คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [[ It's over ]]: C T 3
“เราจะจัดทำละครเวทีแนวหนังย้อนยุคกันนะครับ เป็นตำนานรักในประวัติศาสตร์ของเทพสุนัขจิ้งจอกกับลูกขุนนางที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ตัวละครสำคัญคงมีไม่มากน่าจะประมาณสิบคนส่วนที่เหลือก็เป็นแบ็คอัพเอา เริ่มที่พระเอก...เอ่อ...ดูเหมือนพระเอกจะยังไม่มา งั้นไปที่นาง...”
“ขอโทษครับที่มาสาย” เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งขัดเสียงของรุ่นพี่ปีสี่ที่เป็นผู้กำกับครั้งนี้ ทุกคนต่างหันไปมองตรงประตูรวมทั้งฉันด้วย
!!!
ไม่จริง เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“อ้าวไคมาพอดีเลย มาเร็วๆ เรากำลังพูดถึงบทแต่ละคนกันอยู่” พี่ซูยองที่เป็นเพื่อนพี่ทิฟฟานี่เดินเข้าไปหาแล้วพาเขามาด้านหน้า ฉันพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดแล้วเอนตัวลงต่ำใช้บทละครที่อยู่ในมือปิดหน้าตัวเองไว้อย่างเนียนๆ
“ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะคะ นี่คิมไคนักแสดงนำฝ่ายชายเป็นนักศึกษาปีสามคณะบริหารธุรกิจ น้องเขายอมตกลงเล่นละครกับเราเพราะว่านี่เป็นเทอมสุดท้ายของน้องไคเลยมีเรียนแค่ไม่กี่วิชา พอมีเวลาว่างที่จะซ้อมกับเรา พระเอกของเรานอกจากหล่อแล้วยังเก่งด้วยจริงมั้ย”
โห...จะจบภายในสามปี มีไม่กี่คนในมหา’ลัยหรอกนะที่ทำได้ เขานี่นอกจากหล่อแล้วยังเก่งอีก แป๊บนะ...ฉันจะชมเขาทำไม ผู้ชายคนนี้เป็นโจรบุกห้องฉันนะ (แม้ว่าฉันจะเปิดประตูให้เขาเองก็เถอะ)
“สวัสดีครับ ผมคิมไคยินดีที่ได้รู้จัก”
“งั้นเดี๋ยวพี่ขอแนะนำนักแสดงคนอื่นด้วยแล้วกัน...” พี่ซูยองแนะนำตัวประกอบที่เหลือจนครบเหลือแต่ฉันที่พี่เขายังไม่ได้พูดถึง “และนั่นนางเอกของเราจ่ะ เอ่อ...คริสตัลจ๊ะ ช่วยเอาบทลงหน่อยสิ”
ฉันเบ้ปากก่อนที่จะยอมเอาบทลงช้าๆ เลยเห็นว่าไคและคนทั้งห้องกำลังมองกับท่านั่งประหลาดๆ ของฉันอยู่
“แหะๆ สวัสดีค่ะ คริสตัลค่ะ” ฉันแนะนำตัวเป็นรอบที่สองให้คนทั้งห้องโดยที่ไม่ยอมสบตากับไค
“นั่นแหละนางเอกของเรา ไคคงไม่รู้จักล่ะมั้ง คริสตัลเรียนนิเทศเอกภาพยนตร์อยู่ปีสามเหมือนเราเลย”
“...” ฉันนั่งก้มหน้าไม่อยากจะสบตากับเขา ไม่ใช่เพราะว่ากลัวนะเพราะเกลียดต่างหากล่ะ
“เอ่อ...ไคนั่งฟังบทก่อนเลยแล้วกัน เชิญจ่ะๆ”
และทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเขาเลือกที่จะเดินเลยมายังฉันและนั่งลงเก้าอี้ด้านซ้ายมือที่ยังว่างอยู่แทน
“ไง...”
“...”
ไงบ้านนายสิ -_-
ฉันทำเป็นไม่ได้ยินเขาแล้วสนใจรุ่นพี่ด้านหน้าต่อ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าตัวเองจะซวยถึงขนาดต้องมาเจอเขาในวันรุ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะซวยถึงขนาดต้องมาเป็นนางเอกกับไค!
