คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10
-
Chapter 10 -
แสงแดดสีทองอ่อนๆยามเช้าเทเฉียงสาดทะลุผ้าม่านสีขาวบางเข้ามาในห้องสีเหลี่ยมที่ถูกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง
เฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดในห้องเป็นสีขาวและสีเทาไม่มีอะไรโดดเด่น
แต่กลับดูโออ่าอย่างน่าประหลาด
ใบหน้ายุ่งคมเข้มลืมตาขึ้นช้าๆ
เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเทาหินโมราคู่สวย
ใต้ดวงตาทั้งสองถูกประดับด้วยรอยคล้ำจากการไม่ได้นอน
เขายกมือหนาขึ้นเสยผมสีดำขลับของตัวเองอย่างลวกๆก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่ตั้งอยู่ใกล้ๆแก้วน้ำทรงสี่เหลี่ยมบนโต๊ะข้างเตียงมาดู
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้ววางมันกลับลงบนโต๊ะเหมือนเดิม
ชายหนุ่มขดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้งพลางพลิกตัวตะแคงอีกข้าง
‘♫~’
ทันทีที่สมาร์ทโฟนแผดเสียง คนที่ถูกปลุกอีกครั้งก็ขมวดคิ้วหนาเข้าหากันมุ่น ก่อนจะพลิกตัวกลับมาข้างเดิมมือหนาเอื้อมไปหยิบสมาร์ทโฟนเจ้ากรรมของตัวเองแล้วกดรับสายพลางยกขึ้นมาแนบกับหูโดยพูดอะไร
“เฮ้ยๆ
นี่มันเปิดเทอมมาจะอาทิตย์แล้วไม่คิดจะมาเรียบเลยยรึไง แกมีเรียนตอน 9
โมงไม่ใช่หรอ นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ” เสียงทุ้มต่ำดังกรอกหูของเขาอย่างไม่สบอารมณ์
ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างไม่ปกปิด
“เออๆ
รู้แล้ว” เขาตอบกลับไปห้วนๆก่อนจะกดตัดสายทิ้งแล้ววางสมาร์ทโฟนสีขาวของตัวเองลงข้างๆหมอน
เจ้าของนัยน์ตาสีเทาหินโมราหยิบเอาแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดแล้ววางมันในแนวตั้ง
นิ้วเรียวยาวกวาดไปตามทัชแพดอย่างหน่ายๆ
ไม่นานเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความระอาแล้วพับแล็ปท็อปลงพลางวางมันไว้ที่เดิม มืออีกข้างก็ควานหารีโมทเครื่องปรับอากาศที่อยู่ใกล้ๆกันมาปิด
มือหนาคู่แกร่งหยัดตัวเองขึ้นนั่ง
ก่อนจะลงจากเตียงตรงไปยังราวแขวนผ้าแล้วคว้าเอาผ้าขนหนูนุ่มสีขาวมาพาดบ่าก่อนจะหมุนปลายเท้าตรงไปยังห้องน้ำ
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!~~~
เสียงออดบอกเวลาสวรรค์ของเหล่านักเรียนดังขึ้น
และแน่นอนหนึ่งในนั้นก็มีผมด้วย
ผมรีบลุกพรวดจากโต๊ะนักเรียนของตัวเองแล้วกวาดสิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋ารวดเดียว
หลังจากจัดการเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ปลายเท้าของผมก็รีบหมุนตรงไปยังโรงอาหารกับพวกเพื่อนๆของผมอย่างทันที โดยไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของตัวเองติดตัวไปด้วย
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันที่สองของผม
ที่โรงเรียนยังไม่มีอะไรพิเศษมาก งานก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ
ไม่อย่างนั้นผมจะเอาเวลาที่ไหนไปเล่นเกมตอนเย็นกับอุซปปล่ะ
ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
เพราะร้อยวันพันปีผมไม่เคยติดกระดุมเม็ดบนสุดเลย
แต่มีไอบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ดันมาทำคิสมาร์กไว้ตั้งแต่ช่วงคอลงไปถึงหน้าอกเลยต้องปิดไว้น่ะสิ
รอยเก่าใกล้จะหายแล้วแท้ๆ! แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...มันก็ยังปิดไม่ค่อยมิดอยู่ดีแฮะ
ในช่วงหน้าอกน่ะมันก็พอจะปิดได้อยู่หรอก แต่ช่วงลำคอนี่สิ ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว! เพราะตาบ้านั่นแท้ๆ!
