ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Aille's saga

    ลำดับตอนที่ #3 : กองคาราวาน

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 49


    กองคาราวาน

     

                    พระอาทิตย์ฉายแสงอยู่ตรงกลางศีรษะ บ่งบอกว่า ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน.... ชายหนุ่มที่ขณะนี้เดินอยู่กลางป่าที่ชื่อว่า ป่าแอสแท็ค ... นับจากวันที่เขาเดินทางออกจากหมู่บ้าน บัดนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมาประมาณสามวันแล้ว.... และเป็นสามวัน ที่ชายหนุ่มเดินทาง โดยมิได้หยุดพักเลย อาจจะเป็นเพราะว่า ยังคงรู้สึกไม่ดี เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วันที่เขาต้องสูญเสียบ้านแห่งที่สองไป...  เพราะหากเขาหยุดพักเมื่อไร จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะคิดฟุ้งซ่านถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น....  แต่ทว่า... ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มนุษย์ไม่อาจเดินทางตลอดโดยไม่พักได้.. ดังนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจหยุดพักสักครู่เมื่อถึงลำธารเล็กๆแห่งหนึ่ง.... แล้วนั่งพักลงตรงใต้ร่มไม้ในบริเวณนั้น....

     

                    ครั้นที่หยุดพัก.. จิตใจของเอลก็เริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้านอีกครั้ง....  มันทำให้เขารู้สึกแย่ เหมือนกับว่า อยากจะตายไปซะ จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องที่โหดร้ายอีก หยาดน้ำตา เริ่มปริ่มที่เบ้าตาของเขา...  เขาจึงรีบลุก แล้วเดินไปที่ลำธาร แล้วก้มหน้าล้างหน้าล้างตา เพื่อเรียกสติของตน... เราจะอ่อนแอไม่ได้.... หากเราท้อถอย... หรือหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ ก็จะทำหน้าที่ที่ลุงสั่งไว้ไม่สำเร็จเอลเริ่มเรียกความเข้มแข็งของตนเองกลับมาอีกครั้ง... แต่ทันใดนั้น

    กรี๊ด!!” 

                เสียงหญิงสาวดังขึ้น เป็นเสียงร้องที่ดูตกใจเหมือนจะต้องการความช่วยเหลือ.. แน่นอนว่า เมื่อเอลได้ยิน จึงรีบกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองหาทิศทางของต้นเสียง... เขารีบวิ่งไปหยิบข้าวของที่กองวางไว้ใต้ต้นไม้ และรีบพุ่งตรงไปที่ต้นทางของเสียงทันที...

              เมื่อชายหนุ่มวิ่งตามมาถึงต้นทางของเสียง.. ก็พบหญิงสาวผมสีบรอนซ์ยาวถึงกลางหลังคนหนึ่ง กำลังนั่งทรุดอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยท่าทีหวาดกลัวมาก.. เนื่องจากมีหมาป่ากลุ่มหนึ่งกำลังค่อยๆเดินตรงเข้ามาทางหญิงสาว..  เอลเห็นดังนั้น จึงวางข้าวของลง แล้วรีบเดินตรงเข้าไปหาฝูงหมาป่า... ถอยไปซะเอลพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น  พร้อมๆกับชักดาบคู่กายออกจากฝัก.. นัยน์ตาของเขาจ้องมองตรงไปที่ฝูงหมาป่า... 

                    ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ฝูงหมาป่าที่ดูกระหายเลือดอยู่นั้น ค่อยๆถอยห่างหลังออกไป.. จากนั้นก็หันหลัง และวิ่งจากไป.. จากนั้น เด็กหนุ่มก็เก็บดาบเข้าฝัก แล้วเดินตรงไปที่หญิงสาวที่ดูเหมือนจะคลายความตื่นตระหนกลงไปบ้าง..

                    เป็นอะไรไหมเด็กหนุ่มถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่ดูจะเป็นห่วง

                    หญิงสาวแสดงสีหน้าที่ดูโล่งออกออกมา... พร้อมๆกับยิ้มเล็กน้อย.. จากนั้นก็สลบไป.. อาจจะเพราะ ผ่านพ้นสถานการณ์ตึงเครียดๆมากๆมา พอผ่านพ้นไปได้ สติก็ขาดผึงและหมดสติไป...  เด็กหนุ่ม..ตกใจเล็กน้อย และค่อยๆก้มตัวลงไปดูอาการของเธอคนนั้น

    หยุดนะ!!”