“เอาล่ะนักแสดงมาครบแล้วงั้นพี่ขอต่อเลยแล้วกัน อืม...บทพระเอกชื่อ วูลรยองเป็นเทพที่ปกปักรักษาผืนป่าในสมัยโชซอนมากว่าพันปีจนกระทั่งเขามาเจอนางเอกที่เป็นลูกขุนนางซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏกำลังถูกขายไปเป็นกีแซงด้วยความไม่เต็มใจ แต่เพราะว่าวูลรยองไม่ใช่มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้เลยทำได้เพียงมองเธอถูกทรมานผูกไว้กับต้นไม้แห่งความสำนึกผิดจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ...ตอนนี้เดี๋ยวเราค่อยใส่รายละเอียดอีกที ขอข้ามมาที่นางเอกกำลังถูกไล่ล่าเลยแล้วกัน ตอนนั้นวูลรยองเข้าไปช่วยซอฮวาไว้ได้ทัน อ่ะพี่ลืมบอกไปนางเอกชื่อซอฮวานะ พระเอกเลยใช้พลังวิเศษไล่ไอ้พวกที่ตามนางเอกมา...” ผู้กำกับเล่าเรื่องราวตำนานรักของหนึ่งเทพกับมนุษย์ต่อไป โดยที่ฉันได้แต่ฟังแล้วคิดภาพตามเงียบๆ จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาถึงตอนจบ...มันเป็นความรักที่สวยงามมาก
แปะๆๆ
คนทั้งห้องต่างตบมือให้ผู้เขียนบทและผู้กำกับเสียงดังหลังจากที่ได้ฟังจนจบ ความรักที่พระเอกมีให้นางเอก มีแต่คำว่า ‘ให้’จริงๆ
“เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพี่จะแจกบทให้ทุกคนลองไปอ่านดู อ่ะ...อีกเรื่องส่งตารางเรียนให้พี่ด้วยนะพี่จะได้นัดซ้อมถูก” พี่ซูยองพูดพลางยื่นบทให้ไคคนเดียวเพราะคนอื่นได้กันหมดแล้ว “...น่าจะอีกประมานหนึ่งอาทิตย์พี่จะนัดซ้อมอีกทีแล้วจะส่งวัน เวลา สถานที่ให้ทางข้อความแล้วกันนะจ๊ะ”
“ค่า/ครับ”
ส่วนใหญ่นักแสดงจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่งปีสองจากเอกการแสดงทั้งนั้น ฉันก็พอเข้าใจนะว่าทำไมต้องเอาเด็กๆ มา ก็คงเพราะคุมง่ายน่ะสิ
ฉันก้มหัวโค้งให้รุ่นพี่จนพวกเขาออกไปหมดแล้วถึงเดินออกไปมั้ง ไม่สนใจไคที่กำลังมีรุ่นน้องสาวๆ รุมทำความรู้จัก
อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ไปเที่ยวดีมั้ยเนี่ย คิดได้อย่างนั้นฉันก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้แล้วกดปุ่มเลขสามอย่างเคยชิน
[อื้อ ว่าไง]
“ซอลไปช้อปกันมั้ย ?”
[หือ...ช้อปเหรอ ? ไปสิๆ]
“นี่แกอยู่ไหนทำไมได้ยินไม่ค่อยชัดเลย”
[อยู่ซุปเปอร์มาร์เก็ตน่ะสิ มาซื้อของจำเป็นนิดหน่อย]
“หือ...กับสามีเหรอ” ฉันแกล้งแหย่ซอลลี่เล่น
[บ้าเหรอไง! คนร่วมห้องเฉยๆ ย่ะ รูมเมทน่ะรูมเมทรู้จักมั้ย ?]
“ย่ะ รูมเมทก็รูมเมทว่าแต่จะมา...” คริสตัลยังพูดไม่ทันจบก็ต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างหูเมื่ออยู่ดีๆ คนปลายสายก็ตะโกนเสียงดังแสบแก้วหู
[นี่ไอ้บ้าจื่อเทา นาย! ทำไมไม่เข็นรถเข็นมาเล่า…เรื่องอะไรฉันต้องเข็นให้เธอ มีปัญญาซื้อแต่ไม่มีปัญญาเข็นเองเหรอไง....ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย]
“...”
[ตัลแค่นี้นะ ฉันคงไปกับแกไม่ได้แล้วว่ะ มีเรื่องต้องจัดการ]
“ไม่เป็นไรๆ ฉันเข้าใจ สามีภรรยาที่เพิ่งอยู่ด้วยกันก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกันเป็นธรรมดา”
[สามีภรรยาบ้านเธอสิ แค่นี้นะ! ตู๊ดๆๆ]
“ฮ่ะๆ” ฉันหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
ฉันคงต้องหาโอกาสไปเยี่ยมยัยซอลสักครั้งแล้วล่ะ...อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นจริงๆ
“หัวเราะอะไรครับ ท่าทางสนุกเชียว”
“!!!”
“หืม..หัวเราะอะไรครับ”
ฉันกระโดดออกมาหนึ่งก้าวเมื่ออยู่ดีๆ ไคก็เข้ามากระซิบข้างๆ ใบหน้า ใกล้ซะจนขนลุก
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“เฮ้...ไม่เอาน่า ผมต่างหากน่าจะเป็นฝ่ายโกรธคุณ ทั้งตบหน้าผม แถมยัง...” เขาเอาหน้าเข้ามาใกล้ก่อนที่จะจ้องกระซิบเข้าที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เห็นน้องชายของผมแล้วด้วย”
อะ ไอ้ ไอ้บ้า!!
“ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้นอย่ามามั่ว”
“หืม...เมื่อวานนั้นคุณยังยอมรับอยู่เลยว่าตัวเองแอบดูผมทำรักกับจินนี่”
“หุบปากเลยนะ” ฉันพูดแล้วเอามือไปปิดปากเขาท่ามกลางสายตานักศึกษาคนอื่นที่มองมาด้วยความสนใจ
ถ้ามีคนได้ยินก็ได้คิดว่าฉันเป็นโรคจิตกันพอดี
“อุนแอ๊ะอั๋งอากอ๋ม” (คุณแต๊ะอั๋งปากผม)
“นายหยุดพูดอะไรแบบนั้นเดี๋ยวนี้ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จะดีกว่าถ้าเราสองคนทำเป็นไม่รู้จักกัน” ฉันขู่เสียงต่ำใส่ไคแล้วจิกตาใส่เขาเพื่อยืนยันคำที่ฉันพูด พอหมดธุระฉันก็ปล่อยมือออกจากปากเน่าๆ ของเขาแล้วรีบเดินหนีตรงไปยังรถของตัวเอง
ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วเรียนเก่งจนเพี้ยนไปแล้ว!
แต่แล้วเหมือนโลกหยุดหมุนเมื่อคนข้างหลังตะโกนมันออกมาเสียงดังท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาที่มองมายังเรา “คุณได้ผมแล้วจะมาทิ้งผมง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้นะ คริสตัล!!”
