากพระเจ้า
แม้เขาจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็ตาม..เขากระเสือกกระสนพาร่างของตัวเองตรงไปยังโต๊ะทำงานแล้วพาร่างเล็กเข้าไปหลบอยู่ข้างใน
เขาพยายามหอบหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
นัยน์ตาสีรัตติกาลกำลังสั่นคลอนไปด้วยความกลัว ริมฝีปากแห้งปากและซีดเผือดราวกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง
เขาเพิ่งได้สัมผัสกับความกลัวอย่างแท้จริงก็วันนี้นี่แหละ...
ไม่นานนักเสียง
กริ๊ก ก็ดังขึ้น ลูฟี่รู้ทันทีว่าประตูถูกเปิดออกแล้ว
เสียงฝีเท้าหนักๆค่อยๆย่างกรายเช้ามาในห้องช้าๆ ลูฟี่มองเห็นเพียงเงาสูงที่อยู่บนผนังเท่านั้น
เงานั่นเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่าง
ลูฟี่ไม่อาจทราบได้
เขาได้ยินเพียงเสียงเหมือนตู้อุปกรณ์ถูกเปิดออกและเสียงแก้วกระทบกันเท่านั้น ขโมย?
นั่นคือสิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาตอนนั้น
แต่ว่าในเวลาแบบนี้เรื่องนั้นคงไม่สำคัญเท่าไหร่นัก การจะเอาชีวิตให้รอดยังไงต่างหากที่สำคัญกว่า
ถ้าเขาโผล่ออกไปดื้อๆตอนนี้
โจรนั่นอาจทำร้ายเขาก็ได้ โจรนั่นอาจจะพกอาวุธมาด้วย
เขาคงทำได้แค่รอให้โจรคนนั้นออกไปก่อนเท่านั้น
แต่ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโจรนั่นจะกลับมาเจอเขาอีกรึเปล่า
เพราะเขาไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้
ลูฟี่เผลอหายใจเสียงดังอยู่ฮืดหนึ่ง
เขาหน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความกลัวเมื่อเห็นเงานั่นเหมือนจะหันมาทางเขา
ลูฟี่กัดริมฝีปากล่างแน่นด้วยความหวาดหวั่น เหงื่อยังคงไหลอาบใบหน้าหวานของเขาเรื่อยๆ
ไม่นะ...
และแล้วสิ่งที่เขากลัวก็เกิดขึ้นเมื่อเงาสูงนั้นค่อยๆใกล้เข้ามาหาเขาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆ
ลูฟี่กลั้นหายใจโดยอัตโนมัติได้แต่ภาวนาในใจอย่าให้ร่างสูงเจ้าของเงาหาเขาพบ
เสียงฝีเท้านั่นหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงาน
เขามองร่างสูงนั่นด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวานหวั่น ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายสั่นระรัวจนเขากลัวว่าร่างนั้นจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา
เหงื่อใสผุดขึ้นมาตามใบหน้าและฝ่ามือราวกับเขื่อนแตก ไม่นะ...
ความเงียบโรยตัวลงอย่างน่าอึดอัดจนลูฟี่กลัวอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา
ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ เขาขบริมฝีปากแน่นภาวนาให้เงาสูงนั่นหายไปสักที
ใบหน้าหวานของเขาถูกแต้มไปด้วยความหวาดกลัว
ไม่นานเงาสูงนั่นก็เดินจากไป
เสียงสวิตช์ไฟดังขึ้นพร้อมกับไปที่ดับลง ลูฟี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขาค่อยๆคลานออกมาจากหลังโต๊ะพลางกวาดสายตาไปทั่วทั้งห้อง ไม่อยู่แล้ว...