                เสียงหนึ่งดังขึ้น เอลรีบหันไปทางด้านที่มาของเสียงทันใด.. เขาก็ต้องพบกับร่างชายฉกรรจ์สองคน คนหนึ่งเป็นชายหัวโล้น แววตาสีดำสนิทดูดุร้าย ร่างกายกำยำ รูปร่างสูงใหญ่กว่าเอลพอสมควร ถือดาบยักษ์ที่มีขนาดกว้างร่วม25ซิยาด์(ประมาณ25เซ็นติเมตร) ยาวเกือบเท่าตัวชายผู้เป็นเจ้าของ  ตัวคมดาบ ค่อนข้างจะหนา ดูๆไปแล้ว ดาบเล่มนี้ คงจะหนักกว่าตัวผู้ถือเป็นแน่ อีกคนหนึ่งเป็นชายรูปร่างผอมบาง ขนาดตัวไล่เลี่ยกับเอล มีผมสีฟ้าแววตาสีน้ำตาลเข้ม ดูน่าเกรงขาม..  แต่ดาบในมือเขาก็ดูเป็นดาบปกติ ไม่เหมือนกับชายหัวโล้นเลยสักนิด   ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังสนใจในตัวชายทั้งสองที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า  ชายหัวโล้นก็พุ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆทั้งเงื้อดาบอันใหญ่โตหมายฟาดฟันใส่เด็กหนุ่ม...

    เคร้ง

              เอลใช้ดาบที่ยังคงอยู่ในฝักรับดาบยักษ์ของชายหัวโล้นคนนั้นทำอะไรน่ะเด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัยและประหลาดใจ..

                    ไม่ต้องพูดมาก!! เห็นอยู่แล้วว่าแกกำลังจะทำอะไรชายหัวโล้นค่อยๆออกแรงกดดาบที่ตอนนี้ยังคงปะทะกันอยู่.... เอล..มองชายคนนั้นด้วยแววตาฉงนเล็กน้อย.... จากนั้นก็พยามยามต้านแรงปะทะดาบ.. แล้วใช้ขาซ้ายถีบชายคนนั้นกระเด็นออกไป...

                    แก...ชายคนนั้นมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาแค้นเคืองหมายจะฆ่าแกงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง....  หยุดก่อน.. นี่ต้องเป็นเรื่องที่.... ยังไม่ทันพูดจบ ชายคนนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาเอลอีกครั้ง .. ครั้งนี้.. ชายผมสีฟ้าก็พุ่งตรงเข้ามาด้วยเช่นกัน..  และชายหัวโล้นใช้ดาบฟันแนวขวางไปที่เด็กหนุ่ม.. เอลเห็นดังนั้น ใช้ดาบที่ยังคงอยู่ในฝักปัดดาบที่ฟันเข้ามาออกไป.. ชายคนนั้น จึงเซออกไปทางด้านขวา

    ในขณะที่เขากำลังโล่ใจ ก็รู้สึกได้ถึงคมดาบที่ฟาดมาจากทางด้านซ้ายของตน แต่เขารู้สึกตัวช้าไปเล็กน้อย.. จึงไม่อาจหลบได้อย่างหมดจด คมดาบฟันเข้าไปที่แขนซ้ายเขา เป็นแผลลึกพอประมาณ.. ชิ.. เจ้าพวกนี้..เอลสบถออกมา.. จากนั้นเอลรีบก้าวถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ชาย2คนนั้น ก็พุ่งตามเข้าหาอย่างไม่ลดละ.. จนกระทั่ง เอลต้องหยุดเคลื่อนไหว เพราะว่า เส้นทางที่เขาถอยไป เป็นหน้าผาสูงชัน.. จากนั้น เขาก็มองไปที่แขนข้างที่โดนฟัน จากนั้น พลางคิดในใจว่า.. เวลามีไม่มาก คงต้องรีบเผด็จศึก  เขาจึงตัดสินใจชักดาบของเขาออกจากฝัก...