โอ้ว พระเจ้า...ช่วยเสกรถมาชนฉันซะตอนนี้แล้วทำให้ฉันความจำเสื่อมเหมือนในละครทีเถอะ
ฉันกำมือแน่นหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อคนเจ้าเล่ห์
1...2...3...4...5...6...7...8...9...สะ
“ผมไม่ยอมเสียตัวฟรีๆ แน่”
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบด้านตามที่คนด้านหลังต้องการ
ฉันหันหลังกลับไปเผชิญหน้าคนกวนประสาท ขาเรียวก้าวไปหาเขาช้าๆ แต่หนักแน่นเหมือนกับเป็นการขู่ทางกาย จ้องหน้าไคด้วยแววตานิ่งสงบเมื่อเดินไปใกล้พอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นสูงเตรียมตัวจะตบหน้าเขาเต็มแรง
แต่...คนยิ้มยียวนกวนประสาทก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือก่อนที่มือฉันจะได้กระทบหน้าเขาไว้อย่างรวดเร็ว
“ผมไม่ปล่อยให้คุณตบผมเป็นครั้งที่สองได้หรอก” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์อย่างผู้มีชัยกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนต่างกับเมื่อกี้ที่พูดโกหกซะเสียงดัง
ฉันชักสีหน้าไม่พอใจแต่ไคก็ไม่ยอมปล่อยมือฉันออก
“คุณเห็นผมทำรักแล้วจะมาทิ้งกันแบบนี้ไม่ได้นะ!!” ไคตะโกนเสียงดังฟังชัดทุกคำยกเว้นตอนพูดว่า ‘เห็นผม’ เขาแค่พะงาบปากให้ฉันรู้คนเดียว นายคนนี้ชักจะทำให้ฉันหมดความอดทนแล้วนะ!
ฉันกับไคมองหน้ากันแต่ด้วยคนละอารมณ์ ฉันนี่แทบจะฆ่าเขาทางสายตาได้อยู่แล้ว แต่ไคกับยักคิ้วกวนประสาทไม่ยอมหยุด คนรอบๆ ที่คอยแอบมองในตอนแรกต่างเข้ามามุงใกล้ๆ เหมือนอยากจะเห็นเหตุการณ์ชัดๆ
ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนเลย บ้าชะมัด!
ฉันเหลือบตามองผู้คนรอบๆ ที่เริ่มมีการหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่ออัดคลิปฉันกับเขาและอยู่ดีๆ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว
ดี นายอยากประจานตัวเองนักใช่มั้ย....ได้ ฉันจะทำให้สมใจอยาก!
ในเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยฉันให้เป็นอิสระ ฉันเลยเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้วใช้ส้นเข็มของส้นสูงสี่นิ้วจาก Chanel เหยียบเข้าไปที่รองเท้าหนังมันเงาดูท่าแล้วคงแพงน่าดู ไคที่โดนอย่างนั้นพยายามดึงเท้าตัวเองออกแต่ก็ไม่พ้นเมื่อฉันเหยียบเข้าไปเต็มๆ จนส้นแทบจะทะลุหนังหุ้ม
เชื่อสิ ว่าเขาเจ็บจนอยากจะกรีดร้องเลยล่ะ
“นายน่ะ...แน่มาจากไหน” ฉันเริ่มพูดพลางกรีดสายตามองเขาอย่างดูแคลน ไคที่เหมือนจะร้องแต่ร้องไม่ออกได้แต่มองฉันอย่างแค้นเคืองแทน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือฉัน อีกทั้งยังบีบแน่นกว่าเดิมจนคิดว่ามันต้องเป็นรอยแน่ๆ “...ฉันไม่ได้อยากจะประจานหรอกนะ แต่คนแถวนี้มันรนหาที่เองก็ช่วยไม่ได้”
ฉันไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหยุดอยู่ที่กึ่งกลางร่างกายสมส่วน...ที่มีส่วนนูนๆ ออกมานิดหน่อยแล้วก็ทิ้งแรงไปยังส้นเท้าอีกครั้ง
“อึก!”
“เห็นหน้าหล่อๆ แบบนี้ไม่คิดเลยว่าจะห่วยเรื่องนั้นขนาดนี้ หึ น้องชายนายน่ะ...เล็กพริกขี้หนู ฉันยังไม่เอามาบอกใครเลย” ฉันเน้นคำว่า ‘เล็กพริกขี้หนู’ หวังให้ได้ยินกันถ้วนหน้า
“!!!”
เสียงฮือฮาดังรอบข้างเมื่อฉันพูดแบบนั้นแต่ก็ดีฉันอยากจะให้เขาดังอยู่แล้ว
ฉันแบมือต่อหน้าเขาแล้วเก็บทุกนิ้วอย่างมีจริตเหลือไว้เพียงเรียวนิ้วก้อย
“นิ้วก้อยฉันยังใหญ่กว่าอีก”
“!!!”
“หึ”
“ธะ เธอ...”
ฉันลดมือลงแล้วกระชับกระเป๋าสะพายใบเล็กจากเคท สเปด หนังแก้วสีส้มสดไว้ในมือก่อนที่จะกรีดยิ้มใส่เขาคล้ายกับเห็นเขาเป็นผักเน่าๆ ที่ไม่มีค่าอะไร พูดย้ำทีล่ะคำให้ทุกคนในที่นี้ได้ยินกันอย่างชัดเจน
“ห่วย เสื่อม จิ๋ว ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด!!”
ป๊าบ!
