ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Aille's saga

    ลำดับตอนที่ #2 : ฝันร้ายอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 49


    บทที่สอง ฝันร้ายอีกครั้ง

     

    ไม่!!!!

    เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาในห้องๆห้องนึง... เขาเอามือกุมหน้าผากของตนแล้วส่ายหัว

    ฝันงั้นรึ... ทั้งๆที่ไม่ได้ฝันถึงวันนั้นมานานมากแล้วแท้ๆ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้ง 8 ปีแล้ว ทำไมเราถึงมาฝันเอาในวันนี้อีกนะ.....   เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาจากเตียงนอนของเขา.. แล้วเดินไปล้างห้าล้างตาที่ห้องน้ำ...

    ในตอนนี้เด็กน้อยได้กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลทอง รูปร่างสูงสง่าขึ้นมาก

    เอล... ตื่นแล้วใช่ไหม... ถ้าตื่นแล้วรีบๆลงมาข้างล่างได้แล้วเสียงหนึ่งดังมาจากด้านล่างของบ้าน

    คร้าบๆ ตื่นแล้ว ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ..เอลขานตอบรับเสียงนั้น

    เอลค่อยๆเดินลงบันไดช้าๆ พอเขาเดินลงมาถึงด้านล่างของบ้าน ก็พบกับชายเจ้าของเสียง...

    ชายคนนี้เป็นชายวัยกลางคนสูงราวๆ 185 ซิยาด์(185เซ็นติเมตร) ผมสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแผลเป็นที่ตาข้างซ้าย แต่ดูท่าทางใจดี ชายคนนั้นเดินตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่ม... แล้วเอามือวางบนบ่าของเด็กหนุ่ม...  จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า..

    วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ18ปีของแกนี่... ทำไมถึงตื่นสายนัก ลุงเตรียมของขวัญไว้ให้แกแล้วนะ... แต่เอ๊ะ.. ชั้นรู้สึกว่าสีหน้าของเจ้าไม่ดีเลยนะ... ไม่สบายหรือเปล่า...ชายวัยกลางคนถามเอลด้วยความเป็นห่วง..

    ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ลุงเอริค ผมแค่ฝันร้ายนิดหน่อยเท่านั้นล่ะครับ เด็กหนุ่มตอบ

    ฝันถึงเรื่องสมัยเด็กอีกล่ะสิ เด็กหนุ่มผงกหัวตอบรับ.. จากนั้นเอริคก็พูดขึ้นต่อว่า... ชั้นรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่แสนโหดร้าย และยากจะลืม แต่หากเจ้ายังคงคอยนึกถึงแต่เหตุการณ์ในวันนั้น... ฝันร้ายก็จะไม่มีวันจบลงหรอกนะ...  เอริคพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง..

    จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้นึกถึงอีกเลยนะครับลุง.. แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อคืนถึงได้ฝันถึงเหตุการณ์วันนั้นอีก ผมกลัวว่ามันจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีกที่นี่...เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจ

    เจ้าโง่เอ๊ย....เอริคพูดกับเด็กหนุ่ม...

    ไม่มีใครหรอกนะที่จะโชคร้ายไปตลอดน่ะ... อย่างที่ข้าไปเก็บเจ้ามาก็ถือซะว่าข้าซวยเองที่ไปเห็นเจ้าอยู่ริมแม่น้ำ... แต่เจ้าน่ะสิ กลับโชคดีที่ข้าไปเจอ ถึงได้มาอาศัยอยู่กับยอดช่างตีเหล็กเอริค คลาสเตอร์ คนนี้ไง ฮ่าๆๆๆเอริคหัวเราะเสียงดัง ส่วนทางด้านเด็กหนุ่มก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ พลางหัวเราะเบาๆ

    เอาล่ะ... เกือบลืมเลย... ข้ามีของขวัญให้เจ้า ตามข้ามา..เอริคเดินออกจากบ้านโดยมีเด็กหนุ่มคอยตามเขาไปติดๆ เดินมาอยูดที่บริเวณด้างๆของบ้านที่เป็นโรงตีดาบ.. เอริคหยิบดาบเล่มหนึ่งที่มีผ้าพันไว้ แล้วยื่นดาบเล่มนั้นไปให้กับเอล...

    นี่เอล... ดาบเล่มนี้ ข้าตีอย่างสุดฝีมือ เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ....เอริคพูดกับเด็กหนุ่ม....