ผมก้าวเข้าไปในโรงอาหารที่ผู้คนกำลังเดินสวนสนามกันยิ่งกว่าขบวนพาเหรด
ถึงแม้คนจะเยอะไปหน่อยแต่โรงอาหารของโรงเรียนนี้ก็ใหญ่พอที่จะจุคนทั้งหมดได้
ที่ต้องสร้างโรงอาหารขนาดมหึมาพอๆกับตึกเรียนแต่ละตึกน่ะก็เพราะผอ.ของโรงเรียนนี้ไม่ชอบแบ่งเวลาพักหลายๆช่วงให้มันวุ่นวายน่ะสิเลยให้ทุกระดับชั้นตั้งแต่มัธยมต้นถึงมัธยมปลายให้พักพร้อมกันทีเดียวเลย
แต่ก็ต้องมาลำบากต่อคิวยาวๆนี่แหละ กว่าจะได้กินข้าวจริงๆก็ปาไปเกือบ 20 นาทีแล้ว
ดีนะที่ให้เวลาพักเยอะน่ะ ไม่งั้นมีหวังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันพอดี
“ลูฟี่
คนอื่นเขาไปที่โต๊ะหมดแล้ว นายยืนเหม่ออะไรของนายเนี่ย”
อุซปปพูดพร้อมกับโบกมือไปมาใส่หน้าผม ผมสะบัดหัวเบาๆไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว
ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆตอบอีกฝ่าย
อุซปปถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะที่คนอื่นๆนั่งอยู่
ผมรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะเดินตามอุซปปให้ทัน
แต่เดินไปได้ไม่นานก็ต้องล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นอย่างจัง
ดูเหมือนผมจะไปชนกับอะไรเข้าสักอย่าง...อะไรที่นิ่มๆ อุ่นๆ
เหมือนเนื้อหนังมังสาของมนุษย์นี่แหละ...แต่เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ
“โอย...”
เจ็บ ผมเอามือลูบก้นตัวเองปอยๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ
“ตายแล้ว! ขอโทษค่ะพี่ไม่ทันเห็น
น้องไม่เป็นอะไรนะคะ”
ผมเดินชนผู้หญิงคนหนึ่ง
ดูจากเครื่องแบบเธอน่าจะอยู่ชั้นมัธยมปลายแล้วสินะ...ใบหน้าของเธอขาวใสอย่างกับลูกซาลาเปาเนียนนุ่มน่ากัดเป็นที่สุด
ริมฝีปากของเธอได้รูปแม้จะบางไปหน่อย มันถูกเคลือบด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อน
นัยน์ตาของเธอเป็นสีเดียวกันกับของผม สีดำ
ทว่ากลับดูสุกใสและมีเสน่ห์น่าค้นหาตรงข้ามกับของผมที่เป็นเพียงนัยน์ตาสีดำว่างเปล่าธรรมดาๆ...
เธอใช้นิ้วเล็กๆของตัวเองทัดผมสีเข้มไว้หลังหูพร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างมาข้างหน้าผม
“ไม่ใช่ความผิดเธอนี่
ฉันเองก็มัวแต่เหม่อจนไม่ทันมองเห็นเธอเหมือนกัน”
ผมหัวเราะพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่าย นุ่มขนาดนี้ ดูก็รู้ว่ามือของเธอคงจะได้รับการดูแลอย่างดี
ผมสูงแค่ระดับหน้าอกเธอเท่านั้น
ก็คงไม่แปลกหรอกที่เธอจะมองไม่เห็นผมน่ะ
“งั้นฉันไปก่อนนะ
บ๊าย บาย~”
ผมหัวเราะและโบกมือลาเธอ เธอโบกมือเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้ผม
ผมรีบสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะที่เพื่อนๆของผมนั่งอยู่ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งข้างๆนามิที่กำลังคีบเบนโตะเข้าปากโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมามองผมเลยสักนิด
ใจร้ายชะมัด ชอบเมินกันอยู่เรื่อย
ผมเบ้ปากใส่นามิ
ซึ่งเธอก็ยังทำเหมือนไม่แยแส
“ให้ตายสิ
นายเนี่ยมาช้าอยู่เรื่อยเลยนะ” โซโรดุผมพลางใช้ตะเกียบในมือหนีบชิ้นเนื้อคำโตเข้าปาก
ผมมุ่ยหน้าใส่โซโรโดยไม่ได้ตอบอะไร
ว่าแต่เห็นคนอื่นเขากินกันแล้วผมก็ชักจะหิวขึ้นมาแล้วสิ...