ก่อนที่ไคจะได้ตั้งตัวฉันก็ฟาดกระเป๋าหนังแก้วเข้าที่หน้าเขาอย่างจังแล้วใช้จังหวะนั้นสะบัดมือให้หลุดจากการจับกุม หมุนตัวหันหลังแล้วรีบเดินจากมาโดยไม่สนใจเลยว่าคนข้างหลังจะเป็นยังไง ในที่สุดฉันก็มาถึงรถและขับออกไปได้อย่างปลอดภัย
หึ...รู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว คิมไค
Sulli’s part
“นายจะไปไหน!” ฉันตะโกนเรียกคนตัวสูงที่เดินหนีไปทันทีที่วางสายจากคริสตัล
“...”
“นี่ มาเข็นรถเดี๋ยวนี้!!!”
“ฉันกลับล่ะ” เขาหันหลังมาพูด แล้วเดินล้วงกระเป๋าจากไปโดยที่ทิ้งฉันไว้กับรถเข็นซึ่งเต็มไปด้วยของใช้ครัวเรือน
“จื่อเทา!!!” ฉันแผดเสียงเหมือนคนประสาทกิน และได้ผล ร่างสูงที่เดินจากไปไกลกว่าสิบเมตรหยุดชะงักลง เทาหันมาด้านหลังช้าๆ ด้วยสีหน้าขวางโลกสุดๆ
“ฉันชื่อหวัง-จื่อ-เถา ไม่ใช่จื่อเทา ถ้ามันเรียกยากนักก็เรียกเทาซะ ยัยลิ้นสั้น!”
ละ ลิ้นสั้น!
“และของนั่นก็ของเธอทั้งหมด เข็นเอง จ่ายเองและกลับเองด้วย ฉันไปล่ะ” จื่อเทา (ยังคงเรียกชื่อนี้ต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว) มองฉันโดยที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า หน้านิ่งๆ ทำเอาฉันเดาอารมณ์เขาไม่ถูกเลยจริงๆ
ไม่นานร่างสูงที่เพิ่งบอกว่าจะไปก็ไปจริงๆ เขาทิ้งฉันไว้กับของใช้ในบ้านกองเท่าภูเขา ไม่น่าหาเรื่องพาตัวเองออกมาซื้อของกับเขาเลย เหอะ
หลังจากวันที่ฉันย้ายเข้าไปอยู่ห้องเขา ฉันก็รีบติดต่อคุณพ่อทันทีแต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่มีเสียงตอบรับจากท่าน แม้แต่ที่บริษัทพ่อก็ยังไม่เข้าปล่อยให้ลูกน้องจัดการงานกันเองแต่อย่างน้อยคืนนั้นฉันก็ได้รับข้อความจากเลขาคุณพ่อว่า…
‘คุณท่านไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกับคุณหวังลี่หง พ่อของคุณจื่อเถาที่ยุโรปน่ะครับ เดือนหน้าคุณท่านถึงจะกลับ คุณท่านฝากบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านจะรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี แล้วยังฝากบอกด้วยว่าให้เชื่อฟังพี่เทาสามีในอนาคตคุณซอลด้วยครับ’
ตอนฉันอ่านฉันกรี๊ดลั่นห้องนายนั่นเลย ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อจะทิ้งลูกสาวสุดแสนน่ารักและบอบบาง (?) ไว้กับผู้ชายหน้าเถื่อนคนนี้ได้ลงคอ ไปเที่ยวยังไม่พอยังยึดทั้งรถทั้งที่ซุกหัวนอนเธอไปอีก เงินที่ให้เป็นประจำยังตัดลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง พอเธอส่งข้อความไปทวงก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า...
‘อยู่กับพี่เทา พี่เทาเขาออกให้หนูอยู่แล้ว งงเงินไม่จำเป็นหรอก’
ฉันล่ะอยากจะบอกพ่อเหลือเกินว่าพ่อคิดผิด ดูสิ ขนาดของใช้ในครัวเรือนเขายังไม่ยอมออกให้ฉันเลย ไอ้คนขี้งกเอ้ย!
ฉันเกลียดผู้ชายงกเงินเป็นที่สุด
อีกอย่างที่เรามาซื้อของด้วยกันเพราะตอนแรกเขารบเร้าให้ฉันมาซื้อหรอก ฉันถึงยอมนั่งรถมาคันเดียวกับเขา ไม่อย่างนั้นล่ะก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าใกล้ฉันเกินห้าเมตร
แล้วดูตอนนี้สิ เขาทิ้งผู้หญิงสวยๆ อย่างฉันให้เข็นรถเข็นไปจ่ายเงินด้วยตัวเอง เหอะๆ อย่าหวังว่าฉันจะง้อเขา ในเมื่ออยากทิ้งฉันก็เชิญ อย่าให้เห็นว่ากลับมานะ แม่จะโดดถีบหน้าให้
คิดว่าแคร์รึไง ขนาดรถฉันยังขับเป็น กะอีแค่รถเข็นทำไมฉันต้องง้อนาย
หนักชิบ!
ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อหารถ Porsche 911 Carrera 4S สีบลอนด์เงาที่ตอนแรกจอดไว้ใกล้กับประตูซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่ตอนนี้กลับเหลือแต่ช่องว่างๆ ไม่มีวี่แววรถและเจ้าของรถสักนิด
เขาทิ้งฉันจริงๆ ด้วย!
“คุณผู้หญิงจะขึ้นแท็กซี่มั้ยครับ” เจ้าหน้าที่ของที่นี่เข้ามาทัก ฉันเลยพยักหน้ารับแล้วปล่อยให้เขาช่วยถือของขึ้นไปบนรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดพอดี
จื่อเทา...ฉันไม่ง้อนายหรอก!