                    ในเมื่อ.. ไม่ยอมฟังเหตุผล.. ก็คงต้องจัดการให้อยู่ในสภาพที่สามารถพูดคุยกันได้ล่ะนะ..เอลพุ่งตรงเข้าไปชายหัวโล้นคนที่อยู่ด้านหน้า... แล้วฟาดดาบเล่มสำคัญของตนเข้าไปที่ชายคนนั้น.. ชายคนนั้นเห็นดังนั้นก็ตั้งใจจะหลบ.. แต่ ดาบของเด็กหนุ่มนั้น รุนแรงและรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะหลบได้ จึงตัดสินใจยกดาบเล่มใหญ่ของตนขึ้นมาตั้งรับ...

    เคร้ง!!!”

     ดาบเล่มใหญ่หักสะบั้น.. ดาบของเอลกำลังจะฟาดลงไปที่ไหล่ขวาของชายคนนั้น.... หยุด.ก่อน... ฟังข้าพูดก่อน...เอลแผดเสียงขึ้น พร้อมๆกับหยุดดาบของตนก่อนที่ดาบจะฟันลงบนร่างของหัวโล้นคนนั้น..

    แกจะทำอะไรชายผมสีฟ้าตะหวาดขึ้น พร้อมๆกับต้องหยุดการเคลื่อนไหวของตน.. เนื่องด้วยเพราะเห็นเพื่อนของตนที่ขณะนี้สีหน้าซีดเผือกเพราะต้องตกอยู่ภายใต้คมดาบของเด็กหนุ่มแปลกหน้า

    พวกคุณ เข้ามาโจมตีผมทำไมเอลถามชายทั้งสองด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พร้อมๆทั้งจ้องไปที่ชายผู้ตกอยู่ภายใต้คมดาบของตนด้วยแววตาเย็นเฉียบ...

    หยุดนะ!!” ชายผมสีฟ้าแผดเสียงขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกด้วยใจที่คิดว่า เพื่อนของตนอาจถูกฆ่า

    จะฆ่าก็ฆ่าชายคนผู้ที่ตกอยู่ภายใต้คมดาบพูดขึ้น ขณะนี้ แววตาของเขา พลันเปลี่ยนเป็นแววตาที่ดูไร้ซึ่งความหวาดกลัวอีกแล้ว

                เฮ้อ... ให้ตายสิ..เอลพูดพร้อมๆกับถอนหายใจ...  จากนั้นค่อยๆเอาดาบที่พาดอยู่บนไหล่ของชายฉกรรจ์ลง ข้าว่า.. พวกท่านต้องเข้าใจอะไรข้าผิดแน่ๆเอลพูดพร้อมๆกับส่ายหน้า ในขณะที่ ชายฉกรรจ์ทั้งสอง จ้องมองเอลด้วยสีหน้าฉงนประหลาดใจ

                    ข้าว่า.. พวกท่านคงคิดว่า ข้าจะทำอะไรหญิงสาวคนนั้นงั้นสิ..เอลพูดด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ..

                    หรือแกจะบอกว่าไม่ใช่ชายหัวโล้นผู้ที่เคยตกอยู่ภายใต้คมดาบของเอล ถามด้วยสีหน้าสงสัย

                    เอลมองไปที่ชายคนนั้น... ก็ใช่น่ะสิ..เขาตอบด้วยน้ำเสียงหน่ายๆอีกครั้ง... พอดี.. ผมได้ยินเสียงเธอร้องให้ช่วย พอไปก็เจอเธอกำลังตกอยู่ภายใต้วงล้อมของฝูงหมาป่า ข้าก็แค่ไล่พวกมันไป... จากนั้น เธอก็สลบไปน่ะ.. พอผมกำลังจะเข้าไปดูอาการของเธอ พวกคุณก็โผล่มา.. ไม่ทันพูดอะไร ก็เข้ามาซัดผมไม่ยั้งเลยน่ะสิ..  เอลพูดพร้อมๆทั้งมองไปที่ชายสองคนนั้นด้วยแววตาตำหนิเล็กน้อย...

                    จริงรึ... ชายผมสีฟ้าถามด้วยน้ำเสียงพึงไม่แน่ใจ พร้อมๆทั้งเก็บดาบของตนเข้าฝัก...