    จริงๆหรอครับลุง... เอลรีบรับดาบแล้วค่อยๆบรรจงแกะผ้าที่พันดาบไว้อย่างช้าๆ หลังจากที่ผ้าพันหลุดออกไปเผยให้เห็นตัวดาบแล้ว... เอลก็ต้องตกตะลึงกับความสวยงาน เรียบ และดูคมกริบของดาบเล่มนี่...

    สุดยอดเลยครับลุง...  ดาบเล่มนี้ลุงตีได้ยอดมากๆ เอลพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมทั้งค่อยๆเอามือลูบไปมาที่ตัวดาบอย่างช้าๆด้วยท่าทางดีใจสุดๆ

     

    เอาล่ะ.. เก็บเรื่องดาบไว้ก่อน... วันนี้เจ้าต้องขึ้นไปตัดฟืนบนเขาไม่ใช่หรือไง...เอริคพูดกับเอล...

    อ่า... วันนี้วันเกิดผมไม่ใช่หรือครับ... ขอซักวันไม่ได้หรอ..เอลพูดด้วยน้ำเสียงพึงอ้อนวอน....

    ไม่ได้.. งานก็ต้องเป็นงาน ห้ามบิดพลิ้วเด็ดขาด...เอริคพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...

    ใจร้าย.....เอลบ่นพึมพำเบาๆ แล้วจึงเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดในบ้าน...

    หลังจากที่เอลเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก็สะพายดาบเล่มใหม่ที่ได้จากเอริค จากนั้นก็เดินออกจากบ้านมุ่งตรงไปทางภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านเพื่อตัดฟืนทันที...

    เอลเดินตามทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ในใจก็ยังคงว้าวุ่นเกี่ยวกับความฝันเมื่อคืน จริงๆแล้ว ถ้าเป็นปกติแล้วเขาพยายามจะไม่คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก.. เขาพยายามที่จะลืมมัน แต่ฝันเมื่อเช้าทำให้เขากังวลใจยิ่งนัก....

    ทำไมจู่ๆเราถึงได้มาฝันถึงวันนั้นอีกนะ... หวังว่าเรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้นอีกครั้งหรอกนะ...เอลพูดไปพลางถอนหายใจไปพลาง เขาเดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดตรงจุดที่เป็นป่าโปร่งๆ เขาค่อยๆว่าของลงบนพื้นจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า..

    เอาล่ะ.. เราลองทดสอบความคมของดาบใหม่ดูหน่อยก็ดีนะ...หลังจากพูดจบ.. ชายหนุ่มก็ชักดาบออกจากฝักแล้วฟันไปที่ต้นไม้...

    ฉัวะ...

    เสียงดาบที่ฟันลงไปบนต้นไม้มันช่างแผ่วเบายิ่งนัก... มิใช่เพียงแค่นั้น ต้นไม้ต้นนั้นตอนนี้ยังคงตั้งอยู่เช่นเดิม....

    เอ๋... เราฟันไปแล้วนี่ ไหงไม่เป็นอะไรเลยล่ะเนี่ย...เอลพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจพลางเอามือไปแตะที่ต้นไม้ต้นนั้น..

    โครม!!!

                ต้นไม้ต้นนั้นขาดล้มลงไปกองบนพื้น... เอลมองไปที่รอยฟันของต้นไม้ถึงได้เข้าใจว่า... ดาบเล่มนี้คมมาก ถึงขนาดที่เรียกได้ว่า สามารถตัดสิ่งของได้โดยไม่เหลือรอยฟันเลย....

                    ว้าว.... ดาบเล่มนี้ยอดจริงๆ  คมอย่างไม่น่าเชื่อชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมทั้งใช้มือค่อยๆลูบคลำดาบของตนอย่างแผ่วเบา

                    ดาบดีๆแบบนี้ เราไม่ควรเอามาฟันเล่นให้เสียของเลย.... เอาล่ะ เก็บดาบก่อน แล้วเริ่มหาฟืนดีกว่า..ชายหนุ่มพูดพร้อมๆกับเก็บดาบของตนเข้าฝัก หลังจากนั้นจึงชักขวานที่สะพายไว้ที่ด้านหลังของเอวออกมาแล้วจึงเริ่มใช้ขวานจามไปที่ต้นไม้ที่ตนใช้ดาบฟันจนล้ม..

                เด็กหนุ่มเริ่มทำการผ่าฟืนไปเรื่อยๆ เวลาค่อยๆล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงวัน... เขาก็หยุดการผ่าฟืน แล้วพูดขึ้นมาว่า....

