คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [[ It's over ]]: C T 2
“คุณครับ” เสียงแหบต่ำของผู้ชายดังขึ้นขณะที่กำลังก้าวออกจาก ห้องน้ำหญิง เมื่อหันไปมองก็เห็นว่ามีหนุ่มหน้าตาดียืนพิงกำแพงคล้ายกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่ ฉันหันไปมองเขาแล้วชี้นิ้วชี้เข้าหาตัวเองประมาณว่า เขาหมายถึงฉันหรือเปล่า...ผู้ชายหน้าตาดีคนนั้นพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้
พอได้เห็นในระยะประชิดฉันถึงเห็นว่าเขาเป็นคนที่หล่อคมมาก ออกแนวผู้ชายร้ายๆ เพราะสายตาจิกลงรับกับจมูกโด่งเป็นสัน ผมสีดำแซมม่วงเข้มทำให้ใบหน้าเขาดูหล่อคมคายมากขึ้นไปอีก
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
“ผมเห็นคุณปฏิเสธผู้ชายหน้าบาร์เมื่อกี้”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับเบาๆ อย่างงงๆ
“หมายถึงคืนนี้คุณก็ว่าง”
“...”
“อย่ามองผมอย่างนั้นสิครับ ผมแค่อยากชวนคุณเต้นสักเพลง” คนแปลกหน้าที่หล่อเหลาส่งยิ้มมุมปากมาให้
“...”
“ให้เกียรติผมสักเพลง...”
“ขอโทษนะคะ ฉันจะกลับแล้ว” ฉันโกหกด้วยใบหน้าเรียบๆ
“โกหกน่า...ผมเห็นเพื่อนคุณยังนั่งอยู่ข้างบนอยู่เลย”
“...”
“ผมอยากรู้จักคุณ...คนสวย” สายตาคมมองฉันด้วยแววตาแพรวพราว และมันทำให้เขาดูดีผสมกับดูน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน
ฉันมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนไม่ได้คิดอะไรแต่จริงๆ แล้วฉันแอบดีใจนะที่มีคนหล่อระดับนี้มาชวน เอาเถอะ อีกสักคนจะเป็นอะไรไป คิดได้อย่างนั้น ฉันก็ยิ้มบางๆ ที่ริมฝีปากแล้วเอ่ยกลับไป
“ฉันไม่เต้นกับคนไม่รู้จัก”
“...ผม หวัง จื่อ เถา เรียกผมว่าเทาก็ได้”
“คุณไม่ใช่คนเกาหลีเหรอคะ ?”
“แม่ผมเป็นคนเกาหลี”
“อ้อ”
“ว่าแต่คุณชื่อ...”
“ชเวซอลลี่ค่ะ”
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ...คุณชเว”
ฉันยิ้มรับแล้ววางมือลงเบาๆ บนมือของเขาที่ยื่นมาด้านหน้า เทายิ้มรับแล้วพาฉันกลับไปยังฟลอร์ชั้นหนึ่งที่ยังคงเต็มไปด้วยผีเสื้อราตรีแข่งกันวาดลวดลาย
ถือว่าเต้นแก้เซ็งที่โดนลีมินโฮพูดจาสามหาวใส่แล้วกัน
ผู้ชายคนนั้นขอให้ฉันนอนกับเขาอย่างไม่มียางอาย ฉันเลยรีบชิ่งออกมาก่อนที่ตัวเองจะโดนมอมเหล้า หวังว่าผู้ชายหน้าคมคนนี้จะพอทำให้ฉันลืมคำพูดเสื่อมๆ พวกนั้นไปได้บ้างนะ
เมื่อเราสองคนมาถึงกลางฟลอร์เพลงที่มีจังหวะเร็วก็เปลี่ยนเป็นช้า
“ขออนุญาตนะครับ” ฉันทำหน้างงในตอนแรกแต่ก็เข้าใจว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรในนาทีต่อมา มือหนาเข้ามาโอบเอวบางเบาๆ แต่ฉันถึงกับขนลุกที่โดนจับเนื้อต้องตัวโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า
ยังไงดีล่ะ...สัมผัสเขาไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนผู้ชายก่อนๆ แต่ฉันก็รู้สึกใจไม่ดีที่ปล่อยให้คนหน้าร้ายกาจอย่างเขามาจับเนื้อต้องตัวเหมือนกัน ยิ่งไม่ชอบใจที่เห็นเทายิ้มอย่างนั้น ยิ้มเหมือนกับว่ามีอะไรแอบแฝง...
เอาเถอะ...ฉันคงคิดมากไปเอง
“คุณ ท่าทางจะผ่านผู้หญิงมามาก” ฉันวางมือเข้าที่บ่าแกร่งทั้งสองข้างแล้วช้อนสายตาถามเขากลับ
“นิดหน่อยน่ะครับ”
“ฉันว่าไม่นิดหรอกมั้งคะ...ดูมือคุณสิ” ฉันพูดเพื่อให้เขาไล่สายตาไปตามมือที่กำลังลูบไล้เอวบางของฉันไปมา
น่าแปลก...ที่ฉันไม่ได้รังเกียจและปล่อยให้เขาจับอยู่แบบนั้นโดยไม่เอ่ยห้าม
“คุณสวย...หุ่นดีมากด้วย”
ฉันขมวดคิ้วมองเขาด้วยสายตาตักเตือน เมื่อชายหนุ่มคนนี้บีบเบาๆ เข้าที่เนื้อตรงเอว แต่เหมือนเทาจะไม่สนใจสีหน้าไม่พอใจ เขายังคงยิ้มด้วยสายตาแพรวพราวเต็มไปด้วยเสน่ห์
“ผมไม่เคยเจอใครสวยเหมือนคุณเลย”
นอกจากจะมือไวแล้วปากยังหวานอีกด้วย
“ขอบคุณค่ะ คุณก็หล่อเหมือนกัน...” ฉันยิ้มอย่างมีจริตแล้วทำเป็นก้มหน้าก้มตาราวกับเขินเสียเต็มประดา
คำพูดเหล่านั้นฉันได้ยินมาจนเบื่อแล้วล่ะ...พ่อหนุ่มหล่อ
“ผมรู้...ไม่มีสาวคนไหนปฏิเสธผมได้หรอก”
“เหรอคะ...” ฉันถามเสียงสูงดูเสแสร้ง เทาที่เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะเบาๆ
“คุณไม่เชื่อผมเหรอ...คนสวย”
“เปล่าค่ะ...ฉันแค่คิดว่าเราสองคนเหมือนกันเลยเพราะฉันเองก็ไม่เคยถูกหนุ่มคนไหนปฏิเสธ”
“พูดอย่างนี้แสดงว่าคุณเที่ยวหักอกผู้ชายสินะ”
“แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ”
“อย่างนี้สิค่อยเหมาะกันหน่อย” เทาพูดเบาๆ จนฉันไม่ได้ยินเลยต้องถามเขาอีกรอบ
“อะไรนะคะ”
“ผมบอกว่า...คุณสวยเหมาะกับผมจริงๆ”
“...”