                    จริงหรือไม่ คุณลองไปถามผู้หญิงคนนั้นดูสิ ก็จะรู้เอง..เอลพูด

                    ถ้าเป็นงั้นจริง.. พวกเราก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ถามให้ดี ทั้งยังทำให้เจ้าบาดเจ็บอีก...ชายหัวโล้นคนที่เคยตกอยู่ภายใต้คมดาบพูดขึ้น.. ขณะนี้ เขาทั้งสอง.. ดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างมาก.. ที่ทำร้ายคนโดยไม่คิด.. หรือถามไถ่ก่อน ได้แต่ด่วนสรุปอย่างเดียว... จนกระทั่งทำให้คนที่อาจเป็นคนที่ช่วยเหลือหญิงสาวคนสำคัญของพวกตนก็เป็นได้

    ข้าชื่อไคน์ ส่วนหมอนี่ชื่อมาดัส แล้วเจ้าล่ะชายผมฟ้าพูดแนะนำตัวพร้อมๆทั้งถามชื่อของเด็กหนุ่ม เอล.. เอล คลัสเตอร์เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จากนั้น ไคน์จึงพูดกับเอลว่างั้น.. เจ้ามากับเราก่อนละกัน เดี๋ยวพวกเราจะรักษาแผลที่แขนให้เจ้า พร้อมๆกับเลี้ยงขอโทษด้วยเลยละกันนะ

             

              เอลพยักหน้าตอบรับ พร้อมๆกับยิ้มเล็กๆ... จากนั้น จึงค่อยๆเดินตามกลับไปยังจุดที่หญิงสาวพักอยู่ ซึ่งบัดนี้ยังคงสลบไม่ได้สติ.. ชายคนนึ่ง จึงค่อยๆยกร่างของเธอขึ้น พร้อมๆกับเดินตรงไปที่แค้มป์พักแรมของพวกเขา..

     

              พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า.. แสงสลัวๆจากกองไฟสามถึงสี่กองที่จุดขึ้นรวมๆกันแล้ว ทำให้พื้นที่ป่าบริเวณแค้มป์ไฟของกองคาราวานกองนี้ สว่างเหมือนยามเย็น ขณะนี้ เอลได้นอนพักอยู่ในเต็นท์หนึ่งของกองคาราวาน เต็นท์นี้ เป็นเต็นท์ที่กองคาราวานกางเพิ่มขึ้น เพื่อให้เขาได้พักรักษาตัวอย่างสบาย

                    หลับอยู่หรือเปล่าคะเสียงๆหนึ่งดังขึ้นพร้อมๆกับม่านประตูเต็นท์ของเอลแหวกออกจนกระทั่งเห็นหน้าตาของผู้มาเยือน..  เธอเป็นหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา หน้าตาสะสวย ยามที่เอลเห็นใบหน้านั้นก็รู้ทันทีเลยว่า เธอคือหญิงสาวที่เขาได้ช่วยไว้ ตอนนี้หญิงสาวมีใบหน้าที่สดใส ฉายให้เห็นถึงความงามจนน่าตื่นตะลึง ผมยาวสีบลอนซ์ ที่ถักเป็นเปียอันใหญ่ นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูชวนให้หลงใหล  รูปร่างบอบบาง ดูน่าถนอมเป็นอย่างยิ่ง....

                    ชั้นชื่อ เซฟิเลีย เยฟเกนไอน์ ค่ะหญิงสาวแนะนำตัวเอง พร้อมๆกับเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม

    เอ๋.. ไม่สบายหรือเปล่าคะ..หญิงสาวย่อตัวลง แล้วค่อยๆเขยิบเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ที่บัดนี้ เหมือนจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก ไม่เป็นไรนะคะ..” หญิงสาวพูดพร้อมๆกับเอามือลูบที่แก้มซ้ายของเด็กหนุ่ม

                    มะ.. ไม่เป็นไรครับเด็กหนุ่มพูดอย่างร้อนรน พร้อมๆกลับ รีบเขยิ่บออกห่างจากร่างของหญิงสาว

              นี่. จะหนีไปไหนน่ะ.. เธอไม่เป็นไรแน่นะ  หญิงสาวรีบเขยิ่บเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง พร้อมทั้งจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์.. อ่อ.. รู้แล้ว.. ปกติ เธอไม่ค่อยได้พบปะกับผู้หญิงล่ะสิ..แทงใจดำ..นี่เป็นสิ่งที่เอล คิดต่อคำพูดของหญิงสาว..... ใช่แล้วล่ะ.. เพราะปกติ เอลไม่ค่อยจะได้พบปะหญิงสาวเลย..  ในหมู่บ้านนอร์ทก็ไม่มีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ดังนั้น เมื่อมีหญิงสาวเข้ามาใกล้ๆ คนอย่างเขา ถึงต้องลนลานทำอะไรไม่ถูกเป็นธรรมดา