“หมู่นี้นายดูแปลกไปนะ”
ซันจิอมตะเกียบไว้ในปากพลางจ้องมาที่ผมตาไม่กระพริบ “นายติดกระดุมเม็ดบนสุด?
ตั้งแต่ประถมฉันไม่เคยเห็นนายติดกระดุมเม็ดบนสุดเลยสักครั้ง
แต่รอบนี้ฉันเห็นนายติดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นายไม่เป็นไรนะ?”
“คิดมากไปแล้วน่า”
แค่ติดกระดุมเม็ดบนสุดมันแปลกขนาดนั้นเลยหรอ แสดงว่าปกติผมดูเป็นคนไม่เรียบร้อยขนาดนั้นเลยใช่ไหม...
“แล้วคอไปโดนอะไรมาอีกล่ะนั่น” โซโรถามขณะที่ยังเคี้ยวอาหารตุ่ยๆ อย่าทักได้ไหมมมมมม!!! ให้ตาย ผมรู้สึกร้อนขึ้นมาเฉยๆซะงั้น
“ยะ..ยุงกัด
ยุงกัดน่ะ” ผมรีบยกมือขึ้นลูบคอตัวเองโดยอัตโนมัติพลางหัวเราะแห้งๆให้อีกฝ่าย
ดูเหมือนผมจะโกหกไม่เนียนเท่าไหร่
ผมรีบลุกพรวดจากโต๊ะ
เตรียมจะไปซื้อข้าวเพราะไม่อยากโดนซักต่อ ไม่งั้นมีหวังถูกจับได้แหงๆ
ยิ่งเป็นโกหกคนไม่เก่งด้วย
ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะหยิบเงินและ...เดี๋ยวนะ?
ทำไมถึงมีแต่โทรศัพท์กับกระเป๋าเงินล่ะ จี้..จี้เส้นนั้นหายไปแล้ว
“มะ..ไม่มี
ไม่อยู่แล้ว...” ผมรีบหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของตัวเองออกมาวางบนโต๊ะแล้วรีบล้วงมือลงไปควานหาจี้อีกครั้ง
ไม่อยู่...ไม่จริงน่า หรือว่าเมื่อเช้าไม่ได้หยิบมา? ก็จำได้ว่าหยิบมาแล้วนี่
หายไปไหนนะ ต้องหล่นที่ไหนสักที่แน่ๆ มันหล่นเมื่อกี้ตอนที่ชนกับรุ่นพี่คนนั้นรึเปล่านะ?
หรือว่าหล่นเมื่อเช้าตอนเตะบอล ไม่นะ...
“เป็นอะไร
ทำหน้าอย่างกับโลกแตก เงินหายอีกแล้วรึไง? ไม่สิ กระเป๋าเงินก็อยู่นี่
อะไรหายอีกล่ะ?” อุซปกอดอกพลางขมวดคิ้วมองผมด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่”
ผมตอบเสียงแผ่ว ทำเอาทุกคนหันมาจ้องเป็นตาเดียว
ให้เดาตอนนี้หน้าผมคงจะหน้าซีดเป็นศพแหงๆ แถมยังรู้สึกได้เลยว่าปากแห้งมากๆ
“สร้อย...”
ผมกระซิบกับตัวเอง “มันหายไป”
“หา?”
ทุกคนร้องขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ผมไม่ได้พูดอะไร
สัมผัสได้เพียงเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบที่ไหลอาบตั้งแต่หน้าผากลงมาถึงคาง
“นายพกสร้อยด้วยหรอเนี่ย!?” อุซปป
“ลูฟี่สนใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องอื่นนอกจากเรื่องกินด้วยแฮะ”
นามิ
“เฮ้ยๆ
อย่ามาล้อเล่นน่า” โซโร
“ฝันแน่ๆ”
ซันจิ
ผมไม่สนใจต่อคำพูดของพวกเพื่อนๆ
ปลายเท้าของผมหมุนออกมาจากตรงนั้นโดยอัตโนมัติมุ่งตรงไปยังที่ไหนสักแห่ง
ผมไม่รู้เลยว่าปลายเท้าของตัวเองกำลังตรงไปที่ไหน
ในหัวมีแต่เรื่องจี้ที่โทราโอะฝากไว้เท่านั้น ซาชิบอกว่าเขาไม่เคยถอดมันให้ใคร
งั้นก็หมายความว่าจี้เส้นนั้นต้องมีความหมายกับเขาแน่ๆ ไม่นะ..อย่าหายนะ...
