คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11
- Chapter
11 -
“อะ..เอ๋?”
ผมเอียงคอมองเธอ
“ตอบสิ”
เธอเร้าหรือเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ตอบอะไรกลับไป ใบหน้าของเธอไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นเหมือนจะทอประกายวาบขึ้นมาอยู่ครู่หนึ่งจนผมแสบตา
ทันทีที่ตั้งสติได้ผมก็รีบยกมือขึ้นขยี้ตา
สงสัยคงจะตาฝาดไปล่ะมั้ง...แสงแดดอาจจะสะท้อนเข้าที่ตาของเธอก็ได้หรือไม่ก็เพราะฝุ่นเข้าตาเลยทำให้ผมรู้สึกแสบ
ผมส่ายหน้าไปมาพร้อมกับหัวเราะแห้งๆตอบเธอไป “ก็ไม่เชิงหรอก
แบบว่า..มีคนฝากไว้เฉยๆน่ะ”
“งั้นหรอ...”
เธอหลุบตาลงเหมือนกำลังครุ่นคิด นัยน์ตาของเธอฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย
ผมรีบเอื้อมมือไปหยิบจี้ในมือของเธออีกครั้ง
คราวนี้เธอยอมปล่อยจี้เส้นนั้นอย่างง่ายดาย
เธอดูเศร้า..จนผมรู้สึกเศร้าไปกับเธอด้วย
แต่ในอีกมุมหนึ่งเอกลับดูน่ากลัวเสียจนผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว
หรือผมจะคิดไปเองกันนะ...คิดมากไปแล้วลูฟี่..
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
ผมโบกมือให้เธอพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง “ขอบใจมากนะ”
พูดจบก็หมุนปลายเท้าออกมาจากตรงนั้นแล้วพาร่างของตัวเองตรงไปยังลานจอดรถของตึกวิทย์-คณิตเพื่อไปหาเอสตามปกติ
“น่าเบื่อออออออออ...”
ผมบ่นกับตัวเองพร้อมกับหาวหวอดๆอย่างหมดอาลัยตายอยากก่อนจะฟุ่บหัวลงกับโต๊ะ
นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วแท้ๆแต่ผมยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววเงาของโทราโอะเลยสักนิด
จี้ของเขายังอยู่ที่ผมอยู่เลย ผมอยากคืนมันให้เขาจะตายอยู่แล้ว
ทำไมในตอนที่อยากเจอถึงได้หายหัวไปตลอดเลยนะ
ทีตอนที่ไม่อยากเจอก็โผล่หน้ามาให้เห็นอยู่นั่นแหละ นึกแล้วก็ชักหงุดหงิด
จะว่าไปช่วงนี้ที่โรงเรียนดูยุ่งๆแฮะ
ผมไม่ได้คิดไปเองนะ ผมมั่นใจอย่างนั้น
เพราะเห็นคุณครูเริ่มไม่ค่อยเข้าสอนบ่อยขึ้นแถมพี่ๆม.ปลายก็ดูเหมือนจะถือถังสีกับอุปกรณ์อะไรไม่รู้เยอะแยะเดินสวนสนามกันไปมาตลอดทั้งวันเลยตั้งแต่อาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว
กำลังจะมีงานอะไรรึเปล่านะ?