ลูฟี่เดินออกมาอย่างโล่งใจสุดๆ
โล่งใจจนลืมไปว่าขาตัวเองกำลังเจ็บอยู่
เขาล้มตัวลงบนพื้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับโชคร้ายกว่าครั้งที่ผ่านๆมาเพราะมือเจ้ากรรมดันไปจับเก้าอี้บาร์เข้า
ทำเอาเก้าอี้ที่วางเรียงกันอยู่ล้มระเนระนาดไปทั้งแถว
เสียงเก้าอี้ล้มลงกระทบกับกระเบื้องดังกังวานแทบจะทั้งตึก
แต่บางตัวกลับล้มลงทับข้อเท้าของลูฟี่ซะนี่ เขาร้องเสียงดังลั่นด้วยความทรมาน
ความเจ็บปวดเล่นปลาบขึ้นไปทั่วทั้งขาจนไม่อาจขยับได้
หยดน้ำใสๆเริ่มเอ่ออยู่ที่ขอบตาอย่างกลั้นไม่อยู่
“โอย....”
ลูฟี่โอดครวญในลำคอ พยายามกลั้นสียงโอดโอยและน้ำตาของตัวเองอย่างสุดกำลัง
เสียงประตูถูกเปิดดังขึ้นอีกครั้ง
ลูฟี่เบิกตากว้างด้วยความกลัว
สัมผัสได้ถึงความร้อนจากขอบตาที่เริ่มจะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
เขาหลับตาปี๋ด้วยความกลัว
หยาดน้ำใสๆที่ไหลลงอาบแก้มสีกุหลาบค่อยๆหล่นลงกระทบกับพื้นกระเบื้องสีขาวทีละเม็ดๆ
ยังไงเขาก็คง...หนีไม่พ้นแน่ๆ
ลุฟี่รู้สึกได้ว่าสวิตช์ไฟถูกเปิดเมื่อรู้สึกถึงแสงสว่างที่แยงตา
เขาควร...จะทำยังไง ในเวลาแบบนี้
ไม่ว่าจะยังไงก็คงหนีไม่พ้น เขาอยากให้ทั้งหมดนี่เป็นเพียงความฝัน หากเขาลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่ความฝันก็คงดี...
เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ
จนในที่สุดมันก็หยุดลง
มีเพียงเสียงหายใจและเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้นที่ดังอยู่ในหัว
อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ...คงทำได้แค่เพียงยอมรับมันเท่านั้น
ลูฟี่ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น
“หมวกฟาง-ยะ”
เสียงนุ่มทุ้มที่อสนคุ้นหูดังขึ้น
ดวงตากลมโตของลูฟี่เบิกโพลง เขาจ้องมองไปยังร่างสูงตรงหน้า
แม้จะมองไม่ค่อยเห็นมากนักเพราะทุกอย่างพร่ามัวไปหมดแต่เขาก็รู้ดีว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร
มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้...
ร่างตรงหน้ามองลูฟี่ที่กองอยู่กับพื้นด้วยความอึ้งระคนสงสัย
เขาค่อยๆย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น มองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย
นัยน์ตาสีโมราคู่สวยฉายแววเป็นห่วงคนตัวเล็กอย่างเห็นได้ชัด
แต่น่าเสียดายที่คนตัวเล็กไม่เห็นมัน ถึงจะเห็นก็คงไม่รู้ตัวหรอกมั้ง...
“นายมาทำอะไรที่นี่?”
ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย
เขาเห็นริมฝีปากอวบอิ่มของอีกฝ่ายสั่นไม่หยุดเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับทำไมได้
หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรุออกมามากกว่าเก่าจนดวงตากลมโตคู่สวยนั้นแดงก่ำ
ลูฟี่ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ราวกับว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดอ่อนแรงไปเสียหมด
“ทะ...”