ฉันไปต่อไม่ถูกเมื่อคนปากหวานเข้ามาประทับริมฝีปากเบาๆ กลางหน้าผาก
“ผมจองคุณแล้วนะครับ” เสียงต่ำกระซิบเข้าข้างหูเบาๆ ให้เสียวเล่น ฉันย่นคอออกแล้วมองหน้าเทาที่ยังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ด้วยหัวใจที่เต้นรัว
โอ๊ย ในนี้ทำไมมันร้อนอย่างนี้
สามสาวที่อยู่บนชั้นสองยืนพิงราวเล็กๆ ซึ่งกั้นไว้ให้สามารถมองลงไปยังชั้นล่างที่เป็นฟลอร์ได้ สายตาทุกคู่มองไปยังเพื่อนตัวดีที่ตอนนี้กำลังเต้นเบาๆ ไปกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“คนที่สาม ฉันเดาถูก” ซอฮยอน
“เขาเหมือนไม่ใช่คนเกาหลีเลย” ซูจี
“ฉันรู้จักเขา...ฉันเคยเห็นเขาตามหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจบ่อยๆ” นาอึน
“หือ ??” สองสาวหันมามองคนพูด
“หมายความว่ายังไง ธุรกิจอะไร ? เขาเป็นใครมาจากไหน ?” ซูจีถามอย่างตื่นเต้น
“เขาเป็นมาเฟียที่คุมธุรกิจบนดิน เป็นคนฮ่องกงแต่ดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งด้วยมั้ง ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ขอบอกเลยว่าโปรไฟล์เด็ดมาก” คำบอกเล่าจากปากนาอึนทำเอาเพื่อนทั้งสองคนอ้าปากค้าง
มาเฟียฮ่องกง...ยัยซอลลี่เจอของหนักเข้าแล้วไง
“ฉันเคยอ่านเจอว่าเขามาเรียนที่เกาหลีตอนไฮสคูลแต่ก็ย้ายไปเรียนต่อเมืองนอก”
“กรี๊ด~ ฉันอยากได้” ซูจีออกอาการอยากได้มากที่สุดจนเพื่อนๆ ต้องส่ายหน้ากับความบ้าผู้ชายหล่อและรวยของเธอ
“เสียใจด้วยนะยะ ยัยซอลเอาไปแล้ว ฮ่าๆ” ซอฮยอนพูดแล้วปรายตามองคู่ที่ดูดีที่สุด ณ เวลานี้
จะเป็นยังไงน้า ถ้าหนุ่มหล่อคนนี้กลายมาเป็นว่าที่สามีของซอลลี่จริงๆ
อีกด้านหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากสามสาว ผู้ชายสองคนก็กำลังยืนมองเพื่อนรักกับสาวสวยผมยาวด้วยแววตาคึกคะนอง แอลเพิ่งบอกเซฮุนเมื่อกี้นี่เองว่าผู้หญิงคนนั้นคือว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนเขา
“สวยดีนี่หว่า” เซฮุน
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แล้วเพื่อนเรามันไปแกล้งเขาเล่นอย่างนี้ ฝ่ายหญิงรู้ความจริงขึ้นมาไม่โกรธตายเหรอวะ”
“ไม่รู้ว่ะแต่คืนนี้คงได้รู้กันเพราะยังไงว่าที่เจ้าสาวมันก็ต้องย้ายไปนอนห้องเดียวกับไอ้จื่อเถาอยู่แล้ว หึ”
“แล้วไอ้เทาจะไปนอนไหนวะ ห้องมันมีเตียงเดียวนะ”
“ก็ไม่เห็นจะยาก...นอนเตียงเดียวกันก็จบ”
เซฮุนมองแอลที่ขำกับเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างปลงๆ ที่แอลพูดมันก็ถูก ลูกมาเฟียถือศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่คงไม่ยอมไปนอนพื้นหรือโซฟาเป็นแน่
“แล้วไอ้ไคไปไหนวะ ฉันไม่เห็นหัวมันเลย” แอลหันมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววเพื่อนจอมเจ้าชู้แม้แต่น้อย
“ตามสเต็ป” เซฮุนยักไหล่อย่างรู้กัน
เพื่อนเขาสองคนนี้นี่มันจริงๆ เลย เรื่องผู้หญิงนี่ขาดมือไม่ได้ ขาดแล้วคงรู้สึกเหมือนจะตายละมั้ง
Tao’s part
1 ชั่วโมงผ่านไป
“คุณกลับยังไงครับให้ผมไปส่งมั้ย?” ผมถามร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มของเธอตั้งท่าจะกลับกันหมดแล้ว อีกอย่างก็ถามไปยังงั้นแหละ ยังไงซะที่ที่เธอต้องกลับก็คือคอนโดผมอยู่ดี
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันกลับไปนอนคอนโดเพื่อน”
อ่าว...
“คอนโดเพื่อนอยู่ที่ไหน ผมไปส่งให้ก็ได้”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ฉันไม่อยากรบกวนคุณ” ซอลลี่โบกมือปฏิเสธอย่างเกรงใจก่อนที่จะหันไปคุยเพื่อนในกลุ่มที่อยู่ข้างหลัง “....ยัยตัลไม่รับโทรศัพท์ ท่าทางจะหลับแน่เลย นาอึนแกไปส่งฉันที่คอนโดก่อนได้มั้ยเผื่อบางทีพ่อฉันอาจจะยังไม่ยึดห้อง” ประโยคหลังเธอหันไปกระซิบกับเพื่อนที่ชื่อนาอึน แต่ผมก็ยังแอบได้ยิน หึ
ที่เธอต้องถามเพื่อนแบบนั้นก็เพราะรถตัวเองถูกยึดไปแล้วไง...เมื่อกี้แกรี่ส่งข้อความมาว่าคุณลุงซึงโฮส่งคนมาเอารถซอลลี่ไปแล้วเรียบร้อย
“แต่ฉันต้องแวะไปส่งซูจีกับซอด้วยนะ คอนโดแกก็อยู่คนล่ะทาง เอางี้ไปนอนบ้านฉันก่อนมั้ย”
“ไม่อ่ะ งั้นเดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับก็ได้ ไม่เป็นไร”
พอได้ยินซอลลี่พูดแบบนั้นผมจึงรีบเข้าไปเสนอตัวทันที “เดี๋ยวผมไปส่งให้ก็ได้ครับ”
“เอ่อ...” ซอลลี่อ้ำอึ้งเหมือนอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้า ทว่าเพื่อนเธออีกคนดันตอบรับอย่างดีทำให้ซอลลี่พูดอะไรไม่ออกจนต้องยอมให้ผมเป็นคนไปส่ง เมื่อเห็นว่าแผนสำเร็จผมจึงโทรไปหาไอ้ฮุนขอยืมรถมันหน่อยเพราะผมไม่ได้ขับรถมา ตอนมาก็มากับไอ้ไคซึ่งไม่รู้ตอนนี้หายหัวไปอยู่ที่ห้องสาวคนไหน
เราสองคนเดินออกมาจนถึงตัวรถออดี้สีดำมันเงาของเซฮุน ผมเปิดประตูให้เธอขึ้นรถแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับจากนั้นก็ขับออกจากผับแห่งนี้...
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน”
“คอนโด ZZZ...” เธอบอกที่อยู่ของตัวเอง ผมพยักหน้ารับเบาๆ พยายามกลั้นยิ้มแล้วขับไปตามถนนที่เธอบอก ซอลลี่ไม่รู้เลยสักนิดว่าห้องตัวเองถูกยึดไปแล้ว “...ฉันเกรงใจคุณจริงๆ ค่ะ เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก ฉันกลับให้คุณมาส่งถึงคอนโดเลย ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”
เราสองคนเงียบไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงคอนโดของเธอ ซอลลี่บอกขอบคุณแล้วรีบลงจากรถโดยที่ไม่รอให้ผมตอบกลับด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เพราะตลอดเวลาที่นั่งมาด้วยกัน ผมเหลือบเห็นว่าคิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันตลอดเวลา
รถของผมจอดอยู่ที่เดิมกับที่ผมปล่อยให้เธอลงเมื่อกี้ พนันได้เลยว่าอีกไม่เกินสิบนาทีร่างบางนั่นต้องออกจากประตูมาหาผมแน่นอน
ชักสนุกแล้วสิ
คิดถึงตอนที่อยู่ในผับแล้วก็ตลกดี...เธอทั้งอ่อยผมด้วยมารยาหญิงสารพัด ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่หวานหยาดเยิ้มหรือคำพูดที่ทำให้ใจหนุ่มเต้นเร็วได้ไม่ยาก
แต่ขอโทษทั้งหมดนั่นใช้ไม่ได้กับผม...
ติ่ดๆ
ผมก้มอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากเลขาคนสนิทแล้วอมยิ้มกับตัวเองเบาๆ
‘คุณชเวซอลลี่รู้แล้วนะครับว่าคุณเทาเอาของของเธอไปเก็บไว้ที่ห้องคุณ แต่เธอยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับว่าที่เจ้าบ่าวเลยสักนิด คุณชเวซึงโฮได้บอกกับคุณชเวซอลลี่แล้วว่าฝ่ายชายรอรับอยู่ที่หน้าคอนโด ผมว่าอีกสักพักเธอคงลงมาโวยวายใส่คุณ’
ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างสะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และแผนนี้คงไม่สำเร็จเลยถ้าพ่อฝ่ายหญิงไม่ร่วมมือด้วย...ช่วยไม่ได้อ่ะนะ คุณลุงซึงโฮอยากได้ผมเป็นลูกเขยมากเลยไม่ขัดขวางที่จะปล่อยให้ลูกสาวมานอนห้องเดียวกับผม
ไม่นานนักร่างบางที่อยู่ในชุดเดิมก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ ผมมองผ่านกระจกรถสักพักก็เปิดประตูฝั่งตัวเองออกแล้วเดินไปหาซอลลี่ที่ยืนมองซ้ายมองขวาเหมือนหาใครสักคน
“เทา...” ซอลลี่เอ่ยชื่อผมด้วยความแปลกใจ ใบหน้าหวานตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธที่แม้ว่าเธอยากจะปิดแค่ไหนก็ปิดไม่มิด “คุณยังไม่กลับไปอีกเหรอคะ ?”