“อย่าบ่นให้มันมากน่า”
นามิพูด มือของเธอจับปากกาแท่งสีส้มแล้วตวัดไปมา
เขียนบางอย่างลงไปในกระดาษตรงหน้าอย่างชำนิชำนาญ ผมบุ้ยปากใส่เธอ
“ช่วงนี้ครูไม่ค่อยเข้าสอน
นายน่าจะเอาเวลาพวกนี้มาเคลียร์งานค้างหรือไม่ก็โปรเจกต์ที่ครูสั่งเอาไว้นะ”
“ฉันตั้งใจว่าจะไปทำที่แลปตอนเย็นนี่
มันเงียบดีแถมยังมีข้อมูลเพียบเลยด้วย”
มือของนามิชะงักไปครู่หนึ่ง
เธอละความสนใจจากรายงานตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม
คิ้วทั้งสองของเธอขมวดเข้าหากันช้าๆ
โดยไม่รีรอให้เธอได้ถามอะไรผมก็รีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบโลหะเย็นๆในมือขึ้นมาโชว์หราตรงหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อผมเขย่าพวงกุญแจในมือตัวเองเล็กน้อย
มันคือกุญแจห้องแลปที่ห้อยไว้กับคีย์การ์ดนั่นเอง
เพราะโรงเรียนนี้มีห้องแลปที่ใช้งานได้จริงและเรียกได้ว่าอุปกรณ์ครบครันสุดๆ
มีตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทำแลป สัตว์ดอง โมเดลต่างๆ
หรือแม้แต่สารเคมีอันตรายต่างๆก็ยังมี ที่ขาดก็คงจะเป็นนิวเคลียร์กับขีปนาวุธเท่านั้นแหละมั้ง
เพราะแบบนี้โรงเรียนเลยต้องจำกัดให้ใช้ห้องแลปได้เฉพาะนักเรียนม.ปลายสายวิทย์เท่านั้น
ไม่งั้นมีหวังโรงเรียนระเบิดแหงๆ
นามิมองผมด้วยแววตาสงสัยระคนเหนื่อยใจ
ผมยิ้มยิงฟันกว้างให้เธอก่อนจะเก็บกุญแจลงกระเป๋าไป
“นายไปเอามาจากไหน”
“ซาโบไง”
ผมว่าพลางหัวเราะอย่างผู้ชนะ
“เยี่ยมเลย
งั้นเย็นนี้ฉันไปด้วยสิ” อุซปปที่นั่งเงียบมานานอยู่ๆก็โพล่งขึ้นทำเอาผมสะดุ้งแทบตกเก้าอี้ เขาโผเข้ามากอดคอมผมอย่างสนิทสนม “ฉันก็กำลังหาข้อมูลทำโปรเจกต์ของฉันอยู่เหมือนกัน”
“เฮ้ยๆ
อย่าคิดทำอะไรแผลงๆเชียว ขืนโดนจับได้ล่ะก็พวกเราไม่รู้ด้วยนะ”
ซันจิละความสนใจจากรายงานของตัวเอง
เขาพูดพลางเคาะปากกาในมือลงบนหน้าผากผมเบาๆสองสามที
โซโรที่กำลังนั่งหลับอยู่ข้างๆเหล่ตามองพวกผมเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วกลับไปงีบอีกครั้ง
ผมฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับหัวเราะร่าตอบกลับไป
“เรื่องนั้นน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ไม่มีใครจับได้แน่นอน”
นามิกับซันจิถอนหายใจออกมายาวยืดพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายก่อนจะหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ
ผมและอุซปปบุ้ยปากใส่ทั้งสองโดยอัตโนมัติ
เสียงประตูห้องเปิดดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอาจารย์เข้าห้องสอนแล้ว
เพื่อนๆที่คุยกันเสียงดังในห้องก็เงียบลงโดยอัตโนมัติพลางทยอยกันกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
อุซปปผละออกจากผมแล้วกลับไปนั่งที่โดยไม่ลืมที่จะหันมาโบกมือให้ผมเบาๆ นามิและซันจิเก็บงานลงแฟ้มแล้วแยกย้ายกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
