ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Exo fx ] It's over tonight

    ลำดับตอนที่ #8 : [[ It's over ]]: C T 6 // Up

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 56
















     

              ฟึ่บ

     

            เสียงปิดแฟ้มเอกสารอย่างดังบ่งบอกถึงความหงุดหงิดในใจผมได้เป็นอย่างดี มือข้างขวาเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะทำงานแทนการจับปากกา รายงานเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศเกาหลีที่เพิ่งอ่านไปไม่ได้เข้าหัวสักนิดเพราะในใจมันเอาแต่คิดถึงเรื่องอื่น จะเรื่องไหนซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่ยัยผู้หญิงหน้าขาวคนนั้น

              ภาพที่เห็นเมื่อตอนเช้าทำเอาคนที่ไม่เคยเห็นใจใครอย่างผมถึงกับรู้สึก...ผิด  ไม่หรอกน่า ผมไม่ได้รู้สึกผิดแค่รู้สึกสมเพชยัยหน้าขาวที่ไม่รู้จักเจียมตัวนั่นเท่านั้นเอง ใช่ ผมแค่สมเพชเธอ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่...ภาพที่เธอหน้าซีด ปากสั่น ตาเหมือนจะลืมไม่ขึ้นอีกทั้งยังทรงตัวไม่ค่อยจะไหวมันค่อนข้างกวนใจผมมากจนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่แบบนี้

              เฮ้อ...ยัยหน้าขาวนั่นก็จริงๆ เลย ขนาดสภาพตัวเองเป็นถึงขั้นนั้นยังไม่รู้จักเจียมตัว เห็นสายตานั่นมองอย่างรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ทีไรแล้วมันรู้สึกโมโหจนอดไม่ได้ที่จะพูดจาแรงๆ ใส่ ทั้งที่จริงแล้วผมไม่ใช่คนพูดมากอะไรด้วยซ้ำ ไม่สิ...ผมไม่สนใจใครเลยมากกว่า ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วผมยิ่งไม่แคร์เพราะผมไม่ใช่ผู้ชายที่ต้องมานั่งคอยเอาใจใส่ ห่วงว่าเธอจะเป็นยังไงบ้าง ที่ผ่านมาก็แค่เรื่องบนเตียงเพื่อคลายเครียด ...ครั้งเดียวจบ!

     

              ยัยนั่นก็จริงๆ เลย คำว่า ขอโทษมันพูดยากมากหรือไง ?

     

              ใจจริงก็ไม่ได้กะจะแกล้งเธอถึงขั้นขังหรอกแต่ยัยหน้าขาวเล่นไม่ยอมอ่อนข้อ เชิดหน้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าผมสามารถบีบคอเธอให้ตายคามือได้ เล่นปาแก้วใส่หน้าจังๆ อย่างตั้งใจ มันเลยอดไม่ได้ที่จะจัดการลงโทษเธอสักหน่อย คิดดู...หากวันนั้นผมหลบไม่ทัน คงไม่มีหน้าหล่อๆ อย่างในวันนี้แน่

     

              ไม่รู้ตอนนี้จะยอมทานข้าวหรือยัง นี่ก็เที่ยงแล้วด้วย...

     

              “คุณจื่อเถาครับ” เสียงลูกน้องอีกคนเรียกสติผมให้กลับมา “...สายจากพี่แกรี่ครับ”

              “แล้วทำไมแกรี่ไม่โทรเข้าโทรศัพท์ฉัน”

              “เอ่อ...พี่แกรี่บอกว่าโทรหาคุณหลายสายแล้วแต่ไม่มีคนรับครับ”

     

              ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูแล้วก็เห็นว่ามันเป็นอย่างที่ลูกน้องผมพูด ให้ตายสิ ผมมัวแต่คิดเรื่องยัยนั่นจนไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าเลยรึไง   

     

              “เห็นบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก”

     

              ก็น่าจะสำคัญอยู่หรอกโทรหาผมตั้งห้าหกสายแหนะ

     

              “มีอะไร” ผมกรอกเสียงเข้มลงไป วันนี้แกรี่ไม่ได้มาบริษัทกับผมเพราะผมสั่งให้เฝ้ายัยหน้าขาวนั่นไว้

              [คุณซอลลี่ไม่ได้สติเลยครับ ผมเรียกเธอเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมตื่น พอจับตัวดูถึงรู้ว่าเป็นไข้...]

              !!!

              [ถ้าคุณจื่อเถาเสร็จงานแล้ว รีบมาโรงพยาบาลเลยนะครับ ผมอยู่ระหว่างทางคงถึงเร็วๆ นี้]

              “เดี๋ยว...อย่าบอกนะว่าซอลลี่ไม่ยอมทานอะไรเลย”

              [ครับ...มื้อเช้าเธอไม่ได้ทาน พอผมจะเข้าไปเอาอาหารกลางวันไปให้ถึงได้รู้ว่าคุณซอลลี่ไม่สบาย]

              “โรงพยาบาลไหน...” ผมถามเสียงเบาหวิว ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกลางใจแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

     

              พอแกรี่บอกชื่อโรงพยาบาลปุ๊บผมก็รีบวางสายทันทีและรีบวิ่งออกจากห้องโดยไม่ลืมหยิบกุญแจรถติดมือมาด้วย

     

              บ้าจริงๆ ยัยหน้าขาวนั่นดื้อจนได้เรื่องเลย!

     

     

     

     

     

     

     

     

              “...”

     

              ผมมองใบหน้าขาวซีดของว่าทีภรรยาตัวเองนิ่งๆ ไม่รู้จะบอกว่าข้างในตัวเองรู้สึกอย่างไรเพราะลูกมาเฟียอย่างผมไม่เคยรู้สึกผิดกับคนที่ไม่สนิทเลยสักครั้ง ในชีวิตเขาเคยขอโทษแค่พ่อและแม่เท่านั้น อ่ะ...รวมทั้งเพื่อนสนิทอีกสี่คนนั้นด้วย แต่กับผู้หญิงคนนี้ที่เพิ่งรู้จักกันได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งกับทำให้ผม...ไม่ชอบใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้เธอมานอนป่วยอยู่แบบนี้

     

              “คุณหมอบอกว่าให้น้ำเกลืออีกสองสามวันก็หายแล้วครับ เธอแค่ขาดน้ำและสารอาหารบวกกับอ่อนเพลียเลยทำให้เป็นไข้และหมดสติไป อีกเดี๋ยวคงฟื้น”

              “...”

              “คุณจื่อเถาครับ...”

              “นายว่าฉันเป็นคนผิดหรือเปล่า...” ทั้งที่ผมพูดกับแกรี่แต่สายตาดันจับจ้องไปทั่วใบหน้าซีดๆ นั่น “คราวนี้ฉันทำผิดหรือเปล่า”

              “เอ่อ...”

              “บอกฉันมาตามตรง”

              “ผม...”

     

              กริ๊งงงงง~ กริ๊งงงงง~

     

              เสียงสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ลูกน้องคนสนิทดังขัดบทสนทนาเมื่อกี้ แกรี่พูดกับคนในสายสักพักก่อนที่เขาจะยื่นมันให้ผม เมื่อได้มองหน้าจอผมก็รู้ทันทีว่าใครโทรมา

     

     นายใหญ่

           

              ท่าทางเรื่องจะถึงหูพ่อแล้วล่ะ...เร็วเสมอเลยนะ

     

              “ครับ”

              [คราวนี้เล่นแรงไปหรือเปล่า] เสียงพ่อผมเรียบนิ่งซะจนผมพอจะรู้ว่าพ่อไม่พอใจสิ่งที่ผมทำลงไป ปกติพ่อออกจะร่าเริงกับผมจะตาย

              “...” ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรจะยอมรับหรือปฏิเสธดี

              [นั่นว่าที่ภรรยาแกนะ ไม่ใช่ศัตรูถึงได้จับเขาขังแล้วให้อดข้าวอดน้ำน่ะ]

             

              ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้สั่งให้เธออดข้าวอดน้ำจริงๆ แต่การแก้ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนักในเวลานี้

     

              “ผมรู้แล้วครับ”

              [หวังว่าต่อไปจะไม่มีสายมารายงานฉันว่าว่าที่สะใภ้พ่อไปนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลอีกนะ]

              “ครับ”

              [พ่อยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับซึงโฮ แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีกคราวหน้าพ่อคงต้องบอกซึงโฮแล้วล่ะ เข้าใจมั้ย ?]