“ครับ ผมกำลังรอใครบางคนอยู่” ผมยิ้มที่มุมปากเบาๆ
“เพื่อนคุณอยู่ที่นี่เหรอคะ”
“ไม่เชิงครับ...ผมกำลังรอว่าที่เจ้าสาวของผมอยู่”
“!!!”
สิ้นสุดคำพูดผม ว่าที่เจ้าสาวสุดสวยก็อ้าปากค้าง มือสองข้างยกขึ้นมาปิดปากตัวเองเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ผมกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจที่เห็นท่าทางเงอะงะแบบนั้น
“เชิญขึ้นรถครับ...คุณผู้หญิง” ผมผายมือให้เธอแต่คนตรงหน้ากลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับก่อนที่จะตะโกนใส่ผมเสียงดัง
“นาย!!!”
สรรพนามจาก ‘คุณ’ เป็น ‘นาย’ ทำเอาผมยิ้มเล็กน้อยแล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะย้ำอีกครั้ง
“ไปขึ้นรถครับ...ตีสองแล้ว ผมง่วง”
“นายหลอกฉัน!”
“...”
“หวังจื่อเทานายเป็นใครกันแน่!”
“ผมเป็นคนที่พ่อของคุณหมายมั่นจะให้แต่งงานกับคุณหรือจะให้พูดง่ายๆ ก็คือผมจะเป็นสามีคุณทันทีที่คุณเรียนจบ ผมบอกคุณแล้ว ทีนี้เราจะไปกันได้หรือยัง...ผมง่วงมาก”
ผมมองซอลลี่ด้วยสายตานิ่งๆ ตรงข้ามกับเธอที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ร่างบางสั่นเบาๆ ด้วยอารมณ์โกรธ ผมมองเธอแล้วเผยรอยยิ้มร้ายกาจที่มุมปากก่อนจะฉุดคนตรงหน้าที่ไม่มีทีท่าว่าจะขยับให้เดินตามไปขึ้นรถ ซอลลี่พยายามสะบัดแขนออก เธอทั้งใช้กระเป๋าฟาดใส่และจิกเล็บลงที่หลังมือข้างที่จับเธอไว้อยู่ แต่แรงแค่นั้นจะทำอะไรผมได้ แค่ผลักทีเดียวเธอก็กระเด็นเข้ารถแล้ว
“อย่าคิดหนี...ถ้าไม่อยากเจอดี” น้ำเสียงที่ไม่มีแววล้อเล่นทำเอาซอลลี่กลืนน้ำลายลงคออย่างกลัวๆ ผมที่เห็นอย่างนั้นหัวเราะอย่างสะใจในลำคอแล้วปิดประตูฝั่งเธออย่างแรงก่อนที่จะเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับจากนั้นจึงออกรถด้วยความเร็วสูง
ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรเช่นเดิม ต่างกันที่บรรยากาศสบายๆ กลายมาเป็นมาคุ ซอลลี่แทบไม่ขยับตัวเลยสักนิด ผมเองก็ไม่คิดจะถามอะไรอยู่แล้ว...เธอคงเจ็บใจที่ถูกผมแกล้งเข้าให้
“เข้ามาสิ” ผมเปิดประตูให้ผู้หญิงตรงหน้าเข้ามาแต่เธอก็ยังยืนอยู่ที่ เดิมไม่ยอมขยับไปไหน จนผมต้องเป็นฝ่ายดึงเธอเข้ามาในห้องตัวเองแทน
“นี่ อย่ามาจับ!” ว่าแล้วเธอก็สะบัดแขนออกแล้วมองผมตาขวางก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้อง “...ของฉันอยู่ไหน”
ผมเบือนหน้าไปยังห้องนอนที่อยู่ด้านใน ซอลลี่จิกตาใส่ผมก่อนที่จะเดินเชิดๆ ไปยังด้านในเพราะห้องนี้มีห้องย่อยเพียงห้องเดียวเลยไม่จำเป็นที่ต้องอธิบายอะไรมาก ผมมองตามแต่ไม่ได้เดินตามเข้าไป สักพักหนึ่งผมได้ยินเสียงอะไรกุกกักในห้องเลยลองเดินเข้าไปดู และสิ่งที่เธอกำลังทำทำเอาผมอึ้งเลยทีเดียว
“จะเก็บของไปไหน” ผมถามเสียงเย็นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกำลังยัดเสื้อผ้าของตัวเองเข้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยของใช้ส่วนตัว
“เรื่องของฉัน” หน้าหวานหันมาเหวี่ยงใส่ผมแล้วจัดการเอาเสื้อผ้าตัวเองออกจากตู้เสื้อผ้า
“...”
ผมรอจนกระทั่งเธอเก็บของเสร็จ ซอลลี่ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบมาทางผมที่ยืนอยู่ตรงประตู ขณะที่เธอกำลังก้าวเดินผ่านไป ผมจัดการจับข้อมือเล็กๆ เข้าไว้ก่อน
“จะไปนอนไหน”
“เรื่องของฉัน”
“...”
“ปล่อยด้วยจื่อเทา!”
“...นี่โกรธผมเพราะว่าผมทำเป็นไม่รู้จักคุณที่ผับงั้นเหรอ”
“...”
“หรือว่าโกรธที่ตัวเองเผลอหวั่นไหว...”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายที่พ่อฉันหามาให้แน่ นายไม่เข้าใจอีกเหรอที่ฉันหนีไม่ไปนัดวันนี้...เพราะฉันไม่ชอบ!”
“คุณไม่ชอบผมหรือไม่ชอบที่ถูกบังคับให้แต่งงาน”
“ทั้ง สอง อย่าง” ซอลลี่เน้นคำอย่างหนักแน่นแล้วพยายามดึงข้อมืออกจากการจับกุมแต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ
“แล้วคิดว่าผมชอบนักหรือไง ผู้หญิงอย่างคุณ...” ผมเว้นช่วงแล้วใช้สายตามองร่างบางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดๆ “ที่ดีแต่ยั่วผู้ชายไปวันๆ เอามาทำเมียก็มีแต่ต้องอับอาย”
“!!!!!”
“เอาของมานี่แล้วก็ไปอาบน้ำซะ”
ผมไม่สนใจซอลลี่ที่จ้องผมราวกับอยากจะเข้ามาบีบคอ ดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกจากมือเล็ก ก่อนจะลากมันไปไว้ข้างเตียง
“ยังไงซะคุณก็ต้องนอนที่นี่...อย่าเถียง อย่าดื้อ อย่าว่าผม ถ้าไม่อยากเจอดี” ผมสั่งเสียงราบเรียบโดยไม่หันไปมองคนที่ยืนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตรงประตู ผมเปิดกระเป๋าเดินทางออกแล้วรื้อหาของอยู่สักพักก็เจอสิ่งที่ต้องการ
ผมหยิบเสื้อในสีดำลายลูกไม้และกางเกงในสีเดียวกันรวมทั้งชุดนอนกระโปรงยาวสีขาว จากนั้นก็โยนไปให้ซอลลี่ที่ยื่นมือมารับไว้ได้ทัน
“ไอ้โรคจิต”
ผมยักไหล่อย่างไม่แคร์แล้วเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ ก่อนจะใช้สายตาสั่งให้เธอเข้าไป
“ไปอาบน้ำซะ ผมจะได้อาบบ้าง”
“หวังจื่อเทา...ฉันเกลียดนาย”
ปัง
เกลียดเหรอ...แล้วไงล่ะ ใช่ว่าผมรักเธอสักหน่อย
แต่เมื่อกี้ คัพ C...ก็ใช่ย่อยเหมือนกันนะ
ซอลลี่จ้องหน้าผมที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำโดยทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กางเกงนอนขายาวตัวเดียว ผมไม่สนใจสายตาจิกกัดนั่น แล้วเดินไปตากผ้าเช็ดตัวที่เก้าอี้ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง
“ฉันจะไปนอนห้องรับแขก”
“...” ผมหลับตาลงแล้วดึงผ้านวมขึ้นมาห่มโดยไม่สนใจที่จะต่อปากต่อคำกับเธอ
“ราตรีสวัสดิ์ ขอให้ฝันร้าย”ซอลลี่ยังมิวายจิกผมก่อนที่จะเดินออกจากห้อง ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูปิด ผมก็ลืมตาขึ้นจ้องมองเพดานสีขาวเบื้องบนอย่างใช้ความคิด
ผมไม่สนใจหรอกนะว่าเธอจะนอนที่ไหนยังไง...เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงเอาไว้คั่วเล่นเหมือนผู้หญิงคนอื่นนั่นแหละ
ไม่มีทางที่ผมจะให้ความสนใจหรอก...