                    นี่ๆ.. พ่อบอกให้มาตามคุณไปพบค่ะหญิงสาวเห็นท่าทีลนลานของเอลจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย  พ่ออยากจะเลี้ยงขอบคุณที่คุณช่วยชั้นไว้น่ะค่ะหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใส่ จากนั้นหญิงสาวรีบคว้ามือของชายหนุ่มไว้ แล้วดึงมาด้วยกัน ไปกันเถอะค่ะ.. เด็กหนุ่มผู้ที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ตามนั้นไปทั้งอย่างนั้น...  จนกระทั่งมาหยุดที่เต็นท์ใหญ่สุดใจกลางแค้มป์ไฟ

                    หนูพาเขามาแล้วค่ะหญิงสาวพูดอย่างร่าเริงพร้อมๆทั้งแหวกม่านเต้นเข้าไปโดยไม่รอคำตอบ

                    ในเต็นท์นั้น กว้างพอที่จะจุคนได้หลายสิบคน.. มีพรมสีน้ำตาลปูพื้นครอบคลุมพื้นที่ภายในเต็นท์  และมีโต๊ะเตี้ยๆ สูงจากพื้นเพียงเล็กน้อย 5 ตัว 2 ตัวฝั่งซ้าย 2 ตัวฝั่งขวา และอีก1 ตัวตั้งอยู่ตรงกลางด้านในสุดของเต็นท์ โต๊ะแต่ละตัวล้วนมีคนนั่งจนเต็ม มีเพียงโต๊ะตรงกลาง ซึ่งมีเพียงคนเดียวนั่งอยู่ คนที่นั่งอยู่เป็นชายวัยกลางคน ดูแล้วน่าจะมีอายุราวๆสี่สิบปลายๆ รูปร่างสูงใหญ่ ผมสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าฉายแววเป็นมิตร เพียงมองปราดเดียว ชายหนุ่มก็รับรู้ได้เลยว่า ชายคนนี้ ต้องเป็นผู้นำของกองคาราวานเป็นแน่

     

                    ยังมิทันจะตัดสินใจทำอะไร หญิงสาวก็ดึงแขนของเด็กหนุ่มพาเข้าไปยังโต๊ะตัวกลางนั้น พ่อคะ หนูพาเขามาแล้วเด็กสาวพูดเสียงใส พร้อมทั้งนั่งลงข้างๆพ่อของตน จากนั้นจึงดึงเอลลงมานั่งข้างๆตนอีกที เอ่อ.. คือว่าผม..เด็กหนุ่มทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกขัดจังหวะด้วยสายตาของหัวหน้าคาราวาน เจ้าชื่ออะไรชายผู้ที่เป็นหัวหน้าพูดถามชื่อของเด็กหนุ่ม เอลครับ..  เอล คลัสเตอร์ หลังจากนั้น ชายผู้เป็นหัวหน้าจึงหยิบแก้วที่ใส่ไวน์ของตน ชูขึ้นเหนือศรีษะ จากนั้นจึงหันไปมองเอล ข้าขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยลูกสาวของข้าไว้ บุญคุณครั้งนี้ ข้า สเตฟอน เยฟเกนไอน์  จะไม่มีวันลืมเลย  เอล คลัสเตอร์เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และดื่มไวน์จนหมดแก้ว จากนั้น คนอื่นๆในเต็นท์ ก็ยกแก้วไวน์ของตนขึ้น จากนั้นมองไปทางเด็กหนุ่ม แล้วจึงดื่มไวน์ของตนจนหมดแก้ว

                    นี่เป็นการแสดงความนับถืออย่างสุดใจ ของกองคาราวานไซรัสของเราค่ะคุณเอลหญิงสาวพูดขึ้น เพราะเห็นท่าทางเด็กหนุ่มนั้นค่อนข้างที่จะวางตัวไม่ถูก..

                   

    ปึ้ก!!