ส่วนโซโร..เขานั่งข้างผมอยู่แล้วล่ะ
อาจารย์ประจำชั้นของห้องม.3/6(ห้องรองบ๊วย ห้องผมเองนี่แหละ)เดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารพะรุงพะรังในมือ
“เอาล่ะๆ
พวกเธอฟังให้ดีๆล่ะ ฉันขี้เกียจอธิบายใหม่” เธอพูดพร้อมกับวางข้างของเหล่านั้นลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง
“อีกสองสัปดาห์จะมีงานเชื่อมไมตรีเหมือนที่เรามีกันทุกๆเทอม
ซึ่งพวกเธอจะต้องประสานงานกันเอง ไปคิดกันเอาล่ะว่าจะทำบูทอะไร
“แต่อย่าคิดเกมแผลงๆแบบเทอมที่แล้วล่ะ”
เธอกำชับประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่น เรียกเสียงหัวเราะจากนักเรียนได้เกือบทั้งห้อง
แน่ล่ะ...ก็ห้องนี้มันศูนย์รวมตัวแสบทั้งนั้นนี่
อาจารย์ลอบถอนหายใจก่อนจะหันหลังไปแปะแผ่นกระดาษบางอย่างบนกระดาน
“ใครจะทำหน้าที่อะไรก็มาเช็กกันเอาเองก็แล้วกัน
พอเลิกเรียนแล้วให้หัวหน้าเอาไปส่งที่อาจารย์ระดับชั้นด้วย”
เธอพูดพลางหอบข้าวของพะรุงพะรังของเธอกลับขึ้นไปไว้ในมืออีกครั้ง
“ไปช่วยกันคิดมาด้วย คาบนี้ฉันไม่ว่าง คงสอนพวกเธอไม่ได้”
เธอพูดแค่นั้นแล้วก็หันหลังตรงไปยังประตูทันที
งานเชื่อมไมตรีเป็นกิจกรรมที่โรงเรียนนี้จัดขึ้นทุกๆเทอมเพื่อเชื่อมไมตรีตามชื่อนั่นแหละ
ซึ่งงานนี้จะจัดที่ลานกว้างหน้าโรงเรียนและปล่อยให้คนนอกเข้าได้
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนจากโรงเรียนอื่นหรือแม้แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาที่สนใจอยากจะเข้าร่วมก็สามารถเข้ามาได้ง่ายๆด้วยซ้ำ
ทุกๆห้องในโรงเรียนจะต้องจัดบูทกิจกรรมให้คนอื่นๆได้เข้าร่วมหรือจะเป็นบูทขายของก็ได้
คุณครูจะปล่อยให้นักเรียนในแต่ละห้องทำงานกันเองโดยจะคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ
แถมช่วงที่จะจัดงานการเรียนการสอนต่างๆจะลดฮวบลงไปเลย ผมถึงได้ชอบงานนี้เป็นพิเศษไงแถมในงานยังมีของกินเพียบและยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆอีกต่างหาก
“อ้อ
จริงสิ” อาจารย์ประจำชั้นชะงักฝีเท้าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เธอหันกลับมาอีกครั้ง “เรื่องโปรเจกต์ที่สั่งไว้น่ะ
ทำให้เสร็จก่อนงานเชื่อมไมตรีสักอาทิตย์หนึ่งล่ะ ไม่งั้นจะวุ่นวายเอาเพราะพวกเธอต้องเตรียมงานอีกเยอะ
พวกเธอคงเริ่มทยอยทำกันแล้วสินะ” เธอพูดแค่นั้นแล้วก็หมุนปลายเท้าเดินออกจากห้องไปทันที
“แต่..ฉันยังไม่ได้เริ่มเลยนะ”
ผมโพล่งขึ้นทันทีที่นึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เริ่มแม้แต่จะเตรียมกระดาษด้วยซ้ำ
แล้วต้องทำให้เสร็จก่อนงานเชื่อมไมตรีหนึ่งอาทิตย์ ให้ตายสิ ใครจะไปทำทันกันล่ะ!
“สมน้ำหน้า”
นามิพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลใสของเธอยังคงจ้องไปที่กระดาษรายงานตรงหน้า
“บอกให้ทำตั้งแต่แรกก็ไม่ยอมทำเอง”
“บู่
เซ็งชะมัด”
“ทุกคนลงชื่อกันครบแล้วนะ?”