“จดสูตรนี้ไว้ให้ดีๆล่ะ
มันออกสอบ แล้วก็หน้าที่ 27 ตั้งแต่ข้อ 3 ถึง ข้อ 7 ต้องใช้สูตรนี้...”
ผมได้แต่นั่งเอาหน้าแนบกับโต๊ะไม่ไหวติ่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อัดกับโต๊ะนักเรียนของตัวเองก่อนจะหันหน้าไปทางหน้าต่าง
สีของท้องฟ้าและกลิ่นของฝนช่วยให้ผมสงบลงได้ในยามที่ความคิดตีกันยุ่งเหยิงไม่เป็นท่าในสมอง
โชคดีที่โต๊ะของผมอยู่ติดกับริมหน้าต่างและวันนี้อากาศก็สดใสมากด้วย
สีของท้องฟ้าไม่เข้มเกินไปไม่จางเกินไป กำลังดีเลย ผมหลับตาลงช้าๆ
สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพ่นออกมา
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...ทั้งเที่ยงนี้ผมไม่ได้กินข้าวเลย
เอาแต่พลิกแผ่นดินหาไอสร้อยบ้าๆนั่น ไม่ว่าจะหายังไงก็ไม่พบ
ถามภารโรงหรือแม่บ้านก็ไม่เจอ
ตอนนี้เหลืออยู่ที่เดียวที่ผมยังไม่ได้ไปหาคือสนามฟุตบอล
เดี๋ยวเลิกเรียนคงต้องไปหาอีกทีแล้วล่ะ
“อ่อก!”
ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะพลางยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ
“มันเจ็บนะ” ผมมุ่ยหน้า
“แล้วแกนอนทำไมล่ะ! นี่มันห้องเรียนนะ
ไม่ใช่ห้องนอน” อาจารย์วัยกลางคนที่สอนอยู่บ่นพลางถอนหายใจออกมาด้วยความระอา
เขาเดินไปหยิบชอล์กแท่งใหม่จากกล่องกระดาษเล็กๆที่วางอยู่ตรงโต๊ะทำงาน
“ในเมื่อเธอไม่อยากเรียนก็ออกไปยืนนอกห้องไป”
ผมเบ้ปากใส่พลางทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องอย่างว่าง่าย
เดาว่าอาจารย์ก็คงจะแปลกใจไม่น้อยเหมือนกันที่เห็นผมทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่เถียงแม้แต่คำเดียว
แต่ฝันไปเถอะ...
ผมออกมายืนสักพัก พอมั่นใจว่าอาจารย์เผลอผมก็รีบใส่เกียร์หมาออกมาจากตรงนั้นทันที ผมอ้าปากหอบถี่ตักตวงเอาอากาศเข้าปากให้ได้มากที่สุด ขาแห้งๆก็ยังคงพาตัวผมวิ่งตรงไปยังสนามฟุตบอลข้างล่างอย่างเอาเป็เอาตายยิ่งกว่าตอนแข่งกีฬาสีอีก
พอลากสังขารตัวเองลงมาถึงผมก็ก้มตัวลงจับเข่าทั้งสองแล้วหอบให้หายเหนื่อยสักพัก
ผมรีบถลาตัวลงกับพื้นหญ้า
มือก็คลำๆไปตามสนามหาจี้บ้าๆบอๆของโทราโอะอย่างรีบเร่งที่สุด ร้อนชะมัด
วันนี้แดดแรงเป็นพิเศษเลยแฮะ ถึงจะใส่หมวกฟางอยู่ก็เถอะ
แต่มันก็ช่วยแค่กันแดดไม่ให้เข้าตา ไม่ได้ช่วยกันความร้อนเลยสักนิด
ทำไมผมถึงต้องมาตามหาจี้บ้าๆนั่นด้วยเนี่ย
นึกแล้วก็โมโหตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่ระวังให้มากกว่านี้และก็โมโหที่ต้องมาทำเรื่องบ้าๆแบบนี้แหละ
ทำไมผมต้องมาตามหา...เอ๊ะ
ผมยกมือขึ้นป้องใบหน้าเมื่อเห็นประกายบางอย่างบนผืนหญ้า
มันทำให้ผมแสบตา ดูเหมือนแสงจะสะท้อนเข้ากับอะไรบางอย่าง..หรือว่าจะเป็นจี้เส้นนั้น!
ผมรีบลุกขึ้นแล้วตรงไปปรี่ไปยังแสงนั้นอย่างมีความหวังโดยไม่แม้แต่จะปัดเศษหญ้าและเศษดินออกจากกางเกงขายาวสีดำของตัวเอง
แต่พอวิ่งมาถึงความหวังที่เคยมีก็เหมือนถูกเททิ้งไปในพริบตา
หระ..เหรียญร้อยเยน?