5.00 น.
ทั้งที่บอกว่าตัวเองจะไม่สนใจเธอแล้วแท้ๆ แต่เพราะคิดว่าคนตัวเล็กจะหลับไปหรือยังก็ทำเอาผมหลับไม่ลง รู้สึกผิดที่ตัวเองนอนเตียงสบายใจเฉิ่มแล้วปล่อยให้ผู้หญิงนอนโซฟา
เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนผมก็คิดว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจเดินออกมาดู ซอลลี่นอนขดตัวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กลางห้องหรู แขนทั้งสองข้างกอดเข้าหากันเมื่อความเย็นของเครื่องปรับอากาศกำลังเล่นงานเธอ ซอลลี่ยอมนอนที่นี่ทั้งที่ไม่มีแม้แต่หมอนและผ้าห่ม ยิ่งเห็นตัวสั่นๆ ขยุกขยิกไปมาเหมือนต้องการหาความอบอุ่นก็ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
นอนไปได้ไงหนาวขนาดนี้...
ผมช้อนร่างบางขึ้นแล้วอุ้มเธอเข้าไปในห้องนอน ก่อนที่จะวางเธอลงบนเตียงอย่างเบามือ ซอลลี่ขยับตัวเข้าหาหมอนแล้วซุกหน้าลงในท่านอนคว่ำ
“อือ~”
ผมที่เห็นอย่างนั้นได้แต่ยืนมองคนหลับด้วยแววตานิ่งๆ แล้วหยิบผ้านวมมาห่มให้ซอลลี่ก่อนที่ตัวเองจะออกจากห้องไปนอนที่โซฟาแทน
เห็นทีพรุ่งนี้ต้องออกไปซื้อของใช้หน่อยซะแล้ว ผ้านวมแค่ผืนเดียวคงไม่พอสำหรับผมและเธอ หรือว่าจะแก้ปัญหาด้วยการห่มผืนเดียวกันดี ?
Krystal’s part
‘ปล่อยนะ! ไอ้โรคจิต’ ฉันพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากการจับกุมของผู้ชายที่ฉันเคยเล่นด้วยเมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะเห็นว่าเขาดูเป็นคนดี มีการศึกษา จึงให้เบอร์เขาไปโดยไม่คิดอะไรแต่ที่ไหนได้เขากลับเป็นพวกโรคจิตตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง
ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงรู้ว่าเขาโรคจิตนะเหรอ...ก็เพราะคืนแรกหลังจากที่เราจากกันนายคนนี้ก็โทรมาแล้วส่งเสียงซู่ซ่า...อ้าอื้อ...แบบเสียวๆ ตามสายโทรศัพท์น่ะสิ หลังจากที่รู้ว่านายคนนี้เป็นพวก Sex phone ฉันก็ไม่รับโทรศัพท์เขาอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ที่นายแว่นหน้าตาดีมาดักเจอฉันถึงหน้าตึกคณะ
เขาสืบได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่!
‘กรี๊ด ปล่อยฉ้านนนน~’ ทั้งที่ร้องเรียกให้คนมาช่วยแต่กลับไม่มีใครในคณะเข้ามาช่วยเลยสักนิด ทุกคนต่างยืนดูฉันถูกลากเข้ารถด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ไม่มีสักคนที่มีน้ำใจจะเสนอตัวเข้ามาช่วย
ดูไม่ออกหรือไงว่าฉันถูกบังคับ!!
ขณะที่นายแว่นโรคจิตเปิดประตูรถและกำลังจะจับฉันยัดเข้าไป อยู่ดีๆ ก็ถูกกระชากไปทางด้านหลัง พอฉันหันไปมองก็เห็นว่ามีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเข้ามาช่วย ไม่ทันที่นายแว่นจะได้ด่าอะไร ผู้ชายคนนั้นก็ต่อยเข้าที่หน้านายโรคจิตจนล้มลงไปนอนที่พื้นและใช่ว่านายคนนั้นจะยอม เขาลุกขึ้นมาและต่อยกลับอย่างแรงไม่แพ้กัน
‘ไอ้เวร’ คนใจดีสบถก่อนที่จะเข้ามารัวหมัดใส่หน้านายโรคจิตจนเขาล้มลงไปที่พื้น คนมาใหม่ไม่ปล่อยโอกาสให้คนใต้ร่างได้พูดอะไรด้วยซ้ำ เขาซ้ำหมัดเข้าที่ใบหน้าหล่อจนเลือดตกยางออก ฉันที่ยืนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็เพิ่งได้สติหลังจากเห็นเลือดตามใบหน้าขาวๆ คราวนี้ฉันวิ่งเข้าไปคว้าหมัดที่กำลังจะปล่อยลงไว้ได้ทัน
‘พอเถอะค่ะ แค่นี้เขาก็จะตายแล้ว’ น้ำเสียงอ้อนวอนทำให้คนที่ฉันจับมืออยู่เงยหน้าขึ้นมา เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นมายืนข้างฉัน ผู้คนรอบข้างยังคงมองเราอยู่แต่ไม่มีสักคนที่จะเข้ามาดูอาการของไอ้โรคจิตเลยสักนิด
‘คุณไม่เป็นอะไรนะครับ’ ผู้ชายข้างๆ ถามขึ้นแล้วสำรวจมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อสำรวจว่าฉันมีแผลตรงไหนหรือเปล่าและพอเห็นสายตาเขาที่มาหยุดอยู่ตรงข้อมือตัวเองที่ฉันเข้าไปจับไว้เมื่อกี้ ฉันก็รีบปล่อยทันที
‘ค่ะ ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะคะ ฉันทำหน้าคุณเป็นแผลเลย’ รอยช้ำม่วงๆ ตรงมุมปากหนึ่งจุดทำเอาฉันรู้สึกผิด แต่เมื่อเปรียบกับใบหน้าอาบไปด้วยเลือดของคู่กรณีรอยของเขาเทียบไม่ได้เลยสักนิด
ถึงแม้จะรู้สึกว่ามันเกินไปแต่ฉันก็ไม่ได้สงสารหรอกนะ...สมควรแล้ว
‘ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าเราออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่า’ เขาพูดแล้วหันไปมองรอบๆ คนในคณะฉันยังคงมองเราอยู่เต็มไปหมด ฉันจึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยชวนเขา
‘ให้ฉันไปส่งมั้ยคะ...พอดีฉันขับรถมา’
‘ผมก็ขับรถมาเหมือนกันครับ’ เขาพูดพลางพยักหน้าไปด้านข้าง รถหรูสีขาวจอดอยู่ข้างกับรถของอีตาโรคจิต อย่างนี้ก็แสดงว่าเขาขับรถผ่านมาแถวนี้พอเห็นฉันเหมือนกับโดนลากขึ้นรถ เขาก็ลงมาช่วยงั้นเหรอ...
ผู้ชายคนนี้นอกจากหล่อแล้วยังมีจิตใจดีอีกด้วย
‘คุณจอดรถไว้ที่ไหนเดี๋ยวผมไปส่งที่รถคุณก็ได้ เพราะถ้าคุณเดินไป...’ เขาหันไปมองรอบๆ อีกครั้ง แล้วหันมาพูดกับฉันต่อ ‘คงไม่ดีเท่าไหร่’
ฉันเห็นด้วยกับเขาเพราะถ้าหากต้องเดินไปถึงหน้ามหา’ลัยท่ามกลางสายตาของเพื่อนทุกคน ฉันคงทำหน้าไม่ถูก
‘ฉันจอดไว้ที่หน้ามหา’ลัย รบกวนด้วยนะคะ’
เขายิ้มบางเบาให้ฉันแล้วเดินนำไปที่รถตัวเอง ฉันเหลือบตามองร่างของไอ้โรคจิตที่นอนอยู่บนพื้นแวบหนึ่งก่อนที่จะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจที่จะช่วยแล้วเข้าไปนั่งในรถเบาะข้างๆ คนขับตามที่เขาได้เปิดประตูให้
‘ขอบคุณค่ะ’
เจ้าของรถขับรถออกไปท่ามกลางสายตาผู้คนที่ยังคงมองเราตั้งแต่แรกจนจบแล้วสักพักเขาก็หันมาถามฉัน
‘คุณเป็นอะไรกับผู้ชายคนนั้นเหรอครับ พอดีผมขับผ่านมาเห็นท่าไม่ดีเลยลงไปช่วย’
‘ฉันเคยให้เบอร์เขาไปน่ะค่ะ แต่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นพวกโรคจิต’
‘โรคจิต ?’