หัวหน้าห้องตะโกนขึ้นพลางกวาดสายตาไปตามรายชื่อในกระดาษ
ผมเขี่ยปากกาในมือเล่นไปมา
รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทนกับคาบสุดท้ายที่ถึงแม้ว่าอาจารย์จะไม่เข้าสอนแต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้กลับบ้านสักทีจนกว่าจะหมดเวลา
ให้ตาย...ปล่อยก่อนไม่ได้รึไงนะ อย่างน้อยผมก็จะได้ไปเตะฟุตบอลเล่นกับพวกซันจิน่ะ
“ลูฟี่”
เสียงแหลมของหัวหน้าห้องดังขึ้นดึงผมให้หลุดออกจากฝันกลางวัน ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานของเจ้าของเสียงช้าๆ
“นายแน่ใจนะว่าจะทำงานนีไหวน่ะ”
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันมุ่นพลางเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ ฉันเลือกงานที่ง่ายที่สุดแล้วนะ แค่ยกของกับช่วยตกแต่งบูทเอง”
“งั้นฉันจะเอาไปส่งแล้วนะ”
เธอพูดแค่นั้นก็เดินออกจากห้องไป
เพียงไม่กี่อึดใจเสียงสวรรค์(เสียงออด)ก็ดังขึ้น
ผมรีบผุดลุกขึ้นจากโต๊ะเก็บของทุกอย่างบนโต๊ะใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ของตัวเองอย่างลวกๆเพื่อเตรียมตัวไปแลปกับอุซปป
มือก็พลางหยิบหมวกฟางที่สะพายไว้ขึ้นมาสวมด้วยความเคยชิน
ก่อนหน้านี้ผมโทรไปบอกเอสแล้วว่าจะกลับค่ำ ไม่ต้องรอ เขาตอบรับคำแบบลวกๆแล้วก็กดตัดสายทิ้งไปซะอย่างนั้น แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้ถามอะไรมาก
“อุซปป
ไปกันเตะบอลกัน” ผมโอบรอบคออุซปปแล้วหยิบลูกบอลที่มักจะพกมาจากบ้านทุกวันส่งให้ซันจิ
พวกผมวิ่งลงจากตึกแล้วตรงไปยังสนามฟุตบอลด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่ล่ะ! ขืนไปช้าก็โดนพวกรุ่นพี่แย่งสนามไปก่อนน่ะสิ!
ยังไงซะจะแอบเข้าตึกม.ปลายก็ต้องรอพวกพี่ๆกลับบ้านหมดก่อนแล้วถึงจะฉวยโอกาสเข้าไปตอนตึกปิดได้
ตอนนี้ก็เพิ่งจะเลิกเรียนเอง กว่าพี่ๆจะกลับหมดก็หกโมงครึ่งนู่นมั้ง
จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็เล่นฟุตบอลรอไปก็แล้วกัน
“โอ๊ย! ลูฟี่ อย่าเหยียบเท้าฉันสิ!”
“อ๊ะ
โทษทีๆ” ผมกระซิบตอบอุซปปพลางหัว เขามองผมอย่างหน่ายๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ตอนนี้พวกเรากำลังแอบอยู่ในพุ่มไม้ข้างๆตึกม.ปลายเพื่อดูว่ายังมีรุ่นพี่เหลืออยู่ในตึกรึเปล่า
ผมแปลกใจเล็กน้อยเพราะทั้งๆที่ตอนนี้ก็เพิ่งจะห้าโมงครึ่งเท่านั้น แต่พี่ม.ปลายกลับดูเบาบางกว่าทุกวัน
หรือว่าจะรีบกลับไปเคลียร์งานที่บ้านนะ? ช่างเถอะ คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ
หลังจากที่รุ่นพี่ม.ปลายกลุ่มสุดท้ายเดินออกมาจากตึกลุงยามที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างหน้าก็เดินตรงไปล็อคประตูทันที
ผมกับอุซปปนั่งรออยู่สักพักจนมั่นใจว่าลุงยามคนนั้นเดินไปจากบริเวณตึกแล้วจึงออกมาจากพุ่มไม้
โชคดีที่ลุงยามไม่ได้อยู่นานเพราะผมชักจะคันๆขึ้นมาแล้วสิ
ถึงผมจะชินกับต้นไม้เพราะชอบปีนเล่นบ่อยๆแต่ยังไงผมก็ยังไม่ชินกับพุ่มไม้แบบนี้สักที
“เฮ้
ลูฟี่ เหม่ออะไรอยู่น่ะ รีบไปกันเร็วเข้า” อุซปปว่าพลางลากแขนผมให้ตามเจ้าตัวไป
ผมตรงปรี่ไปยังประตูกระจกใสอย่างไม่ลังเลแล้วหยิบกุญแจที่ยืมซาโบออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เสียงกุญแจกระทบกันคือเสียงเดียวที่ดังอยู่ ณ บริเวณนี้
ในเวลาค่ำๆแบบนี้ทำไมโรงเรียนถึงได้ดูน่ากลัวจังเลยนะ
ทั้งๆที่ตอนกลางวันก็ดูสดใสดีแท้ๆ
หรือเป็นเพราะว่าบรรยากาศมันเงียบๆผิดกับตอนกลางวันที่คึกคักตลอดเวลานะ?
