ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Exo fx ] It's over tonight

    ลำดับตอนที่ #9 : [[ It's over ]]: C T 7 // Up

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 56











     

              แสงไฟสลัวๆ ตัดกับสปอร์ตไลท์หลากสีทำให้บรรยากาศในผับแห่งนี้ดูดีและน่าสนุกมากขึ้น บันไดวนตรงกลางฟลอร์มีผีเสื้อราตรีวาดรวดลายกันอย่างสนุกสนาน ด้านหน้ามีเวทีเล็กๆ ที่เป็นพื้นที่สำหรับดีเจ ส่วนคนที่รักการดื่มเพียงอย่างเดียวสามารถหลบความวุ่นวายมานั่งชิวได้ที่ด้านหลังฟลอร์ที่พื้นยกระดับขึ้นมาเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเรียกว่าเป็นชั้นสอง จากการตกแต่งที่เน้นความสนุกเป็นหลักซึ่งเหมาะกับวัยรุ่นบ่งบอกได้ว่าผับแห่งนี้ไม่ใช่สำหรับวัยทำงานที่กระเป๋าหนักมาเที่ยวกัน

     

     พูดง่ายๆ ก็คือผับนี้แค่ระดับสี่ดาวน่ะ

     

     ผมนั่งอยู่ด้านหลังในโต๊ะมุมที่หลบสายตาผู้คนได้เป็นอย่างดี เหตุผลที่เลือกมานั่งหลบตรงนี้ก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ชุดนอนของผมมันเรียกสายตาจากนักเที่ยวได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในนี้ ใบหน้าผมมักดึงดูดผู้คนได้ดีอยู่แล้วยิ่งมาใส่ชุดนอนคนยิ่งมองกันไปใหญ่ ยิ่งเห็นคนข้างๆ หัวเราะคิกคักที่ทำให้ผมอับอายได้แทบอยากจะจับเธอโยนเข้ารถแล้วตีแรงๆ สักทีสองที แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นคงโดนพ่อบุกมาตัดหัวถึงห้องแน่ๆ

    วิสกี้...ถูกเลือกมาเป็นเครื่องดื่มสำหรับผมในค่ำคืนนี้และไม่ได้ดื่มหนักนักเพราะรู้ว่าต้องขับรถกลับคอนโดและพายัยหน้าขาวกลับด้วย หากผมเมาคงไม่เหมาะนัก แต่คนที่ผมนึกถึงอยู่นั้นหาได้นั่งร่วมโต๊ะเป็นเพื่อนดื่มด้วย

    เพลงจังหวะไม่เร็วและไม่ช้ามากนักของ The pussycat dolls ในเพลง Don't cha มีท่วงทำนองที่ยั่วยุและเชิญชวนให้ขยับตามจังหวะของเพลง แน่นอนว่านักเที่ยวอย่างซอลลี่ไม่พลาดที่จะออกไปโยกย้ายส่ายละโพกร่วมกับนักเที่ยวคนอื่นๆ ด้วย

    แม้ว่าผมจะนั่งอยู่ด้านหลังแต่ผมก็เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับว่าที่ภรรยาผมนะ ซอลลี่กับผู้ชายหน้าตาดี (แต่น้อยกว่าผม) กำลังโยกย้ายช้าๆ ไปตามเพลง มือสองข้างของเธอวางลงบนบ่าแกร่งเช่นเดียวกับมือของฝ่าตรงข้ามที่วางเข้าที่เอวบางแถมยังลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังหญิงสาวราวกับรู้จักกันมาสามชาติ แต่เท่าที่ผมเห็นคือสองคนนี้เพิ่งเจอกันเมื่อสิบนาทีก่อน

    ผมรู้ว่าเธอน่ะมันยัยแมวยั่วสวาทที่คอยอ่อยเหยื่อผู้ชายให้ตกหลุมซึ่งผมเคยแกล้งทำเป็นเหยื่อเธอเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว ไม่มีทางทีหน้าขาวๆ ซื่อๆ ของเธอจะมาหลอกผมได้อีก แต่ดูเหมือนผู้ชายหลายคนจะยังไม่รู้ว่าผู้หญิงหน้าหวานคนนั้นซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ใต้รอยยิ้มหวานนั่น

     

    ท่าทางคืนนี้หนุ่มคนนั้นจะเป็นผู้โชคร้ายเข้าแล้วล่ะ

     

    น้ำเมายังคงถูกกระดกเข้าปากอย่างต่อเนื่องโดยที่ลืมไปว่าตัวเองตั้งใจจะดื่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รู้ทำไมถึงได้หยุดมือตัวเองที่กำลังเทแอลกอฮอล์ใส่แก้วไม่ได้

     

    ผ่านไปหลายนาที...ผมถึงเพิ่งมารู้ว่าตัวเองหยุดยืนอยู่ข้างหลังเธอ

     

    “พ่อหนุ่มชุดนอน~” เสียงแสบแก้วหูจากผู้หญิงที่ไหนไม่รู้เข้ามาเกาะแขนผมอย่างถือวิสาสะ “...แต่งตัวอย่างนี้เพิ่งหัดมาเที่ยวเหรอคะ”

    “...” ผมนิ่งแล้วแกะมือเธออกก่อนจะมองหน้าเธอด้วยแววตาเรียบเฉย

     

    ผู้หญิงพวกนี้ผมไม่สนใจหรอก...เหอะ

     

    “แหม...เล่นตัวจังนะ”

    “...”

     

    ผมไม่สนที่จะพูดกับผู้หญิงแปลกหน้าแล้วใช้มือแตะบ่าซอลลี่ที่กำลังอิงแอบแนบชิดกับหนุ่มคนเดิมเบาๆ เธอหันมามองผมด้วยแววตาตกใจในตอนแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาเรียบเฉย

     

    “กลับห้อง” ผมพูดเสียงเรียบแข่งกับเพลงที่เปิดดังจนหูแทบแตกและไม่สนใจสายตาคนอื่นที่มองมาทางผม

     

     ซอลลี่ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของผม เธอปัดมือผมที่บ่าเธออกแล้วหันไปซบไหล่ไอ้หน้าหล่อด้านหน้าแทน

     

    “พ่อหนุ่มชุดนอน คนนั้นเขามีเจ้าของแล้วคุณมากับฉันเถอะค่ะ ฉันจะพาคุณรู้จักโลกกว้างนี้เอง” ผู้หญิงที่โบ๊ะแป้งหนาเตอะยังคงพยายามชักชวนผมให้ไปกับเธอโดยที่เข้าใจผิดว่าผมเป็นพวกผู้ชายไร้เดียงสา

    “ปล่อย” ผมพูดเสียงเรียบแล้วสะบัดแขนตัวเองออกจากเธอซึ่งนั่นทำให้คนตรงหน้าตกใจไม่น้อย ยิ่งเห็นสายตาน่ากลัวของผมเธอก็รีบเดินหนีไปทันที

     

    ถ้าเป็นไอ้ไคคงเล่นกับเธอไปแล้วแต่กับผม...ไม่ใช่ สำหรับผมผู้หญิงเป็นที่ระบายอารมณ์ยามเรื่องพวกนั้นมันถึงจุดต้องปลดปล่อยแต่กับไคมันต่างกันเพราะไค...เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น

     

    และตอนนี้ผมไม่ต้องการปลดปล่อยอะไรทั้งสิ้น...

     

    “กลับ”

     

    ผมดึงข้อศอกเธอให้หันมาเผชิญหน้าได้ทันก่อนที่มือปลาหมึกของผู้ชายคนนั้นจะจับเข้าที่สะโพกสวย

     

    “ฉันบอกนายแล้วว่าฉันมาเที่ยว ถ้านายไม่พอใจก็กลับไปสิ” ซอลลี่ว่าพลางพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมแต่ผมไม่ยอมปล่อยเธออก

    “...”

     

    นั่นสิ...เธอมาเที่ยวแล้วผมจะมาเดือดร้อนอะไร

     

    “...”

    “เข้าใจแล้วก็ปล่อย นายไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้”

    “...”

     

    ใช่ ผมก็กำลังทำอะไรอยู่ เธอกับผมไม่ได้เป็นอะไรกัน หากเธอจะยุ่งกับใครมันไม่ใช่เรื่องของผม คงดีสักอีกหากเธอมีแฟนเราสองคนจะได้ไม่ต้องแต่งงานกัน ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ลึกลงไปผมกลับรู้สึกอีกแบบ

     

    จะให้ทำไงได้ในเมื่อผมอ่านสายผู้ชายด้วยกันออกว่ามันต้องการจะลากซอลลี่ขึ้นห้องแล้วอย่างนี้ผมจะยอมปล่อยให้เธออยู่กับมันได้เหรอ ยิ่งวันนี้ซอลลี่ออกมาเที่ยวคนเดียวผมจะปล่อยเธอไว้กับหมาป่าได้ยังไง

     

    “กลับ...ก่อนที่ฉันจะเมา” ข้ออ้างที่ค่อนข้างดูปัญญาอ่อนถูกยกมาใช้เพื่อให้เธอไม่สงสัยในการกระทำแปลกๆ นี่

    “เหอะ นายเมาก็เรื่องของนายสิ ปล่อย”

    “ถ้าฉันปล่อย...เธอต้องสัญญามาก่อนว่าจะกลับ”

    “จื่อเทา!