‘พวกเซ็กส์โฟนน่ะค่ะ’
‘อ้อ รู้อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ผมนึกว่าตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องคนรักทะเลาะกันซะอีก’
‘ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉันไว้ ถ้าไม่ได้คุณก็คงไม่มีใครช่วยฉัน’
‘ฮ่าๆ ผมเป็นพวกแพ้ผู้หญิงสวยน่ะครับ’ เสียงทีเล่นทีจริงของเขาทำเอาฉันไม่รู้จะตอบยังไง
‘อ้อ...ค่ะ แหะๆ’
‘ว่าแต่...คุณชื่ออะไร ผมไคครับ’
‘จอง คริสตัลค่ะ’
‘คริสตัล...ชื่อเพราะจัง’
‘ขอบคุณค่ะ’ ฉันยิ้มรับเบาๆ แล้วเปิดกระเป๋าหาอะไรบางอย่างแล้วหยิบขึ้นมาฉีกซองออกก่อนจะหันหาคนขับข้างๆ ‘...ขออนุญาตนะคะ’
‘ครับ ? ...’ ไคที่หันมาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างชะงักไปเมื่อฉันโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วใช้โอกาสตอนที่เขาหันหน้ามาแปะพลาสเตอร์ลงเบาๆ ที่มุมปากช้ำ
‘ติดไว้ก่อนนะคะ...กลับไปบ้านค่อยแกะทายาเอา’ ฉันลูบพลาสเตอร์เบาๆ เพื่อให้มันติดสนิทแล้วผละออกมามองดูฝีมือตัวเอง
‘…’
‘อ่ะ นั่นรถฉันค่ะ มินิคูเปอร์สีน้ำเงินคันนั้น’
ฉันรีบบอกเมื่อเจอรถตัวเอง ไคดูเหมือนจะนิ่งๆ ไปแต่สักพักเขาก็เลี้ยวจอดเข้าด้านหลังรถ ฉันหันไปยิ้มขอบคุณเขาแล้วเปิดประตูลงจากรถเมื่อเห็นว่าไคยังคงนิ่ง...ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า ?
พอเข้ามาในรถ ฉันกะว่าจะรอให้เขาขับออกไปก่อนถึงจะขับออกไปบ้างแต่ดูเหมือนรถด้านหลังจะไม่มีวี่แววว่าจะออก ฉันเลยขับออกมาก่อนแต่เมื่อมองผ่านกระจกหลัง ฉันก็ยังเห็นว่ารถคันนั้นจอดอยู่ที่เดิมจนกระทั่ง...หายลับสายตาไป
“คริสตัล!” เสียงดังข้างๆ หูทำเอาฉันถึงกับสะดุ้งหันไปมองตัวต้นเสียง ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าฉัน
“อะไร เรียกซะตกใจเลย” ฉันดันหน้าเพื่อนสนิทร่วมคณะให้ออกไป
“ฉันเรียกเธอตั้งหลายรอบแล้วเหอะ มัวแต่คิดอะไรอยู่ห๊ะหรือว่าเธอแอบคิดถึงหนุ่มที่ไหน มีฉันคนเดียวยังไม่พออีกหรือไง”
ฉันส่ายหน้ากับคำพูดติดตลกของจงออบ แฟนเฟินอะไรกัน ฉันกับเขาน่ะเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว เราอยู่เอกเดียวกันแล้วก็ยังเรียนห้องเดียวกันทุกคาบ จงออบเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในคณะที่ฉันมี และเราสองคนก็สนิทกันมากๆ เทียบแล้วก็พอๆ กับแก๊งผู้หญิงฉันเลย แล้วก็ใช่ว่าฉันจะไม่มีเพื่อนคนอื่นนะ ฉันพอรู้จักเพื่อนร่วมเอกอยู่หลายคนแต่ไม่ถึงกับสนิทโดยเฉพาะผู้ชาย ฉันไม่ค่อยยุ่งกับใครเท่าไหร่ เวลาเรียนกับเวลาเที่ยวฉันแบ่งเส้นอย่างชัดเจน
“ไอ้บ้าแค่นี้คนก็เข้าใจผิดมากพอแล้วจะพูดเสียงดังให้คนอื่นเขาคิดอีกทำไม” ฉันบ่นเพื่อนด้วยน้ำเสียงขำๆ เพราะนึกถึงคนในคณะที่ชอบคิดว่าฉันกับเขาเป็นแฟนกัน
“อ้าว...ก็จริงอ่ะ เขาว่ากันว่าผู้หญิงที่มีความรักมักจะชอบเหม่อลอย”
ฉันส่ายหน้ากับคำคมของเพื่อนแล้วเก็บของเข้ากระเป๋า นี่เขาเลิกคลาสกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ความรักอะไรล่ะ...ฉันไม่มีหรอก”
“ใช่ๆ มีแต่เธอชอบไปทำให้คนอื่นรัก ถ้าไอ้หน้าแว่นมาหาเธอตอนฉันอยู่ล่ะก็นะจะซัดซะให้แว่นแตกเลยคอยดู”
“ไร้สาระน่า เลิกพูดถึงนายแว่นโรคจิตเถอะ ฉันขนลุก” ฉันถือกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืนเดินนำจงออบออกจากห้องแต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตูก็มีรุ่นพี่หน้าตาคุ้นเคยวิ่งเข้ามาขวางไว้ก่อน
พี่ทิฟฟานี่...เรื่องเดิมอีกสินะ
“น้องตัลลลลลล~” พี่ทิฟฟานี่รุ่นพี่ปี่สี่เอกการแสดงวิ่งเข้ามาหาฉันแล้วกางแขนขวางไม่ให้ฉันเดินหนี ก่อนจะเอ่ยทวงคำตอบที่ถามมาแล้วตลอดหนึ่งอาทิตย์ “...ตัดสินใจได้หรือยังคะคุณน้อง”
เรื่องที่พี่เขาถามมันเกี่ยวกับการขอให้ฉันช่วยไปแสดงเป็นนางเอกละครเวทีเรื่องใหม่ซึ่งเป็นโปรเจคจบของรุ่นพี่ปีสี่เอกการแสดงน่ะสิ
“น้องตัลพี่ขอร้องเถอะค่ะ ในมหา’ลัยนี้ไม่มีใครเหมาะเป็นนางเอกไปมากกว่าหนูอีกแล้ว”
“เอ่อ...คือ...” ฉันอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ถ้าฉันตกลงนั้นหมายความว่าฉันต้องทุ่มสุดตัวทั้งเวลา แรงกายและแรงใจให้หน้าที่นี้ เพราะการเป็นนางเอกนั้นต้องซ้อมและทำนู่นทำนี่มากมาย อีกอย่างเวลาเที่ยวของฉันก็จะลดลง
“นะคะ น้องตัล~ พี่ขอเถอะนะ นี่พี่โดนทางอาจารย์ว่ามาแล้วว่าทำไม่ส่งรายชื่อนักแสดงอีก คนอื่นตกลงกันหมดแล้วเหลือแต่นางเอกของพี่คนเดียวเลย”
“...” ฉันพูดไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของพี่ทิฟฟานี่ ฉันเข้าใจนะถ้าโปรเจคจบเสร็จช้าก็อาจจะจบไม่ทันเพื่อนๆ ร่วมรุ่นแล้วนี่ถ้าต้องจบช้าทั้งเอกการแสดง พวกพี่เขาไม่รุมกระทืบฉันเลยหรือไง “แล้วใครเป็นพระเอกคะ ?”