ใครมันมาทำตกไว้แถวนี้เนี่ย...ผมเก็บเหรียญร้อยเยนเหรียญนั้นขึ้นมาดูสักพักแล้วถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวังสุดๆ
กริ๊งงงงงงงงงงงงง!!!~~
เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นอย่างเคย
ผมรีบหยิบหมวกฟางที่สะพายไว้ขึ้นมาสวมด้วยความเคยชิน
ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วกวาด(ยัด)เอาของทุกอย่างเก็บใส่ในกระเป๋าเป้ของตัวเอง
ผมกะว่าจะลองไปหาดูอีกที ตอนกลางวันผมอาจจะหาดูยังไม่ละเอียด
มันอาจจะหล่นอยู่ตรงบันไดขึ้นตึกก็ได้ นั่นหมายความว่าผมต้องเดินไล่หาตั้งแต่ชั้น
5 จนลงไปถึงชั้นล่างสุด...แต่ก็เอาเถอะ ก็ผมทำหล่นเองนี่นะ
“ลูฟี่”
โซโรเรียกพร้อมกับจับไหล่ของผมเบาๆทำผมสะดุ้งเล็กน้อย “นายดูแปลกๆเหมือนที่ไอคิ้วม้วนบอกเลย
นายซึมๆไปนะ ไม่สบายรึเปล่า?”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า
พวกนายคิดมากไปแล้วจริงๆนะเนี่ย” ผมตอบพร้อมกับหัวเราะ
เขาจ้องผมอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“แล้วจะรีบไปไหนเนี่ย
ไม่ไปร้านเค้กที่เพิ่งเปิดใหม่หลังโรงเรียนด้วยกันหรอ?”
“คงไปไม่ได้หรอก...พอดี..วันนี้เอสมีธุระนิดหน่อยเลยต้องรีบกลับน่ะ”
ผมหัวเราะแห้งๆก่อนจะโบกมือลาโซโรแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ “ฉันไปละนะ”
“มันน่าจะอยู่แถวนี้นี่นา...”
ผมกระซิบกับตัวเองเบาๆ สายตาก็กวาดไปมาตามขั้นบันได ขาก็ก้าวลงมาทีละขั้นๆ
ทำไมถึงไม่เจอเลยนะ...หรือจะลองไปหาที่สนามฟุตบอลอีกที
เมื่อตอนกลางวันผมยังหาไม่ละเอียดรึเปล่านะ?
ไม่แน่มันอาจจะหล่นอยู่ในโรงอาหารแล้วถูกแม่บ้านกวาดไปทิ้งรวมกับเศษขยะแล้วก็ได้
โอ๊ย ไม่นะ ฮือออออออ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆแล้วผมจะไปหาจากไหนล่ะเนี่ย
ถังขยะก็ไม่ได้มีแค่ถังเดียวในโลกด้วย
พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมาจริงๆแล้ว ทำไมไม่ระวังให้มากกว่านี้นะ
ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันสำคัญกับโทราโอะแท้ๆ
“อ๊ะ”
ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเสียการทรงตัวเล็กน้อย
ผมยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“อ้าว
น้องที่เจอกันเมื่อกลางวันนี่” เธอฉีกยิ้มบางๆ
“โทษทีนะ
ฉันซุ่มซ่ามอีกแล้ว” ผมฉีกยิ้มพร้อมกับหัวเราะ จริงสิ บางทีเธออาจจะเจอจี้ของโทราโอะก็ได้
“นี่ เธอเห็นจี้ของ..เอ่อ...จี้รูปหัวใจไหม ที่มีเพชรสีแดงตรงกลางน่ะ”
“หือ?”
เธอเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระโปรงแล้วค้นๆอยู่สักพัก “ใช่เส้นนี้รึเปล่า?”
เธอพูดพลางหยิบจี้ที่ผมตามหาแทบพลิกแผ่นดินขึ้นมาโชว์หราตรงหน้า
ผมฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
ใช่จริงๆด้วย..จี้ของโทราโอะ
“ใช่ๆ
อันนี้แหละ” ผมตอบพลางฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่าพลางเอื้อมมือไปหยิบจี้เส้นนั้น
แต่ยังไม่ทันจะได้คว้าไว้มาอีกฝ่ายก็ชักมือกลับไปเสียก่อน
“จี้นี่ของนายหรอ?”
ความคิดเห็น