     

    ผมแอบรู้สึกดีนะที่เธอกลับมาเรียกผมแบบนั้น

     

    “เผื่อเธอจะไม่รู้...ไอ้บ้าข้างหลังเธอมันหวังจะงาบเธออยู่”

    “...” ใบหน้าเรียบเฉยของซอลลี่ทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอยักไหล่ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสบายๆ ว่า “ยังไงล่ะ ฉันไม่สนอยู่แล้วเพราะฉันเองก็ชอบเขาเหมือนกัน”

    “...”

     

    ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรกลับไป ผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาดึงแขนซอลลี่ออกจากผมแล้วใช้แขนโอบไหล่เธอไว้

     

    “ขอโทษนะครับ...คุณกำลังยุ่งกับผู้หญิงของผม”

     

    ผู้หญิงของผม ?

     

    “อย่าสนใจเลยค่ะฮิมชาน เขาก็แค่แวะมาทักทายตามภาษาคนรู้จักน่ะค่ะ”

     

    คนรู้จัก ?

     

    “งั้นเราไปที่โต๊ะของผมกันมั้ยครับ ?

    “...ค่ะ”

     

    ก่อนที่ซอลลี่จะหมุนตัวเดินไปเธอหันมามองผมด้วยสายตาเรียบเฉยแล้วหันกลับไปคุยกับผู้ชายที่ชื่อฮิมชานด้วยท่าทางสนิทสนมเกินกว่าเพื่อน

    ผมมองสองคนนั้นจนหายไปโซนนั่งดื่มด้านหลัง เมื่อตอนที่ผมเดินผ่านโต๊ะของเขาก็แค่เหลือบตามองนิดหน่อยไม่ได้ใส่ใจจะไปขัดความสุขหรอกนะ แต่ก็แอบเห็นว่ามือของผู้ชายคนนั้นวางหมับเข้าที่ต้นขาของซอลลี่และเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสนั่น

     

    เอาเถอะ เธออยากทำอะไรก็ทำ อยากให้ผู้ชายคนอื่นมันจับเนื้อต้องตัวก็ช่างเธอสิ ผมไม่สนอยู่แล้ว!

     

    ผมกลับมานั่งที่เดิมซึ่งเยื้องจากโต๊ะฮิมชานกับซอลลี่มาสองตัว สายตาทั้งสองข้างจับจ้องไปยังคู่นั้นไม่วางตา

     

    ไม่ได้เป็นห่วงอะไรหรอกนะ ผมแค่จะดื่มเหล้าเฉยๆ ห้ามคิดว่าผมรอเธอเด็ดขาด!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    1 ชั่วโมงผ่านไป

     

    “ฉันจะกลับแล้ว”

    “...”

    “ไม่กลับหรือไง”

    “...”

     

    ผมที่ในมือถือแก้ววิสกี้อยู่มองร่างงามที่ยืนค้ำหัวด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะยกน้ำเมาขึ้นดื่มเพื่อกลั้นรอยยิ้มมุมปาก กลัวว่าเธอจะรู้ว่าผมพอใจที่เธอเป็นฝ่ายเดินกลับมาหาผมเอง

     

    ส่วนไอ้ผู้ชายที่ชื่อฮิมชานน่ะเหรอ นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะตัวเองไปแล้วล่ะ และไม่ใช่เมาธรรมดาแต่เป็นการโดนมอมเหล้าที่เกิดจากฝีมือคนตรงหน้า

     

    ซอลลี่ก็ฉลาดใช่ย่อยที่ไม่ปล่อยให้ผู้ชายพักนั้นมายุ่งย่ามกับเธอไปกว่าถูกเนื้อต้องตัว ผมว่าเธอเองก็คงดูออกเหมือนกัน

     

    “กลับแล้วเหรอ” ผมถามเสียงเรียบพลางเทแอลกอฮอล์ลงแก้วอีกครั้ง

    “ใช่”

    “หมดสนุกแล้วสินะ”

    “...ประมานนั้น”

     

    เหอะๆ ยัยนี้ร้ายจริงๆ

     

              ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอรวยอยู่แล้ว ผมจะคิดว่าการที่เธอทำแบบนี้เพื่อหลอกเอาเงินผู้ชายนะ แต่ในเมื่อเธอมีพร้อมทุกอย่าง การหลอกผู้ชายก็คงเป็นการเล่นสนุกไปงั้น

     

              “แล้วเรื่องนั้นล่ะ”

              “เรื่องไหน ?

    “ที่คุณบอกว่าจะยกโทษให้ผมถ้าผมพาคุณมาเที่ยว”

    “...”

     

    ซอลลี่กอดอกแล้วหรี่ตามองผมขึ้นลงอย่างใช่ความคิด และนั่นทำให้ผมเผลอใช้สายตามองขาเรียวขาวๆ ของเธออีกครั้ง

     

    ขาเธอสวยจริงๆ นั่นแหละ ไม่แปลกใจที่ผู้ชายคนนั้นจะอดใจจับไม่ได้ ...เห้ยๆ นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย

     

    “ฉันบอกว่าจะพิจารณาไม่ใช่ยกโทษซะหน่อย”

    “...”

    “ไปได้ยัง ฉันง่วง”

    “...”

    “ฉันง่วงนายได้ยินมั้ย”

    “ครับ...คุณผู้หญิง”

    !!!

     

    ผมวางแก้วลงพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่มากพอสำหรับเครื่องดื่มสี่ขวดนี่แล้วลุกขึ้นยืนจับมือเธอก่อนจะเดินนำไปที่รถ

     

    “เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ ?

    “ครับ”

    “ไม่ใช่ หลังจากนั้นสิ”

    “...” ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองซอลลี่แทน “คุณผู้หญิง”

    “...”

    “ไปกันได้ยังครับ”

     

    แม้ว่าผมจะถามด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ในใจกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดที่เห็นว่าแก้มใสๆ ขึ้นสีแดงอ่อนๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรผมก็ออกแรงฉุดมือเธอแล้วลากให้เดินตามขึ้นรถ

     

              ต้องเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าแน่ๆ ที่ทำให้ผมจับมือเธอ แถมยังพูดคำพูดบ้าๆ พวกนั้นอีก ...ใช่ มันเป็นเพราะวิสกี้สี่ขวดนั่นต่างหากล่ะ!

     

     

     

     

     

     

     

     

              “วันนี้คุณจะนอนไหน” ผมถามหลังจากที่ซอลลี่ออกมาจากห้องน้ำ เธอสวมกระโปรงนอนยาวถึงเข่าสีฟ้าดังเช่นทุกวัน

              “โซฟาไง”

     

              ผมลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเธอก็ย้ายตัวเองไปนอนที่โซฟาในห้องรับแขก

     

              “นอนที่นี่ก็ได้”

              “ไม่อ่ะ” เธอยักไหล่แล้วเดินไปจับลูกบิดประตูเตรียมตัวจะออกไปแต่ก็เหลียวหลังมามองผมที่อยู่บนเตียงซะก่อน “...ฉันยังไม่พร้อมจะร่วมเตียงเดียวกับนาย”

              “...”