ลูฟี่เอ่ยเสียงสั่น “โทรา..โทราโอะ”
พูดจบก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายทันทีพร้อมกับซุกใบหน้าใสนั่นลงกับไหล่กว้างกำยำของอีกฝ่าย
อยากจะบอกเหลือเกิน...สิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมด ว่าเขาดีใจไหน โล่งอกแค่ไหน
ตื้นตันแค่ไหน อยากจะเล่าเรื่องราวร้ายๆออกมาให้หมด แต่ทำไม่ได้
ทำได้แค่เพียงบอกผ่านอ้อมกอดเท่านั้น
ลูฟี่สะอื้นพลางถูหน้าไปมาบนแผ่นไหล่กว้างของอีกฝ่าย
ลอว์สัมผัสได้ถึงความอื่นอุ่นๆบนเสื้อนักศึกษาของตัวเอง เขาปลอบใครไม่เป็น มือหนายกขึ้นลูบเรือนผมสีดำนั่นอย่างแผ่วเบาแทนคำปลอบประโลมแสนหวาน
ลอว์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขาฝังจมูกโด่งเป็นสันของตัวเองลงบนเรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ
มือหนายังคงลูบกลุ่มผมสีดำนั่นอย่างอ่อนโยน
อยากกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่านี้...แต่ร่างนี้บอบบางเหลือเกิน
มันบอบช้ำมามากเกินพอแล้ว เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ไหว
แต่เมื่อไหร่ที่ร่างนี้ต้องการเขา เขาจะมาหาให้เร็วที่สุด...
“ไม่เป็นไรนะ
ฉันอยู่นี่แล้ว”
สายฝนมักจะนำพาความหนาวเหน็บมาหา แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย สัมผัสได้เพียงความอบอุ่นที่ส่งผ่านแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย
ยามค่ำคืนมักจะมาพร้อมกับความมืดมิด แต่เขากลับพบแสงสว่างที่คอยนำทางให้เขาก้าวเดินไปในความมืดจากร่างเล็กๆบนหลังเขา
“นี่ โทราโอะไปทำอะไรที่นั่นหรอ” เสียงใสดังขึ้นข้างหู
ร่างเล็กที่ถูกแบกอยู่บนหลังขยับร่มในมือไปมาอย่างอารมณ์ดี
ลอว์สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ตรงใบหูของตัวเองทำเอาเจ้าตัวใจสั่นไม่น้อย
เขาเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความระอากับร่างเล็กบนหลัง
ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังสะอื้นไม่หยุดแท้ๆ...แต่ก็ดีแล้วล่ะ
หมอนี่น่ะชอบทำให้เขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย...ไม่ว่าจะตอนที่เขาอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วย
ลูฟี่นี่มันลูฟี่จริงๆ
“ฉันต่างหากที่ต้องถามนาย
นั่นมันตึกม.ปลายไม่ใช่รึไง”
“ฉันถามนายก่อนนะ!” ร่างเล็กโวยวายพลางดิ้นไปมา
แขนบางที่โอบรอบคอแกร่งโอบรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนอีกฝ่ายแทบจะหายใจไม่ออก ลอว์เหงื่อตก
เขากระชับแขนที่แบกรับร่างเล็กๆเอาไว้ให้แน่นกว่าเก่าเพราะกลัวว่าร่างเล็กๆนี่จะดิ้นจนหล่นลงไปพลางถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆอีกครั้ง
“ฉันเอาหลอดทดลองที่ยืมมาไปคืน”
ลูฟี่เงียบไปสักพักเหมือนกำลังครุ่นคิด
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยพลางเอาคางมนเกยไหล่กว้างของอีกฝ่าย “เห?
แล้วนายเข้าไปได้ยังไงล่ะ?”
“ก็เหมือนนายนั่นแหละ”
คราวนี้ร่างเล็กถึงขมวดคิ้วมุ่นกว่าเก่า
“เอ๋? แล้วนายมีกุญแจกับคีย์การ์ดได้ไงล่ะ?”
“ดอฟฟี่เป็นผู้ปกครองของฉัน
ของของเขาก็เหมือนของของฉัน” ลอว์ตอบไปแบบนั้น ลูฟี่เบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนสงสัยราวกับเด็กไร้เดียงสาตัวน้อยๆ
“มิงโก้น่ะหรอ?
มิงโก้เป็นพ่อนายหรอ?”
“เปล่า”
“อ้าว
แล้วพ่อแม่นายล่ะ?”