    เฮ้อ... ชักเหนื่อยแล้วแฮะ... วันนี้พอแค่นี้ได้แล้วมั้งเอลพูดหลังจากคิดว่าหาฟืนได้ตามจำนวนที่ต้องการพร้อมๆกับใช้มือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาจากใบหน้าของตน หลังจากนั้น.. เขาก็เริ่มนำฟืนที่ผ่าเสร็จมามัดรวมกัน ได้กองฟืนกองหนึ่งหนักราวๆ40กิโลกรัม..

    อ่ะฮ้า... รู้สึกว่าวันนี้เราผ่าฟืนเยอะเกินไปแฮะ... สงสัยเพราะดีใจเรื่องได้ดาบใหม่แน่ๆเลยชายหนุ่มพูดไปพลาง หัวเราะไปพลาง แต่แล้ว.. เขาก็ต้องหยุดหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเสียงอะไรบางกำลังฝ่าดงป่าไม้ใกล้เข้ามาทางที่ๆเขาอยู่...

    เสียงนั้นอาจจะเป็นสัตว์ป่า หรืออะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่มาก ไม่ก็มีจำนวนมาก.... เอลจึงเริ่มชักดาบเล่มใหม่ของตนออกมาเพื่อเป็นการระวังภัยให้ตัวเอง..... แต่แล้ว เสียงการเคลื่อนไหวนั้นก็หยุดลงตรงบริเวณพุ่มไม้ด้านหน้าของเอล ซึ่งห่างจากเขาไปเพียงห้าถึงสิบก้าวเท่านั้น เอลตั้งท่าเตรียมป้องกันตัว... แต่แล้ว... สิ่งนั้นก็มิได้เคลื่อนไหว... เด็กหนุ่มจึงค่อยๆเดินเข้าไปที่พุ่มไม้นั้นอย่างช้าๆและระมัดระวัง.. แต่แล้ว..... สัตว์ร่างยัก ตัวใหญ่กว่าชายหนุ่มสัก3-4เท่าก็กระโจนออกมาจากพุ่มไม้แล้วพุ่งเข้าไปหมายใช้กรงเล็บอันแหล็มคมตะปบเข้าไปในร่างของเด็กหนุ่ม....

    เด็กหนุ่มกระโดดถอยไปด้านหลังเพื่อหลบการโจมตีจากกรงเล็บ... พลางจ้องมองไปยังสัตว์ตัวนั้นอย่างประหลาดใจ...

    เจ้าตัวนี้มัน... หรือว่า.... มันคือมากัส  ตะ... แต่ว่า ทำไมมันถึงเข้ามาทำร้ายเราล่ะ....  เอลพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงพึงสงสัย..

    สัตว์ตัวนั้นเป็นสัตว์ที่รูปร่างคล้ายหมีที่มีเขา2ข้าง แต่ตัวออกจะใหญ่กว่าเล็กน้อย  โดยทั่วไปแล้ว ชาวบ้านเรียกสัตว์ตัวนี้ว่า.. มากัส.. ตามตำนานของหมู่บ้านว่ากันว่า.. สัตว์ตัวนี้เปรียบเสมือนเจ้าภูเขา ที่คอยดูแล้วรักษาภูเขาลูกนี้ไว้ ดังนั้น โดยปกติแล้ว.. มากัสจะไม่ทำร้ายใคร นอกเสียจากว่าตนเองโดนทำร้ายก่อน

    สัตว์ป่าพุ่งตรงเข้ามาหาเอลอย่างรวดเร็ว แล้วใช้เท้าหน้าขวาตะปบเข้าไปที่กลางลำตัวของเขา...

    เคร้ง!!!

     เด็กหนุ่มใช้ฟักดับรับการโจมตีของเล็บที่ตะปบเข้ามา.. แต่ด้วยแรงของสัตว์ป่า.. จำทำให้เด็กหนุ่มเซไปทางขวาจนเกือบล้ม... สัตว์ป่าจึงฉวยโอกาสใช้เท้าหน้าอีกข้างตะปบไปตรงบริเวณด้านของเอล...

    ฟวั่บ!

    เด็กหนุ่มก้มตัวลงหลบกรงเล็บพร้อมๆปล่อยมือออกจากฝักดับ แล้วรีบวิ่งอ้อมไปด้านหลังของสัตว์ป่าอย่างรวดเร็ว....