“พี่ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องพระเอกเหมือนกัน เพื่อนพี่เป็นคนจัดหาเรื่องนักแสดงฝ่ายชายแต่เห็นบอกว่าหล่อมาก”
“ตัลแกก็ตกลงไปดิช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานอะไรไม่ใช่เหรอ ช่วยพี่ฟานี่เขาหน่อยเถอะ” จงออบที่ไม่มีบทไปนานพูดขึ้นมา พี่ทิฟฟานี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเขา
ฉันนิ่งคิดอยู่สักพักในที่สุดก็ยอมพยักหน้า
“ก็ได้ค่ะ แต่ตัลไม่รับประกันนะคะว่าจะทำได้ดี ตัลอยู่เอกภาพยนตร์ไม่ค่อยรู้เรื่องการแสดงเท่าไหร่...อีกอย่างตัลไม่ค่อยมีเวลาซ้อมด้วย”
“โอ้ยยยยย~ คุณน้องไม่เป็นไรเลยค่ะ เอาเป็นว่าตกลงแล้วใช่มั้ยคะ เดี๋ยวพี่จะส่งบทมาให้ดูอีกที ขอตัวนะคะคุณน้อง พี่ต้องไปป่าวประกาศกับเพื่อนๆ ก่อนว่าในที่สุดเราก็มีนางเอกแล้ว” พี่ทิฟฟานี่วิ่งจากไปทันทีที่พูดจบทิ้งให้ฉันกับคนข้างกายหัวเราะกับท่าทางเว่อร์ๆ ของพี่คนสวย จริงๆ แล้วพี่ทิฟฟานี่ควรจะเป็นนางเอกเองเสียด้วยซ้ำเพราะพี่เขาเป็นถึงดาวคณะนิเทศศาสตร์เลยนะ
“นี่ต่อไปนี้ฉันจะมีเพื่อนเป็นนางเอกหรือเนี่ย ...ฮู้วววว สุดยอด” จงออบตบบ่าฉันเข้าอย่างจังจนฉันต้องหันกลับไปมองคนข้างๆ ตาเขียวก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงมีชัยว่า…
“งั้นต่อไปนี้นายก็เป็นคนรับใช้ฉันน่ะสิเพราะถ้าฉันไปซ้อมจนไม่มีเวลาทำงาน นายก็ต้องเป็นคนทำนะจ๊ะ เพื่อนรัก~” คนชนะอย่างฉันตบหัวเพื่อนเบาๆ ทีหนึ่งแล้วเดินจากไป ไม่สนใจเสียงโวยวายตามหลัง
เป็นนางเอกละครเวทีเหรอ...ตายแน่ๆ เลยฉัน
เมื่อเดินมาถึงชั้นหนึ่ง ฉันก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจว่าทำไมถึงมีเสียงซุบซิบตลอดทางอีกทั้งยังเหมือนมีจุดๆ หนึ่งที่เป็นศูนย์รวมสายตาผู้คนไว้ด้วยกัน
มีดารามาเรียนหรือไง...
ฉันมองตามสายตาทุกคนก็เห็นว่าหน้าคณะมีผู้ชายร่างสูงที่ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชนซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นผู้หญิง พอลองเพ่งมองดีๆ ฉันก็ถึงกับชะงักไปชั่วครู่...เขาหนิ
แค่เพียงเห็นเขาจากที่ไกลๆ ฉันยังรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ฮอตมาก ไคยืนท่ามกลางนักศึกษาหญิงหลายคนด้วยใบหน้าค่อนข้างหงุดหงิด เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาใครบางคนจนกระทั่ง...นัยน์ตาคมหยุดลงที่ฉัน
แค่เห็นเขา...ภาพร้อนๆ ของเขากับแฟนสาวก็เด้งขึ้นมาในหัวฉันรู้สึกร้อนๆ ที่หน้าทั้งที่วันนี้อากาศเย็นมากเสียด้วยซ้ำ ไคเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฉันที่เห็นแบบนั้นไม่รู้จะทำยังไงเลยรีบเดินหนีเขาไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอจงออบทั้งที่ปกติฉันจะไปส่งเขาที่หอข้างๆ มหา’ลัยทุกวัน
จงออบอ่า...ขอโทษนะวันนี้นายกลับเองแล้วกัน
“คริสตัล” เสียงเรียกชื่อฉันจากปากเขาดังไล่หลังแต่ฉันไม่หันไปมอง กลับเดินเร็วมากขึ้นด้วยซ้ำ
เขาจะมาหาฉันทำไมหรือว่าจะมาฆ่าฉันที่ฉันแอบไปเห็นเขากับแฟนจึ๊กๆ กัน ไม่นะ ฉันสัญญาว่าจะปิดปากเงียบ
“คริสตัล!!” เสียงตะโกนดังไล่หลังจนเพื่อนร่วมคณะหันมองกันทั้งแถบ โดยส่วนใหญ่แล้วทุกคนในคณะต่างรู้ชื่อฉันเพราะฉันค่อนข้างป๊อบปูล่าอยู่พอควรยิ่งไคตะโกนดังมากเท่าไหร่ ฉันก็รีบเดินหนีเขาเร็วมากขึ้นเท่านั้น จนฝีเท้าจากที่ก้าวเร็วๆ เปลี่ยนเป็นวิ่งแทน โชคดีที่วันนี้ฉันหาที่จอดรถหน้าตึกคณะได้เลยไม่ต้องเดินไกลไปถึงหน้ามหา’ลัยเหมือนวันนั้น ฉันรีบปลดล็อกประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งก่อนที่จะสตาร์ทรถแล้วรีบเหยียบคันเร่งออกไปทันที
เมื่อมองผ่านกระจกหลังฉันก็เห็นผู้ชายคนนั้นยืนมองฉันด้วยสายตาไม่เข้าใจก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะ
“เฮ้อออ~ เอาแล้วไงยัยซอล”
หลังจากฟังเรื่องราวของซอลลี่จากปากนาอึนฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย คราวนี้คุณลุงไม่ได้พูดเล่น ทั้งรถและคอนโดถูกยึดไปหมดยังดีนะที่ยังไม่ได้ตัดเงินในบัญชีและยึดบัตรเครดิตเพื่อนเธอเข้าให้ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไร เพื่อนฉันแย่แน่ๆ
ฉันเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูรถหลังจากจอดรถเสร็จ เมื่อก้าวเข้ามาในคอนโดภาพวาบหวิวของไคกับแฟนเขาก็เข้ามาในหัวฉันอีกครั้ง
โอ้ย! ทำไมมันติดตาแบบนี้เนี่ย
แล้วไคอีกเขาจะมาที่คณะฉันทำไม ฉันมั่นใจว่าไคไม่ได้เรียนคณะเดียวกับฉันแน่นอนเพราะว่าถ้าหล่อขนาดเขา ฉันต้องรู้จักบ้างแหละ อีกอย่างเขามาหาฉันทำไม ฉันไม่อยากยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้วหรอกนะ ยิ่งรู้ว่าเขามีนิสัยดิบเถื่อนแบบนั้นฉันยิ่งไม่อยากยุ่งเลยด้วยซ้ำ เสียดายที่คิดว่าเขาเป็นคนดี
ยังดีที่ฉันรู้ธาตุแท้เขาก่อนที่จะหลวมตัวชอบเขาเข้าให้
เมื่อเดินเข้ามาในห้องฉันก็ต้องตกใจกับเสียงโทรศัพท์บ้านที่ดังขึ้น มือเรียวกดเปิดสวิตช์ไฟแล้วเดินไปยังโทรศัพท์ที่ตั้งไว้กลางห้องรับแขก
“ค่ะ”
[คุณจองคะ โทรจากล็อบบี้ด้านล่างนะคะ พอดีมีเพื่อนคุณจองมาขอพบน่ะค่ะ]
“เพื่อน ?”
เพื่อนไหน ถ้าเป็นพวกผู้หญิงคงขึ้นมาเลยไม่ต้องโทรมาก่อน รวมทั้งจงออบก็เหมือนกัน
[ค่ะผู้ชายรูปร่างสูง เขาบอกว่าเป็นเพื่อนที่มหา’ลัยของคุณจอง เขาถามถึงเบอร์ห้องแต่ดิฉันยังไม่ได้บอกไป]
“เขาชื่ออะไรคะ ?”
[คิมไคค่ะ]
“...”
[จะให้ดิฉันปล่อยเขาไปหาคุณมั้ยคะ?]
ฉันเงียบไปนานเพื่อรวบรวมสติ มือที่ถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ถึงกับสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาตามฉันมาถึงนี่ทำไมกัน...
“บอกเขาไปว่าฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเขา บอกให้เขากลับไปซะ”
[ได้ค่ะ...] พนักงานพูดสิ่งที่ฉันฝากบอกกับไค ไม่นานนักก็มีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้นมาแทน
[คริสตัล]
“!!!”
[เธอคิดว่าหนีฉันแล้วฉันจะตามตัวเธอไม่เจองั้นสิ]
ฉันตกใจกับการเปลี่ยนสรรพนามของเขา...ยิ่งน้ำเสียงที่ไม่พอใจด้วยแล้ว ทำให้ฉันยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
“ไค...”
[ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย ลงมาคุยกับฉันหน่อย]
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
[แต่ฉันมี...ลงมา ถ้าไม่งั้น อีกไม่เกินสิบนาทีเตรียมตัวเจอฉันที่หน้าห้องได้เลย]
“คุณมีอะไรก็พูดตรงนี้เลยก็ได้”
[อีกสิบนาที ถ้าไม่ลงมา เจอกันที่ห้อง...ตู๊ดๆๆๆ]
ผู้ชายคนนี้กล้าดียังไงมาสั่งฉัน แม้ว่าฉันจะซึ้งในน้ำใจเขาแต่ก็ใช่ว่าจะมาสั่งให้ฉันทำนู้นทำนี้โดยไม่เห็นหัวนะ ฉันเชื่อในระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ไม่มีทางที่เขาจะรอดสายตาพนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นมาได้แน่
เชิญนายคนนั้นบ้าไปคนเดียวเถอะ
ปิ๊งป่อง
!!!
ใคร ?
ปิ๊งป่องๆๆๆ
ขาสองข้างที่กำลังก้าวไปทางประตูกลับรู้สึกหนักขึ้นมาเสียเฉยๆ จังหวะหัวใจเต้นเร็วมากกว่าปกติเมื่อคิดว่าคนหน้าประตูอาจจะเป็นคนปลายสายที่ฉันเพิ่งวางไปก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็เป็นได้
แล้วฉันก็ต้องเบิ่งตาด้วยความตกใจเมื่อเห็นผ่านจอมอนิเตอร์ว่าใครยืนอยู่หน้าประตู
ไค...เขาขึ้นมาได้ยังไง!
คนข้างนอกกดปุ่มแล้วส่งเสียงเข้ามาว่า “...ฉันรู้ว่าเธออยู่ข้างใน เปิดประตูให้ฉันด้วย”
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวสุดๆ เขาขึ้นมาถึงนี้ได้ยังไงกัน!
“ฉันขึ้นมาถึงหน้าห้องเธอได้กะไอ้แค่หาคีย์การ์ดเสียบไม่ยากเลยสักนิด...คริสตัล” เสียงตอนที่เอ่ยชื่อฉันทำเอาถึงกับขนลุก สายตาที่ไม่ได้มีแววล้อเล่นทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ฉันบอกชัดแล้วว่าให้เขากลับไปหรือว่าพนักงานจะแอบปล่อยให้เขาเข้ามา...
“กลับไปซะ ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะพูดด้วย” ฉันกดปุ่มแล้วบอกเขากลับไปแต่สิ่งที่เขาพูดกลับมาก็ทำฉันสะอึกไม่น้อย
“ตอนที่ฉันช่วยเธอ...ฉันถึงกับยอมเจ็บตัว แค่ขอคุยด้วยแค่นี้ทำไมไม่ให้”
“...”
ฉันจะบอกเขาไปได้ยังไงว่าที่ตัวเองไม่กล้ามองหน้าเขาเป็นเพราะฉันอายเกินกว่าที่จะมองเขา ฉันไม่น่าไปเห็นอะไรแบบนั้นเลยจริงๆ
ฉันนิ่งไปนานก่อนที่จะถอนหายใจแล้วยอมเปิดประตูให้ไค บางทีเขาอาจจะมีเรื่องสำคัญคุยกับฉันจริงๆ ก็ได้
“มีอะไรคะ” ฉันกลับมาพูดอย่างสุภาพกับเขาอีกครั้ง ไคที่ตอนนี้กลับมาหล่อเหมือนเดิมแล้วทำหน้าพอใจที่เห็นฉันยอมเปิดประตู
“ขอเข้าไปหน่อย”
“...”
ฉันเงียบแต่ก็ยอมเปิดประตูให้กว้างขึ้น ไคเดินผ่านหน้าฉันไปแล้วหันไปหันมาคล้ายกับกำลังสำรวจห้องฉัน นี่ฉันยอมปล่อยให้ผู้ชายเข้ามาในห้องง่ายๆ ได้ไงเนี่ย นอกจากจงออบแล้วก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาในที่นี้เลยสักคน
“เธอยู่คนเดียวเหรอ ?” เขาถามทั้งที่ยังกวาดสายตาไปรอบๆ
“ค่ะ คุณมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ฉันเหนื่อย”
“เรียนหนักเหรอ ?”
“...ประมาณนั้น”
ฉันพยักหน้าแล้วเดินไปยังโซนห้องครัวก่อนที่จะจัดการหาน้ำเปล่าเย็นๆ ให้แขก ไครับแก้วไปถือแล้วพยักหน้าขอบคุณ
“คุณมีอะไรก็พูดมาเถอะ” ฉันนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับเขาแล้วมองไคอย่างไม่ไว้ใจ
พอได้มองหน้าเขาตรงๆ แล้ว ฉันก็พบว่าเขาหล่อมากๆ แต่เป็นหล่อคมเฉี่ยวแบบผู้ชายเจ้าชู้ สีผิวที่คล้ำกว่าคนเกาหลีทั่วไป มันรับกับทุกสัดส่วนบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ฉันว่าสีผิวเขานั่นแหละทำให้เขาดูเซ็กซี่และมีเสน่ห์มากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
“วันนั้นที่คอนโด...” ไคเอนหลังพิงโซฟา แล้วพาดแขนกว้างไปยังขอบพนักพิงด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับว่าโซฟาตัวนี้เป็นของเขายังไงยังงั้น “คุณให้ถุงยางของผมกับผม คุณไปเอามาจากไหน”
“!!!” ฉันเผลอมองเขาอย่างตกใจ
“ถุงยางนั่นไม่ได้ขายที่เกาหลี ผมมั่นใจว่าคนส่วนน้อยจะมี...ผมเลยอยากรู้ว่าคุณพกถุงยางสำหรับผู้ชายไว้กับตัวด้วยเหรอ”
“ไม่ใช่นะ!” ฉันปฏิเสธเสียงดังอย่างลืมตัว และพอรู้สึกตัวฉันก็พูดเสียงอ่อน “...มันไม่ใช่ของฉัน ฉันไปเจอมันมาอีกที”
“...” ฉันหลบตาคม ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงภาพเขากำลังรักกับแฟนตัวเอง
ฉันไม่ได้อยากลามกเลยนะแต่พอเห็นหน้าเขามันก็ห้ามให้ฉันนึกถึงตอนนั้นไม่ได้ เพราะอย่างนี้ไงเล่า ฉันถึงหนีเขา
“ถ้าคุณจะว่าฉันเสียมารยาท ฉันยอมรับผิดค่ะ” ฉันช้อนสายตามองไคที่นั่งจ้องฉันนิ่งๆ อยู่
“...”
“คือฉันได้ยินคุณพูดกับแฟนเรื่องถุงยาง ฉันเลยช่วยเพราะมีติดตัวอยู่อันหนึ่งแต่มันไม่ใช่ของฉันนะ”
“...”
“...”
ฉันเดาสีหน้านิ่งๆ นั่นไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรและมันทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก เราสองคนปล่อยให้ความเงียบเข้ามาเกาะกุมอยู่นานสองนานจนเป็นฝ่ายตรงข้ามที่พยักหน้ากับตัวเองแล้วกล่าวออกมาเสียงเรียบ
“...งั้นเป็นคุณสินะที่อยู่ในคืนนั้น”
“คะ ?”
“คุณแอบดูผมกับผู้หญิงของผมทำรักกันใช่มั้ย?”
ฉันอ้าปากค้างอยู่นาน ตกใจกับสิ่งที่เขาพูดอย่างมากจนไม่กล้ามองหน้าไคและการหลบสายตาก็เป็นสิ่งยืนยันกับไคได้เป็นอย่างดีว่าฉันเป็นอย่างที่เขาพูด
“ฮ่าๆ”
“คุณขำอะไร ?” มันเป็นเรื่องตลกหรือไงที่มีคนแอบดูเขาอะจึ๊กๆ กับแฟนเขาน่ะ
“ขำคุณ...อย่าบอกนะว่าที่หลบหน้าผมเพราะเหตุผลนี้”
“ถ้าใช่แล้วทำไม” ฉันขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้ชายคนนี้หัวเราะไม่หยุด
“เอาน่า คุณไม่ต้องเขินหรอก ผมเป็นนักแสดงยังไม่เขินเลย” ฉันขมวดคิ้วมองคนหน้าด้านที่พูดเรื่องแบบนี้ด้วยท่าทางสบายๆ
“ถ้าคุณหมดธุระแล้วก็เชิญกลับ ผู้ชายเข้ามาอยู่ในห้องผู้หญิงแบบนี้คงไม่ดีนัก”
“...”