“ระวังหน่อยสิ
มีคนได้ยินเข้าจะทำยังไง” อุซปปปรามผมเล็กน้อยพลางสับมือลงบนหัวผมเบาๆ
ผมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองแล้วหน้าหันไปหาเขา
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็ลุงยามเดินไปแล้วนี่”
อูซปปถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
จังหวะเดียวกันผมก็ไขกุญแจได้สำเร็จ เสียง กริ๊ก ดังขึ้น
ผมผลักประตูเข้าไปช้าๆ ความเย็นของแอร์ที่เพิ่งปิดใหม่ๆยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ทั่วทั้งโถง
ห้องโถงของตึกนี้เป็นห้องโถงกว้างที่ถูกปูด้วยกระเบื้องสีขาวเช่นเดียวกันกับผนังที่ถูกทาอย่างเรียบๆไม่มีแม้แต่ลวดลาย
โถงกว้างไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก มีเพียงน้ำพลุที่มีรูปปั้นปลาสีขาวอันใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง
ข้างบนถูกเว้นไว้ให้มองเห็นคนเดินไปมาตามระเบียง
ข้างในนี้ทั้งมืดและหนาว
อุซปปเดินมาหลบหลังผมพร้อมกับพยักหน้าให้เป็นเชิงว่าให้ผมเดินนำ ผมเดินผ่านห้องโถงขนาดยักษ์นี่โดยมีอุซปปเกาะอยู่ที่หลังไม่ห่าง
เสียงรองเท้ากระทบกับกระเบื้องดังกังวานปะปนกับเสียงลมหายใจของผมและอุซปปจนน่าขนลุก
ราวกับว่าในเสียงที่ปะปนกันนั้นมีเสียงลมหายใจของอีกหนึ่งชีวิตกำลังคอยจับจ้องมาที่พวกเราอยู่
พวกผมเดินมาเรื่อยๆจนมาเจอห้องห้องหนึ่ง
มันเป็นประตูกระจกใสที่ถูกแปะด้วยสติ๊กเกอร์สีขุ่น ข้างบนห้องมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ห้องปฏบัติการ 2 (ชีวภาพ)’ ผมฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาทาบตรงแผงสแกนที่วางอยู่แทนที่ที่จับประตู
แสงสีเขียวกระพริบถี่ๆสองสามครั้งก่อนจะมีเสียงดัง กริ๊ก ผมรีบดันประตูให้เปิดออกแล้วตรงไปทิ้งก้นลงบนเก้าอี้บาร์กลมทันที
อุซปปเปิดสวิตช์ไฟแล้วลงมาทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ข้างหน้าผม
เก้าอี้ของห้องนี้เป็นเก้าอี้บาร์กลม
เบาะหนังของมันเป็นสีฟ้าเข้ากับโต๊ะสีขาวสะอาดตาได้ดีจนน่าแปลกใจ เคาน์เตอร์บบาร์ที่มีอยู่รอบๆห้องเต็มไปด้วยโหลหลายขนาดและรูปร่างที่บรรจุสัตว์หมักฟอร์มาลีนไว้หลายชนิด
บางตัวผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นตัวอะไร
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่บนโลกนี้น่ะ...ส่วนบีกเกอร์กับอุปกรณ์ทำแลปทั้งหมดถูกเก็บไว้ในตู้กระจกทำจากไม้สีขาวที่มีอยู่รอบๆห้องเหมือนกัน
ผมวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะแล้วหยิบรายงาน(ที่ยังไม่ได้เขียนอะไรลงไป)ของตัวเองออกมาวาง ผมจะทำเรื่องถั่วลันเตานี่นา..มันง่ายดี
แถมยังน่าอร่อยด้วย..