              “...”

              [แกเอาเขามานอนห้องตัวเอง...รู้ใช่มั้ยว่ายังไงก็ต้องรับผิดชอบน้องเขาน่ะ]

              “...ครับ” มันเป็นสิ่งที่ผมรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเอ่ยปากบอกให้เธอย้ายเข้ามาห้องผมแล้วล่ะ ผู้หญิงมาอยู่ห้องผู้ชายแถมยังนอนห้องเดียวกัน หากมีคนนอกรู้คงได้เอาไปนินทาแน่ๆ และที่ผมทำอย่างนั้นก็เพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเธอก็ตาม

              [แล้วเรื่องรถอย่าทำตัวเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นทั้งที่ความจริงแกก็มีคลังรถอีกเป็นร้อยคันมาสำรอง]

              “...”

              [ถ้าหนูซอลลี่เป็นอะไรไป พ่อจะตามไปตัดหัวแกถึงที่ แค่นี้แหละจะไปอาบแดดต่อ ตู้ด...ตู้ด...ตู้ด]

     

              ผมส่งโทรศัพท์คืนให้แกรี่แล้วส่งสัญญาณมือให้เขาออกไป หลังจากเสียงประตูปิดลงมือของผมก็เริ่มขยับไปยังใบหน้าขาวซีดนั่นช้าๆ นิ้วเรียวยาวปัดเส้นผมสีดำสนิทไปทัดหูให้เธอช้าๆ พลางมองเธอที่ยังคงไม่ลืมตาด้วยใบหน้านิ่งสงบ

             

              “ฉัน...ขอโทษ”

     

             

     

             

    --------------------------------

     

     

     

     

              Sull’s part

     

     

    4 วันต่อมา

     

              สนามบินอินชอน

     

              “กรี๊ดดดด~ นั่นไงๆ มันมาแล้ว”

              “ยัยตัล!!

              “ทางนี้ๆ”

              “พวกแก...มาได้ไง” คริสตัลที่เดินลากกระเป๋ามาหาพวกเราถามขึ้นอย่างงงๆ

              “แม๊ แค่เช็คไฟท์บินเรื่องแค่มันไม่ยากหรอกนะจ๊ะ” ซอฮยอนพูดเสียงหวาน

              “ไม่ๆ ...หมายถึงพวกแกมารับฉันทำไม ฉันไม่ได้บอกให้มารับสักหน่อย”

              “แม่คนดังจะไม่มารับได้ไงล่ะจ๊ะ ในเมื่อเรามีเรื่องต้องพูดกัน” ฉันบอกเพื่อนแล้วเดินเข้าไปแย่งกระเป๋าลากมาถือไว้ในมือก่อนจะเดินนำไปยังรถที่จอดไว้ด้านหน้า

     

              คริสตัลยังคงมีสีหน้างงงวยกับการปรากฏตัวของเราทั้งสี่แต่ก็ยอมเดินตามมาอย่างว่าง่าย ฉันเพิ่งรู้เมื่อสองวันที่แล้วว่าคริสตัลไปอเมริกาซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คริสตัลก็มักไปๆ มาๆ เพราะคิดถึงพี่สาวเพียงคนเดียวจนทนไม่ไหวอยู่บ่อยครั้งและที่ฉันเพิ่งมารู้ก็เพราะว่าวันก่อนๆ ฉันอยู่แต่ในโรงพยาบาลอย่างเดียวกับนายคนนั้นที่ฉันโคตรเกลียด คงไม่ต้องบอกว่าใครใช่มั้ย หึ ชาตินี้เราสองคนคงไม่มีทางญาติดีกันได้!

              จริงๆ แล้วหมอยังไม่อนุญาตให้ฉันออกจากโรงพยาบาลด้วยซ้ำแต่เพราะว่าฉันไม่ยอมและสุดจะทนที่ต้องหมกตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกับเขาทั้งวัน นายบ้านั่นก็ดูจะว่างเหลือเกิน มานั่งเฝ้าฉันทั้งวันทั้งคืนราวกับตัวเองไม่มีงานมีการทำ เหอะ แต่อย่าหวังว่าคนอย่างฉันจะยอมญาติดีด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฉันคงไม่ป่วยจนถึงขั้นต้องหยอดน้ำเกลือหรอก ยังไงก็ตามเรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลนั่นยังไม่มีใครรู้เพราะไม่มีใครสงสัย ฉันแค่บอกว่าป่วยเลยไม่ไปเรียนเพื่อนทุกคนก็เข้าใจและไม่ได้ติดใจอะไร

              เอาล่ะเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเรามาจัดการแม่สาวสวยคนดังที่นั่งข้างๆ ฉันก่อนดีกว่า

     

              “บอกมานะว่าแกไปทำอะไรที่อเมริกา” ฉันถามเสียงต่ำ ตอนนี้เราทุกคนเข้ามาอยู่บนรถของนาอึนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

              “ไปหาพี่เจส ฉันฝากนาอึนบอกทุกคนแล้วหนิ” คริสตัลที่นั่งตรงกลางระหว่างฉันก็ซอฮยอนพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย

              “อย่ามาโกหกกันให้ยาก ฉันรู้นะว่าแกไปทำอะไรมา” ซูจีที่อยู่เบาะหน้าเหลียวหลังมาพูดด้วยใบหน้าจริงจัง

              “...”

              “ใช่ๆ แกทำอย่างนี้ได้ยังไง ทำไมไม่บอกพวกฉันก่อน” นาอึนพูดขึ้นบ้าง

              “รู้มั้ยว่าฉันอิจฉาแกขนาดไหน~” ซอฮยอน

              “...พวกแกก็รู้เหรอ” คริสตัลพูดช้าเหมือนกับกำลังเรียบเรียงคำพูด “ฉันนึกว่าการถ่ายแบบของฉันมันจะเป็นความลับซะอีก”

              “...”

     

              ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบไปสามวินาที

     

              3 2 1...

              เอาล่ะ พร้อมกันนะ!

             

    “ถ่ายแบบ!!!” พวกเราทั้งสี่ตะโกนสุดเสียงอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

    “อ่าว...แกไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้กันหรอกเหรอ พี่เจสทำงานเป็นบรรณาธิการนิตยสารใช่มั้ยล่ะ วันนั้นฉันเข้าไปที่ทำงานกับพี่เจสด้วยก็เลยถูกให้วานช่วยไปเป็นนางแบบชั่วคราวแทนนางแบบเอเชียคนเก่าที่ป่วยกระทันหัน ฉันเห็นว่ามันน่าสนุกดีก็เลยยอมไปถ่าย แล้วพวกแกรู้มั้ยว่าฉันได้ถ่ายกับใคร...หึๆ ซูจีอ่า~ ถ้าเธอรู้อย่ากรี๊ดนะจ๊ะ อยากรู้มั้ย...” คริสตัลเว้นคำพูดแล้วมองพวกเราด้วยสายตาราวกับตัวเองมีชัยชนะ

     

    ถ้ายัยตัลหมายถึงนายแบบแล้วล่ะก็...ฉันว่ามันต้องเป็นคนๆ เดียวกับในข่าวแน่ๆ

     

    นายแบบชื่อดังคนนั้น!

