คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ฝันร้ายอีกครั้ง
บทที่สอง ฝันร้ายอีกครั้ง
“ไม่!!!!”
เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาในห้องๆห้องนึง... เขาเอามือกุมหน้าผากของตนแล้วส่ายหัว
“ฝันงั้นรึ... ทั้งๆที่ไม่ได้ฝันถึงวันนั้นมานานมากแล้วแท้ๆ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้ง 8 ปีแล้ว ทำไมเราถึงมาฝันเอาในวันนี้อีกนะ..... ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาจากเตียงนอนของเขา.. แล้วเดินไปล้างห้าล้างตาที่ห้องน้ำ...
ในตอนนี้เด็กน้อยได้กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลทอง รูปร่างสูงสง่าขึ้นมาก
“เอล... ตื่นแล้วใช่ไหม... ถ้าตื่นแล้วรีบๆลงมาข้างล่างได้แล้ว” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านล่างของบ้าน
“คร้าบๆ ตื่นแล้ว ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ..” เอลขานตอบรับเสียงนั้น
เอลค่อยๆเดินลงบันไดช้าๆ พอเขาเดินลงมาถึงด้านล่างของบ้าน ก็พบกับชายเจ้าของเสียง...
ชายคนนี้เป็นชายวัยกลางคนสูงราวๆ 185 ซิยาด์(185เซ็นติเมตร) ผมสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแผลเป็นที่ตาข้างซ้าย แต่ดูท่าทางใจดี ชายคนนั้นเดินตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่ม... แล้วเอามือวางบนบ่าของเด็กหนุ่ม... จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า..
“วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ18ปีของแกนี่... ทำไมถึงตื่นสายนัก ลุงเตรียมของขวัญไว้ให้แกแล้วนะ... แต่เอ๊ะ.. ชั้นรู้สึกว่าสีหน้าของเจ้าไม่ดีเลยนะ... ไม่สบายหรือเปล่า...” ชายวัยกลางคนถามเอลด้วยความเป็นห่วง..
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ลุงเอริค ผมแค่ฝันร้ายนิดหน่อยเท่านั้นล่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบ
“ฝันถึงเรื่องสมัยเด็กอีกล่ะสิ” เด็กหนุ่มผงกหัวตอบรับ.. จากนั้นเอริคก็พูดขึ้นต่อว่า... “ชั้นรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่แสนโหดร้าย และยากจะลืม แต่หากเจ้ายังคงคอยนึกถึงแต่เหตุการณ์ในวันนั้น... ฝันร้ายก็จะไม่มีวันจบลงหรอกนะ...” เอริคพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง..
“จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้นึกถึงอีกเลยนะครับลุง.. แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อคืนถึงได้ฝันถึงเหตุการณ์วันนั้นอีก ผมกลัวว่ามันจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีกที่นี่...” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจ
“เจ้าโง่เอ๊ย....” เอริคพูดกับเด็กหนุ่ม...
“ไม่มีใครหรอกนะที่จะโชคร้ายไปตลอดน่ะ... อย่างที่ข้าไปเก็บเจ้ามาก็ถือซะว่าข้าซวยเองที่ไปเห็นเจ้าอยู่ริมแม่น้ำ... แต่เจ้าน่ะสิ กลับโชคดีที่ข้าไปเจอ ถึงได้มาอาศัยอยู่กับยอดช่างตีเหล็กเอริค คลาสเตอร์ คนนี้ไง ฮ่าๆๆๆ” เอริคหัวเราะเสียงดัง ส่วนทางด้านเด็กหนุ่มก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ พลางหัวเราะเบาๆ
“เอาล่ะ... เกือบลืมเลย... ข้ามีของขวัญให้เจ้า ตามข้ามา..” เอริคเดินออกจากบ้านโดยมีเด็กหนุ่มคอยตามเขาไปติดๆ เดินมาอยูดที่บริเวณด้างๆของบ้านที่เป็นโรงตีดาบ.. เอริคหยิบดาบเล่มหนึ่งที่มีผ้าพันไว้ แล้วยื่นดาบเล่มนั้นไปให้กับเอล...
“นี่เอล... ดาบเล่มนี้ ข้าตีอย่างสุดฝีมือ เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ....” เอริคพูดกับเด็กหนุ่ม....