“ตายแล้ว
ตั้งแต่ฉันยังเด็ก”
“แล้วนายมีพี่น้องรึเปล่า?”
“ก็มี
น้องสาวหนึ่งคน”
“แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?”
“ตายไปแล้ว
พร้อมกับพ่อแม่”
“...”
บทสนทนาจบลงด้วยความเงียบ
ลูฟี่ผละคางมนออกจากไหล่แกร่ง
ลอว์สัมผัสได้ถึงใบหน้าใสของอีกฝ่ายที่แนบอยู่ตรงหลังของเขา
นัยน์ตาสีเทาหินโมราคู่สวยพยายามเหลือบมองร่างเล็กที่อยู่ๆก็เงียบไป
แต่กลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากไหล่กว้างของตัวเอง
ลูฟี่ซบใบหน้าลงกับแผ่นหลังอุ่นของอีกฝ่าย
มือทั้งสองข้างกำเสื้อไว้แน่นแม้จะถือร่มอยู่จนอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งนิดๆ เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยกับคนคนนี้...ก็หมอนี่น่ะ..เสียทั้งพ่อ
แม่ และก็น้องสาวเพียงคนเดียว ไม่เหลือครอบครัวอยู่เลย
เขาคงจะเหงาและโดดเดี่ยวมากๆ
การที่ต้องอยู่ในโลกกว้างนี้เพียงลำพังมันจะทรมานแค่ไหนกันนะ?
แค่คิดก็กลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่แล้ว...ไม่อยากเลย
เขาไม่อยากเผชิญโลกอันแสนกว้างใหญ่และโหดร้ายนี่เพียงลำพังโดยปราศจากครอบครัวและเพื่อน
คนคนนี้จะต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะถึงได้อยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด
“นายอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดสินะ...”
เสียงของอีกฝ่ายช่างแผ่วเบา
แผ่วเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงลมและฝน แต่กระนั้นลอว์กลับได้ยินมันชัดทุกถ้อยคำ
เขาสัมผัสได้ว่าเสียงหวานๆนี้กำลังสั่นคลอน...เพราะเสียใจงั้นหรอ?
“ก็ไม่เชิง...”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากร่างเล็กบนหลัง
มีเพียงความชื้นอุ่นๆบนเสื้อและเสียงลมหายใจจากเจ้าตัวเท่านั้น
“นายน่ะ...นายน่ะ...ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวหรอกนะ”
การย่างก้าวของลอว์สะดุดไปครู่หนึ่ง เขาพยายามหันหน้าไปหาอีกฝ่าย ริมฝีปากเรียวอ้าเป็นคำว่า
‘หา?’ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปก็ถูกแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ฉันจะอยู่ข้างๆนายเอง!”
การย่างก้าวของร่างสุดหยุดไป คิ้วหนากระตุกเล็กน้อย
ในน้ำเสียงนั่นไม่มีการประชดประชัน
ไม่มีการโกหก มีเพียงความจริงจัง ความไร้เดียงสา และความซื่อตรงเท่านั้น
เขาล่ะเหนื่อยใจกับเด็กคนนี้จริงๆ...นี่ไม่รู้ตัวเลยรึไงนะ ว่าเขาพูดอะไรออกมาน่ะ
ริมฝีปากเรียวได้รูปของลอว์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆด้วยความเอ็นดู
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้เห็นมัน
“นี่
โทราโอะจะมางานเชื่อมไมตรีรึเปล่า?”
“อือ”
“โทราโอะ
นายหนักไหม?”
“ไม่ค่อย”
“โทราโอะ”
“....”
“โทราโอะ!”
“อะไร”
“ฉันปวดฉี่”
“...”
“โทราโอะ...เมื่อไหร่จะถึงอ่า
ฉันง่วงแล้ว...” ร่างเล็กพูดเสียงแผ่วพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ “...ทำไมนายถึงไม่เอารถมาล่ะ...”