     

              ปัง

     

              บางที...ไอ้แก้มแดงๆ ที่ผมเห็น อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ผมตาฝาดด้วยเช่นกัน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวคล้ายตัวเมื่อวานแต่ผ้าหนาและเรียบร้อยกว่าเยอะถูกสวมทับด้วยกางเกงยีนส์สีเข้มเน้นรูปร่างของเรียวขาได้เป็นอย่างดี ผมยาวเกล้าขึ้นสูงไว้ลวกๆ ผมหน้าม้าที่เคยปล่อยถูกรวบติดขึ้นด้านบนด้วยกิ๊บดำ มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลและอีกข้างถือรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา

    เธอแต่งตัวอย่างนี้ดูดีกว่าเมื่อคืนเยอะเลยล่ะ ถึงแม้ว่าขาขาวๆ จะสวยจนผมอยากจะมองต่อ แต่ลึกๆ ผมรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่

     

    ซอลลี่เดินออกมาจากห้องนอนแล้วมองผมที่กำลังจัดโต๊ะสำหรับอาหารเช้าสองที่ด้วยสายตานิ่งๆ

     

    “ผมล่ะแปลกใจจริงๆ ว่าคุณตื่นเช้าได้ยังไงทุกวัน”

     

    เธอทั้งเที่ยวทั้งดื่มแต่กลับตื่นเช้าได้ทุกวัน อย่างเมื่อเช้านี้ผมออกจากห้องประมาณเจ็ดโมงกะจะปลุกเธอให้ไปเรียนเพราะกลัวว่านักเที่ยวจะไม่ยอมตื่น แต่กลับไม่เจอคนที่ควรนอนบนโซฟาจนกระทั่งประมาณเจ็ดโมงครึ่งผมถึงเห็นว่าซอลลี่กลับมาจากออกกำลังกายตอนเช้า

    ซอลลี่คงจะแอบเข้าไปในห้องตอนผมหลับอยู่แล้วเอาชุดน่ะ

     

    “ฉันก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมนายทำอาหารเป็นด้วย” เธอตอบพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ซอลลี่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะอาหารแล้วมองผมคล้ายกับเห็นตัวประหลาด

    “จริงๆ ผมก็ทำทุกวัน” แต่เธอไม่เคยทานเท่านั้นเอง ผมเพิ่งทำอาหารให้เธอหลังจากที่ซอลลี่ออกจากโรงพยาบาลน่ะเพราะตอนแรกที่เธอรู้ว่าผมเป็นคนที่พ่อเธอหามาให้ ซอลลี่ก็ไม่ค่อยยุ่งกับผมนักหรอกเช่นเดียวกับผมที่แต่ก่อนทำอาหารเพียงที่เดียว

    “นั่นสินะ” ซอลลี่พึมพำเหมือนลืมความจริงข้อนี้ไป

    “มันไม่ยากอะไร ผมอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก”

    “นายไม่ได้อยู่กับพ่อเหรอ” ซอลลี่เลิกคิ้วอย่างสงสัยแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม เมื่อเห็นเธอนั่งผมก็เลยนั่งบ้าง

    “ช่วงซัมเมอร์ผมมักจะไปต่างประเทศเพื่อเรียนภาษาน่ะเลยต้องอยู่คนเดียว ถ้าทำอาหารไม่เป็นผมคงอดตาย”

    “นายรวยไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่จ้างครูมาสอนที่บ้านล่ะ” ซอลลี่ถามพลางสอดสายตาไปทั่วจานราวกับว่ามันเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็น

     

    ไข่ดาว แฮม ขนมปังปิ้ง น้ำส้ม มันแปลกตรงไหนเนี่ย ?

     

    “พ่ออยากให้ผมเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองน่ะ มันไม่ได้ลำบากอะไรมากหรอก ผมว่ามันสนุกดีด้วยซ้ำ”

     

    ซอลลี่พยักหน้ารับแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าจากจานตรงหน้า “...แล้วนายพูดภาษเกาหลีได้ไง ?

     

     “ผมอยู่เกาหลีตั้งแต่ขึ้นเกรดเจ็ดน่ะ” ผมตอบพลางพยายามซ่อนรอยยิ้มที่เห็นท่าทางของเธอ

     

    นึกว่าจะยังโกรธจนไม่พูดกับผมแล้วสักอีก ตลกดีที่เห็นเธอถามคำถามเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของผมแบบนี้

     

    “นายเรียนที่เกาหลี ?

    “ใช่”

    “แล้วนายไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศช่วงซัมเมอร์แล้วอย่างนี้นายเอาเวลาที่ไหนอยู่ฮ่องกง”

    “หลังจบไฮสคูล ผมต่อมหาลัยที่นั่นแล้วก็จบแล้วด้วย”

    “นายอายุเท่าไหร่” คำถามเธอทำให้ผมนึกได้ว่าเธอไม่คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมนอกจากชื่อ ต่างกับผมที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอไม่เว้นแม้แต่ตารางเรียนเพราะให้คนไปสืบมาทุกอย่าง

     

    ก็เธอจะมาเป็นภรรยาทั้งที  ผมก็สมควรจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอไม่ใช่เหรอ

     

    “21”

    “แกกว่าฉันหนึ่งปี”

    “ครับ...คุณทานเถอะ เดี๋ยวจะไปสาย”

    “นาย...เป็นมาเฟียใช่มั้ย ?

    “...”

    “คงไม่มีคนปกติที่ไหนมีลูกน้องชุดดำล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนในหนังหรอก”

    “ไม่ใช่ครับ...ผมก็คนธรรมดาเนี่ยแหละ”

     

    ผมตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย คำว่า มาเฟียมันเป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกผมกับพ่อทั้งที่ความจริงเราก็แค่ทำธุรกิจบนดินที่มีความเสี่ยงสูงอย่างพวกค้าอาวุธและอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลในฮ่องกงและแถบประเทศนั้นๆ  อาจจะเป็นเพราะคนนอกเห็นว่าตระกูลเรามันโหดร้ายและทารุณกับพวกศัตรู พวกเขาเลยเอาคำว่า มาเฟียมาเรียกพ่อผม และผมที่เป็นลูกก็โดนพ่วงมาด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วแค่ลงโทษคนทำผิดและไอ้พวกลอบกัดเท่านั้นเอง

    อย่างว่าล่ะนะ ผมเองก็เห็นด้วยว่าไม่มีคำไหนเหมาะกับพ่อและผมไปกว่าคำว่ามาเฟียแล้วจริงๆ ถึงไม่อยากยอมรับแต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

     

    “ผมเป็นคนธรรมดาที่มีอำนาจมากเท่านั้นเอง”

    “...” ซอลลี่เงยหน้าจากจานแล้วมองผมพลางขมวดคิ้ว “แล้วมันต่างกันยังไง”

    “ต่างกันที่คุณจะมอง ถ้าคุณมองว่าผมเป็นมาเฟีย ผมก็เป็นมาเฟีย แต่ถ้าคุณมองผมเป็นผู้ชายธรรมดา ผมก็เป็นผู้ชายธรรมดา”

    “...”

    “...”

     

    เราสองคนมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบ อาหารตรงหน้าไม่มีใครแตะสักนิด สายตาที่ซอลลี่มองมายังผมที่มักดูสีหน้าคนออกเสมอ ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือผมมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนลงกว่าทุกวัน

    ช่วงเวลาที่ผ่านมาช่วยทำให้ผมคิดได้และยอมเปิดใจเล็กน้อยที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงคนนี้ แม้ว่ามันจะเพียงแค่ห้าเปอร์เช็นก็ตาม แน่นอนว่าผมยังไม่ได้มีควมรู้สึกดีๆ ให้เธอหรอกนะ

     

    “วันนี้นายพูดมากจัง”

     

    ผมหลุดขำนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ซอลลี่ยักไหล่แล้วคว้ากระเป๋าก่อนที่จะยืนขึ้นเหมือนกำลังจะเตรียมตัวออกไปข้างนอก

     

    “ฉันไปล่ะ”

    “เดี๋ยว” ผมเรียกเธอไว้ก่อนที่ซอลลี่จะขยับตัวไปไหน “ทำไมไม่ทานซะก่อน ผมทำให้คุณด้วยนะ”

    “ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบทานของศัตรู กลัวว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมน่ะ” ซอลลี่ปั้นสีหน้าหวาดระแวงในตัวผม ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ

     

    ให้ตายเถอะ! ที่เมื่อกี้เธอนั่งร่วมโต๊ะแล้วใช้สายตาสอดส่องไปทั่วจานก็เพื่อหาว่าผมใส่อะไรอันตรายในจานเธอรึเปล่างั้นสินะ

     

    “ผมไปส่ง คุณไม่มีรถไม่ใช่เหรอ” ผมยอมทำเป็นไม่เห็นรอยยิ้มที่ต้องการปั่นประสาทผมแล้วข่มอารมณ์มาคุข้างในก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

    “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่อยากนั่งร่วมคนที่ทำร้ายฉันจนเข้าโรงพยาบาลน่ะ”

    !!!

     

    เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นเพราะเธอไม่ยอมทานอะไรเองไม่ใช่เหรอ! เอาเถอะ ยังไงซะ ส่วนใหญ่ผมก็เป็นฝ่ายผิดอยู่แล้ว

     

    “...” ผมมองซอลลี่ที่กำลังเดินไปเปิดประตูหน้าห้องโดยพยายามเก็บกดอารมณ์มาคุไม่ให้มันประทุจนเผลอทำอะไรรุนแรงกับเธอ

     

    ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นฝ่ายผิดล่ะก็นะ...อย่าหวังว่าผมจะปล่อยให้คนอวดดีอย่างเธอรอดฝ่ามือไปได้เลย เธอไม่มีทางมาทำหน้าจองหองแบบนี้ใส่ผมได้แน่ๆ

     

    “ตอนเย็นผมจะไปรับ”

     

     พยายามอย่างหนักที่จะกลืนความฉุนเฉียวลงไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ

     

    “...”