    ชายหนุ่มหยุดมองดูเชิงการเคลื่อนไหวของสัตว์ป่า... ตอนนี้เขารู้เหตุผลแล้วว่าทำไมมากัสถึงจู่โจมเข้าใส่เขา... เพราะว่าเขาได้เห็นที่แผ่นหลังของสัตว์ป่านั้นมีลูกธนูปักอยู่ไม่ต่ำกว่า10ดอก อาจจะเป็นเพราะว่ามันกำลังถูกมนุษย์ไล่ล่า... ในขณะที่กำลังหนีก็มาเจอกับเขา ก็เลยเข้าต่อสู้ด้วย...

    ชายหนุ่มเริ่มลังเลในเรื่องที่ว่า.. เขาจะจัดการสังหารสัตว์ป่าตัวนี้ดีไหม... เพราะว่าที่มันเข้าจู่โจมเขานั้นอาจจะเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ เขาจึงไม่อยากที่จะฆ่ามัน เนื่องจากปกติแล้วมากัสไม่ได้เป็นสัตว์ที่อันตรายเลย ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านโดนมันทำร้ายเลยสักครั้ง

    เด็กหนุ่มใช้เวลาไตร่ตรองไปพลาง.. หลบการโจมตีของสัตว์ป่าไปพลาง... จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้... เขารีบกระโดดถอยห่างออกมาจากสัตว์ป่าอย่างรวดเร็ว... แต่สัตว์ป่าก็ไม่ลดละ ยังคงโถมเข้าไปหาเขาอย่างบ้าคลั่ง และหมายใช้เขี้ยวของตนขย้ำไปที่คอของเด็กหนุ่ม

    ปึ้ก!!!

                    เด็กหนุ่มตัวเอียงหลบไปทางซ้ายเพื่อหลบการโจมตีของสัตว์ป่า แล้วจึงใช้ด้ามดาบของตน กระแทกเข้าไปที่ขมับด้านขวาของสัตว์ป่าอย่างแรง จากนั้นสัตว์ป่าก็เดินโซซัดโซเซสักพัก แล้วจึงล้มตึงลงไปนอนกับพื้น...

                    ให้ตายสิ เล่นเอาเหนื่อย... เกือบแย่ซะแล้วสิเรา...เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น แล้วนอนแผ่หลาลงไปที่พื้นหญ้า... แต่แล้วเขาก็ลุกเข้ามานั่งเกือบจะทันที.. เอามือขวาจับปลายคางของตนแล้วเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงเข้าไปทางมากัส....

                    เด็กหนุ่มค่อยๆผลักสัตว์ป่าให้นอนคว่ำลง แล้วค่อยๆบรรจงดึงลูกธนูที่ปักที่ตัวสัตว์ป่าออกมาทีละอัน แปลกแฮะ.. นี่มันลูกธนูของพวกทหารนี่นา... ทำไมมันถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ... หรือว่า...เด็กหนุ่มหยุดพูด... ใบหน้าของเขาตอนนี้ซีดเผือก อาจจะเป็นเพราะเขาชักรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีซะแล้ว....

                    ขอให้ไม่เป็นอย่างที่เราคิดด้วยเถอะ..  เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปเก็บฝักดาบของตน แล้วนำดาบกลับเข้าฝัก แล้วรีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านอย่างรีบร้อน... โดยที่ยังคงทิ้งฟืนที่หามาได้ไว้ที่ตรงนั้น... 

                    เด็กหนุ่มวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านอย่างรีบร้อน... พอใกล้ถึงหมู่บ้าน เขาก็เริ่มเห็นควันลอยเหนือบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้าน... จิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มร่ำส่ำระสายไปด้วยความกังวล...

                    ไม่นะ... เรื่องแบบนั้น มันจะเกิดขึ้นอีกอย่างงั้นรึ....เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวและยังคงวิ่งตรงไปที่หมู่บ้านของตน.. จนในที่สุดเขาก็กลับมาถึงหมู่บ้านของตน... และเขาก็ได้พบกับสิ่งที่ตนคิด.. สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก... เขาเห็นภาพหมู่บ้านของตนกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุ... ผู้คนตายเกลื่อนกลาด...

                    ไม่!!!!” เด็กหนุ่มตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่น้ำตาเริ่มจะคลอที่เบ้าตาของตน...

                เขารีบวิ่งตรงไปยังบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆทั้งภาวนาในใจให้ลุงของเขาปลอดภัย.. และเมื่อเขามาถึงบ้านของตน ก็พบกับเอริคนอนบาดเจ็บอยู่หน้าบ้านที่กำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง

                    ลุงครับ..!!!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก พร้อมๆทั้งรีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเอริคขึ้นนั่ง..