     

    “ฉันว่าฉันรู้ว่ะ...” นาอึนพูด

    “ฉันก็คิดว่าฉันรู้เหมือนกัน...” ซูจีพูดต่อ

    “ไม่ใช่แค่เราที่รู้หรอก...คนทั้งโลกก็คงรู้เหมือนกัน” ตามด้วยซอฮยอน

    “ไม่มีใครไม่รู้จัก...ลีแทมิน นายแบบชื่อดังคนนั้นหรอก” ตบท้ายด้วยฉันที่พูดเสียงเบาหวิว

    “เฮ้ย พวกแกรู้ได้ไงอ่ะ มันมีภาพหลุดเหรอ งานนี้มันเป็นความลับนะเพราะปกนิตยาสารวางเดือนหน้า” คริสตัลพูดเสียงรัวแล้วมองหน้าพวกเราที่ยังคงอึ้งกับความโชคดีของเพื่อน

     

    ฉันพยักหน้าให้คริสตัลเบาๆ สื่อว่ามันมีภาพหลุดจริงแต่ไม่ใช่หลุดจากการถ่ายแบบ แต่เป็น...

     

    “ภาพหลุดแกกับเขาในผับน่ะสิ ยัยตัล! แกนี่มันโชคดีชะมัดเลยว่ะ” ซูจีเป็นตอบคำถามคริสตัล ยัยนั่นที่ได้ยินทำหน้างงอย่างไม่เข้าใจ ฉันว่ามันไม่แปลกหรอกที่คริสตัลจะไม่รู้เพราะว่าข่าวเพิ่งออกมาตอนเช้ามืดของวันนี้นี่เอง คริสตัลที่นั่งเครื่องมาหลายชั่วโมงคงยังไม่ได้เช็คข่าวอะไร...ไม่สิ ปกติยัยนี่ก็ไม่ค่อยเช็คข่าวกอสซิปพวกนี้อยู่แล้ว

     

    ก่อนที่คริสตัลจะถามอะไรซอฮยอนก็ยื่นไอแพดไปให้คริสตัลดูอย่างรู้งาน ยัยนั่นไล่อ่านอยู่สักพักก็ส่งกลับคืนแล้วกอดอกเชิดหน้าขึ้นราวกับภาพในข่าวเป็นเรื่องปกติ

     

    “ก็แค่เข้าใจผิด เขาเมาฉันก็เลยช่วยพยุงไปส่งเขาที่รถเท่านั้นเอง อีกอย่างนะ ฉันไม่ใช่คนดังอะไรไม่มีใครมาสนใจหรอก คุณแทมินเขาดังจะตาย เรื่องแค่นี้อีกไม่กี่วันก็เงียบไปเองนั่นแหละ”

     

    ที่คริสตัลพูดมาก็ถูก ลีแทมินเป็นนายแบบวัยรุ่นชื่อดังที่ผันตัวไปเดินสายทำงานในอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้เอง ส่วนเพื่อนฉันก็แค่ผู้หญิงหน้าสวยที่ผู้ชายทั้งมหาลัยอยากจะได้มาเป็นแฟนแต่เจ้าตัวก็ไม่เคยรู้สึกรู้สากับคนพวกนั้นและยังคงคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงธรรมดาที่คนไม่ค่อยรู้จัก -_- เอาเถอะ...ยัยคนนี้ก็ไม่เคยตามข่าวอะไรอยู่แล้ว ยังดีนะที่รู้จักเที่ยวเมื่องั้นล่ะก็ฉันคงนึกว่ายัยตัลเป็นคนจากยุคโบราณแอบทะลุมิติเหมือนในหนังอะไรเทือกนั้น

    ส่วนเรื่องที่ว่าจะเงียบก็คงจะจริงแต่อาจจะไม่ใช่ในเกาหลีเพราะลีแทมินในเกาหลีถือว่าดังมากๆ เขาเป็นนายแบบที่ช่างภาพต้องการตัวมากที่สุดเพราะฉะนั้นข่าวนี้คงจะอยู่ในเกาหลีอีกนานและคริสตัลก็คงถูกจับตามองดีไม่ดี วันพรุ่งนี้อาจจะมีประวัติเธอไปโผล่อยู่ในหน้าเว็บกอสซิปก็ได้

     

    “อีกอย่างในผับก็มีทีมงานที่ทำงานร่วมกันตั้งหลายคน ภาพนี้ก็แค่พวกคนไม่หวังดีจงใจจับภาพฉันกับเขาตอนที่อยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง” คริสตัลรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าเราทุกคนยิ่งนั่งนิ่ง

    “ก็แล้วไปนึกว่าแอบไปเที่ยวแล้วไปหว่านเสน่ห์ใส่ลีแทมินซะอีก” นาอึน

    “บ้า เขาดังเกินไปย่ะ”

    “งั้นที่รู้จักกันก็เพราะแกได้ไปถ่ายแบบกับเขาใช่ป่ะ” ซูจีถาม

    “อื้อ สนุกมาเลย ถ่ายชุดว่ายน้ำด้วย”

    “กรี๊ดดดดด~ ชุดว่ายน้ำ บีกินี่กับกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว กรี๊ดๆๆ”

     

    อาการบ้าผู้ชายจนออกนอกหน้าไม่มีใครเกินไปกว่าซูจีจริงๆ -_-

     

    “บ้า ไม่ถึงขนาดนั้น คุณแทมินเขาใส่กางเกงขาสั้นย่ะ”

    “ส่วนแก...บิกีนี่ใช่มั้ย ?” ฉันถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

    “แน่นอน...ต้อนรับซัมเมอร์ที่จะถึงไง”    

             

    ว่าแล้ว...คริสตัลเป็นคนที่ชอบใส่บิกีนี่มากเพราะรู้ว่าตัวเองหุ่นดีแต่ไม่ได้หมายความว่าเธอชอบโชว์อะไรพวกนั้นหรอกนะ ยัยตัลค่อนข้างเป็นเด็กหัวนอกเพราะไปอยู่อเมริกาตอนยังเด็กเลย ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับเรื่องพวกนี้ อันที่จริงทั้งกลุ่มก็ไม่มีใครซีเรียสนะ เวลาไปทะเลกันเราทั้งห้าก็อวดหุ่นสุดฮอตกันอย่างไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร

     

              อ่า...คิดแล้วก็อยากไปทะเลจัง

     

    “พูดถึงบีกินี่แล้วอยากไปทะเลจัง” นาอึนเธอช่างรู้ใจฉันที่สุด~

    “ฉันก็อยากไป~” ซอฮยอนเอาบ้าง

    “อาการร้อนๆ อย่างนี้น่าจะไปเดินวนรอบเกาะให้ผู้ชายเลือดกำเดาไหลกันสักหน่อย” ฉันพูดแล้วยิ้มอย่างนึกสนุก “...ช่วงนี้เจอแต่หน้าหมอนั่นน่าเบื่อชะมัด”

    “หืม...ว่าทีสามีน่ะเหรอ ?” คริสตัลถามเสียงสูง

     

              ว่าที่สามี...คำนี้มันจี๊ดจริงๆ เลยวุ้ย

     

              “ฉันบอกพวกแกไว้ตรงนี้เลยนะว่าฉันไม่มีวันแต่งงานกับนายคนนั้นเด็ดขาด ต่อให้ฉันต้องตายก็อย่าได้หวังว่าจะได้ใช้นามสกุลร่วมกัน!!

              “เหอะๆ ...แล้วฉันจะคอยดู” คริสตัลว่าแล้วอมยิ้มเหมือนกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด

     

              ถ้าเธอรู้เรื่องที่เขาทำกับฉันไว้แล้วเธอจะไม่ยิ้มอย่างนี้แน่นอน!