“เชิญค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหน้าประตูเป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่าฉันกำลัง ไล่ เขาอยู่
“ผมยังไม่ได้พูดธุระสำคัญเลย...” ไคลอยหน้าลอยตาพูดอย่างกวนประสาท
“อะไรนะคะ ?”
“ผมมาเพื่อให้คุณทำแผลให้...” ว่าแล้วเขาก็ยกนิ้วชี้จี้เบาๆ เขาที่มุมปากข้างที่เคยมีพลาสเตอร์แปะไว้ “ตั้งแต่วันนั้นผมยังไม่ได้ทายาเลยคุณช่วยทาให้ผมหน่อยได้มั้ย”
นี่เขาบ้าหรือเปล่า ฉันไม่เห็นว่าจะมีแผลอยู่ที่หน้าเขาเลยสักนิด
“แผลคุณหายดีแล้วจะทายาไปทำไม ?”
“ใครบอกตอนนี้ผมทารองพื้นปิดไว้ จริงๆ แล้วมันยังช้ำอยู่”
“...” ฉันไม่ตอบแต่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับความดื้อของเขาแทน ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายตัวผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ
“ช่วยหน่อยนะครับ” ทั้งที่เขาขอร้อง แต่แววตากลับแพรวพราวไปด้วยความเจ้าเล่ห์
ฉันรู้...ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจ
ฉันจ้องรอยช้ำเล็กๆ ที่อยู่มุมปากเขาด้วยความฉงน รอยเล็กอย่างกับสิวจะทายาไปทำไมกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่ฉันก็ยอมปาดยาในตลับแล้วแต้มเข้าที่รอยช้ำเล็กๆ นั่น เถียงกับเขาไปก็เท่านั้น...เมื่อยปากเปล่าๆ
ไคที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองฉันด้วยแววตาเรียบเฉย เราสองคนนั่งใกล้กันมาก มากกว่าตอนที่ฉันแปะพลาสเตอร์ให้เขาบนรถซะอีก ฉันพยายามที่จะไม่ไปสบตาเข้ากับดวงตาคม กลัวว่าตัวเองจะเผลอหวั่นไหวไปกับนัยน์ตาที่อาบไปด้วยยาพิษเข้าให้
“คุณมีแฟนหรือยัง ?” ไคถามเสียงเรียบ มือที่นวดบริเวณมุมปากเขาชะงักเบาๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“มีแล้ว” ฉันโกหกทั้งที่ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก
“...”
แวบหนึ่งฉันเห็นแววตาผิดหวังในนัยน์ตาเขาแต่ฉันก็คิดว่าตัวเองคงตาฝาด เขาเองก็มีแฟนแล้วทำไมต้องผิดหวังด้วยล่ะ...จริงมั้ย ?
“ผู้หญิงที่ฉันเห็นในลิฟต์นั่นแฟนคุณใช่มั้ย ?” ฉันถามกลับบ้างแล้วผละตัวเองออกมา เก็บตลับยาใส่กล่องแล้วมองฝีมือตัวเองด้วยแววตานิ่งๆ ฉันยังคงพยายามไม่สบตากับเขา ไคมีเสน่ห์มากเกินไป...บางทีถ้าเขาไม่มีแฟนฉันอาจจะลองคุยกับเขาดู แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสนั้น
“เปล่า”
“หือ ? คุณบอกเธอเป็นผู้หญิงของคุณหนิ” ไคที่เห็นฉันทำหน้าไม่เชื่อรีบอธิบาย
“คนที่นอนกับผมก็เป็นผู้หญิงของผมหมดแหละ”
“...คงมีเป็นโหลล่ะสิ”
“เหอะ...มากกว่าโหล สองสามโหลมั้ง”
“แหวะ จะอ้วก มันน่าภูมิใจมากหรือไงเรื่องแบบนั้น”
“ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณจะรู้เอง...ว่าแต่คุณมีแฟนแล้วจริงๆ เหรอ” เขายังคงถามคำถามเดิมเหมือนกับไม่เชื่อที่ฉันพูด
“อื้อ” ยิ่งรู้ว่าเขามีผู้หญิงเป็นสต็อกฉันยิ่งไม่อยากยุ่ง
“เสียดายจัง”
“เสียดายทำไม คุณมีผู้หญิงของคุณตั้งเยอะ...”
“เสียดายสิคุณสวยขนาดนี้” เขาใช้สายตากรุ้มกริ่มมองฉันทั้งตัว ฉันเลยรีบเขยิบออกมานั่งห่างๆ จากเขา “...แต่ถึงคุณจะมีแฟนแล้ว ผมก็ไม่สนใจหรอกนะ”
“หมายความว่าไง”
“...ก็หมายความว่าผมถูกใจคุณและต้องได้คุณ” ไคแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจที่ทำเอาฉันถึงกับอารมณ์ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
หยาบคาย!
“ไหนๆ เราก็อยู่ในห้องกันแล้ว ลองดูสักตั้งหน่อยมั้ยเผื่อบางทีน้ำยาผมอาจจะแรงกว่าแฟนคุณ รับรองว่าคุณติดใจผมแน่”
เพี้ยะ!
“หยุดพูดจาแบบนั้น ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของคุณที่จะมาพูดเล่นๆ ด้วยได้!” ฉันตะคอกใส่หน้าไคหลังจากที่ใช้ฝ่ามือตบเข้าไปเต็มแรงจนผิวสีแทนเริ่มขึ้นสีแดงอ่อนๆ
“...” ไคลูบแก้มข้างที่ถูกตบด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ เขาหันมามองฉันที่ยืนหายใจหอบด้วยความโกรธ ก่อนที่จะพูดออกมาเบาๆ “...คุณตบผม”
“ใช่ และฉันจะตบคุณอีกถ้ายังไม่ออกไปจากห้องฉัน”
“ไม่เคยมีใครกล้าตบผม...” ไคยืนขึ้นและก้าวเข้ามาหาฉันที่เผลอถอยจนหลังติดกับพนักพิงโซฟา เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ พาดแขนทั้งสองข้างไว้กับพนักพิงเพื่อกันไม่ให้ฉันหนีได้
แววตาคมที่เหมือนมีเปลวไฟกำลังโลดแล่นอยู่จ้องมองเข้ามายังนัยน์ตาของฉันและฉันเองก็มองเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ตอนนี้จะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวมากก็ตามที
“คะ ไค ออกไป” ฉันใช้มือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่ดันไหล่เขาแต่ไคกลับไม่ขยับแถมเขายังโน้มใบหน้าลงมาใกล้...และใกล้มากขึ้นจนฉันต้องก้มหน้าหลบสายตาดุดัน
“เธอเอาความกล้าจากไหนมาตบฉัน...” น้ำเสียงเยือกเย็นและสรรพนามที่เปลี่ยนไปทำเอาฉันขนลุก แต่ก็ยังไม่ยอมละความพยายามที่จะดันเขาออกไป
เวลาผู้ชายคนนี้โมโหทีไร เขามักจะแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ และเรียกฉันว่า ‘เธอ’
ใบหน้าเรียบเฉยของเขาทำเอาฉันหมั่นไส้จนอยากจะข่วนหน้าเขาแรงๆ สักทีหรือไม่ก็ตบแบบเดิมอีกสักครั้ง แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเขาก็ทำให้ฉันไม่กล้าลงมือ แค่จะขยับตัวฉันยังกลัวว่าสายตาแหลมคมนั่นจะบาดเนื้อฉันเลย ให้ตายสิ คนอะไรเวลาโมโหตาดุชะมัด
“ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะมีแฟนแล้ว...แต่ผู้หญิงคนไหนที่ผมเห็นแล้วอยากได้ ผมต้องได้!” ไคตะคอกใส่หน้าฉันแล้วผละออกไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วออกจากห้องโดยที่ไม่หันหลังกลับมาอีก
“ฮู้ว” ฉันถอนหายใจอย่างโล่กอกที่เขาไม่ทำอะไร แต่...
คำกล่าวที่เหมือนประกาศให้ฉันรับรู้ว่าต่อจากนี้เขาจะตามรังควานทำเอาฉันหายใจติดขัด...หัวใจเต้นรัวโดยที่ฉันไม่สามารถควบคุมมันได้
คำพูดเอาแต่ใจของเขาไม่มีแววล้อเล่นอยู่เลยสักนิด...
ต่อไปนี้ฉันจะหนีจากเขาได้ยังไง...
ความคิดเห็น