              เอลรู้สึกเจ็บแปล้บ เนื่องด้วยหัวหน้าคาราวานใช้ฝ่ามือ ฟาดไปที่หลังของเขาหลายที เอาล่ะ มาฉลองกันได้แล้วสเตฟอนพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง จากนั้นก็ใช้แขนคล้องคอ แล้วดึงเอลเข้ามาใกล้ๆ ทำตัวสนุกหน่อยซี่เจ้าหนุ่มสเตฟอนพูดแต่เอลก็ยังคงมีท่าทีประหม่า ทำอะไรไม่ถูกเช่นเคย เอานี่ เซฟิเลีย พาเจ้าหนุ่มนี่ออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยก็ดีนะสเตฟอนเรียกลูกสาวของตอนให้มาพาเด็กหนุ่มออกไปพักข้างนอก..

             

    ไม่เป็นไรนะคะ หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เนื่องจากเห็นท่าทีของเอลนั้นดูไม่ค่อยสู้ดีนัก

                    ไม่เป็นไรหรอกครับ พอดีผมไม่ค่อยได้สังสรรค์ค์กับคนเยอะๆ  ก็เลย....   ทำตัวไม่ค่อยถูกน่ะครับเด็กหนุ่มพูดด้วยท่าทีอายๆเล็กน้อย พ่อนี่ก็แย่จริงๆเลยนะ จะทำตัวเฮฮามากไปแล้วนะเนี่ย ดูสิ..หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก..เอลตอบแทบจะในทันที ผมว่า บรรยากาศแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ แต่ยังไม่ค่อยชินเท่านั้นแหละเด็กหนุ่มพูดพร้อมๆกับเผยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก แต่วันนี้ผมเหนื่อยมากแล้วล่ะ ขอตัวไปนอนพักก่อนละกันนะครับเอลพูดกับหญิงสาว   ค่ะ เดี๋ยวชั้นจะไปบอกพ่อให้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ละกันนะคะเซฟิเลียพูดพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงพาเอลไปยังที่พักของเขา

     

                    พระอาทิตย์เริ่มฉายแสง ไก่ที่กองคาราวานเลี้ยงไว้เริ่มขันเสียงใส บ่งบอกว่า ตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว เอลตื่นขึ้น และเดินออกมาจากเต็นท์ และมุ่งหน้าไปยังถังเก็บน้ำของกองคาราวาน แล้วจึงล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น จากนั้น จึงกลับไปที่เต็นท์ของตน หยิบดาบเล่มสำคัญออกมาข้างนอก จากนั้นจึงเริ่มรำดาบฝึกฝนตนเองตามปกติ

                    ยอดเยี่ยม..

              เสียงหนึ่งลอยมาจาทางด้านหลัง เอลหันไปมองยังที่มาของเสียงก็ได้เห็นสเตฟอนยืนปรบมือด้วยสีหน้าปิติยินดี แค่มองจากท่ารำดาบของเจ้าก็ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเจ้าถึงสามารถชนะ มาดัสและไคน์ได้สเตฟอนเอ่ยชมเด็กหนุ่ม ก็ไม่ได้เก่งมากมายนักหรอกครับเอลตอบด้วยท่าทีเขินๆเล็กน้อย

              เจ้าจะบอกว่าพวกข้ากระจอกงั้นเรอะ!!” เสียงของมาดัสดัง ดังมาจากทางฝั่งซ้าย เอลมองหันไปมองมาดัสและไคน์ซึ่งเพิ่งจะเดินมาบริเวณที่เขาฝึกซ้อมดาบอยู่ พร้อมๆกับสังเกตสีหน้าขุ่นเคืองของทั้ง2

                    เอ่อ... ผ.. ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับเอลรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

                    ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร หรือโกรธเจ้าหรอก เพียงแต่ บางที การถ่อมตน ควรจะมีขอบเขตบ้าง อย่างเจ้าน่ะ เก่ง ควรจะยอมรับตัวเองสิว่าเก่ง หากถ่อมตัวมากจนเกินไป จะเป็นการดูถูกคนอื่นได้นะมาดาสพูดด้วยท่าทีที่ดูไม่ได้ติดใจเรื่องที่ว่าเลยสักนิด ครับผมเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอายๆ พลางเอามือเกาหัวตนไปพลาง