“จริงๆหรอครับลุง... ” เอลรีบรับดาบแล้วค่อยๆบรรจงแกะผ้าที่พันดาบไว้อย่างช้าๆ หลังจากที่ผ้าพันหลุดออกไปเผยให้เห็นตัวดาบแล้ว... เอลก็ต้องตกตะลึงกับความสวยงาน เรียบ และดูคมกริบของดาบเล่มนี่...
“สุดยอดเลยครับลุง... ดาบเล่มนี้ลุงตีได้ยอดมากๆ ” เอลพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมทั้งค่อยๆเอามือลูบไปมาที่ตัวดาบอย่างช้าๆด้วยท่าทางดีใจสุดๆ
“เอาล่ะ.. เก็บเรื่องดาบไว้ก่อน... วันนี้เจ้าต้องขึ้นไปตัดฟืนบนเขาไม่ใช่หรือไง...” เอริคพูดกับเอล...
“อ่า... วันนี้วันเกิดผมไม่ใช่หรือครับ... ขอซักวันไม่ได้หรอ..” เอลพูดด้วยน้ำเสียงพึงอ้อนวอน....
“ไม่ได้.. งานก็ต้องเป็นงาน ห้ามบิดพลิ้วเด็ดขาด...” เอริคพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...
“ใจร้าย.....” เอลบ่นพึมพำเบาๆ แล้วจึงเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดในบ้าน...
หลังจากที่เอลเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก็สะพายดาบเล่มใหม่ที่ได้จากเอริค จากนั้นก็เดินออกจากบ้านมุ่งตรงไปทางภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านเพื่อตัดฟืนทันที...
เอลเดินตามทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ แต่ในใจก็ยังคงว้าวุ่นเกี่ยวกับความฝันเมื่อคืน จริงๆแล้ว ถ้าเป็นปกติแล้วเขาพยายามจะไม่คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก.. เขาพยายามที่จะลืมมัน แต่ฝันเมื่อเช้าทำให้เขากังวลใจยิ่งนัก....
“ทำไมจู่ๆเราถึงได้มาฝันถึงวันนั้นอีกนะ... หวังว่าเรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิดขึ้นอีกครั้งหรอกนะ...” เอลพูดไปพลางถอนหายใจไปพลาง เขาเดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดตรงจุดที่เป็นป่าโปร่งๆ เขาค่อยๆว่าของลงบนพื้นจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า..
“เอาล่ะ.. เราลองทดสอบความคมของดาบใหม่ดูหน่อยก็ดีนะ...” หลังจากพูดจบ.. ชายหนุ่มก็ชักดาบออกจากฝักแล้วฟันไปที่ต้นไม้...
ฉัวะ...
เสียงดาบที่ฟันลงไปบนต้นไม้มันช่างแผ่วเบายิ่งนัก... มิใช่เพียงแค่นั้น ต้นไม้ต้นนั้นตอนนี้ยังคงตั้งอยู่เช่นเดิม....
“เอ๋... เราฟันไปแล้วนี่ ไหงไม่เป็นอะไรเลยล่ะเนี่ย...” เอลพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจพลางเอามือไปแตะที่ต้นไม้ต้นนั้น..
โครม!!!
ต้นไม้ต้นนั้นขาดล้มลงไปกองบนพื้น... เอลมองไปที่รอยฟันของต้นไม้ถึงได้เข้าใจว่า... ดาบเล่มนี้คมมาก ถึงขนาดที่เรียกได้ว่า สามารถตัดสิ่งของได้โดยไม่เหลือรอยฟันเลย....
“ว้าว.... ดาบเล่มนี้ยอดจริงๆ คมอย่างไม่น่าเชื่อ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมทั้งใช้มือค่อยๆลูบคลำดาบของตนอย่างแผ่วเบา
“ดาบดีๆแบบนี้ เราไม่ควรเอามาฟันเล่นให้เสียของเลย.... เอาล่ะ เก็บดาบก่อน แล้วเริ่มหาฟืนดีกว่า..” ชายหนุ่มพูดพร้อมๆกับเก็บดาบของตนเข้าฝัก หลังจากนั้นจึงชักขวานที่สะพายไว้ที่ด้านหลังของเอวออกมาแล้วจึงเริ่มใช้ขวานจามไปที่ต้นไม้ที่ตนใช้ดาบฟันจนล้ม..
เด็กหนุ่มเริ่มทำการผ่าฟืนไปเรื่อยๆ เวลาค่อยๆล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงวัน... เขาก็หยุดการผ่าฟืน แล้วพูดขึ้นมาว่า....