“เฮ้ยๆ แบกอะไรมาเยอะเชียว” คริสตัลเปิดประตูพร้อมกับรีบเข้ามาช่วยฉันถือถุงพลาสติกพวกนี้
“ของใช้จำเป็นน่ะ” ฉันเข้ามาวางของไว้บนพื้นห้องคริสตัลแล้วยืนบิดเอว เล็กๆ น้อยๆ ถือของมาห้าหกถุงคนเดียวหลังแทบเคล็ด
“เกิดอะไรขึ้น ตอนคุยโทรศัพท์ยังเห็นว่าอยู่กับสามีแกอยู่เลยหนิ ทะเลาะกันหรือไง”
“กรี๊ด ไม่ใช่สามีย่ะ เพื่อนร่วมห้องเฉยๆ”
“เออๆ เพื่อนร่วมห้องก็เพื่อนร่วมห้องแล้วนี่แกแบกอะไรมาเยอะแยะวะ ทำอย่างกับจะย้ายมาห้องฉันถาวรซะงั้นแหละ”
“ไม่เชิง...แต่ฉันไม่มีวันกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเด็ดขาด” ฉันทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ คริสตัลแล้วกอดอกอย่างเจ็บใจ
“หือ ?”
“เข้าทิ้งฉัน”
“ห๊ะ ? O_O”
“เขาทิ้งฉันไว้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตกับของพวกนี้แล้วก็ชิ่งกลับไปก่อน”
“!!!”
“แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยถูกใครทิ้ง! เขาเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนถึงกล้ามาทิ้งฉัน!”
คริสตัลมองฉันตาปริบๆ
“ต่อไปนี้ฉันจะย้ายมาอยู่ห้องแก พ่อไม่มีทางรู้หรอกถ้าแกไม่บอก”
“เฮ้ย...เขาทิ้งแกไว้จริงดิ”
“ก็ใช่น่ะสิ บ้าชะมัดเลย รู้สึกเหมือนโดนเหยียบหน้ายังไงไม่รู้ ฉันไม่มีวันกลับไปห้องเขาแล้วแน่ๆ ผู้ชายอะไรขี้งก ใจดำ หน้าดุ โหด อารมณ์ร้อน เลว ชั่ว เถื่อน”
“ด่าเขายังกับอยู่กับเขามาเป็นปี อยู่มาแค่สองคืนนี่รู้จักกันขนาดนี้แล้วหรือไง” คริสตัลมองฉันแล้วขำเบาๆ แต่เธอก็ยิ้มแล้วเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าไม่สบายใจก็อยู่ที่นี่ก่อนก็ได้แต่อย่าเพิ่งประเมินเขาแบบนั้น ฉันเชื่อว่าคุณลุงต้องมองคนไม่ผิด เขาต้องมีด้านดีๆ อยู่บ้างแหละ”
“...”
“หน้าเธอหงุดหงิดสุดๆ เลย ไปอาบน้ำก่อนไป ใส่ชุดฉันก่อนก็ได้” คริสตัลยิ้มให้ฉันแล้วผลักไหล่ฉันเบาๆ คล้ายกับจะไล่ให้ไปอาบน้ำ
รอยยิ้มแบบเปี่ยมไปด้วยความสุขและจริงใจของเพื่อนฉันคนนี้ ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก...คริสตัลเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในหมู่พวกเรา ทุกคนต่างรู้ดี...มีไม่กี่คนหรอกที่ได้รอยยิ้มจริงใจจากคริสตัลไป หากให้นับแล้วล่ะก็ใช้แต่นิ้วมือยังเหลือเลย
“ขอบคุณนะ ^^” ฉันยิ้มแล้วยอมลืมความหงุดหงิดทุกอย่าง ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย
ในห้าคน...ถ้าหากถามว่าอยากให้ใครได้แต่งงานก่อนล่ะก็ ฉันขอตอบว่า...คริสตัล
Krystal’s part
หลังจากส่งเพื่อนเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ฉันก็ลุกขึ้นไปสำรวจของที่ซอลลี่ซื้อมา พอเห็นแต่ล่ะอย่างก็ต้องส่ายหน้าเบาๆ ทั้งที่ปากบอกว่าไม่ชอบๆ ไม่มีทางอยู่ห้องเขาแน่ แต่ดูแต่ล่ะอย่างที่เธอซื้อผ้านวมเอย...หมอนคู่เอย...ช้อนส้อมคู่...จานชามคู่และอีกมากมายที่บ่งบอกว่าผู้ซื้อซื้อมาสำหรับคนสองคน
กริ๊งงงงงง~ กริ๊งงงงง~
“จะชวนไปเที่ยวไหนยะ” ฉันกรอกเสียงอย่างเป็นกันเองลงไปทันทีที่เห็นว่าใครโทรเข้ามา
[แกเห็นฉันเป็นคนยังไงห๊ะ ฉันเด็กเรียนนะ]
“อ้อเหรอ...ฮ่าๆ มีอะไรหรือเปล่า ?”
[มีเรื่องใหญ่มาก ตัลแกไปทำอะไรมาวันนี้]
ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดของซูจี...วันนี้ฉันก็ไปเจอพวกรุ่นพี่ที่กำกับการแสดง เจอนักแสดงคนอื่นๆ แล้วก็...เจอตาบ้าคิมไคน่ะสิ
“ไปที่เอกการแสดง ทำไม ?”
[แน่ใจว่าแค่ที่เอกเฉยๆ]
“มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”
[ก็วันนี้มีรูปแกกับคิมไคผู้ชายจากคณะฉันว่อนเน็ตเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมานี่เอง ทำไมถึงได้ไปยืนเรียกร้องกับแกได้ห๊ะ!]