                    เอริคอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ถูกแทงที่ท้อง แล้วถูกฝันเฉียงจากไหล่ขวาลงมาจนถึงเอวข้างซ้ายเป็นแผลลึก.. แผลขนาดนี้ใครๆก็มองออกว่าไม่มีทางที่จะรอดเด็ดขาด...

                    ลุงครับ.. ตื่นสิครับลุง... ลุงต้องไม่เป็นอะไรนะ...เด็กหนุ่มพูดกับลุงของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว

                    อะ.. เอล.. เจ้าเองรึ...เอริคลืมตาขึ้น และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

                    เอลพยักหน้าตอบรับเอริค แล้วพูดขึ้นมาว่า...

                    นี่. นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ….” เด็กหนุ่มถามเอริค..

                    พะ.. พวกทหารมันบุกเข้ามาจู่โจมหมู่บ้าน....เอริคตอบด้วยน้ำเสียงสั่น....

                    ทะ.. ทหาร.. หรือว่า เหมือนในตอนนั้นเลย.. เพราะผม.. เพราะผมอยู่ที่นี่... ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้เอลพูดด้วยน้ำเสียงที่สับสนพลางโทษตัวเอง...

    จะ.. เจ้าบ้า.. ทำไมเจ้าถึงได้คิดอะไรแบบนั้น.. มะ.. มันไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกเอล..เอริคปฎิเสธ  พวกมันมาเพราะข้าต่างหาก.... เพราะข้า.. เรื่องเลวร้ายแบบนี้มันถึงได้เกิดขึ้น...

    อะ.. เอ๋.... ทะ. ทำไมล่ะ..เอลถามพลางสงสัย.....

    หะ.. เหตุผลน่ะช่างมันเถอะ.. ขะ.. ข้าว่า ข้าคงไม่รอดแล้วล่ะ.. ข้ามีเรื่องขอร้องให้เจ้าทำ..  เอริคพูด พร้อมๆทั้งจ้องไปที่ตาของเด็กหนุ่ม

    อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ.. ผมจะรีบหาทางช่วยลุงเอง..  เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยนำเสียงร้อนรน

    เอล!! ฟังข้า....!!! ” เอริคพูดเสียงดังพร้อมๆกับกระอักเลือดออกมา...

    อ่ะ... ครับ..เอลตอบรับ.. เพราะเขาไม่อยากให้ลุงของเขาต้องออกแรงเค้นเสียงอีกครั้ง..

    เจ้าไปที่ห้องใต้ดินของโรงอาวุธ.... ไปหยิบของที่อยู่ในลังสีดำที่อยู่ข้างในนั้น... นำของนั่นไปส่งให้ถึงมือของชิคิโจ.. นี่เป็นงานสุดท้ายที่อยากข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วย..  เอริคพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า.. พร้อมทั้งเอื้อมมือขึ้นไปจับที่บ่าของเอล.. แล้วพูดขึ้นมาว่า...

                    ข้าฝากเจ้าด้วยนะ... หลังจากพูดจบ เอริคก็ค่อยๆหลับตาลง และมือของเขา ที่จับอยู่บ่นบ่าของเอลก็ร่วงลงไปกองที่พื้น...  

                ลุง.. ลุงครับ.. ไม่นะ... อ้ากกกกกกกกกก  เด็กหนุ่มตะโกนอย่างบ้าคลั่ง....

     

                    เมฆดำทะมึนเริ่มก่อตัวอยู่บนท้องฟ้า.. ฟ้ามืดครึ้ม .. สายฝนค่อยๆสาดลงมา ชำละล้างโลหิต เปลวไฟที่ลุกท่วมหมู่บ้านค่อยๆมอดดับลงเพราะสายฝน...  เด็กหนุ่มค่อยๆบรรจงฝังศพผู้คนในหมู่บ้านทุกคน...  ดูท่าทางของเด็กหนุ่มช่างเศร้าสร้อย....  แต่ใบหน้าของเขานั้นปราศจากน้ำตา... อาจจะเป็นเพราะว่าน้ำตาถูกชำระล้างไปโดยสายฝนที่ตกลงมา.. หรืออาจจะเป็นเพราะน้ำตาของเขาเหือดแห้งไปหมดแล้ว.. แต่ที่แน่ๆคือ จิตใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เสียใจ และความรู้สึกผิดอยู่เต็มไปหมด..