“เฮ้อ... ชักเหนื่อยแล้วแฮะ... วันนี้พอแค่นี้ได้แล้วมั้ง” เอลพูดหลังจากคิดว่าหาฟืนได้ตามจำนวนที่ต้องการพร้อมๆกับใช้มือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาจากใบหน้าของตน หลังจากนั้น.. เขาก็เริ่มนำฟืนที่ผ่าเสร็จมามัดรวมกัน ได้กองฟืนกองหนึ่งหนักราวๆ40กิโลกรัม..
“อ่ะฮ้า... รู้สึกว่าวันนี้เราผ่าฟืนเยอะเกินไปแฮะ... สงสัยเพราะดีใจเรื่องได้ดาบใหม่แน่ๆเลย” ชายหนุ่มพูดไปพลาง หัวเราะไปพลาง แต่แล้ว.. เขาก็ต้องหยุดหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเสียงอะไรบางกำลังฝ่าดงป่าไม้ใกล้เข้ามาทางที่ๆเขาอยู่...
เสียงนั้นอาจจะเป็นสัตว์ป่า หรืออะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่มาก ไม่ก็มีจำนวนมาก.... เอลจึงเริ่มชักดาบเล่มใหม่ของตนออกมาเพื่อเป็นการระวังภัยให้ตัวเอง..... แต่แล้ว เสียงการเคลื่อนไหวนั้นก็หยุดลงตรงบริเวณพุ่มไม้ด้านหน้าของเอล ซึ่งห่างจากเขาไปเพียงห้าถึงสิบก้าวเท่านั้น เอลตั้งท่าเตรียมป้องกันตัว... แต่แล้ว... สิ่งนั้นก็มิได้เคลื่อนไหว... เด็กหนุ่มจึงค่อยๆเดินเข้าไปที่พุ่มไม้นั้นอย่างช้าๆและระมัดระวัง.. แต่แล้ว..... สัตว์ร่างยัก ตัวใหญ่กว่าชายหนุ่มสัก3-4เท่าก็กระโจนออกมาจากพุ่มไม้แล้วพุ่งเข้าไปหมายใช้กรงเล็บอันแหล็มคมตะปบเข้าไปในร่างของเด็กหนุ่ม....
เด็กหนุ่มกระโดดถอยไปด้านหลังเพื่อหลบการโจมตีจากกรงเล็บ... พลางจ้องมองไปยังสัตว์ตัวนั้นอย่างประหลาดใจ...
“เจ้าตัวนี้มัน... หรือว่า.... มันคือมากัส ตะ... แต่ว่า ทำไมมันถึงเข้ามาทำร้ายเราล่ะ....” เอลพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงพึงสงสัย..
สัตว์ตัวนั้นเป็นสัตว์ที่รูปร่างคล้ายหมีที่มีเขา2ข้าง แต่ตัวออกจะใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้ว ชาวบ้านเรียกสัตว์ตัวนี้ว่า.. มากัส.. ตามตำนานของหมู่บ้านว่ากันว่า.. สัตว์ตัวนี้เปรียบเสมือนเจ้าภูเขา ที่คอยดูแล้วรักษาภูเขาลูกนี้ไว้ ดังนั้น โดยปกติแล้ว.. มากัสจะไม่ทำร้ายใคร นอกเสียจากว่าตนเองโดนทำร้ายก่อน
สัตว์ป่าพุ่งตรงเข้ามาหาเอลอย่างรวดเร็ว แล้วใช้เท้าหน้าขวาตะปบเข้าไปที่กลางลำตัวของเขา...
เคร้ง!!!
เด็กหนุ่มใช้ฟักดับรับการโจมตีของเล็บที่ตะปบเข้ามา.. แต่ด้วยแรงของสัตว์ป่า.. จำทำให้เด็กหนุ่มเซไปทางขวาจนเกือบล้ม... สัตว์ป่าจึงฉวยโอกาสใช้เท้าหน้าอีกข้างตะปบไปตรงบริเวณด้านของเอล...
ฟวั่บ!
เด็กหนุ่มก้มตัวลงหลบกรงเล็บพร้อมๆปล่อยมือออกจากฝักดับ แล้วรีบวิ่งอ้อมไปด้านหลังของสัตว์ป่าอย่างรวดเร็ว....