     

    ปัง

     

    หลังจากเธอออกไปแล้วผมก็กลับมามองอาหารบนโต๊ะแล้วกำแก้วน้ำก่อนจะยกขึ้นดื่มหวังว่าจะช่วยระบายความร้อนในอกให้หมดไป

     

    ผมต้องใจเย็น...ยังไงซะ เธอก็หนีผมไปไหนไม่ได้อยู่แล้วเพราะผมเพิ่งได้รับข้อความที่ว่า...ผมกับเธอจะหมั้นกันภายในอีกสองอาทติย์

     

     

     

     

    --------------------------------------

     

     

     

     

    Krystal’s part

     

     

    ฉันเปิดประตูห้องชมรมการแสดงอย่างเบามือเพราะรู้ว่าตัวเองมาสายกว่าเวลานัดไปค่อนข้างเยอะ เมื่อฉันเปิดประตูเข้าไปก็ต้องรีบขอโทษพี่ๆ เป็นการใหญ่แล้วรีบไปนั่งรวมกับคนอื่น แน่นอนว่าฉันเห็นไคอยู่ในห้องด้วยแต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นเขาก่อนจะนั่งข้างๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่ง

     

    “ทุกคนได้รับตารางการซ้อมแล้วใช่มั้ยจ๊ะ” พี่ทิฟฟานี่พูดเสียงหวาน ฉันพยักหน้ารับพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ได้มาจากจงออบ เพื่อนฉันบอกว่าพี่เขาติดต่อฉันไม่ได้เลยฝากเขาเอามาให้ฉันน่ะ “เราจะซ้อมกันสามวันต่ออาทิตย์ เริ่มอาทิตย์หน้า โดยวันจันทร์กับอังคารเราจะซ้อมตั้งแต่หกโมงถึงสองทุ่ม ส่วนวันเสาร์ก็อย่างที่แจ้งไปเราจะขอซ้อมทั้งวันตั้งแต่เก้าโมงจนถึงสามทุ่ม ถ้าไม่นับอาทิตย์นี้เราก็มีเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ ในการเตรียมตัว งานจัดขึ้นช่วงปิดเทอมตรงกับวันครบรอบ 100 ปีของมหาลัยเรา เพราะฉะนั้นงานจบของพี่ๆ ไม่ใช่งานเล็กๆ ที่สักแต่ทำเพื่อให้จบอย่างเดียวแต่ถือเป็นหน้าเป็นตาของมหาลัยในงานวันนั้นอีกด้วย...”

     

    งานครบรอบหนึ่งร้อยปีของมหาลัยเรา ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ปกติงานครบรอบก็จัดขึ้นทุกปีอยู่แล้วแต่เพียงงานนี้ครั้งนี้มันพิเศษที่ครบรอบหนึ่งร้อยปีพอดีเลยมีการเชิญชวนให้คนนอกเข้าร่วมงานได้ มีกิจกรรมมากมายให้ทุกคนได้ร่วมสนุก แน่นอนว่าคนที่มางานวันนั้นต้องมีเยอะมากแน่ๆ เพราะมหาลัยฉันมีชื่อเสียงสุดๆ ปกติแล้วไม่เปิดให้คนนอกเข้าเพราะฉะนั้นโอกาสดีๆ แบบนี้มีไม่มาก คนก็คงให้ความสนใจก็เยอะพอสมควร

     

    “พี่หวังว่าทุกคนคงได้อ่านบทของตัวเองกันแล้ว หากใครมีอะไรสงสัยถามพี่ได้เลยนะจ๊ะเพราะจะได้ไม่มีปัญหาในการซ้อมอีกสองวันข้างหน้า”

    “...” ไม่มีใครตอบแสดงว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ของฉันเองก็ไม่มีปัญหาทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบมาก ตอนที่อ่านบทฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้อ่านนวนิยายดีๆ สักเรื่องเลย

     

    ถ้าทุกอย่างออกมาดี ฉันว่าละครเวทีเรื่องนี้ต้องเป็นที่พูดถึงไปอีกนานแน่ๆ

     

    “งั้นพี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว น้องคนไหนไม่มีปัญหาก็กลับได้เลยค่ะ  อีกสองวันค่อยมาเจอกันใหม่ ส่วนใครมีปัญหาก็ถามพี่เป็นการส่วนตัวได้เลยจ่ะ เอาล่ะๆ ส่วนรุ่นพี่ปีสี่ยังกลับไม่ได้เรามีประชุมเรื่องฉากและเสื้อผ้ากันต่อ...”

     

    ฉันโค้งให้รุ่นพี่สามสี่คนก่อนจะขอตัวเดินออกจากห้อง เชื่อมั้ยว่าฉันรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นสายตาใครหลายคนมองฉันอย่างสงสัยใคร่รู้ และมันไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนอกจากข่าวเมื่อวานที่มีหน้าฉันกับนายแบบชื่อดังปรากฏอยู่

     

    ฉันคิดผิดที่บอกว่าข่าวนี้คงไม่มีผลกระทบอะไรมากเพราะตั้งแต่เมื่อเช้าที่ลงจากรถ ฉันรู้สึกถึงสายตาคนมองมากกว่าปกติอย่างชัดเจน เฮ้อ~

     

    “รุ่นพี่คะ”

     

    สองเท้าที่กำลังเดินไปทางลิฟต์หยุดลงเมื่อได้ยินเสียงใสๆ เรียก ฉันหันไปก็เห็นว่าเป็นน้องผู้หญิงหน้าตาน่ารักและเธอก็เป็นหนึ่งในนักแสดงของเรื่องด้วย

     

    “คะ ?

    “เอ่อ...คือ หนู...เอ่อ...หนู...”

    “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามเสียงนุ่มลงเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่กล้าสบตาฉันและยังยืนบิดไปบิดมาเหมือนเขินอาย

    “หนู...ชอบรุ่นพี่มากเลยค่ะ”

     

    ห๊ะ ??

     

    หญิงสาวตรงหน้าเงยหน้าสบตากับฉันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าตอนแรกอยู่หลายเท่า

     

    “หนูชอบรุ่นพี่มากๆ เลยค่ะ พี่เป็นไอดอลของหนูเลย”

     

    เมื่อฉันได้ยินประโยคสุดท้ายก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาอย่างคลายกังวลเพราะตอนแรกคิดว่าเธอชอบฉันแบบพวกเลสเบี้ยนอะไรเทือกนั้น

     

    ไม่ใช่อะไรนะ เสียดายน่าตาน่ารักๆ ของน้องมาก

     

    “อ้อ ขอบคุณค่ะ น้องชื่ออะไรเหรอคะ”

    “ชะเว จุนฮีค่ะ เรียกฉันว่าจะ จูเนียลก็ได้ อยู่ปีหนึ่งค่ะ”

    “ค่ะ น้องจูเนียล ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ พี่ชื่อจองคริสตัลค่ะ ปีสามแล้ว”

    “ค่ะ รุ่นพี่คริสตัล ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” จูเนียลพูดพร้อมกับโค้งเก้าสิบองศา ฉันที่เห็นอย่างนั้นได้แต่หัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

    “ต่อไปนี้เรามาช่วยกันทำให้ละครเวทีออกมาดีกันดีกว่าเนาะ”

    “ค่ะ รุ่นพี่คริสตัล”

    “เรียกแค่พี่คริสตัลก็พอแล้ว ยังไงซะเราก็อยู่ด้วยกันอีกนานรู้จักกันไว้ก่อนไม่เสียหาย”

    “ค่ะ พี่คริสตัล ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
              “เช่นเดียวกันค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มให้จูเนียลพอดีกับที่ลิฟต์มาถึง ฉันกับน้องจึงได้เข้ามาในลิฟต์และตามด้วยคนอื่นๆ

     

    ต่อไปนี้ฉันคงต้องทำความรู้จักกับคนพวกนี้ให้หมดสินะ

     

              “รอด้วยครับ” และก่อนที่ลิฟต์จะปิดเสียงต่ำของผู้ชายก็แทรกขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่ฉันไม่อยากยุ่งด้วยมากที่สุด

     

    ไคโค้งขอบคุณคนที่กดปุ่มเปิดลิฟต์ให้เขาก่อนจะแทรกตัวเข้ามาข้างใน แน่นอนว่าเขาเห็นฉันและหมอนั่นก็ส่งยิ้มที่มุมปากมาให้ฉันแต่ฉันทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเสไปทางอื่น แล้วก็ต้องตกใจที่อยู่ๆ ก็มีมือเย็นๆ มาสัมผัสที่มือฉันเบาๆ

     

    !!!