                    เอาล่ะ... สเตฟอนพูดขัดจังหวะขึ้นมา ข้าอยากลองทดสอบฝีมือเจ้าดู อยากลองดวลดาบเล่นๆกันดูไหมสเตฟอนถามเด็กหนุ่ม เข้าอยากรุนะว่า ฝีมือของเจ้าอยู่ในระดับไหนเอลมีท่าทีลังเลอยู่พักนึง จากนั้นจึงตอบกลับไปว่า ครับ.. ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ตลอดเวลาที่ผมฝึกฝนดาบมา ทำให้ตัวผมก้าวไปอยู่ในระดับไหนกัน เด็กหนุ่มพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

                    ดีมาก..  พูดได้ดีสเตฟอนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนว่าจะพึงพอใจในคำตอบของเด็กหนุ่มอย่างมาก จากนั้นจึงชักดาบเล่มใหญ่ที่สะพายอยู่ที่หลังออกมา ดาบของเขานั้น ใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะยกขึ้นด้วยซ้ำ เนื่องด้วย ดาบและด้ามจับรวมกัน น่าจะยาวประมาณ 2 อิยาด์(2เมตร) แต่ความกว้างนั้น ประมาณ 30 ซิยาด์(30เซ็นติเมตร) ความหนักนั้นไม่ต้องพูดถึง โดยรวมแล้ว ใหญ่กว่าดาบของมาดัสอยู่มาก เด็กหนุ่มคิดเลยว่า ถ้าแบกกันปกติ ต้องใช้คนสัก2-3คนช่วยๆกันแบกเป็นแน่แท้ แต่ชายคนนี้สามารถถืออย่างสบายด้วยมือเพียงข้างเดียว อดทำให้เอลนึกนับถืออยู่ลึกๆไม่ได้

              เอาล่ะ เตรียมรับมือ!!!”  สเตฟอนแผดเสียง จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาเอลอย่างรวดเร็ว จากนั้นเงื้อดาบขึ้นเหนือศรีษะแล้วฟาดลงไปตรงตำแหน่งของเอลอย่างแรง

    เคร้ง!!!”

    เสียงดาบ2เล่มกระทบกันดันสนั่น เด็กหนุ่มตัดสินใจใช้ดาบของตนเข้ารับการโจมตี เนื่องด้วย เขารู้ตัวว่า เขาไม่สามารถถอยหลบการโจมตีครั้งนี้ทันเป็นแน่

    ยอดมาก.. สเตฟอนเอ่ยปากชม แต่ น้อยคนนักที่จะรับดาบข้าได้เกิน3ครั้งพูดจบ สเตฟอนก็กดน้ำหนักลงบนดาบของตน เอลเริ่มที่จะรับน้ำหนักไม่ไหว จึงใช้ดาบของตน รูดดาบของฝ่ายตรงข้ามไปด้านข้าง แล้วเข้าประชิด ใช้ดาบของตนฟันใส่จากทางด้านซ้าย แต่สเตฟอนก็ไหวตัวทัน ถอยหลังหลบไปอย่างง่ายดาย

     

    คุณก็เก่งมากเลยนะครับเด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ ปราศจากความหวาดกลัว แต่จริงๆแล้ว เขาก็ต้องเก็บอาการชาที่มือ เนื่องด้วย เขาก็ไม่สามารถที่จะรับแรงกระแทกดาบของสเตฟอนได้บ่อยนัก สิ่งที่เด็กหนุ่มคิดได้คือ การรุก คือการป้องกันที่ดีได้เช่นกัน

    เด็กหนุ่มคิดได้ดังนั้น จึงตัดสินใจพุ่งเข้าหาสเตฟอนด้วยความเร็ว แต่ว่ายังเร็วไม่พอ ทำให้ ทำให้สเตฟอนสามารถใช้ดาบเล่มใหญ่ของตน ฟาดลงมาทางเอลก่อนที่เขาจะเข้าประชิดได้

      เด็กหนุ่มตัดสินใจ เบี่ยงหลบไปทางขวาเล็กน้อย และเร่งความเร็วหมายเข้าประชิดสเตฟอนให้ได้

    ตูม!!”  