ชายหนุ่มหยุดมองดูเชิงการเคลื่อนไหวของสัตว์ป่า... ตอนนี้เขารู้เหตุผลแล้วว่าทำไมมากัสถึงจู่โจมเข้าใส่เขา... เพราะว่าเขาได้เห็นที่แผ่นหลังของสัตว์ป่านั้นมีลูกธนูปักอยู่ไม่ต่ำกว่า10ดอก อาจจะเป็นเพราะว่ามันกำลังถูกมนุษย์ไล่ล่า... ในขณะที่กำลังหนีก็มาเจอกับเขา ก็เลยเข้าต่อสู้ด้วย...
ชายหนุ่มเริ่มลังเลในเรื่องที่ว่า.. เขาจะจัดการสังหารสัตว์ป่าตัวนี้ดีไหม... เพราะว่าที่มันเข้าจู่โจมเขานั้นอาจจะเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ เขาจึงไม่อยากที่จะฆ่ามัน เนื่องจากปกติแล้วมากัสไม่ได้เป็นสัตว์ที่อันตรายเลย ไม่เคยมีใครในหมู่บ้านโดนมันทำร้ายเลยสักครั้ง
เด็กหนุ่มใช้เวลาไตร่ตรองไปพลาง.. หลบการโจมตีของสัตว์ป่าไปพลาง... จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้... เขารีบกระโดดถอยห่างออกมาจากสัตว์ป่าอย่างรวดเร็ว... แต่สัตว์ป่าก็ไม่ลดละ ยังคงโถมเข้าไปหาเขาอย่างบ้าคลั่ง และหมายใช้เขี้ยวของตนขย้ำไปที่คอของเด็กหนุ่ม
ปึ้ก!!!
เด็กหนุ่มตัวเอียงหลบไปทางซ้ายเพื่อหลบการโจมตีของสัตว์ป่า แล้วจึงใช้ด้ามดาบของตน กระแทกเข้าไปที่ขมับด้านขวาของสัตว์ป่าอย่างแรง จากนั้นสัตว์ป่าก็เดินโซซัดโซเซสักพัก แล้วจึงล้มตึงลงไปนอนกับพื้น...
“ให้ตายสิ เล่นเอาเหนื่อย... เกือบแย่ซะแล้วสิเรา...” เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้น แล้วนอนแผ่หลาลงไปที่พื้นหญ้า... แต่แล้วเขาก็ลุกเข้ามานั่งเกือบจะทันที.. เอามือขวาจับปลายคางของตนแล้วเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงเข้าไปทางมากัส....
เด็กหนุ่มค่อยๆผลักสัตว์ป่าให้นอนคว่ำลง แล้วค่อยๆบรรจงดึงลูกธนูที่ปักที่ตัวสัตว์ป่าออกมาทีละอัน “แปลกแฮะ.. นี่มันลูกธนูของพวกทหารนี่นา... ทำไมมันถึงมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ... หรือว่า...” เด็กหนุ่มหยุดพูด... ใบหน้าของเขาตอนนี้ซีดเผือก อาจจะเป็นเพราะเขาชักรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีซะแล้ว....
“ขอให้ไม่เป็นอย่างที่เราคิดด้วยเถอะ..” เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปเก็บฝักดาบของตน แล้วนำดาบกลับเข้าฝัก แล้วรีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านอย่างรีบร้อน... โดยที่ยังคงทิ้งฟืนที่หามาได้ไว้ที่ตรงนั้น...
เด็กหนุ่มวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านอย่างรีบร้อน... พอใกล้ถึงหมู่บ้าน เขาก็เริ่มเห็นควันลอยเหนือบริเวณที่ตั้งของหมู่บ้าน... จิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มร่ำส่ำระสายไปด้วยความกังวล...
“ไม่นะ... เรื่องแบบนั้น มันจะเกิดขึ้นอีกอย่างงั้นรึ....” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวและยังคงวิ่งตรงไปที่หมู่บ้านของตน.. จนในที่สุดเขาก็กลับมาถึงหมู่บ้านของตน... และเขาก็ได้พบกับสิ่งที่ตนคิด.. สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก... เขาเห็นภาพหมู่บ้านของตนกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุ... ผู้คนตายเกลื่อนกลาด...
“ไม่!!!!” เด็กหนุ่มตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่น้ำตาเริ่มจะคลอที่เบ้าตาของตน...
เขารีบวิ่งตรงไปยังบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมๆทั้งภาวนาในใจให้ลุงของเขาปลอดภัย.. และเมื่อเขามาถึงบ้านของตน ก็พบกับเอริคนอนบาดเจ็บอยู่หน้าบ้านที่กำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง
“ลุงครับ..!!!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก พร้อมๆทั้งรีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเอริคขึ้นนั่ง..
เอริคอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ถูกแทงที่ท้อง แล้วถูกฝันเฉียงจากไหล่ขวาลงมาจนถึงเอวข้างซ้ายเป็นแผลลึก.. แผลขนาดนี้ใครๆก็มองออกว่าไม่มีทางที่จะรอดเด็ดขาด...
“ลุงครับ.. ตื่นสิครับลุง... ลุงต้องไม่เป็นอะไรนะ...” เด็กหนุ่มพูดกับลุงของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว
“อะ.. เอล.. เจ้าเองรึ...” เอริคลืมตาขึ้น และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เอลพยักหน้าตอบรับเอริค แล้วพูดขึ้นมาว่า...
“นี่. นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ .” เด็กหนุ่มถามเอริค..
“พะ.. พวกทหารมันบุกเข้ามาจู่โจมหมู่บ้าน....” เอริคตอบด้วยน้ำเสียงสั่น....
“ทะ.. ทหาร.. หรือว่า เหมือนในตอนนั้นเลย.. เพราะผม.. เพราะผมอยู่ที่นี่... ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้” เอลพูดด้วยน้ำเสียงที่สับสนพลางโทษตัวเอง...
“จะ.. เจ้าบ้า.. ทำไมเจ้าถึงได้คิดอะไรแบบนั้น.. มะ.. มันไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกเอล..” เอริคปฎิเสธ “พวกมันมาเพราะข้าต่างหาก.... เพราะข้า.. เรื่องเลวร้ายแบบนี้มันถึงได้เกิดขึ้น...”
“อะ.. เอ๋.... ทะ. ทำไมล่ะ..” เอลถามพลางสงสัย.....
“หะ.. เหตุผลน่ะช่างมันเถอะ.. ขะ.. ข้าว่า ข้าคงไม่รอดแล้วล่ะ.. ข้ามีเรื่องขอร้องให้เจ้าทำ..” เอริคพูด พร้อมๆทั้งจ้องไปที่ตาของเด็กหนุ่ม
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ.. ผมจะรีบหาทางช่วยลุงเอง..” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยนำเสียงร้อนรน
“เอล!! ฟังข้า....!!! ” เอริคพูดเสียงดังพร้อมๆกับกระอักเลือดออกมา...
“อ่ะ... ครับ..” เอลตอบรับ.. เพราะเขาไม่อยากให้ลุงของเขาต้องออกแรงเค้นเสียงอีกครั้ง..
“เจ้าไปที่ห้องใต้ดินของโรงอาวุธ.... ไปหยิบของที่อยู่ในลังสีดำที่อยู่ข้างในนั้น... นำของนั่นไปส่งให้ถึงมือของชิคิโจ.. นี่เป็นงานสุดท้ายที่อยากข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วย..” เอริคพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า.. พร้อมทั้งเอื้อมมือขึ้นไปจับที่บ่าของเอล.. แล้วพูดขึ้นมาว่า...
“ข้าฝากเจ้าด้วยนะ...” หลังจากพูดจบ เอริคก็ค่อยๆหลับตาลง และมือของเขา ที่จับอยู่บ่นบ่าของเอลก็ร่วงลงไปกองที่พื้น...
“ลุง.. ลุงครับ.. ไม่นะ... อ้ากกกกกกกกกก” เด็กหนุ่มตะโกนอย่างบ้าคลั่ง....
เมฆดำทะมึนเริ่มก่อตัวอยู่บนท้องฟ้า.. ฟ้ามืดครึ้ม .. สายฝนค่อยๆสาดลงมา ชำละล้างโลหิต เปลวไฟที่ลุกท่วมหมู่บ้านค่อยๆมอดดับลงเพราะสายฝน... เด็กหนุ่มค่อยๆบรรจงฝังศพผู้คนในหมู่บ้านทุกคน... ดูท่าทางของเด็กหนุ่มช่างเศร้าสร้อย.... แต่ใบหน้าของเขานั้นปราศจากน้ำตา... อาจจะเป็นเพราะว่าน้ำตาถูกชำระล้างไปโดยสายฝนที่ตกลงมา.. หรืออาจจะเป็นเพราะน้ำตาของเขาเหือดแห้งไปหมดแล้ว.. แต่ที่แน่ๆคือ จิตใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เสียใจ และความรู้สึกผิดอยู่เต็มไปหมด..