     

    เมื่อก้มลงดูก็เห็นว่าไคเป็นเจ้าของมือนั่น เขาเข้ามายืนข้างฉันได้ยังไง ลิฟต์นี้ก็คนเยอะจะตาย ฉันมองเขาตาเขียวแล้วพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา ไคก็เหมือนจะรู้ว่าฉันไม่พอใจเขาถึงได้หันมายักคิ้วข้างหนึ่งอย่างกวนประสาทแล้วหันกลับไปทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    ฉันล่ะอยากโวยวายให้คนทั้งลิฟต์รู้ว่านายคนนี้มันเป็นพวกชอบฉวยโอกาสแต่ก็ต้องกลืนคำพูดตัวเองเพราะรู้ว่ามันมีแต่จะเสียกับเสีย แค่ตอนนี้ก็เสียมากพออยู่แล้ว

     

    “...”

     

    ฉันได้แต่กัดฟันกรอดเมื่อมือหนาไม่ใช่แค่จับไว้เฉยๆ แต่กลับประสานนิ้วเข้ามาสอดที่ง่ามนิ้วทั้งห้าของฉันแล้วกระชับมือเข้าหากันแน่นจนไหล่ฉันเซเข้ากระทบกับท่อนแขนแกร่งนั่นเบาๆ และมันพอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก

     

    “ปล่อย” ฉันสั่งเสียงต่ำให้เราได้ยินกันสองคนเมื่อเขายังไม่ยอมปล่อยฉันทั้งที่คนในลิฟต์เริ่มออกกันไปแล้ว

    “...”

    “พี่คริสตัลคะ เจอกันวันจันทร์นะคะ”

     

    ฉันซ่อนมือของเราสองคนไปด้านหลังแล้วใช้ร่างกายตัวเองบังจนกลายเป็นว่าตอนนี้ฉันกับไคยืนแนบชิดกันมากกว่าเดิม และคงไม่มีใครดูไม่ออกว่าระหว่างเรามันผิดปกติ

     

    “จ่ะ เจอกันนะ” ฉันส่งยิ้มลาแต่ก็แอบเห็นว่าหน้าจูเนียลขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อมองมาทางเราสองคน

     

    อย่าบอกนะว่าเธอคิดเกี่ยวกับฉันและเขา

     

    “รุ่นพี่คิม สวัสดีค่ะ” เธอหันไปทักไคด้วยใบหน้าแดงเถือก

    “อือ” ไคตอบรับสั้นๆ อย่างไร้มารยาทก่อนจะลากฉันให้เดินตามเขาไป เราสองคนเดินผ่านจูเนียลที่มองมาที่มือของเราสองคนด้วยใบหน้าแดงๆ นั่น และมันทำให้ฉันอยากจะสลายตัวไปซะตรงนี้

     

    ไม่รู้ว่าเธอจะคิดว่าฉันกับเขาเป็นอะไรกันไปแล้วเนี่ย!

     

    โชคดีที่ตอนนี้เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว มหาลัยเลยไม่ค่อยมีคนหรือถ้ามีก็คงไปอยู่ห้องสมุดไม่ก็แถวๆ หอกัน เลยไม่มีคนมองเราสองคนเท่าไหร่ ฉันทั้งพยายามสะบัดมือเขาออกแต่ก็ทำไม่ได้เลยเพราะไคล็อคมือฉันด้วยนิ้วที่สอดอยู่นั่น เมื่อเดินมาจนลับสายตาผู้คนแล้วไคถึงยอมปล่อยมือฉันออก

     

    “มีอะไรพูดกันดีๆ ก็ได้” ฉันบอกเขาตาขวางแล้วก้มหน้ามองมือแดงๆ ของตัวเอง

     

    เขานี่มันแรงเยอะจริงวุ้ย

     

    “เจ็บเหรอ”

    “ไม่เจ็บมั้ง ถามได้”

    “ไหนดูหน่อย” ไม่พูดเปล่าไคจับมือฉันเข้าไปใกล้หน้าเขาแล้วมองมันด้วยสายตาเครียดๆ คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันยามที่มองมือฉันก่อนที่เขาจะลูบรอยแดงบริเวณหลังมือเบาๆ “...คุณมันขาวเลยเห็นเป็นรอยง่าย ผมไม่ได้จับแรงสักหน่อย”

    “...”

     

    จ่ะ ฉันผิดเองแหละที่ขาว นายก็แค่ลากฉันไปมาไม่ผิดเลยสักนิด...เหอะๆ

     

    ฉันดึงมือตัวเองกลับมาและคราวนี้ไคก็ไม่ได้รั้งเอาไว้

     

    “มีอะไรก็พูดมา อ่ะ นายยังไม่ได้ไปขึ้นเช็คสินะ”

     

    เมื่อเช้าฉันตรวจดูตัวเลขในบัญชีก็ยังมีเท่าเดิมเพราะฉะนั้นแสดงว่าเขายังไม่ได้เอาไปขึ้นเงิน

     

    “หรือนายอยากได้เงินสด ?

    “...”

     

    เมื่อเห็นเขาเงียบฉันก็เริ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาเป็นคนลากฉันมากลับยืนเงียบไม่ยอมบอกว่าต้องการอะไร มันจะไม่โมโหได้ยังไงล่ะ

     

    “คุณ...ดูถูกผม”

    “...”

    “ผมไม่ชอบและไม่พอใจอย่างมาก”

    “นายอยากได้คำขอโทษใช่มั้ย ?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงปกติเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาน่าจะไม่พอใจที่กับการกระทำในครั้งนั้น “...ได้ ฉันขอโทษ จบได้ยัง ?

    “...”

    “ฉันไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับนายมากนะ อีกอย่าง ฉันหวังว่าเรื่องนั้นมันจะจบเพราะยังไงซะทุกคนก็คิดว่าฉันกับนายมีอะไรกันอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรเสียหายไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”

    “ถ้าคุณไม่อยากเสียหายก็มาเป็นแฟนผมสิ”

    “อะไรนะ ?

    “ถ้าคุณไม่อยากถูกมองเป็นผู้หญิงอย่างนั้นก็มาเป็นแฟนผมสิ”

     

    ฉันมองไคด้วยสายตาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้ต้องการให้เขามารับผิดชอบอะไรสักนิด ยิ่งถ้าต้องมาเป็นแฟนเขายิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่

     

    เขาน่ะมันอันตรายจะตาย!

     

    “ไม่-มี-วัน” ฉันเน้นทุกคำให้เขาได้ยินเต็มสองหูและมันทำให้เขาถึงกับหลุดสายตาไม่พอใจมาให้ฉันเห็น “ฉันยอมเสียเงินร้อยล้านดีกว่าไปเป็นแฟนของนาย”

    “คุณเป็นของผมแล้ว...เวอร์จิ้นของคุณด้วย”

    !!!

     

    ขอบคุณที่ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ ถ้ามีใครได้ยินสิ่งที่เขาพูดฉันคงต้องอับอายมากกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ

     

    “อย่ามาพูดจาเหมือนเป็นตาแก่ล้านปีได้มั้ย ทำยังกับฉันทำให้นายเสียเวอร์จิ้นอย่างนั้นแหละ นายน่ะมันก็เอาไม่เลือก! เป็นฉันซะมากกว่าล่ะมั้งที่ต้องกลัวว่าตัวเองจะติดโรคอะไรหรือเปล่า เหอะ” พูดจบฉันก็เชิดหน้าขึ้นอย่างเหนือกว่า

     

    ในเมื่อเขาไม่ยอมจากกันดีๆ มันก็ต้องมีกระทบกระทั้งกันบ้างแล้วล่ะ

     

    “คริสตัล...” ไคกัดฟันกรอดแล้วเอ่ยชื่อฉันเสียงต่ำเหมือนกับกำลังเก็บความโกรธจากคำพูดของฉัน

              “ขอบอกเลยว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่มานั่งเสียใจเมื่อตัวเองพลาด เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ฉันตายหรอก แล้วขอโทษนะ...ท่าทางลีลาบนเตียงของนายมันคงห่วยมากจนฉันถึงกับจำไม่ได้...สงสัยร่างกายฉันมันสั่งให้ลืมล่ะมั้ง เหอะ”

              “ธะ เธอ...”

              “วันนี้ฉันเหนื่อยจริงๆ ถ้านาย...นึกอะไรที่อยากได้นอกจากการที่ฉันต้องไปเป็นแฟนนายออกก็บอกแล้วกัน” พูดจบฉันก็ก้าวเท้าเดินผ่านเขาเพื่อย้อนกลับไปทางเดิมแต่ก้าวไปยังไม่ทันพ้นหนึ่งเมตรก็ถูกมือหนาคว้าข้อศอกให้กลับไปหาเขาเอาไว้ซะก่อน

     

              !!!