    เสียงดาบเล่มยัก ฟาดกระทบพื้นอย่างแรง ได้โอกาสแล้วนี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มคิดในใจ

    เคร้ง!!!”  ดาบเล่มยักษ์ของสเตฟอนฟาดไถพื้นมาจากทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว ยังดีที่เขาสามารถยกดาบขึ้นมากันได้ทัน ไม่เช่นนั้น ต้องเจ็บหนักเป็นแน่อะไรกัน...เอลคิดในใจ เนื่องด้วย เขาไม่คิดเลยว่า จะมีคนสามารถเหวี่ยงดาบที่ใหญ่โตขนาดนั้น ได้คล่องแคล่วและรวดเร็วขนาดนี้ เด็กหนุ่มค่อยๆตั้งหลัก แล้วจึงเข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมจู่โจมอีกครั้ง

    ขณะนี้ ทั้งสองยืนห่างกันราวๆ15ก้าว ทั้งสองไม่ได้ขยับเขยื้อนเป็นเวลาสักพัก สำหรับสเตฟอนนั้น อาจเป็นเรื่องของความรอบคอบ แต่สำหรับเด็กหนุ่มนั้นเป็นการรอจังหวะในการโจมตี

    นี่ ทำอะไรกันอยู่เหรอคะเสียงหวานๆของเซฟิเลีย ดังมาจากทางด้านหลังของสเตฟอน

    เห..สเตฟอนเหลือบตาไปมองด้านหลัง เห็นลูกสาวของตนเดินมาด้วยท่าทีสงสัย ช่องว่างเด็กหนุ่มคิดในใจ พร้อมๆทั้งพุ่งเข้าไปเงื้อดาบหมายจะฟันลงไปตรงตัวของสเตฟอน

     

    เคร้ง!!!” เสียงดังสนั่นยิ่งกว่าการประทะดาบกันครั้งแรก

    แต่เอลกลับอยู่ในท่าทีเหมือนกับตอนรับการโจมตีครั้งแรกของสเตฟอน เขาพลาด พริบตาที่เขาพุ่งเข้าไป สเตฟอนได้ฟาดดาบลงมาตรงเขาอย่างเร็ว จนเขาต้องลดดาบลงมารับ แต่การประทะครั้งนี้ เล่นเอาเด็กหนุ่มถึงกับทรุด มือแทบจะกำดาบไม่อยู่ เอาล่ะ เจ้าแพ้แล้ว เจ้าหนุ่ม  สเตฟอนพูดพร้อมๆกับลดดาบของตดลงและปักตั้งลงบนพื้น จากนั้นจึงเอามือช้างหนึ่ง ฉุดเด็กหนุ่มที่ทรุดลงไปกับพื้นให้ยืนขึ้นมา สามดาบ เจ้าสามารถรับข้าได้ถึงสามดาบเลยนะ ฝีมือเยี่ยมมากเลยนี่สเตฟอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนว่าจะพึงพอใจมาก  แต่เด็กหนุ่มกลับมีที่ทีที่ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก อาจจะเป็นเพราะว่า เขาสามารถรับสเตฟอนได้เพียงแค่สามดาบเท่านั้น

    นี่เอล.. คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะเซฟิเลียรีบวิ่งเข้าไปหาเอลด้วยท่าทีร้อนรน นี่พ่อ ทำเกินไปแล้วนะ ไม่เห็นต้องทำรุนแรงกันเลยนี่ ถึงจะเป็นแค่การประลองกันเฉยๆก็เถอะเซฟิเลียพูดใส่พ่อของเธอด้วยท่าทีโกรธไม่น้อย ช่างเถอะครับ ผมเป็นคนขอเองเด็กหนุ่มรีบพูดขัด แล้วก็ เป็นเพราะความอ่อนหัดของผมเองน่ะครับ คุณสเตฟอนไม่ได้ผิดอะไรหรอกเอลพูดด้วยน้ำเสียงดูเศร้าๆเล็กๆ

    นี่นาย จะมาทำเศร้าไปทำไม พวกชั้นเพิ่งจะเคยเห็นคนที่ดวลกับหัวหน้า แล้วรับดาบได้เกินดาบที่สองแถมยังสามารถถือดาบอยู่ในมือได้อยู่เลยนะมาดัสพูดด้วยน้ำเสียงยุแหย่เล็กน้อย

    ใช่ค่ะ พ่อเป็นถึงนักรบระดับวาเรเรียส จริงๆ ไม่เห็นต้องเอาจริงเอาจังนักเลยก็ได้หญิงสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ นี่ พูดแบบนี้เป็นการดูถูกเจ้าหนุ่มนี่นะ เซฟิเลียสเตฟอนพูดขัด ข้าว่า เจ้าหมอนี่มีฝีมืออยู่ในขั้น ระดับมาลิซี เลยเชียวล่ะ

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×