หลังจากที่เด็กหนุ่มฝังผู้คนที่ตายจนหมดแล้ว... เขาก็เดินตรงไปที่บ้านของเขา... แต่บัดนี้สภาพบ้านของเขาไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว.. เป็นเพียงซากปรักหักพัง ที่เกิดจากการที่ไฟเผาผลาญ... เด็กหนุ่มเดินเดินตรงไปที่โรงตีดาบ... เขายกซากอิฐที่กองอยู่กลางโรงอาวุธออกไป. ข้างใต้นั้นมีประตูห้องใต้ดินอยู่... เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดประตูแล้วเดินลงไปข้างล่าง.... เด็กหนุ่มเดินตรงไปที่ลังสีดำซึ่งอยู่ทางมุมซ้ายของห้อง....
“ลังนี่รึ....” เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดฝาลังเหล็กสีดำ... ข้างในนั้นมีของอยู่สองสิ่ง อย่างแรกคือนั้นมีดาบอยู่1เล่มเป็นดาบคาตานะ ยาวปะมาณ1.3อิยาด์ (ประมาณ130เซนติเมตร) อีกหนึ่งสิ่งเป็นกล่องเหล็กเรียวยาว ขนาดใหญ่กว่าดาบไม่มากนัก รอบๆมีโซ่พันอยู่ พร้อมทั้งจดหมายอีกหนึ่งฉบับ... เด็กหนุ่มจึงเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน
ถึง เอล.
เอล.. เมื่อเจ้าได้อ่านจดหมายนี่.... ตัวข้าอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว.. เพราะข้าคงจะถูกเจ้าพวกนั้นฆ่าตาย ซึ่งถ้าเคราะห์ร้าย อาจจะทำให้คนในหมู่บ้านต้องคอยรับเคราะห์ไปด้วย... แต่ว่า.. ข้าไม่มีทางเลือก. ..ของสิ่งนี้ เกี่ยวพันกับทุกชีวิตบนโลก จะให้ตกอยู่น้ำมือของเจ้าพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด.. ดังนั้น .. เอล. ข้าอยากจะขอร้อง... ให้เจ้านำของในกล่องที่ข้าใช้โซ่ผนึกไว้ และดาบอีกเล่มหนึ่ง ไปให้กับชิคิโจที่เมืองท่าของจักรวรรดิเอวาริสโดยเร็วที่สุด.. เอล ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่สามารถบอกรายละเอียดให้เจ้าได้... และข้าต้องขอโทษกับการกระทำที่เอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวของข้ายกโทษให้ข้าด้วย....
ข้าดีใจมากที่ได้พบกับเจ้า.. เก็บเจ้ามาเลี้ยงดู... เจ้าเปรียบเสมือนลูกชายแท้ๆของข้านะ... ข้าเชื่อว่า เจ้าต้องสานต่อเป้าหมายของข้าได้ ข้ารักเจ้านะเอล....
จาก เอริค คลัสเตอร์
“ลุงครับ.. ผมจะไม่ทำให้ลุงผิดหวัง” เอลพับจดหมายของเอริค และยัดใส่ไว้ในเสื้อของตนเอง เขาหยิบกล่องที่ถูกผนึกและดาบญี่ปุ่นมามัดรวมไว้ด้วยกัน จากนั้นจึงใช้ห่อผ้าพันซ้ำอีกชั้นหนึ่ง แล้วจึงหยิบห่อผ้า และเดินออกมาจากห้องใต้ดิน
เด็กหนุ่มเอาดาบของตนเหน็บไว้ที่เอว และหยิบห่อผ้าขึ้นมาสะพายหลัง และเดินออกไปถึงที่ปากทางหมู่บ้าน แล้วหยุดยืน และหันหลังกลับมามอง แล้วพูดขึ้นมาว่า...
“เอาล่ะ เราต้องไปแล้วล่ะ จะมัวแต่เสียใจอาลัยอาวรณ์อยู่ก็ไม่ได้” เด็กหนุ่มพูดเพื่อเรียกความเข้มแข็งของตัวเองกลับคืนมา
“ลาก่อน หมู่บ้านนอร์ท” ชายหนุ่มหันหลัง แล้วค่อยๆเดินออกจากหมู่บ้านไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งหมู่บ้านที่รกร้าง ไร้ซึ่งชีวิตคนอยู่เพียงเบื้องหลัง..
ความคิดเห็น