     

              “ฉันไม่อยากใช้วิธีนี้เลยนะคริสตัล...เธอบังคับฉันเอง”

             

              ฉันมองไคด้วยแววตาไม่เข้าใจในสิ่งที่เข้าพูด ยิ่งเห็นใบหน้าที่โกรธอยู่ตอนนี้แสยะยิ้มอย่างร้ายกาจราวกับคนมีแผนร้ายอยู่ในใจก็ทำให้ฉันขนลุกขึ้นมาทันที แรงบีบที่ข้อศอกทำให้ฉันเจ็บจนกลั้นสีหน้าไว้ไม่อยู่

     

              “ปล่อย! มันเจ็บ”

              “หึ” ไคหัวเราะอย่างน่ากลัวพลางกดสมาร์ทโฟนของตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อนจะยื่นมันมาตรงหน้าฉัน

     

              นั่นมัน!!

     

              ฉันอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น แขนที่เคยสะบัดเมื่อสักครู่กลับหยุดนิ่ง ดวงตาสองข้างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อว่ามันจะมีคนจำพวกนี้อยู่บนโลก

     

              “พูดกันดีๆ ไม่ยอมฟัง” คนเลวยังไม่มีทีท่าสำนึก ไคมองฉันแล้วยิ้มเยาะเมื่อเห็นฉันช็อคค้างกับภาพกึ่งเปลือยของตัวเอง

     

              ชุดชั้นในสีดำเข้าชุดเป็นสองสิ่งที่ปกปิดเรือนร่างของฉัน บนเนื้อตัวขาวตั้งแต่บริเวณเนินอกขึ้นไปนั้นเห็นได้ชัดว่ามีรอยแดงอยู่แทบทุกตารางนิ้ว ร่างกายฉันนอนหลับอยู่บนเตียงที่ฉันจำได้แม่นว่ามันอยู่ในห้องของเขา! และภาพนี้คงไม่มีใครสามารถถ่ายได้อีกนอกจากไค

     

              ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ฉันก็รู้โดยทันทีว่าไค แบล็คเมล์ฉัน!!

     

              เลว!

     

              “นะ นาย...”

             

              ไคยิ้มเยาะแล้วเก็บมือถือตัวเองลงก่อนที่ฉันจะทันได้สัมผัสมัน และเขายังคงไม่ปล่อยมือที่ไหล่ฉันออกและบีบมันแน่นกว่าเดิม

     

              ความเจ็บที่ร่างกายเทียบกับจิตใจไม่ได้เลยสักนิด

     

              “นี่แค่น้ำจิ้ม...ถ้าเธอยังไม่เชื่อฟังที่ฉันพูดรับรองได้ว่าภาพที่จะไปโผล่อยู่บนอินเตอร์เน็ตจะไม่ใช่แค่ภาพนี้แน่นอน”

              “...” ฉันมองไคที่มีสีหน้าร้ายกาจด้วยแววตาโกรธเคืองอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

              เขามันเลวจริงๆ ก่อนหน้านี้ฉันไม่น่าพูดดีๆ ด้วยเลย ลืมไปว่าสันดานอย่างเขามันคงไม่ปล่อยให้ฉันเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว

     

            เพียะ!

     

              “ครั้งที่แล้วฝ่ามือฉันไม่ได้ทำให้นายรู้สึกอะไรเลยใช่มั้ย!

              “!!!” ไคกุมเข้าที่แก้มข้างซ้ายที่โดนฉันฟาดฝ่ามือลงไปเต็มแรงและมั่นใจว่าตัวเองตบแรงกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา

              “เพราะเลวอย่างนี้ไง ผู้หญิงที่ไหนอยากจะไปเป็นแฟนด้วย!!

              “...”

     

    ไคตวัดสายตามองฉันน่ากลัว ริมฝีปากเขามีสีแดงซึมออกมา มันคงเป็นเลือดที่ฟันเขาไปบาดโดนริมฝีปาก แววตาดุดันมองฉันราวกับต้องการจะฆ่าฉันให้ตายแต่ฉันไม่หลบสายตานั่นแล้วมองกลับไปคล้ายกับตัวเองไม่กลัว ทั้งที่จริงตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตัวหดลงเหลือสองนิ้ว

     

    “นายนี่มัน...เลวโดนสันดารจริงๆ” ฉันด่าใส่หน้าเขาให้ชัดถ้อยชัดคำคล้ายกับกลัวเกินว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงคำด่า

    “หึ...”

    “...”

    “เผื่อเธอจะไม่รู้...ว่าฉันเลวได้มากกว่านี้อีก”

    !!!

     

    ไคไม่พูดต่อแต่เขาตวัดวงแขนสอดเข้าที่ข้อเข่าแล้วอุ้มฉันขึ้นบ่าก่อนจะออกตัวเดินโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามและด่าทอจากฉันเลยสักนิด แม้ว่ามันจะค่ำแล้วแต่ก็ใช่ว่านิสิตทุกคนจะกลับกันไปหมด บางคนมองมาแล้วก็ชี้มือชี้ไม้ก่อนจะหันไปกระซิบกับเพื่อนแทนที่จะเข้ามาช่วยฉัน พวกนั้นดูไม่ออกเหลือไงว่าฉันโดนเขาลักพาตัวอยู่เนี่ย!  

     

    น่าโมโหชะมัด!!

     

    ในที่สุดก็เป็นฉันเองที่ยอมเป็นฝ่ายอยู่นิ่งๆ แล้วซุกหน้าเข้าที่หลังของเขาเพราะความอับอายที่เกิดขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเขาหารถฉันเจอได้ยังไงแต่ตอนนี้ไคกำลังควานหาของในกระเป๋าฉันและถ้าให้เดามันคงเป็นกุญแจรถ ไม่นานนักเขาก็จัดการโยนฉันเข้าไปยังเบาะข้างคนขับแล้วตัวเองก็เดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับแล้วขึ้นมานั่งราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของรถ

     

     “...”

     

    เมื่อไคสตาร์ทรถเขาก็ขับออกไปด้วยความเร็วสูง

     

    “ต่อไปนี้เธอต้องเป็นแฟนฉัน”

    “...”

    “เข้าใจมั้ย ? ...คนสวย” รอยยิ้มที่ส่งมาเยาะฉันทำให้หน้าฉันร้อนผ่าวด้วยความโกรธ

     

    เขาทำผิดแล้วแต่ไม่มีแววสำนึกเลยสักนิด!!

     

    หัวใจที่เต้นรัวและร่างกายที่สั่นสะท้านเพราะความโกรธที่ปะทุขึ้นกลางอกทำให้ฉันควบคุมตัวเองให้อยู่เฉยไม่ได้ ฉันรู้แต่ว่าหากฉันไม่ทำอะไรเพื่อระบายความโกรธฉันต้องบ้าตายแน่ๆ คิดได้อย่างนั้นมือสองข้างก็เอื้อมไปจับเส้นผมสีดำของคนขับรถแล้วกระชากไปมาด้วยความโกรธ

     

    “โอ้ย! คริสตัล ปล่อย!!!

    “นายมันชั่ว เลว ต่ำช้าที่สุด” ฉันไม่ยอมปล่อยแล้วออกแรงกระชากเขาแรงมากขึ้นจนรู้สึกถึงรถที่ส่ายไปส่ายมาบนถนน

    “ถ้าเธอไม่ปล่อยเราสองคนได้ตายตรงนี้แน่!!

    “ไม่ ตายก็ดี!! คนชั่วๆ อย่างนายจะได้หมดโลกไป”

    “ยัยบ้าเอ้ย!!!” ไคตะวาดเสียงดังลั่นรถก่อนจะหักพวงมาลัยหมายจะเข้าจอดข้างทางแต่เพราะเราไม่ได้อยู่เลนริมเลยทำให้ต้องปาดหน้ารถคันหนึ่งที่พุ่งตรงมา ฉันรู้สึกได้ว่ารถพุ่งตัวเร็วมากจนเกิดอาการเสียวไส้ก่อนที่จะเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างแรงและเสียงกระแทกดังลั่นถนน

     

    ปัง!!

     

    “บัดซบ! ...@$#$” ไคสบถคำหยาบออกมาอีกคำสองคำก่อนจะผลักฉันออกอย่างแรงจนหลังและหัวฉันกระแทกเข้าที่กระจกกับขอบประตูอย่างจัง จากนั่นเขาก็รีบเปิดประตูลงไปเคลียร์กับคู่กรณี

     

    ฉันหอบหายใจรัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธเขาหรือว่าเหตุการณ์รถชนที่เพิ่งเกิดขึ้น โชคดีที่ไคเหยียบคันเร่งในวินาทีที่รถคันนั้นพุ่งมามันเลยชนที่หลังรถแทนที่จะเป็นฝั่งที่ฉันนั่ง

     

    เกือบตายแล้วมั้ยล่ะคริสตัล...