“ฉันจะไปหาข้อมูลเรื่องเพลทเทกโทนิกจากห้องกายภาพนะ
ฉันจะรีบกลับมา ระวังอย่าไปทำอุปกรณ์พังล่ะ” อุซปปกำชับประโยคสุดท้ายอย่างหนักแน่นก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นบ่าแล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบอันแสนน่ากลัว
ผมรวบรวมสติทั้งหมดสลัดความกลัวทิ้งแล้วเดินไปเปิดตามตู้ใต้เคาน์เตอร์บาร์รอบๆห้องเพื่อหารายงานเกี่ยวกับเรื่องที่ผมต้องการจะทำ
อ๊ะ
เจอแล้ว!
ผมฉีกยิ้มกว้างกับตัวเองก่อนจะหยิบรายงานเล่มสีน้ำเงินออกมาสำรวจ
มันเป็นเล่มไม่หนามากนักและไม่บางจนเกินไป นับว่ากำลังพอดีเลยล่ะ
มีฝุ่นเขรอะราวกับว่าไม่ได้ถูกหยิบมาใช้เป็นเวลานาน แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ขอแค่ใช้ได้ก็พอ
ผมวางรายงานลงบนโต๊ะแล้วกางมันออก
หยิบปากกาที่มีอยู่เพียงแท่งเดียวออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเริ่มเขียนข้อมูลลงไปในกระดาษที่เตรียมไว้
ครืด...ครืด...
โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆมือผมสั่น
ผมละความสนใจจากตัวหนังสือยึกยือของตัวเองก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับแล้วแนบมันกับแก้มของตัวเอง
“ฮัลโล
เอสหรอ?”
‘ถ้านายไม่คิดจะอ่านชื่อแล้วจะเมมไว้ทำไมล่ะ’ เสียงเอือมๆของอุซปปดังกรอกหูผม
“อุซปปเองหรอกหรอ..แล้วโทรมามีอะไรรึเปล่า?
หาห้องกายภาพไม่เจอหรอ?”
‘ไม่ใช่ๆ
ฉันโทรมาบอกว่าฉันต้องรีบกลับแล้วต่างหาก พอดีวันนี้ญาติมาหาน่ะสิ
เลยต้องออกไปกินข้าวข้างนอกกับที่บ้าน’ อุซปปพูดด้วยน้ำสียงเป็นห่วง
‘นายอยู่ได้ไหม?’
“อื้ม
ได้สิ แค่นี้สบายมาก” ผมตอบพลางหัวเราะร่าอย่างทุกครั้ง
อุซปปเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา
‘งั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ
ขอโทษจริงๆนะ ลูฟี่’
“อื้อ
ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปเถอะ ป่านนี้ที่บ้านนายรอแย่แล้ว”
ผมหัวเราะกรอกโทรศัพท์อีกครั้งก่อนจะกดตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ลง
ผมแนบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยากพร้อมกับพ่นลมหายใจในปอดทั้งหมดออกมา
ให้ตายสิ นี่ผมโดนทิ้งอีกแล้วหรอเนี่ย...อืออออออ
ผมโวยวายกับตัวเองราวกับเด็กพลางถูหน้ากับโต๊ะไปมา ผมไม่ชอบอยู่คนเดียวเลย ผมถอนหายใจออกมาอีกหน
ช่วยไม่ได้นี่นา...ยังไงก็คงต้องอยู่คนเดียวไปก่อนล่ะนะเพราะผมต้องรีบเคลียร์งานนี้ให้เสร็จก่อนถึงงานเชื่อมไมตรีนี่..
ผมเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ
หยิบหูฟังออกมาเสียบกับโทรศัพท์แล้วเปิดเพลงคลอเพื่อลืมความกลัวและความเหงาที่ถาโถมใส่จนผมอยากจะลงไปนอนดิ้นกับพื้น
แต่ถึงจะเปิดเพลงช่วยก็เถอะ..ยังไงผมก็ยังรู้สึกขนลุกทุกครั้งที่จ้องไปยังโครงกระดูกเทียมและโครงร่างเทียมของมนุษย์ที่เห็นหมดตั้งแต่กล้ามเนื้อจนถึงตับไตไส้พุง
ถ้ามันมีชีวิตแล้วเดินมาบีบคอผมเหมือนในหนังที่ดูกับซาโบเมื่อสามวันก่อนล่ะ...ไม่เอาๆๆ! ไม่เอานะ!
ผมสะบัดหัวรัวๆไล่ความคิดบ้าๆนี่ออกจากหัว
ทำไมถึงต้องมาคิดเรื่องแบบนี้ในเวลานี้ด้วยนะ ให้ตายสิ
ผมหันกลับมาสนใจแผ่นกระดาษสีขาวหนาเตอะตรงหน้าอีกครั้งแล้วเริ่มลงมือเขียนข้อมูลต่อ
ดวงตาของผมเปิดช้าๆ
ประสาทที่หูของผมได้ยินเสียงบางอย่าง มันคือเสียงของสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า กระทบกับสิ่งต่างๆบนผิวโลกจนเกิดเป็นเสียงกังวาน มันปลุกให้ผมตื่นจากความฝัน ผมหาวออกมาหวอดใหญ่ด้วยความงัวเงียและเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องแลปและสลบเหมือดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับไปนานเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้งานของผมชุ่มไปด้วยน้ำลายตัวเองหมดแล้ว...
ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำลายที่ติดอยู่ขอบริมฝีปากลงไปถึงคางแล้วถอดหูฟังยัดใส่กระเป๋า
ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ...ดูจากท้องฟ้าข้างนอกคงจะมืดมากแล้วแถมฝนยังตกอีกต่างหาก...ผมอยากกลับบ้านแล้วเพราะตอนนี้ผมหิวยิ่งกว่าง่วงซะอีก
ท้องของผมกำลังร้องอย่างหนักหน่วงเป็นสัญญาณบอกว่าตัวผมนั้นยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เลิกเรียน
ผมลูบท้องของตัวเองเบาๆด้วยความหิว รอก่อนนะ...กลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะสวาปามทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย
ผมยัดของของตัวเองทุกอย่างรวมทั้งรายงานเล่มสีน้ำเงิน(ที่ไม่ใช่ของตัวเอง)ลงไปในกระเป๋าอย่างลวกๆแล้วยกมันขึ้นสะพายบนไหล่ขวา มือเอื้อมไปจับหมวกฟางใบเก่าที่ห้อยคออยู่มาสวมโดยอัตโนมัติ
ผมลุกจากเก้าอี้บาร์แล้วตรงไปยังประตูห้องที่ปิดอยู่
กึก..
“เห๊ะ..”
ทำไม..มันเปิดไม่ออก..จริงอยู่ที่ว่าห้องนี้ต้องสแกนบัตรก่อนถึงจะเข้าได้
แต่ข้างในไม่มีให้สแกนนี่ มันเปิดจากข้างในได้เลยไม่ใช่หรอ
แล้วทำไมถึง..เปิดไม่ออกล่ะ! ผมเขย่าประตูแรงขึ้นกว่าเดิมอีกนิดแต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดออกเลยแม้แต่น้อย
สงสัยระบบจะรวนล่ะมั้ง...ผมมุ่ยหน้าใส่ประตูก่อนจะถอดกระเป๋าเป้วางลงกับพื้น
เปิดซิบออกแล้วล้วงมือเข้าไปควานหากุญแจ
ยังดีที่ถึงแม้ระบบจะรวนแต่ก็ยังมีช่องให้ไขกุญแจออกไปได้
ถ้าไม่อย่างนั้นผมคงจะติดอยู่ในนี้จนเช้าแน่ๆ ไม่ไหวหรอก
ใครจะไปทนอยู่คนเดียวในที่แบบนี้ได้นานขนาดนั้นกันล่ะ...เอ๊ะ ทำไมถึงไม่เจอกุญแจสักทีล่ะ...