“ฉันเอารถไปล้าง”
“งั้นหรอ...”
ลูฟี่พึมพำเบาๆก่อนจะซุกหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างนั่นอีกครั้งแล้วหลับตาลงช้าๆด้วยความล้า
“วันนี้กลิ่นนายแปลกๆนะ...กลิ่นเหมือน..อืม....กลิ่นนายเหมือนโรงพยาบาลเลย”
“ฉันเรียนแพทย์นี่ก็ต้องมีกลิ่นยาติดตัวเป็นธรรมดา”
ลอว์ตอบไปอย่างนั้น
แน่ล่ะ มีไม่กี่คนหรอกที่จะทนอยู่กับกลิ่นแบบนี้ได้น่ะ ถ้าไม่คุณหมอหรือพยาบาลก็มักจะไม่ชอบกลิ่นนี้เป็นธรรมดา
คนส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามหลีกเลี่ยงกลิ่นนี้ทั้งนั้น
ก็คงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไม่ชอบกลิ่นนี้...
“ฉันชอบนะ
ถึงมันจะแปลกๆก็เถอะ...” ลูฟี่พูดพลางคลี่ยิ้มบางๆ
เขาถูไถใบหน้าหวานนั่นลงกับแผ่นหลังอบอุ่นของอีกฝ่ายราวกับลูกแมวน้อย
นี่เขารู้ตัวเขารู้ตัวรึเปล่านะ...ว่าพูดอะไรออกมาน่ะ...
ลอว์หยุดฝีเท้าลงที่หน้ารั้วบ้านของร่างเล็กๆบนหลัง
พลางย่อตัวลงต่ำๆเพื่อให้อีกฝ่ายก้าวลงมาจากหลังของเขาได้สะดวกขึ้น
ลูฟี่ก้าวขาบางๆของตัวเองออกจากหลังของอีกฝ่ายทีละข้างจนในที่สุดก็ลงมาเหยียบพื้นได้สำเร็จ
“มีกุญแจบ้านใช่ไหม?”
ลอว์ถาม เขายังคงย่อตัวอยู่อย่างนั้น
เพราะถ้ายืนเต็มความสูงหัวของเขาต้องชนร่มที่อีกฝ่ายถืออยู่เป็นแน่...
“เอสอยู่บ้านน่ะ
ไม่ได้ล็อคหรอก” ลูฟี่ว่าพลางเอามืออีกข้างที่ไม่ได้ถือร่มพิงประตูรั้วเพื่อทรงตัว
ลอว์ผละออกจากใต้ร่ม
เขาเดินไปเปิดประตูรั้วให้ร่างเล็กอย่างระมัดระวังก่อนจะเดินกลับมาหา “งั้นฉันกลับแล้วนะ
คราวหน้าจะทำอะไรก็ระวังด้วยล่ะ” พูดแค่นั้นก็หันหลังให้เตรียมจะกลับบ้าน
ลูฟี่มองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ
เขาเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ
“หือ?”
ลอว์หันมามองในขณะที่กำลังเสยผม ฝนที่โปรยลงมาทำให้ทั้งร่างของเขาเปียกไปหมด
เสื้อนักศึกษาสีขาวบางแสนบางนั่นก็ไม่ได้ช่วยปกปิดร่างกายนั่นเลยสักนิด
ลูฟี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวจนทอดไข่ดาวสุกได้
“ข..ขอบคุณนะ”
ลูฟี่กระซิบก้มหน้ามองแอ่งน้ำที่ถูกน้ำฝนสาดกระทบเป็นวงกว้างหลายจุด
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร
ลูฟี่ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆของอีกฝ่ายตามมาด้วยสัมผัสชื้นๆบนหัว
เขาเงยหน้ามองร่างสูงเจ้าของมือหนาบนหัวตัวเอง
พวงแก้มใสของเขาถูกแต้มด้วยสีแดงจางๆจนอีกฝ่ายคิดว่าเขาเริ่มจะไม่สบาย
“เข้าบ้านเถอะ
เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ว่าพลางขยี้กลุ่มผมนั่นเบาๆ ใบหน้าคมปลาบพลันอ่อนโยนขึ้นมาทันใด
ลูฟี่พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าบ้านไป พวงแก้มของเขายังขึ้นเป็นสีแดงเรื่อไปจนถึงใบหู หัวใจเต้นรัวราวกับมีลิงนับสิบกำลังเล่นกันอยู่ข้างในแถมใบหน้ายังร้อนผ่าวเสียยิ่งกว่าแดดตอนกลางวันอีก ให้ตายสิ หรือว่าเขาจะไม่สบายจริงๆนะ...