     

    บ้าเอ้ยเพราะเขาคนเดียว!

     

    “ลงมา” เสียงเข้มที่หายไปกว่ายี่สิบนาทีเปิดประตูฝั่งฉันโน้มตัวลงมาพูด

     

    ฉันตวัดสายตามองไคแล้วมองเขาอย่างรังเกียจ แววตาที่เคยหวาดกลัวเมื่อตอนอยู่คนเดียวบนรถได้ถูกซ่อนภาพใต้ใบหน้าเชิดหยิ่งอย่างแนบเนียน

     

    “ไปไกลๆ”

    “เกือบตายแล้วยังไม่เจียมอีก” เขาพูดเสียงดุแล้วถือวิสาสะกระชากข้อศอกใช้เพื่อบังคับให้ออกมาจากรถ จนฉันต้องยอมลงมายืนข้างถนนก่อนจะสะบัดมือที่จับอยู่ที่ข้อศอกออก

    “...”

     

    เมื่อมองไปท้ายรถก็ไม่เห็นว่ามีคู่กรณีเลยสักคน นอกจากหลังรถที่ชนบุบลงไปค่อนข้างเยอะ

     

    “ฉันให้นามบัตรตัวเองไปแล้ว เราเป็นฝ่ายผิดที่ปาดหน้าเขายังไงก็ต้องรับผิดชอบ”

    “...”

     

    ใครบอกว่าฉันอยากรู้ เหอะ

     

    “แล้วนั่นจะไปไหน”

     

    ไคถามเมื่อฉันก้าวขาเดินมายืนข้างถนน ฉันไม่ตอบเขาพลางมองหาแท็กซี่

     

    “คริสตัล! เธอทำฉันเกือบตายแล้วยังทำตัวอย่างนี้อีกเหรอ”

    “ใครทำใครเกือบตายกันแน่!! สิ่งที่นายทำกับฉันน่ะ มันฆ่าฉันทั้งเป็นมากกว่า!” ฉันหันกลับไปตะโกนใส่เขาอย่างเหลืออด

     

    เขาน่ะมันผิดเต็มๆ ยังมีหน้ามาโทษฉันอีก ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!

     

    “แล้วขอบอกเลยนะ ถ้านายเอารูปฉันไปปล่อยเมื่อไหร่...” เว้นช่วงแล้วกอดอกเชิดหน้าขึ้นเหมือนกับว่าตัวเองเหนือกว่าเขาเต็มที่ ”...ฉันเตือนนายเลยว่าคลิปร้อนรักของนายกับแม่สาวจินนี่ว่อนอินเตอร์เน็ตแน่”

    !!!

     

    ฉันแสยะยิ้มใส่เขาแล้วหันไปบนถนนต่อ จิกเล็บเข้าที่ต้นขาเพื่อไม่ให้ขาตัวเองสั่นจนเขารู้ว่าฉันกุเรื่องขึ้นมาหลอก

     

    ใช่ ฉันหลอกเขา คลิปอะไรนั่นฉันไม่มีมันหรอกเพราะไม่ชั่วเท่าไค แต่ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงเพื่อให้ตัวเองเหนือกว่า และอยู่ดีๆ เรื่องนี้มันก็ลอยเข้ามาในหัวฉันซึ่งมันได้ผลมาก ผู้ชายตรงหน้านิ่งค้างไปไม่ต่างกับฉันในตอนแรกที่รู้ว่าตัวเองถูกแบล็คเมล์

     

    คลิปน่ะไม่มีหรอก...มีแต่ความทรงจำสยิวๆ ในหัวฉันเท่านั้นแหละ

     

    ยิ่งเห็นว่าการพูดขู่เขาเรื่องนั้นได้ผล...ฉันก็ยิ่งสะใจจนอดไม่ได้ที่จะพูดขู่เขาอีกครั้ง

     

    “นายคิดว่าฉันจะโง่ไม่ทำอะไรเลยงั้นสินะ...นายคิดว่าฉันจะยืนดูอยู่เฉยๆ งั้นสิ”

    “คะ คริสตัล” ไคกำมือแน่นแล้วเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นและฉันก็ไม่ถอยหนีจนในที่สุดเราสองคนยืนห่างกันไม่ถึงเมตร

    “เอาสิ...ถ้านายลง ฉันก็จะลงเหมือนกันที่นี่เรามาดูกันว่าใครจะดังกว่ากัน!

    “อยากตายสินะ” มือสองข้างที่แข็งราวคีมเหล็กบีบเข้าที่ไหล่บางทั้งสองข้างอย่างแรงจนฉันเจ็บกระดูกแต่ก็ยังตีหน้านิ่งยอมกล้ำกลืนความเจ็บลงไป

    “...”

    “...”

     

    ปิ้นๆๆ

     

    ก่อนที่จะมีคนตายด้วยสายตาที่ฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใครเสียงแตรรถก็เรียกสติของเราสองคนให้กลับมา ฉันสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อมือหนานั้นพลิกตัวฉันไปยืนข้างเขาแล้วโอบไหล่ไว้แทน

     

    “ไอ้ไค เอารถใครมาขับวะ”

     

    กระจกรถหรูสีขาวเลื่อนลงต่ำลงเผยให้เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นคนขับรถ ฉันมองหน้าเขาไม่ถนัดนัดนักเพราะว่าแว่นตาสีชานั่นปิดใบหน้าเรียวนั่นไว้ แม้ว่าจะมีแว่นแต่ฉันก็รู้ว่าเขาต้องดูดีมากแน่ๆ

     

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ไปส่งกูที่บ้านด้วย” ท่าทางสองคนนี้จะเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะดูจากการใช้คำพูดอย่างสนิทสนม “...ขึ้นรถ”

     

    แรงบีบที่ไหล่และสายตาข่มขู่ทำให้ฉันไม่สามารถปฏิเสธเขาได้ เมื่อเข้ามาอยู่บนรถโดยที่ด้านข้างเป็นไคที่นั่งนั่งประกบราวกับว่ามันมีแค่เบาะเดียวและยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากไหล่ฉันสักที

     

    “ปล่อย” ฉันพูดเสียงต่ำหวังให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่มันคงไม่ช่วยอะไรในเมื่อทั้งรถเงียบสงัด เชื่อสิว่าคนที่ขับรถอยู่ก็ได้ยินเหมือนกัน

    “ไม่”

    “ฉันจะกลับคอนโด!

    “เธอไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

    “เห้ยๆ อะไรวะไอ้ไค พูดจาโหดร้ายจัง นั่นผู้หญิงนะเว้ย ว่าแต่...ใครวะ หน้าคุ้นๆ ว่ะ อืม...เคยเห็นที่ไหนนะ”

    “ขอโทษนะคะ ช่วยจอดรถหน่อยได้มั้ย”

    “อ้อ นึกออกแล้วคนที่ด่าน้องชายไอ้ไคนี่เอง ฮ่าๆ คริสตัลเองสินะ...”  ผู้ชายที่พูดเหลียวหลังมามองหน้าฉันแล้ว เลิกแว่นลงเพื่อมองชัดๆ “...ตัวจริงสวยกว่าในคลิปตั้งเยอะ ฉันเคยได้ยินคนพูดถึงเธอเยอะเลยคริสตัล เพิ่งได้เจอครั้งแรก...ฉันว่าเธอสวยกว่าที่เขาพูดกันอีกนะ”

     

    ถ้าอยู่สถานการณ์ปกติ ฉันคงกล่าวขอบคุณเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้นายช่วยสนใจฉันก่อนได้มั้ย เพื่อนนายจะทำกระดูกฉันแตกแล้ว!

     

    “ฉันลู่ฮานนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

    “ไอ้ลู่ หยุดพูดมากสักทีขับไปส่งที่บ้านกูเร็วๆ เลย”

    “คุณลู่คะ จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ”

    “ถ้ามึงจอดมึงตายแน่”

    “ไค!!!” ฉันเรียกเขาเสียงดังอย่างไม่พอใจ

    “ทำไม ??

    “...”

     

    ฉันได้แต่หายใจฟึดฟัดอย่างทำอะไรไม่ได้ สายตาแข็งกร้าวที่มองมาบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่มีวันปล่อยฉันไปแน่

     

    “ดูเหมือนทั้งสองคนจะทะเลาะกันอยู่”

     

    แน่อยู่แล้วล่ะ ฉันกับเขาคงไม่ได้กำลังจีบกันอยู่หรอก เหอะ

     

    “ไปส่งฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้ไอ้ลู่”

    “ขอโทษนะสาวสวย เอาไว้คราวหน้าฉันจะไถ่โทษด้วยการเลี้ยงข้าวสักมื้อ”

    “...”