     

              “เอาเถอะ ช่างเรื่องสามีภรรยาของยัยซอลเถอะ เรามานัดกันดีกว่าว่าจะไปเที่ยวกันวันไหนดี”

              “อาทิตย์หน้ามั้ย...มันมีวันหยุดวันจันทร์พอดี ถ้าเราไปตั้งแต่วันเสาร์ก็โอเคอยู่น้า” ซอฮยอน

              “ก็ได้นะ ฉันอยากไปอยู่แล้ว ไปสักเดือนหนึ่งได้ยิ่งดี” ฉันแบะปากเมื่อคิดถึงหน้าคนใจโฉด เหอะๆ ถ้ามีวิธีที่ฉันไม่ต้องเจอหน้าเขาแล้วล่ะก็ฉันยอมหมดนั่นแหละ

              “งั้นเสาร์หน้านะ! ฉันจะได้หาทะเลสวยๆ และโทรจองที่พัก” ซอฮยอนผู้ซึ่งมีความรับผิดชอบและเป็นผู้ใหญ่มากที่สุดในกลุ่มเสนอตัวขึ้น แน่นอนว่าพวกที่เหลือตอบตกลงกันอย่างแข็งขัน

             

              สามวันที่ไม่ต้องทนร่วมชายคาเดียวกับเขาคงจะมีความสุขไม่น้อย...

     

              “ว่าแต่...คืนนี้ สักหน่อยมั้ย ?” ฉันเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงค่อนข้างกระตือรือร้น

              “อะไรกันยัยซอลแกเที่ยวมาสองวันติดแล้วนะ นี่กะจะไม่พักบ้างเลยหรือไง ฉันล่ะงงจริงๆ ว่าคุณจื่อเถาเขาปล่อยแกออกมาเต๊าะผู้ชายคนอื่นได้ยังไง”

     

              อย่างที่ซูจีว่า...ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลฉันก็เที่ยวมาติดกันสองคืนแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าอะไรแต่ฉันไม่อยากคุยกับเขา ไม่อยากทนนอนร่วมเตียงเดียวกัน ทุกครั้งที่กลับมาหลังจากเที่ยวเสร็จฉันก็จะนอนที่โซฟาในห้องรับแขก ไม่สนใจคุยกับเขาสักนิด ดูเหมือนว่านายนั่นก็รู้ว่าฉันไม่ต้องการที่จะสนทนาด้วยเลยไม่ได้ชวนคุย บางที เขาคงไม่อยากคุยกับฉันเหมือนกันล่ะมั้ง เหอะ

     

              “เอาน่า~ ไม่มีใครกล้าว่าฉันหรอกน่าอีกอย่างนะ ถึงเขาห้ามฉันก็ไม่สน”

             

              ใช่! ไม่มีสิทธิ์อะไรสักหน่อย

     

              “จ้าๆ แต่ฉันลาล่ะสองวันติดร่างกายเพลียเหลือเกิน” ซูจีปฏิเสธรวมทั้งนาอึนและซอฮยอนด้วย เมื่อเพื่อนปฏิเสธกันครบวงฉันก็เลยหันไปหาคริสตัลที่นั่งนิ่งเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์จนฉันต้องสะกิดไหล่เรียก

              “แล้วแกล่ะ”

              “...ไม่ดีกว่า ฉันเหนื่อย”

     

              สายตาตอนที่คริสตัลตอบเหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอหนักใจ ฉันรู้สึกถึงมันได้แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่พูดฉันก็ไม่อยากเซ้าซี้

     

              เหอะ เที่ยวคนเดียวก็ได้!!

             

     

             

    ----------------------------------

     

     

     

     

    Krystal’s part

     

     

               ฉันมาทำอะไรที่นี่...หน้าบ้านเขา...เพื่อ ?

     

              หลังจากที่นาอึนมาส่งฉันที่คอนโด ฉันก็ขึ้นไปเก็บของก่อนจะเรียกแท็กซี่มาที่นี่ บ้านเขาเป็นทางผ่านระหว่างทางกลับจากมหาลัยเลยพอจำได้จากตอนที่เขามาส่งฉันน่ะ

    นี่ก็ไม่รู้หมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงตัดสินใจมาบ้านหลังนี้หลังจากเหตุการณ์วันนั้นแต่ที่รู้คือฉันอยากคุยกับเขา เคลียร์กันให้จบๆ ไปจะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างๆ คาๆ แบบนี้ ฉันอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้สึกไม่สบายใจเพราะไคเรื่องแบบนั้นเขาคงไม่แคร์หรอกมั้ง แต่ก็ดีทุกอย่างจะได้จัดการได้ง่ายๆ

     

              ปิ้นๆ

     

            เสียงแตรรถเรียกให้ฉันหันไปมองก็พบว่าคนๆ นั้นคือคนที่ฉันตั้งใจมาหา ไคเลื่อนกระจกรถลงแล้วมองมาทางด้วยแววตาแข็งกระด้างในวินาทีแรกก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสายตากรุ้มกริ่มแบบเดิม

     

              “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันคิดถึงผมจนต้องมาหาผมถึงบ้านเลยเหรอครับ”

              “...ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” ฉันบอกเสียงแข็ง

              “งั้นเข้าไปในบ้านก่อนมั้ย”

              “ไม่” ฉันรีบปฏิเสธจนไคต้องกระตุกยิ้มราวกลับรู้ว่าฉันกลัวอะไร

     

              ฉันไม่ได้กลัวเขาหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด -_-

     

              “งั้นขึ้นรถสิ คุณไม่ได้ขับรถมานิ”

              “...”

              “ผมหิวมาก ถ้าเราไม่ไปหาอะไรกินข้างนอกก็เข้าไปคุยกันในบ้าน”

             

              ทันทีที่ได้ยินเขาพูดฉันก็รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างๆ คนขับ เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้ฉันต้องกัดฟันด้วยความอดทน

     

              ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าฉันพลาดท่าให้เสือผู้หญิงอย่างเขา น่าอายชะมัด!

     

              เรื่องที่ฉันกับเขาเอ่อ...ทำ เอ่อ...นั่นแหละๆ อย่างที่ทุกคนรู้ มันยังไม่ถึงหูใครนอกจากพี่เจส แน่นอนว่าฉันไม่ได้บอกแต่พี่สาวฉันเห็นรอยก็เลยสงสัย ปฏิเสธยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะรอยมันเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด ฉันล่ะเกลียดเขาจริงๆ ที่มาสร้างรอยราคีบนผิวขาวๆ ของฉันเนี่ย โชคดีนะที่รองพื้นสมัยนี้สามารถปกปิดรอยพวกนั้นได้อย่างแนบเนียบเพราะฉะนั้นการถ่ายแบบในชุดบีกินี่เลยไม่ใช่ปัญหา พี่เจสก็ไม่ได้ว่าอะไรและเตือนให้ฉันระวังตัวเท่านั้นเอง

     

              เอาไว้ฉันทำใจได้สักพักค่อยบอกเพื่อนๆ แล้วกัน ตอนนี้ยังยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเสียตัวให้ผู้ชายข้างๆ นี่ไปแล้ว -_-

     

              “คุณมาพอดีเลยผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับคุณอยู่พอดี”

              “ฉันเองก็มี”

              “ผมรู้..คุณเล่นหายตัวไปตั้งหลายวัน อยู่ดีๆ มาโผล่หน้าบ้านผมก็คงต้องมีเรื่องเป็นธรรมดา ว่าแต่...คุณใจร้ายจังนะครับ หนีไปอเมริกาคนเดียวได้ไง”

              “นายรู้ได้ไง” หวังว่าเขาคงไม่ได้ให้นักสืบสะกดรอยตามฉันหรอกนะ ความทรงจำที่เขาสามารถขึ้นมาถึงห้องฉันยังคำย้ำเตือนอยู่เสมอว่าเขาน่ะมันร้ายกาจน่าดู

              “หืม...ข่าวคุณออกจะดัง”

     

    ให้ตายสิ ภาพฉันกับคุณแทมินนี่มันกระจายรวดเร็วจริงๆ

     

    “เอาเถอะ ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลังดีกว่า ตอนนี้ผมหิวมากไม่อยากอารมณ์เสียซะก่อน”

     

    แอบเห็นว่าตอนที่เขาพูดมือที่กำพวงมาลัยอยู่กำเข้าหากันแน่นและยังน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจนั่นอีก

     

    “แต่ฉันไม่หิว”

    “ผมหิว”

    “งั้นเรามาคุยกันตรงนี้ให้จบๆ ไปเลยดีกว่าฉันจะได้กลับ”

    “...”