ว่าแล้วก็ลองยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองเบาๆ
ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายกลับเข้าบ้านไปแล้วลอว์ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาหม่นสีเดียวกันกับดวงตาของเขาอย่างเหม่อลอย
ทว่าในตอนนั้นนัยน์ตาของเขากลับดูสุกใสกว่าสีท้องฟ้าในยามนั้น
“ไอน้องบ้า! ใครใช้ให้แกกลับดึกขนาดนี้กันห๊ะ!?”
“ลูฟี่!! เท้านายไปโดนอะไรมา
ทำไมมันม่วงอย่างนั้น! แล้วโทรไปตั้งหลายสายทำไมไม่รับ”
“ใจเย็นๆสิ
พวกนายคิดมากไปแล้ว ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่หกล้มนิดหน่อยเอง”
ลุฟี่หัวเราะเจื่อนๆตอบพี่ชายทั้งสองของตัวเอง
กะไว้แล้วล่ะว่าจะต้องเป็นแบบนี้...พอเขาเปิดประตูบ้านมาปุ๊ปก็โดนเอสและซาโบจู่โจมจนเขาเลือกแทบไม่ถูกว่าตอบคำถามไหนก่อน
เรื่องวุ่นวายทั้งหมดผ่านไปได้ด้วยดี
ตอนนี้เขาอาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังจะเข้านอน
เขาไม่คิดจะทำการบ้านหรือโปรเจกต์ต่อแล้วล่ะ...ก็เหนื่อยมาขนาดนี้
เขาง่วงจะตายอยู่แล้ว...
หลังจากปิดไฟแล้วลูฟี่ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความล้า
ฝังร่างเล็กๆนั่นให้จมลงกับฟูกนุ่มและผ้าห่มอุ่นๆของตัวเอง นัยน์ตาสีรัตติกาลคู่สวยจ้องมองไปยังสติ๊กเกอร์เรืองแสงบนเพดานพลางนึกถึงใบหน้าและสัมผัสอันแสนอ่อนโยนที่ใครบางคนได้มอบให้เขา
ริมฝีปากอวบก็เผลอฉีกยิ้มกว้างออกมา
เอ๊ะ...เขาลืมอะไรไปรึเปล่านะ...
จี้เส้นนั้น! เขาลืมคืนจี้เส้นนั้นให้เขานี่! อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วเชียว!
- to be continue -
ว้าว^0^ อีกแค่สองตอนก็จะรีไรท์ครบหมดแล้วนะคะ เย่ๆๆๆ>< คราวนี้ไรท์มาแบบจุใจสองตอนรวดเลยค่ะ เพื่อไม่ให้นักอ่านรู้สึกขาดตอน ถถถถ #ผิด
ฮรือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ //โผล่มาก็คร่ำครวญเลย #ผิด อยากจะบอกว่างานที่โรงเรียนเยอะมากกกกกกกกกกกกค่ะ;_; เลยอาจจะอัพช้าไปหน่อย คือเรื่องอื่นนี่ดองมากT_T ดองจนกลิ่นเค็มลอยมาแต่ไกลเลยค่ะ;_; ยังไงก็อย่างทิ้งกันไปไหนนะคะ อ่านกันแล้วก็อย่าลืมให้กำลังใจกันด้วยน้า รักรีดเดอร์ทุกท่านค่ะ <3
ความคิดเห็น