                   

                    หลังจากที่เด็กหนุ่มฝังผู้คนที่ตายจนหมดแล้ว... เขาก็เดินตรงไปที่บ้านของเขา... แต่บัดนี้สภาพบ้านของเขาไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว.. เป็นเพียงซากปรักหักพัง ที่เกิดจากการที่ไฟเผาผลาญ...  เด็กหนุ่มเดินเดินตรงไปที่โรงตีดาบ... เขายกซากอิฐที่กองอยู่กลางโรงอาวุธออกไป. ข้างใต้นั้นมีประตูห้องใต้ดินอยู่... เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดประตูแล้วเดินลงไปข้างล่าง.... เด็กหนุ่มเดินตรงไปที่ลังสีดำซึ่งอยู่ทางมุมซ้ายของห้อง....

                    ลังนี่รึ....เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดฝาลังเหล็กสีดำ...  ข้างในนั้นมีของอยู่สองสิ่ง อย่างแรกคือนั้นมีดาบอยู่1เล่มเป็นดาบคาตานะ ยาวปะมาณ1.3อิยาด์ (ประมาณ130เซนติเมตร) อีกหนึ่งสิ่งเป็นกล่องเหล็กเรียวยาว ขนาดใหญ่กว่าดาบไม่มากนัก รอบๆมีโซ่พันอยู่ พร้อมทั้งจดหมายอีกหนึ่งฉบับ... เด็กหนุ่มจึงเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน

     

               

    ถึง เอล.

                    เอล.. เมื่อเจ้าได้อ่านจดหมายนี่.... ตัวข้าอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว.. เพราะข้าคงจะถูกเจ้าพวกนั้นฆ่าตาย ซึ่งถ้าเคราะห์ร้าย อาจจะทำให้คนในหมู่บ้านต้องคอยรับเคราะห์ไปด้วย... แต่ว่า.. ข้าไม่มีทางเลือก. ..ของสิ่งนี้ เกี่ยวพันกับทุกชีวิตบนโลก จะให้ตกอยู่น้ำมือของเจ้าพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด.. ดังนั้น .. เอล. ข้าอยากจะขอร้อง... ให้เจ้านำของในกล่องที่ข้าใช้โซ่ผนึกไว้ และดาบอีกเล่มหนึ่ง ไปให้กับชิคิโจที่เมืองท่าของจักรวรรดิเอวาริสโดยเร็วที่สุด.. เอล ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถบอกรายละเอียดให้เจ้าได้... และข้าต้องขอโทษกับการกระทำที่เอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวของข้ายกโทษให้ข้าด้วย.... 

                    ข้าดีใจมากที่ได้พบกับเจ้า.. เก็บเจ้ามาเลี้ยงดู... เจ้าเปรียบเสมือนลูกชายแท้ๆของข้านะ... ข้าเชื่อว่า เจ้าต้องสานต่อเป้าหมายของข้าได้ ข้ารักเจ้านะเอล....

     

                                                                                                                                    จาก เอริค  คลัสเตอร์

     

                ลุงครับ.. ผมจะไม่ทำให้ลุงผิดหวังเอลพับจดหมายของเอริค และยัดใส่ไว้ในเสื้อของตนเอง เขาหยิบกล่องที่ถูกผนึกและดาบญี่ปุ่นมามัดรวมไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงใช้ห่อผ้าพันซ้ำอีกชั้นหนึ่ง แล้วจึงหยิบห่อผ้า และเดินออกมาจากห้องใต้ดิน

                    เด็กหนุ่มเอาดาบของตนเหน็บไว้ที่เอว และหยิบห่อผ้าขึ้นมาสะพายหลัง และเดินออกไปถึงที่ปากทางหมู่บ้าน แล้วหยุดยืน และหันหลังกลับมามอง แล้วพูดขึ้นมาว่า...

    เอาล่ะ เราต้องไปแล้วล่ะ จะมัวแต่เสียใจอาลัยอาวรณ์อยู่ก็ไม่ได้เด็กหนุ่มพูดเพื่อเรียกความเข้มแข็งของตัวเองกลับคืนมา

    ลาก่อน หมู่บ้านนอร์ทชายหนุ่มหันหลัง แล้วค่อยๆเดินออกจากหมู่บ้านไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งหมู่บ้านที่รกร้าง ไร้ซึ่งชีวิตคนอยู่เพียงเบื้องหลัง..

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×