    “...”

    “ถ้าคุณยังพูดมาก ผมจะจอดรถแล้วกินคุณแทน วันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองยังกินไม่อิ่มเลย มีแต่คุณที่คอยจะกินผม” ไคจอดรถกลางถนนแล้วหันมาพูดกับฉันด้วยสายตาและน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขาทำจริงแน่หากฉันยังปฏิเสธอยู่

    “อะ...อะ...ไอ้...”

    “คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกเพราะวันนั้น...คุณเป็นฝ่ายเมาและเริ่มก่อน”

     

    ใช่! เพราะฉันเมาฉันเลยไม่มั่นใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป แม้ว่ามันจะไม่มีความทรงจำในเรื่องพรรคนั้นอยู่แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น อีกอย่าง...ฉันจำภาพที่ตัวเองขึ้นคร่อมเขาได้ลางๆ ด้วย

     

    น่าอายที่สุด!

     

    “เป็นเด็กดีซะนะครับ....แล้วผมจะเลี้ยงคุณอย่างดี”

    “...”

     

    สัมผัสที่อยู่บนศีรษะทำให้ฉันต้องรีบปัดมือเขาออกอย่างรังเกียจ ใช่ว่าฉันเสีย... เอ่อ...เสีย นั่นแหละๆ เวอร์จิ้นให้เขาแล้วจะมาถึงเนื้อถึงตัวเล่นฮงเล่นหัวกันได้นะ

     

    “หึ” ไคแสยะยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาทก่อนจะเริ่มออกรถอีกครั้ง

     

    สาบานได้เลยว่าฉันเกลียดรอยยิ้มนั่นอย่างมากถึงมากที่สุด!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “คุณไม่ทานอะไรจริงๆ เหรอ ผมเลี้ยงเอง”

    “ไม่”

     

    ฉันปฏิเสธเสียงแข็งเป็นรอบที่สิบกับคำถามเดิมๆ จากคนที่กำลังใช้มีดหั่นสเต็กในที่นั่งฝั่งตรงข้ามส่วนฉันสั่งแค่น้ำแตงโมปั่น เขาพามาที่ร้านสเต็กแถวๆ บ้านเขาซึ่งมันเป็นร้านเล็กๆ ไม่ได้หรูหราอะไรแต่การจัดแต่งร้านก็ดูน่าเข้าดี

     

    ไม่ยักรู้ว่าผู้ชายที่ใช่ของแพงแบบเขาจะทานร้านอาหารแบบนี้ได้ด้วย นึกว่าจะสำอางซะอีก

     

    “ฉันว่าเรามาคุยธุระของเราดีกว่า” ฉันเริ่มพูดเมื่อเห็นว่าไคทานไปได้สักพัก

    “เรา...? ผมดีใจนะที่คุณแทนผมกับคุณว่าเรา...มันดูสเปเชี่ยลดี” ท้ายประโยคคนพูดจิ้มเนื้อเข้าปากพร้อมกับมองหน้าฉันด้วยสายตาที่ทำให้ฉันรู้สึกหวิวๆ แปลกๆ

    “โทษที ฉันกับคุยมีเรื่องต้องคุยกัน”

    “ว่ามาสิ”

    “...วันนั้น ฉันเมาเลยจำอะไรไม่ได้สักอย่างละ...”

    “จำไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ...”

    “ใช่!” ฉันเผลอขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไคทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ ยิ่งประโยคต่อมายิ่งทำให้ฉันแทบตะโกนใส่หน้าเขาให้หุบปากเสียด้วยซ้ำ

    “คุณจำไม่ได้ว่าตัวเองดึงผมเข้าไปจูบ ผลักผมแล้วขึ้นคร่อม จูบคางผมและยัง...”

    “พอ!” ฉันบอกเสียงต่ำพลางส่งสายตาขู่ไปให้เขาด้วย ในร้านนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคนซะหน่อย นายบ้านี้กล้าพูดเรื่องอย่างนี้โดยไม่มีสีหน้ากระดากอายได้ยังไง ถึงมันจะจริงที่ฉันจะจำภาพที่ขึ้นคร่อมเขาได้รางๆ ก็เถอะนะ

     

    เหอะ...เขาคงชินชาและคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีสินะ

     

    “ข่วนผม” เขาต่อประโยคจนจบด้วยน้ำเสียงที่ให้ฉันได้ยินคนเดียวเท่านั้น

    “นายนี่มันเป็นคนยังไงกันแน่”

    “ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ”

    “เหอะ ช่างเถอะ ยังไงซะฉันก็จะไม่ยุ่งกับนายอีกต่อไปอยู่แล้ว”

     

    ทันที่ฉันพูดจบคนตรงข้ามก็ชะงักมือที่กำลังหั่นเนื้อเสต็ก ไคเงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยสายตานิ่งๆ พอๆ กับน้ำเสียง

     

    “หมายความว่าไง”

    “วันนั้นฉันเมาเลยจำอะไรไม่ได้สักนิดเพราะฉะนั้นเรื่องระหว่างเรา ฉันจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น...” ฉันเว้นช่วงไว้สักพักแล้วรีบพูดต่อเมื่อเห็นดวงตาความกำลังแสดงถึงความไม่พอใจ “โอเค...ฉันอาจจะเป็นคนเริ่มก่อนและฉันก็เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้สำหรับผู้ชายเวลามันถึงจุดๆ หนึ่งมันห้ามยากแต่เพราะฉันจำมันไม่ได้ฉันก็จะถือซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นโอเคมั้ย ?

    “ไม่” ไคตอบแทบจะทันทีที่ฉันพูดจบ เขาวางส้อมกับมืดลงแล้วนั่งหลังตรง “...คุณจำไม่ได้แต่ผมจำได้...ทุกสัมผัส”

    “นายไม่เข้าใจที่ฉันจะสื่อสินะ”

    “...”

    “ฉันรู้มาว่านายเป็นเสือผู้หญิงและอาจจะลำบากใจหากเรายังติดต่อกันอีก ถ้าแฟนของนายรู้เขาอาจจะไม่พอใจได้เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องมาติดต่ออะไรกันอีกหลังจากวันนี้ที่เราตกลงกันเสร็จ เอาง่ายๆ ว่านายไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรฉัน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงในสต็อกของนายแต่ถ้านายไม่พอใจจะให้ฉันรับผิดชอบก็ได้”

    “...”

    “เรื่องคืนนั้นนายก็ทำเป็นลืมๆ ไปซะเพราะยังไงฉันก็ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้แล้ว”

     

    ถึงตอนเมาฉันจะจำไม่ได้แต่ก่อนเมาฉันยังจำได้อยู่นะ คำตกลงที่ให้ไว้ก่อนเราจะดวลเหล้ากัน...หากฉันแพ้ฉันต้องยอมให้เขาศึกษาร่างกายซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้ว...