“!!!”
[แล้วคลิปนั่นที่บอกว่าแกมีอะไรกับเขาแล้วมันจริงเหรอ ยัยตัลแกพลาดท่าให้ผู้ชายคนนี้ไปแล้วเหรอ]
“!!!”
[รีบๆ อธิบายมาซิย่ะ เงียบอยู่ทำไม ฉันกับยัยนาอึนแทบจะวนรถกลับไปหาแกที่ห้องอยู่แล้วนะ]
“ทำไมมันถึงมีอยู่ในเน็ตได้ล่ะ”
[โอ๊ย จะยากอะไรก็แค่หยิบมือถือขึ้นมาอัดคลิปแล้วก็แชร์ลงเน็ตน่ะสิ] ซูจีตอบเสียงยานเหมือนกับเพลียกับฉันเต็มที
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึง คนเอาไปลงเน็ตทำไม ฉันกับเขาไม่ได้เป็นไอดอลซักหน่อย”
[โอ๊ยยยย~ ยัยตัลฉันว่าแล้วว่าแกไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ วันๆ เอาแต่ทำงานโปรเจคแล้วก็เที่ยว ไม่เคยสนใจคนรอบข้างเลยนะแก ฉันจะบอกให้เอาบุญนะจ๊ะว่าผู้ชายที่แกไปยืนด่าฉอดๆ เนี่ยคือหนุ่มหล่ออันดับสองของมหา’ลัยนะจ๊ะ]
“เป็นเดือนคณะเหรอ ?”
[ไม่ใช่ แต่เป็นยิ่งกว่าเดือนคณะและเดือนมหา’ลัย เป็นคนหล่อที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับสอง]
“ทรงอิทธิพล...”
[เอาง่ายๆ ว่าคิมไคเป็นผู้ชายที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับสองในบรรดาหนุ่มมหา’ลัยทั่วประเทศ แล้วไอ้คำว่ามีอิทธิพลเนี่ยก็หมายถึงเขาเป็นผู้ชายที่ได้รับเลือกจากนักศึกษาหญิงทั่วประเทศว่ามีแรงดึงดูดทางเพศสูงมากเป็นอันดับสอง ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เขาต้องละลายและสยบแทบเท้าทุกราย ฉันเคยได้ยินเพื่อนในคณะพูดด้วยนะว่า...หากคิมไคต้องการผู้หญิงคนไหนแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เธอคนนั้นจะรอด]
“แล้วไง ?” ฉันยังลองถามไปด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทั้งที่จริงฉันแอบหวั่นใจเล็กน้อยเพราะเขาเคยพูดว่าต้องการฉัน!
[แล้วไงอะไรเล่า ฉันต่างหากที่ต้องถามแกว่าแกจุดจุดจุดกับเขาแล้วเหรอ ?]
“เฮ้ย บ้า ไม่มีทาง”
[ไอ้คลิปที่เขาบอกว่าแกทิ้งเขาหลังจากได้เขามันยังไง แล้วยังไอ้ที่แกบอกว่าน้องชายเขาเล็กพริกขี้หนู มันหมายความว่ายังไง!]
“...”
ฉันเหยียดยิ้มมุมปากอย่างสะใจที่ทุกอย่างเป็นไปดังต้องการ แม้จะรู้สึกอับอายที่คนอื่นคิดว่าเรามีอะไรกันแล้วแต่ก็ถือว่าคุ้มกับการที่ทำให้เพลย์บอยอย่างเขาถูกครหาได้ หึๆ
สมน้ำหน้า :P
“เอาเป็นว่าฉันไม่เคยมีอะไรกับเขา เราแค่รู้จักกันเฉยๆ เพราะเป็นเพื่อนร่วมงานละครเวทีที่เคยเล่าให้พวกแกฟังนั้นแหละ แต่เรามีปากเสียงกันนิดๆ หน่อยๆ เขาเลยแก้เผ็ดฉันด้วยการพูดอะไรแบบนั้น...”
[แล้วแกก็ไม่ยอมเลยตอบกลับไปแบบในคลิป] ซูจีต่อประโยคให้จบ
“ก็อย่างที่แกเห็น” ฉันยักไหล่เบาๆ
[ได้ยินแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันนึกกว่าแกพลาดท่าเขาแล้วซะอีก เป็นห่วงแทบแย่]
“บ้าเหรอ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น” ...ถึงแม้ฉันจะชอบหยอดไปทั่วก็เถอะ
[แต่เวลาแกเมา...]
“หยุด ฉันไม่ได้เมาและไม่ได้ดื่มตั้งแต่ไอ้โรคจิตบุกมาหาถึงมหา’ลัย อีกอย่าง...อ่ะ! ฉันลืมบอกแกไปอย่าง...คนที่เข้ามาช่วยฉันตอนนั้นคือไค”
[!!!]
“เรารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นแหละ ฉันมีเรื่องจะถามแกอย่าง...แกไม่ชอบเหรอผู้ชายแบบนั้น ฉันว่าเขาคงรวยพอควรและหน้าตาก็ใช้ได้ (ไม่อยากพูดคำว่า ‘หล่อ’) สเปคคุณซูจีไม่ใช่เหรอค้า~” ลากเสียงยาวอย่างล้อเลียนในท้ายประโยคแต่ก็เจอซูจีสวนกลับมา
[ไม่ย่ะ ถึงจะหล่อและรวยแค่ไหนแต่ผู้หญิงไม่ขาดมือแบบนั้น ฉันไม่เอาด้วยหรอก บางวันนะแกฉันเห็นรถผู้หญิงขับมาส่งถึงหน้าคณะเลยนะแล้วตอนเย็นก็มีอีกคนมารับ]
โห~ เว่อร์มาก...แต่ขนาดคนบ้าผู้ชายอย่างยัยซูจียังไม่เอา ฉันว่าก็คงไม่ไหวจริงๆ แหละผู้ชายคนนั้น
[ฉันเตือนแกนะตัล...ห้ามยุ่งกับผู้ชายคนนี้เด็ดขาดไม่ว่ายังไงก็ตาม เขามีผู้หญิงรายล้อมมากมาย ถ้าเกิดวันหนึ่งแกพลาดขึ้นมา ฉันไม่อยากเห็นแกเสียใจ]
“...”
[บางคนที่ทำดีกับเราอาจไม่ได้หวังดีร้อยเปอร์เซ็นต์...อย่าหลวมตัวเด็ดขาด]
“อื้อ ฉันไม่หลวมตัวหรอกน่า~ แกก็รูว่าฉันใจแข็งแค่ไหน ไปล่ะๆ ฉันทำกับข้าวอยู่”
[อือๆ ไว้เจอกัน]
“จ่ะ”
ฉันวางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาเหมือนคนหมดแรง...คำพูดของซูจียังคงลอยอยู่ในหัว
ไม่ต้องห่วงหรอกซูจีเพราะฉันเองก็ไม่มีทางยุ่งกับเขาเหมือนกัน
Kai’s part
“ฮะๆๆ ฮ่าๆๆ โอ้ยกูฮาว่ะ” แอลหัวเราะก๊ากอย่างไม่เกรงใจ
ไม่ใช่แค่มันคนเดียวที่มีอาการเป็นอย่างนี้...หลังจากทุกคนเห็นคลิปที่กำลังว่อนเน็ตนั่นก็ต่างหัวเราะเยาะผมราวกับไม่ใช่เพื่อนกัน
“เลิกขำได้แล้ว มันตลกตรงไหนวะ” ผมถามเสียงซีเรียส
“ขำตรงเล็กพริกขี้หนู” แอล
“กูขำเล็กกกว่านิ้วก้อยว่ะ เปรียบเทียบได้เห็นภาพมาก” เซฮุน
“กูฮาสุดตอนที่มันโดนตบด้วยกระเป๋าเฉียดล้านวอนนั่นว่ะ” ลู่หาน
“...” เทาเงียบไม่พูดและไม่ขำเหมือนคนอื่น จริงๆ แล้วหน้าเทามันดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่คนเดียวมากกว่า
ผมส่ายหัวให้กับความไร้สาระของเพื่อนแล้วเดินออกมารับลมที่ริมระเบียงบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ๆ เป็นบ้านแสนอบอุ่นของผม แม้ว่าพ่อกับแม่จะอยู่บ้านอีกหลังแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดความอบอุ่นอะไรเพราะตัวเองเลือกที่จะมาอยู่ตัวคนเดียวใกล้ๆ มหา’ลัย
คิดถึงเรื่องวันนี้แล้วก็ตลกดี....เล็กกว่าพริกขี้หนู...เล็กกว่านิ้วก้อย เหอะๆ เจอของจริงแล้วจะสะอึก
คริสตัลทำให้ผมปวดหัวมากทีเดียวกับการที่เธอพูดอย่างนั้น ถ้าเราอยู่กันสองคนผมคงไม่อะไรหรอกแต่นี้เกาหลีมุงกันเต็ม แน่นอนว่าทุกเรื่องที่ผมทำย่อมต้องได้รับความสนใจจากคนรอบข้างผมไม่ใช่คนดังแบบพวกนักร้อง นักแสดง แค่เป็นที่นิยมมาก (มาก) เท่านั้นเอง ตอนนี้ในโลกออนไลน์เลยมีคนวิจารณ์ไอ้ตัวน้อยของผมกันอย่างเมามัน แน่นอนว่าผมต้องให้บทเรียนกลับอย่างสาสมที่กล้ามาว่าน้องชายสุดที่รักของผม
เธอรู้จักผมน้อยไป...ไม่สิ บางทีเธออาจจะไม่รู้จักเลยมากกว่า
“คิดอะไรอยู่” เสียงราบเรียบของเพื่อนหน้าโหดเรียกสติผมให้กลับคืนมา
เทาเดินมาหยุดยืนข้างๆ แล้วยื่นบุหรี่มาให้หนึ่งมวนพร้อมไฟแชคอย่างรู้ใจ ผมรับมันมาแล้วจุดก่อนที่จะสูบเพื่อระบายความเครียดในใจ
“เครียดทำไม...จัดการเหมือนก่อนก็จบ” เทาพูดเสียงเรียบโดยที่สายตายังคงมองวิวข้างหน้า
“...”
ผมพ่นควันออกช้าๆ ขณะใช้ความคิด
“เธอมีแฟนแล้ว” ขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจที่ต้องพูดคำๆ นี้ออกมา ไม่รู้ทำไม
“ปกติไม่เห็นสน”
“ก็งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องหนักใจ” ปกติถ้าผมรู้สึกสนใจใครผมไม่เคยมองว่าเธอจะมีแฟนหรือไม่...แค่อยากได้ก็ต้องได้ อีกอย่างพวกเธอก็เต็มใจวิ่งมาหาผมเอง ผมไม่เคยบังคับใคร
“...”