     

    ไคยิ้มอย่างมีชัยแล้วกระชับอ้อมแขนจนตัวฉันแทบจะเลยไปเกยบนตักเขา ฉันใช้มือข้างที่ไม่ถูกเขาบีบแขนหยิกเนื้อผ่านกางเกงยีนส์สีดำที่ต้นขาเขาอย่างแรงแต่ไคก็ทำเพียงแค่ยิ้มกวนประสาท

     

    “ไอ้ลู่...กูมีอะไรจะบอก”

    “อะไร”

    “กูมีแฟนแล้วนะ”

     

    เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด~

     

    ปิ้นๆๆๆ

     

    เสียงเบรกรถดังเสียดสีกับยางบนถนนก่อนจะหยุดลงดื้อๆ ตามด้วยเสียงแตรจากรถข้างหลังตามมาติดๆ หัวฉันเกือบจะพุ่งไปชนกับเบาะข้างหน้าแล้วถ้าฝ่ามือไคไม่กดหัวฉันแนบเข้าที่หน้าอกเขาซะก่อน

     

    “ขับรถห่าอะไรวะ” ไคด่าเพื่อนตัวเองพลางปล่อยมืออกจากหัวฉัน

    “โทษทีๆ กูตกใจมากไปหน่อย” ลู่ฮานบอกพร้อมกับที่ออกรถอีกครั้ง

     

    ฉันรีบกลับมานั่งตามปกติพลางนึกแค้นคนฉวยโอกาสข้างๆ ไปด้วย ให้ฉันหัวโขกเบาะยังดีซะกว่าต้องไปโดนเนื้อตัวเขาอีก

     

    แล้วไอ้มือนี่เมื่อไหร่จะปล่อย เขาไม่รู้เหรอว่ามันเจ็บแค่ไหน

     

    “ตกใจอะไร กูแค่มีแฟน”

    “ใครเป็นแฟนนาย!!

    “เธอไง”

    “ห๊ะ ?” คราวนี้เป็นลู่ฮานที่โพล่งออกมาอย่างตกใจ

    “ฉันไม่ได้เป็นแฟนนาย เพื่อนนายเข้าใจผิดแล้วเห็นมั้ย!!

    “เธอเป็นแฟนฉัน! เพราะเธอปล้ำฉัน”

    “หา ?” ลู่ฮาน >>> -O-

    “ฉันไม่ได้ปล้ำนาย” ฉันกัดฟันกรอดและใกล้จะหมดความอดทนกับเขาอีกครั้ง

    “ถ้าเธอไม่ได้ปล้ำแล้วเธอเสนอเช็ครับผิดชอบฉันกับขอโทษฉันทำไม”

    “ก็...” ฉันได้แต่พะงาบอย่างหมดหนทาง

     

    ถ้าตอนนั้นฉันรู้ว่าเขาแบล็คเมล์ฉันล่ะก็นะ อย่าหวังว่าฉันจะทำอย่างนั้นเลยเหอะ

     

    “โห~” ลู่ฮาน  >>> .O.

    “นายมันเลวที่สุดเลยไค...สาบานได้ว่าฉันจะต้องเอาคืนนายแน่ๆ”

    “หึ ยังไงปล่อยคลิปนั่นน่ะเหรอ ? เอาสิ...ปล่อยเลย ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าลูกอัยการชื่อดังจะทำหน้ายังไงหากมีภาพหวิวของตัวเองหลุดออกไป ชื่อเสียงที่พ่อแม่สร้างคงป่นปี้กันเลยทีนี้”

     

    เขารู้ได้ยังไงว่าพ่อแม่ฉันเป็นอัยการไคต้องให้คนสืบแน่ๆ

     

    “...”

    “หึ เป็นแฟนฉันแล้วฉันจะเลี้ยงดูเธออย่างดี”

     

    ฉันปัดมือไคที่ลูบไล้ใบหน้าฉันออกอย่างรังเกียจ ไคไม่มีท่าที่สะทกสะท้านกับการกระทำของฉัน เขาเพียงแค่หัวเราะในลำคออย่างมีชัย

     

    “พวกเธอสองคนพูดเรื่องคลิปๆ รูปๆ อะไรกันวะ” ลู่ฮานถามพร้อมกับจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งที่เคยมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

    “ไม่มีอะไรหรอก...ฝากมึงบอกคนอื่นด้วยว่า...กูมีแฟนแล้ว”

    “แต่กูว่าผู้หญิงเขาไม่เต็มใจจะคบกับมึงนะ”

     

    ไคหน้าเสียเล็กน้อยที่เพื่อนพูดอย่างนั้นแต่ก็รีบกลับมาปั้นหน้ากวนประสาทแบบเดิม

     

    “นั่นมันสำคัญที่ไหน...” ไคขยับตัวก่อนจะหันไปเปิดประตูฝั่งตัวเองออกนั่นเลยทำให้มือเขาหลุดจากไหล่ฉัน

     

    ฮู้ว...ชาไปหมดทั้งแขนเลยฉัน

     

              ก่อนที่ไคจะได้จับเนื้อตัวฉันอีกครั้ง ลู่ฮานก็เลื่อนตัวเข้ามาหาฉันแล้วกระซิบเข้าที่ข้างหูเบาๆ

     

              “จุดอ่อนของไคอยู่ที่ใบหูนะครับ”

              “กระซิบอะไรกันวะ!!” เสียงตะคอกพร้อมกับแรงกระชากตามเจ้าของเสียงจนฉันลอยออกมายืนนอกรถข้างๆ ไค

              “ฮ่าๆ ถามคริสตัลเอาเองสิ กูไปล่ะ...ยังไงซะ ก็เบามือหน่อยนะเพื่อน~

              “เออ ฝากดูรถยัยนี่ด้วย”

     

              ลู่ฮานโบกมือลาอย่างอารมณ์ดีราวกับชอบใจที่เห็นฉันกับไคทะเลาะกัน จากนั้นเขาก็ขับรถจากไป ทิ้งฉันไว้กับเสือเพียงลำพัง

     

              “นายพาฉันมาที่บ้านทำไม”

              “อย่าถามมากได้มั้ย ?

              “ก็จะไม่ให้ถามได้ไงล่ะ! ฉันไม่มีวันยอมเข้าบ้านคนชั่วแบบนายแน่”

              “ก็ไม่ได้หวังให้เธอยอมอยู่แล้ว”

              “กรี๊ด!” ฉันกรีดร้องเมื่อไคตวัดแขนช้อนตัวฉันขึ้นอุ้มอีกครั้งหากแต่คราวนี้ไม่ใช่การพาดบ่า

     

              ทั้งฝ่ามือและเล็บตรงเข้าทำร้ายบ่าแกร่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาละเทือนแต่อย่างใดแล้วอยู่ดีๆ คำพูดทิ้งท้ายของลู่ฮานก็ลอยเข้าในหัว

     

    จุดอ่อนของไคอยู่ที่ใบหูนะครับ

     

     คิดได้อย่างนั้นฉันจึงใช้มือดึงใบหูไคทั้งสองข้างอย่างแรง

     

    “โอ้ยๆ ยัยบ้า! ตอนนั้นก็ดึงผม นี่มาดึงหูอีก”

    “สมน้ำหน้า!

    “มันเจ็บนะ เดี๋ยวจับจูบตรงนี้ซะเลย!!

    “...”

     

    คำพูดและสายตาจริงจังของไคทำเอาฉันหยุดกึก มือสองข้างตกลงมาแนบอกตัวเองแล้วยอมอยู่นิ่งๆ แทนการเสี่ยงโดนเขาล่วงเกิน

     

    “นี่กลัวฉันจูบขนาดนั้นเลยหรือไง”

    “ไม่ได้กลัวแต่รังเกียจ”

    “ก็ดี...”

     

    ไควางฉันลงเมื่อมาถึงตัวบ้านแต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยฉันหรอกนะ แขนแกร่งยังคงโอบรอบไหล่ฉันไว้ซึ่งมันเป็นตำแหน่งเดียวกับที่ฉันโดนเขาบีบไหล่เมื่อตอนอยู่ในรถเลย

     

    เจ็บจนระบมไปหมดแล้ว...

     

    เสียง กิ่ก เป็นสัญญาณประตูปลดล็อคก่อนที่ไคจะผลักมันพร้อมกับพาฉันเข้ามาเยือนขุมนรกอีกครั้ง...

     

    บ้าชะมัด นี่ฉันต้องเดินเข้าถ้ำเสือจริงๆ เหรอเนี่ย!!

     

     

     

     

    ---------------------------------

    ตอนหน้าจะมาเร็ว ถ้ากำลังใจเยอะ

    ^__________________^

     

    ขอบคุณทุกเม้นและนักอ่านทุกท่านค่ะ



     
    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×