    ทุกคนอาจจะงงว่าทำไมฉันไม่โวยวายแล้วตบหน้าเขาสักฉาดเหมือนในละครหรือผู้หญิงทั่วๆ ไป เหตุผลก็เพราะ...มันไม่ได้อะไร ต่อให้ฉันตบเขาจนเลือดกบปากเวอร์จิ้นที่ฉันเสียไปก็มิอาจย้อนคืนมา สู้ตกลงกับเขาดีๆ แล้วจากกันอย่างไม่มีอะไรค้างคาต่อกันยังดีซะกว่า

     

    “คุณกำลังจะบอกให้ผมทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ”

    “นายเองก็ผ่านผู้หญิงมาเยอะคงไม่ติดใจและคิดมากหรอกนะ”

    “ผมไม่คิดมาก...” คำพูดของเขาทำให้ฉันเกือบถอนหายใจด้วยความโล่งอกหากไม่ได้ยินประโยคต่อมา “แต่ผมติดใจคุณ...มาก”

    “อย่ามาพูดบ้าๆ น่า เอางี้” ฉันเว้นช่วงแล้วล่วงกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าบางๆ ขึ้นมา ก่อนจะใช้ปากกาเซ็นต์หัวมุมด้านล่างอยู่สักพักก่อนจะยื่นมันไปให้เขา

     

    ทันทีที่ไคเห็นกระดาษผ่านนั้นเขาก็รับมันไปมองด้วยความตกใจ

     

    ฉันเตรียมมันมาเผื่อว่าเราจะตกลงกันไม่รู้เรื่อง ไม่ได้คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ

     

    “เช็คเงินสด ?” ไคช้อนสายตามองฉันนิ่งๆ แล้วเหมือนเขาจะถูกแช่แข็งไปสักพัก

    “ใช่ ฉันไม่ได้ใส่ตัวเลขไว้ นายอยากได้เท่าไหร่ก็ใส่เองแล้วกัน ไม่ว่าจะเท่าไหร่ฉันไม่เกี่ยงเอาเช็คไปขึ้นได้เลย” ฉันพูดนิ่งๆ แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือไว้เตรียมตัวออกจากที่นี่

    “...คุณนี่ตลกจัง”

     

    ไคมองเช็คใบนั้นแล้วหัวเราะจนไหล่แกร่งสั่น ทั้งที่เขากำลังหัวเราะแต่ฉันสัมผัสได้เลยว่าบรรยากาศมันมาคุแปลกๆ

     

    “คุณนอนกับผม...แล้วก็ให้เช็คผมปิดปากเนี่ยนะ”

    “ถ้านายเข้าใจว่าอย่างนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไร เอาง่ายๆ ว่าฉันขอรับผิดชอบนายด้วยวิธีนี้ หวังว่าเราจะจากกันด้วยดี อ่ะ มีอีกเรื่อง...” ฉันยื่นหน้าไปใกล้เขาแล้วกระซิบถามเบาๆ “นายได้ป้องกันหรือเปล่า”

    “...”

    “...”

    “ไม่”

    !!!

    “ทำไม ?

    “เข้าใจล่ะ อีกอย่าง นายไม่ต้องรู้สึกผิด ฉันเข้าใจ” พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้เสียงสั่น

    “...”

     

    เมื่อเห็นว่าไคไม่พูดอะไร ฉันเลยลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากร้านก่อนที่ฝ่ายชายจะระเบิดอารมณ์

    ฉันรู้...เขาไม่พอใจ ฉันทำอย่างนี้เหมือนเป็นการตบหน้าเขาฉาดใหญ่ แถมยังคล้ายเป็นการดูถูกเขาอีกด้วยเพราะหากฉันเจอแบบนี้ก็คงรู้สึกโกรธไม่น้อย แต่จะทำยังไงได้ล่ะ...มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้ว

     

    นับจากนี้หวังว่าเขากับฉันจะเป็นเพียงคนรู้จักผิวเผินกันเท่านั้น...

     

    เมื่อออกมาจากนอกร้านขาที่เคยแข็งแรงกับอ่อนยวบจนล้มลงไปนั่งกับพื้นหน้าประตูร้าน คนที่เดินไปผ่านไปผ่านมองฉันอย่างสนใจแต่ฉันทำเป็นมองไม่เห็น

     

    เขาไม่ได้ป้องกัน...

     

    น้ำตาที่เคยคิดว่าจะไม่มีทางเสียให้เรื่องนี้อีกนับตั้งแต่วันนั้นกลับไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ฉันยกหลังมือปาดมันออกอย่างลวกๆ แล้วจับผนังประตูแล้วก่อนจะออกแรงหยัดยืนขึ้นใหม่อีกครั้ง

     

    ไม่มีอะไรหรอกน่าคริสตัล...ใช่ว่าครั้งเดียวแล้วเธอจะท้องสักหน่อย

     

    ใช่! ไม่มีอะไรหรอก

     

     

     

     

    -----------------------------------

     

     

     

    เสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งหน้าประตูบ่งบอกได้ว่าเจ้าของร่างที่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับเขาได้ออกไปแล้ว ไคกำมือที่ถือเช็คนั่นแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนมันยับยูยี่ด้วยหลากหลายความรู้สึก อาหารอร่อยตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขาอยากทานอีกต่อไป ใบหน้าคมกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเรื่องที่เธอพูดมันโคตรตลก

     

    เป็นเรื่องตลกที่สุดตั้งแต่เกิดมา

     

    “ฮ่าๆ” เขาหัวเราะให้กับตัวเองเหมือนคนเสียสติ เธอนึกว่าตัวเองเสียตัวให้เขาจนฟาดเช็คใส่หน้าเขาอย่างจัง ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างนี้เลยสักครั้ง และเขาเองก็ไม่เคยปฏิบัติแบบนี้กับใครเพราะถือว่ามันเป็นการหยามเกียรติ  ผู้หญิงทุกคนที่เขาร่วมเตียงด้วยล้วนเต็มใจและไม่ใช่ผู้หญิงขายบริการที่แค่หลับนอนเพราะหวังเอาเงิน

     

    แต่นี้....คริสตัลกำลังทำกับเขาเหมือนเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายนั่งดริ้งที่พลาดท่ามานอนกับเธอแล้วต้องจัดการให้เงินเพื่อตอบแทน

     

    “ตลกว่ะ”

     

    ทั้งที่เขาพูดอย่างนั้นและหัวเราะแต่ในใจกับรู้สึกถึงอารมณ์พลุ่งพล่านที่ประทุขึ้นกลางอก อยากจะออกไปลากเธอกลับมาคุยและตะโกนต่อว่าเธอที่พูดอะไรง่ายๆ แบบนั้นออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีอะไรกับเธอจริงๆ แต่การที่เธอทำอย่างนี้ก็บอกอะไรได้หลายอย่าง...เธอเลือดเย็นพอที่จะตัดความสัมพันธ์โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร

     

    ให้ตายเถอะ...เธอคิดว่าทำอย่างนี้แล้วเขาจะยอมปล่อยไปงั้นสินะ

     

    ยิ่งเล่นตัวก็ยิ่งดีเพราะของอะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็คงไม่สนุกนัก...

     

    มือเรียวยาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงโดยที่มืออีกข้างยังคงขยำเช็คนั่นเล่นไปเรื่อยๆ นิ้วเรียวไล่หาเบอร์เพื่อนรักที่อยู่ต่างประเทศแล้วกดโทรออกทันที

     

    นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาต้องเคลียร์ หลังจากที่ไปส่งคริสตัลที่คอนโด เธอก็หายไปเลยทั้งปิดเครื่อง มหา'ลัยก็ไม่ไปและไม่ยอมเปิดประตูให้เขาจนเขาต้องไปขอคีย์การ์ดสำรองจากทางคอนโดเพราะกลัวว่าเธอจะคิดมากในเรื่องที่เขาโกหกจนคิดฆ่าตัวตาย แต่พอเข้าไปกลับไม่พบคนที่ต้องการอยู่ในห้อง

     

    เชื่อมั้ย เขาไม่เคยกระวนกระวายใจขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่เขากับเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่เขากลับห่วงความรู้สึกเธอ...กลัวว่าเธอจะคิดสั้น

     

    อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองทั้งหมดเมื่อเช้าที่ผ่านมาเข้าเพิ่งรู้ความจริงว่าเธอหนีไปเที่ยวที่อเมริกาจนมีรูปหลุดกับเพื่อนสนิทอีกคนของเขา...ลีแทมิน

     

    เสียดายเวลาที่เขากังวลเรื่องเธอจริงๆ เหอะ...พอเสร็จจากเขาก็รีบไปหาเหยื่อรายใหม่ทันทีเลยสินะ

     

    [แกรู้มั้ยว่าตอนนี้ที่นี่มันกี่โมง] เสียงงัวเงียจากปลายสายดังรอดออกมาบ่บอกว่าคนที่อยู่อเมริกาถูกปลุก

    “ตีสอง” ผมบอกเสียงเรียบและพยายามสะกดกลั้นอารมณ์หงุดหงิด

     

    ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าตัวเองมีอาการอย่างนี้เพราะเธอ...