ผมเทของในกระเป๋าออกมาจนหมดแล้วควานหาพวงกุญแจอันแสนล้ำค่านั่นอยู่พักใหญ่ๆ
แต่ก็ไม่เจออะไรเลย ไม่มี! ไม่มี...ไม่มี! เป็นไปได้ยังไง ผมก็เอาเก็บใส่ในกระเป๋าแล้วนี่ ทำไมถึงหายไปได้ล่ะ! ไม่นะ แล้วผมจะกลับบ้านยังไงล่ะ! ผมไม่อยากถูกขังอยู่ในห้องน่ากลัวๆแบบนี้คนเดียวหรอกนะ
อ๊ะ! จริงสิ!
โทรศัพท์ไง ผมยังมีโทรศัพท์นี่นา โทรหาเอสกับซาโบให้มาช่วยก็ได้นี่นา
ว่าแล้วก็ยิ้มแป้นออกมาจนแก้มปริ รีบตะปบโทรศัพท์ในกระเป๋าตัวเองทันที
ผมอยากกลับบ้านใจจะขาดแล้วทั้งหิวทั้งเหนื่อย เพิ่งจะเข้าใจคำว่าบ้านคือวิมานอย่างลึกซึ้งก็วันนี้นี่แหละ
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆแล้ว
นี่ผมหลับไปนานขนาดไหนกันนะ...ช่างเถอะ
มีสายที่ไม่ได้รับจากซาโบและเอสรวมกันอีกสิบเอ็ดสาย
กลับไปผมต้องโดนเอสบ่นหูฉีกแน่ๆ แต่ตอนนี้ขอออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนดีกว่า สายตาผมเหลือบไปมองรูปแบตเตอร์รี่ที่อยู่มุมบนขวาสุด
สะ..สองเปอร์เซ็นต์ ยังดีกว่าไม่เหลือล่ะนะ ก็เมื่อกี้ผมฟังเพลงไปตั้งขนาดนั้นนี้
ผมปลอบใจตัวเอง
นิ้วเล็กๆก็จิ้มไปลงไปบนหน้าจอกดเบอร์ของซาโบอย่างรวดเร็วด้วยความคุ้นเคยก่อนจะกดโทรออกแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
‘ยอดเงินของคุณไม่เพียงพอ
กรุณาเติมเงินด้วยค่ะ’
ผมลดโทรศัพท์ในมือลง
จ้องมองปยังหน้าจอสีเขียวนั่นอยู่สักพักอย่างหมดหวัง ไม่นะ..ไม่นะๆๆๆ
ผมเพิ่งบอกให้ปู่เติมให้เมื่อวานไม่ใช่รึไง!? หรือว่าปู่ไม่ได้เติมให้ผม ไม่นะ! ทำไมปู่ถึงทำกับผมอย่างนี้นะ ให้ตายสิ! ปู่บ้า อยากให้หลานตัวเองบ้าตายรึไง
แล้วผมจะทำยังไงต่อละ...
เสียง
ติ๊ด จากโทรศัพท์ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหน้าจอจะดับไป
มีเพียงสีดำสนิทและเงาของใบหน้าตัวเองเท่านั้น
ผมเลื่อนนิ้วไปกดปุ่มเปิดหน้าจอ...มันยังคงนิ่งสนิท ผมกดอีกครั้ง อีกครั้ง
และอีกครั้ง แต่มันก็ยังคงนิ่งสนิท...ไม่นะ! แบตหมดแล้วหรอ!?
อย่างนี้ก็โทรเข้าโทรออกไม่ได้น่ะสิ แล้วผมจะออกไปยังไงกันล่ะ
ผมไม่อยากนอนที่นี่นะ! นี่มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย! ทำไมผมถึงได้ซวยขนาดนี้!?
เปรี้ยง!!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่น
ผมสะดุ้งสุดตัวยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองโดยอัตโนมัติพร้อมทิ้งก้นลงไปนั่งกับพื้นด้วยความกลัว
ไม่นะ ใครก็ได้ ช่วยผมที! ผมอยากออกไปจากที่นี่แล้ว...!
- to be continue -
ความคิดเห็น