“เล็กกว่านิ้วก้อยงั้นเหรอ...” มือหนายกขึ้นสัมผัสปุ่มนูนๆ ตรงหน้าผากเยื้องไปทางซ้ายที่บวมออกมาแทบเป็นลูกมะนาว
ต้องเป็นเพราะตรายี่ห้อนูนๆ ของกระเป๋าแน่ๆ ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้
“ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะ...” เทาถามเสียงเรียบ
“จอง คริสตัล”
ผมหันไปมองเพื่อนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนเทาจะกดโทรหาใครบางคน
“แกรี่ สืบประวัติใครบางคนให้ฉันหน่อย เป็นคนเกาหลีชื่อจอง คริสตัล...นอกนั้นไม่รู้ ลองดูรายละเอียดในอินเตอร์เน็ตแล้วกัน ตอนนี้กำลังดังเลย...ไม่เกี่ยวกับฉันแต่เกี่ยวกับไค...ขอบคุณมาก”
ผมพ่นควันออกแล้วยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นว่ามาเฟียหนุ่มแห่งฮ่องกงกำลังทำอะไร...เพื่อนผมคนนี้รู้ใจผมที่สุด
Sulli’s part
เช้าวันรุ่งขึ้น~
คัตเตอร์พร้อม!
ปากกาพร้อม!
รถพร้อม!
สุดท้าย...คนพร้อม!
ลุย!!!!!!!!
ฉันจัดการละเลงรถ Porsche 911 Carrera 4S สีบลอนด์เงา ที่จอดไว้ในช่องประจำและเป็นส่วนตัวขั้นสุดยอด ถ้าหากฉันไม่มีคีย์การ์ดก็คงเข้ามาถึงชั้นจอดรถเฉพาะไม่ได้หรอก ต้องขอบคุณเจ้าของรถที่เป็นคนยื่นมันให้ฉันเองกับมือ แล้วทีนี้เขาจะได้รู้ว่าการมารังแกฉันจะมีผลตามมายังไง
“เสร็จแน่ เจ้าหนู”
แม้ว่าคัตเตอร์เล็กๆ นี่จะกรีดยางล้อรถชั้นดีอย่างเจ้ารถยุโรปคันนี้ไม่ได้ แต่ฉันก็ใช้มันขูดตัวรถจนเป็นลอยถลอกไปทั้งคันแทนได้แล้วกัน
ฉันรู้ว่าหลังจากนี้เขาจะตามหาตัวฉันเพื่อมาลงโทษ ที่นี่มีกล้องวงจรปิด แน่นอนว่าถ้าเขาต้องการตัวคนร้าย เขาย่อมไปดูแน่นอน แต่ฉันจะช่วยลดความยุ่งยากพวกนั้นโดยการระบุตัวคนทำลงยังรถเขาแทนหึๆ
ฉันหยิบปากกาเคมีสีทอง โดยยี่ห้อนี้ฉันพิสูจน์มาแล้วว่าน้ำเปล่าธรรมดาไม่สามารถทำอะไรมันได้ เขย่าเบาๆ พร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างสะใจแล้วปีนไปยังกระโปรงรถคันสวยช้าๆ
ผู้ชายรักรถราวกับลูกในไส้ เขาต้องโมโหแน่ หึๆ
ฉันใช้ปากเปิดปากกาแล้วกัดมันไว้ก่อนจะเริ่มเขียนตัวบรรจงตัวเต็มกระจกหน้ารถว่า ‘จื่อเทา:P’
อีกไม่นาน...เขาจะต้องคลั่ง คลั่งจนอยากจะฆ่าฉันเลยล่ะ หึ
ช่วยไม่ได้อ่ะนะ ในเมื่อฉันไม่มีรถเขาก็ต้องไม่มีรถใช้เช่นเดียวกัน
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ซอลลี่คิดไว้จริงๆ เมื่อหลังจากนั้นสองชั่วโมงเจ้าของรถเดินเข้ามายังลานจดรถและเห็นรถตัวเองอยู่ในสภาพ…ดูไม่ได้
O_O
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เทาก็ต้องตกใจที่เห็นตัวอักษรหวัดๆ หน้ากระจกรถ... ‘จื่อเทา :P’
ไม่ต้องคิดเกินเสี้ยววินาทีด้วยซ้ำเขาก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ!
ชเวซอลลี่…กล้ามากที่มาทำให้รถหลายร้อยล้านวอนของเขาต้องมามีสภาพคล้ายเศษขยะแบบนี้
มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเลขาคนสนิท ขบฟันเข้าหากันแน่นด้วยความโมโห ดวงตาหรี่ลงราวกับต้องการควบคุมอารมณ์ยามสั่งงาน
“เมื่อวานนี้นายบอกซอลลี่ไปนอนที่ห้องจองคริสตัลใช่มั้ย ?”
[ครับ]
เขารู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าผู้หญิงที่มาทำให้เพื่อนเขาของขึ้นกับเพื่อนของว่าที่เจ้าสาวเป็นคนๆ เดียวกันแต่ยังไม่ได้โทรบอกไคเพราะอยากจะเซอร์ไพรส์มันกับปากตัวเอง
“ส่งที่อยู่คุณจองมา...ไม่สิ เอาที่อยู่เพื่อนอีกสามคนมาให้ฉันด่วนที่สุด”
เทามองรถด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนไม่คิดอะไร แต่จริงๆ แล้วภายใต้หน้ากากแผ่นนั้น...กำลังคุกกรุ่นไปด้วยเพลิงโทสะ
ไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนกันได้...พวกผู้หญิงรู้จักผู้ชายอย่างเราน้อยไปซะแล้ว
ขอบคุณทุกความเห็นและนักอ่านทุกท่านค่ะ
ความคิดเห็น