     

    [ก็รู้นี้หว่า โทรมาทำไม ฉันยังไม่อยากมีผัวหรอกนะ]

     

     แทมินเป็นเพื่อนนอกกลุ่มที่เขาสนิทด้วยมากที่สุดเพราะนิสัย (เลวๆ) คล้ายกัน จริงๆ แทมินก็สนิทกับคนอื่นนะเพียงแต่มันเป็นนายแบบและชอบไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่านั้นเอง

     

    “ไอ้บ้า ฉันโทรมาถามเรื่องข่าว...เมื่อเช้า”

    [อ้อ แล้วไงวะ เกี่ยวอะไรกับแกหรือแกหึงฉัน ?] มันถามเสียงสูงซะจนผมหมั่นไส้

    “ไม่ใช่เว้ย พูดบ้าอะไรขนลุก! ฉันอยากรู้ว่าแกทำอะไรเธอหรือเปล่า”

     

    นี่เขากำลังทำตัวเหมือน...แฟนขี้หวงเลย เฮ้ย ไม่ใช่ๆ เขากับเธอยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ไม่มีทาง! เขาก็แค่เล่นๆ กับเธอเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ นั่นแหละ -_-+

     

    [ทำไมวะ เด็กแกหรือไง]

    “...ไม่ใช่”

    [ก็แล้วไป ฉันกะจะจีบซะหน่อย คนอะไรวะสวยเด็ด หุ่นเอ็กซ์เป็นบ้า]

    “แกรู้เรื่องหุ่นได้ไง”

    [บอกไม่ได้ มันเป็นความลับของงานฉันว่ะ โทษที ว่าแต่แกโทรมาถามเรื่องรูปแค่นี้อ่ะนะ]

    “...”

    [เงียบอย่างนี้ท่าทางจะจริงๆ เรื่องรูปก็ไม่มีอะไรหรอกน่า~ คุณคริสตัลเขาแค่ช่วยพยุงฉันตอนฉันเมาเท่านั้นเอง คนอื่นอยู่ด้วยตั้งเยอะ ที่รักอ่า...อย่าหึงเค้าเลยนะตะเอง เอาไว้กลับไปจะซื้อปลอกคอไปฝาก~]

    “เอาไว้ล่ามคอแกเถอะ ไอ้บ้า!

     

    ปิ่บ

     

    ไควางสายแล้วเผยรอยยิ้มอย่างพอใจที่ได้รู้ความจริงว่าเธอกับเพื่อนเขาไม่ได้มีอะไรกัน ทุกคนอย่าเข้าใจผิดว่าเขาหวงไอ้แทมินนะ!

     

    ว่าแต่มันพูดเรื่องานทำไมวะ คริสตัลไปเกี่ยวอะไรกับงานมัน...ยิ่งไปกว่านั้นแทมินรู้ได้ไงว่าคริสตัลหุ่นดี

     

    พูดอย่างกับเคยเห็น...

     

    อย่างไรก็ตามเขาหงุดหงิดนิดหน่อยที่มันพูดว่าจะจีบคริสตัลจนต้องส่งข้อความไปเตือนมันว่าอย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนี้ แทมินไม่ได้ตอบกลับมาไม่รู้ว่าตั้งใจหลีกเหลี่ยงหรือหลับกันแน่...รอมันกลับมาก่อนเถอะผมจะซักให้หมด

     

    แล้วนี่เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย...จะมานั่งกังวลว่าแทมินจะจีบคริสตัลทำไม มันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย -_-

     

    ใช่ มันไม่ใช่เรื่องของเขา

    เธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันเลย

    เราสองคนไม่ได้เกี่ยงข้องกัน...กับผู้หญิงคนอื่นเขายังไม่เห็นสนใจ

     

    แต่...เขากับเธอจูบกันแล้วเพราะฉะนั้นบางที...เขาก็ควรรู้เรื่องของเธอด้วยใช่มั้ยล่ะ...ใช่มั้ย ? (ตรรกะไหนฟะ -_-)

     

    ที่แน่ๆ คือเธอต้องได้รับบทเรียนที่กล้ามาหยามผมแบบนี้!

     

     

     

     

    -------------------------------------

     

     

     

     

    Tao’s part

     

     

    23.00 น.

     

    ผมละสายตาจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คแล้วมองร่างบางสมส่วนที่กำลังเปิดตู้เสื้อผ้าเหมือนกับหาอะไรบางอย่างอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม เมื่อมองไล่สายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นกางเกงขาสั้นหนังสีแดงที่สั้นจนปิดแค่แก้มก้นสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวบาง ตัวหนึ่งที่มองเห็นถึงเสื้อในสีดำลายลูกไม้ด้านในได้ถนัดตายิ่งนัก

     

    ขนาดผมนั่งห่างจากเธอมาหลายเมตรยังเห็นชัดขนาดนี้เลย ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าจากไหนมาใส่ -_-

     

    “หายไปไหนน้า” ซอลลี่พึมพำกับตัวเองแต่ผมกับได้ยินเต็มสองหู ตาของผมมองขาขาวๆ เรียวสวยของเธอยามที่ร่างงามก้าวไปรอบห้องนอน

     

    ผู้หญิงก็นะกล้าใส่ได้ยังไง นั่นมันสั้นจนแทบจะปิดอะไรไม่มิดอยู่แล้ว -_-

     

              เรามาอัพเดทความเคลื่อนไหวหลังจากเธอเข้าโรงพยาบาลกันหน่อย เริ่มจากหลังที่เธอฟื้น ซอลลี่ไม่คุยกับผมเลย เธอมองผมอย่างหงุดหงิดแล้วด่ากราดทันทีที่ลืมตา ผมอยากจะเอ่ยขอโทษเธออยู่หรอกแต่พอเจอคำพูดแรงๆ ที่ด่าผมว่าเลวอย่างนู้นเลวอย่างนี้ที่ไรมันก็รู้สึกโมโหจนต้องเก็บคำขอโทษไว้ในใจ หลังจากนั้นเธอก็ไม่พูดกับผมอีกเลย ไม่มองหน้าแม้ว่าผมจะนั่งเฝ้าไข้เธอทั้งคืน

              เฮ้อ~ ผมก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเธอโกรธมากเพราะเข้าใจผมเลยยอมอยู่นิ่งๆ ไม่เถียงแล้วปล่อยให้ความสัมพันธ์ของเรามีความเงียบมาเป็นตัวดำเนิน ยิ่งไปกว่านั้นพอกลับมาที่คอนโดเธอยิ่งทำตัวห่างเหินกับผมเมื่อรู้ความจริงว่าผมหลอกเธอเรื่องไปลากับทางมหาลัยว่าเธอไปอาบแดดที่ฮาวาย -_- ผมก็ไม่คิดว่าเธอจะเชื่อหนิ มหาลัยมันมีลาเรียนได้ด้วยเหรอ เหอะๆ ยัยหน้าขาวนี่ก็แอบโง่เหมือนกันนะ

              ซอลลี่ออกไปเรียนในตอนเช้าจนถึงเย็นทั้งที่เมื่อวานตารางเรียนเธอมีแค่คาบบ่าย สองวันที่ผ่านมาเธอไม่ร่วมโต๊ะทานข้าวกับผมเลย ออกไปก่อนข้าวเช้าและกลับมาในตอนหัวค่ำ พอตกดึกก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนร่วมแก๊ง

     

    นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดผมคงต้องเอ่ยปากห้ามเธอสักหน่อยล่ะ ผู้หญิงที่ไหนไปเที่ยวผับกลับตีสองตีสาม

     

    ซอลลี่ยังคงเดินไปเดินมาอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจแล้วตัดสินใจเปิดประตูออกนอกห้องนอนไป

     

    “อีกแล้วสินะ” ผมพึมพำเบาๆ เมื่อคิดว่าเธอคงไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมแก๊งเช่นเดิม ความหงุดหงิดที่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นทำให้ผมต้องปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คลงแล้วออกไปห้องครัวเพื่อหาอะไรเย็นๆ ดื่มดับอารมณ์ความร้อนในใจ

     

    ซอลลี่นั่งสั่งลงเท้าส้นสูงอยู่หน้าประตูเหลียวหลังมามองผมแล้วสบตากันสักพักก่อนที่จะเป็นเธอที่สะบัดหน้าไปก่อน

     

    จะงอนให้ถึงชาติหน้าเลยรึไง!

     

    “นี่” ผมเอ่ยเมื่อความอดทนหมดลง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ชอบที่เธอเมินผม ทั้งที่จริงเมื่อก่อนผมก็อยู่ในห้องนี้คนเดียวและไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร

     

     แต่นี่...ผมกลับรู้สึกหงุดหงิด ไม่ชอบและไม่พอใจที่เธอทำให้ห้องนี้ไม่มีผมอยู่ด้วย

     

    “จะไปเที่ยวอีกแล้วเหรอ”

    “...”

    “ไม่ต้องไปหรอก...”

     

    ซอลลี่ที่ใส่ส้นสูงรัดข้อสีดำเสร็จแล้วหันมามองผม ยิ่งขาเรียวๆ ทรงตัวอยู่บนรองเท้าคู่นี้ขาวของเธอยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น

     

    นี่ผมเป็นโรคจิตรึเปล่าถึงได้ชอบมองขาชาวบ้าน

     

    “ถ้าคุณไม่อยากเห็นหน้าผม ก็อยู่ที่นี่แหละเดี๋ยวผมไปเอง”

    “นายไม่อยากเห็นหน้าฉันไม่ใช่เหรอ” เธอถามและมองผมนิ่งๆ “...ฉันก็จะไม่อยู่ให้นายรำคาญตา”

     

    ผมบอกตอนไหนว่าไม่อยากเห็นเธอ

     

    “ไม่ต้อง ผมจะไปเอง”

    “ฉันเกลียดนาย”

    “ผมรู้”

    “เกลียดมาก เกลียดจนอยากจะฆ่านายให้ตายซะตรงนี้”

    “ผมรู้”

    “นายรู้แล้วจะมาคุยกับฉันทำไม!

    “ผม...ไม่รู้”

     

    ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมต้องอยากคุยกับเธอ แต่ผมไม่อยากปล่อยให้มันแย่ยิ่งไปกว่านี้ ยังไงซะเราสองคนก็ต้องแต่งงานกันสักวัน

     

    “เหอะ! ฉันจะเกลียดนายไปจนตายเลยคอยดู” ซอลลี่พูดเสียงเยือกเย็นพอๆ กับสายตาที่มองมาก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

     

    ผมมองประตูที่ถูกปิดลงด้วยสายตานิ่งๆ ต่างกับด้านในที่รู้สึกโหวงๆ กับคำพูดของเธอ ผมจะปล่อยให้เราสองคนเป็นอย่างนี้ต่อไปเหรอ...

     

    บ้าเอ้ย!

     

    ร่างกายไวกว่าความคิดเมื่อมันออกวิ่งแล้วรีบตรงไปยังลิฟต์แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว ผมเปลี่ยนเส้นทางกลับไปยังห้องตัวเองหยิบกุญแจรถคันใหม่แล้วตรงไปยังลานจอดรถประจำชั้นแล้วรีบขับรถออกทันที

     

    ยัยหน้าขาวนั่นกล้าเมินผมได้ไง!

     

    ปิ้นๆๆ

     

    เสียงแตรจากฝีมือผมเรียกร่างบางที่กำลังเปิดประตูรถแท็กซี่หันมามอง เธอขมวดคิ้วอย่างสงสัยเพราะไม่รู้ว่านี่เป็นรถผม พอดีผมเพิ่งเปลี่ยนคันน่ะคันเก่าเอาไปซ่อม

     

    “นาย!

     

    ซอลลี่มองผมอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าผมเป็นเจ้าของรถ ไม่ทันที่เธอจะได้ทันตั้งตัวผมก็เข้าไปจับไหล่เธอแล้วลากให้ขึ้นรถไปด้วยกัน คนขับแท็กซี่มองเราสองคนอย่างงๆ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรคงเพราะคิดว่าเราเป็นคู่รักที่กำลังทะเลาะกัน

     

    “ปล่อยนะ!

     

    ผมจัดการปล่อยเธอตามคำสั่งแต่เป็นการปล่อยในรถนะ ไม่รอช้ารีบเดินอ้อมไปฝั่งคนขับแล้วออกรถทันที

     

    “นายทำแบบนี้ทำไม อยากให้ฉันเกลียดนายจนกระอักเลือดตายตรงนี้เลยมั้ย ?” เธอถามแล้วจ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง

    “ผม...มีเรื่องจะพูดด้วย”

    “...”

    “ผม...”

    “พูดมาเร็วๆ หน่อยได้มั้ย ฉันมีนัดนะ”

    “ผม...”

    “ถ้าจะพูดแค่ผมๆ ก็ปล่อยฉันลงตรงนี้”

    “ผม...”

    “ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับนายนะ!

    “ผมขอโทษ”

    “จอดตรงนะ...ห๊ะ ?

    “ผมบอกว่า...ขอโทษ”

    “นะ นาย...”

     

    ท่าทางตกใจของเธอเรียกรอยยิ้มมุมปากจากคนทำผิดอย่างผมได้เล็กน้อย ให้ตายสิ เธอเป็นผู้หญิงคนที่สองรองจากแม่เลยนะที่ผมเอ่ยปากขอโทษเนี่ย

     

    “วันนั้นผมที่ทำรุนแรงกับคุณไป...ผมไม่ได้ตั้งใจ”

    “นาย...เป็นบ้าไปแล้วเหรอ”

     

    แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่ผมก็คิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้วล่ะที่เอ่ยปากขอโทษคนอื่นเนี่ย...ยิ่งเป็นคนที่เพิ่งรู้จักอย่างเธอด้วยแล้ว ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน

     

    “ผมไม่รู้”

    “นาย นายต้องบ้าแน่ๆ” ซอลลี่พูดเสียงสั่นเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

    “ผมรู้สึกผิดจริงๆ ...อย่าโกรธผมเลย” ประโยคหลังผมหันไปมองหน้าเธอด้วยแววตาอ้อนวอนเล็กน้อยและนั่นมันทำให้ซอลลี่ถึงกับเบิกตาโตก่อนจะรีบสะบัดหน้าไปทางอื่นเมื่อเราสองคนสบตากัน “...ผมรู้ว่าตัวเองผิดที่พูดจารุนแรงและก็ทำรุนแรงกับคุณแต่...”

    “ถ้านายรู้สึกผิดก็พาฉันไปผับ AAA สิ”

    “...” ผมละสายตาจากถนนแล้วหันมามองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ

     

    ขนาดผมยอมขอโทษแล้วเธอยังจะไปเที่ยวอีกงั้นเหรอ ?

     

    “ถ้านายพาฉันไป...ฉันจะพิจารณาอีกที” ซอลลี่พูดโดยที่ไม่ได้หันมามองผม ใบหน้าหวานที่มองจากด้านข้างเชิดขึ้นเล็กน้อยราวกับจะสื่อว่าเธอมีอำนาจเหนือกว่าผม

     

    รอกลับมาสถานการณ์ปกติก่อนเถอะ อย่าหวังว่าจะทำท่าทางหยิ่งผยองอย่างนี้ได้เลย หึๆ

     

    “ได้สิ”

     

    ให้ตายเถอะ ตอนผมตอบลืมดูสภาพตัวเองว่า...สวมชุดนอนอยู่ -_-;;

     

     

     

     

    -------------------------------------

    ตอนนี้ยาวมากขอตัดไปไว้ตอนหน้าแทนนะคะ

    เจอกันใหม่เร็วๆ นี้~ ทั้งไคตัลและเทาซอล

     

    ขอบคุณทุกเม้นต์และนักอ่านทุกท่านค่ะ

     

     

     

     





     
    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×