ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Aille's saga

    ลำดับตอนที่ #1 : ตำนานของเหล่าเทพ

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 49


                                                    บทที่หนึ่ง ตำนานของเหล่าเทพ            

    ในค่ำคืนที่พระจันทร์เพ็ญเด่นฟ้าเหนือมหานครแห่งหนึ่ง ในคืนนั้นดาวดาวบนท้องฟ้าได้ถูกกลบด้วยรัศมีจันทร์จนหมดสิ้น....ในค่ำคืนที่สวยงามเช่นนี้ คนทั่วไปอาจคิดว่าช่างเป็นคืนที่สงบสุขยิ่งนัก... อาจจะมีเพียงแต่ชายผู้หนึ่ง ที่ยังคงทำท่าทางเคร่งเครียดเฝ้าดูอะไรบางอย่างภายในผลึกแก้วในห้องพิธีกรรมของปราสาทใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางมหานครแห่งนี้

                    "ไม่.. เป็นไปไม่ได้.... มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่นา..." ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด พร้อมกับเพ่งมองลงไปในผลึกแก้วแท่งนั้น..... อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นอะไรบางอย่างที่อาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง หรืออาจจะเป็นสิ่งที่เขาไม่พึงต้องการจะให้เป็น..

    "บ้าที่สุด... ปีกแห่งซิทาเดล ถูกแบ่งแยกเป็นสองงั้นรึ.... ทั้งๆที่เราได้มาครอบครองหนึ่งแล้ว... แต่ถ้าขาดไปหนึ่งมันก็คงไม่เพียงพอสินะ..."

                ชายคนนั้นค่อยๆสงบใจแล้วพูดขึ้นมาว่า...

                "เอาล่ะ... เราคงต้องตามหาปีกแห่งซิทาเดลอีกข้างให้เจอ"

                หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็ยกมือไปแตะที่แก้วผลึกแท่งนั้น พร้อมกับพูดร่ายคาถาบางอย่าง.....จากนั้นแก้วผลึกก็ฉายแสงสว่างวาบสีแดงเข้มออกมา... แสงนั้นสว่างพอที่จะทำให้แสงที่เล็ดลอดออกไปนั้นทำให้เมืองสว่างขึ้นด้วยแสงสีแดงสายนี้....

                    "ข้าเจอเจ้าแล้ว..." ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏอยู่ที่มุมปาก....

            เปรี้ยง !!!!

                หินผลึกแท่งนั้นระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงดังลั่นไปทั่วปราสาท ร่างของชายคนนี้กระเด็นออกไปกระแทกกำแพงห้องอย่างแรง.....

                    "อั่ก...." ชายคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ ท่ามกลางห้องมีสภาพที่ถูกทำลายเพราะแรงระเบิดนั้น จากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินไปที่ซากของแก้วผลึกอย่างช้าๆ แล้วค่อยหยิบเศษแก้วผลึกที่แตกกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาดู พลางพูดว่า....

    "ชิ... ถึงแม้เราจะรู้สถานที่ของปีกแห่ง ซิทาเดล แต่เราก็ต้องสูญเสียนัยน์ตาแห่งซิทาเดล ไปรึเนี่ย..." ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย "ถ้าเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้น คงจะลำบากในการที่จะตามหาอีกครั้งสินะ..."

    ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดขึ้น.. ทหารจำนวนมากวิ่งกรูกันเข้ามาในห้องพิธีกรรม ทหารหลายคนต่างตกใจกับสภาพความเสียหายของห้องนี้...  ทหารเหล่านี้ ถูกนำมาโดยอัศวินสาวคนหนึ่ง.. ดูคร่าวๆเธอน่าจะอายุเพียง15-16เท่านั้นเอง... แต่ดูจากเสื้อเกราะที่ใส่แล้ว เธอน่าจะมีตำแหน่งระดับสูงในนครแห่งนี้...

                    "ปะ.. เป็นอะไรหรือป่าวคะ.. ท่านชูร่า" อัศวินสาว... พูดด้วยน้ำเสียง เป็นห่วง...

                   

                "ไม่เป็นไร... " เขาตอบกลับสั้นๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจ พร้อมทั้งค่อยๆใช้มือของตนปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่บนตัวตอนที่โดนแรงระเบิด...

                    "ชั้นมีงานให้เธอทำ..." เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมๆกับมองไปทางอัศวินสาวคนนั้น

                   

                    "ท่านต้องการให้ชั้นทำอะไรหรือคะ.. ท่าน.. ชูร่า" อัศวินสาวตอบด้วยน้ำเสียงฉงนเล็กน้อย..  พร้อมทั้งมองไปที่ชูร่าด้วยแววตาพึงสงสัย

               

                ชูร่าหันหลังกลับมาทางอัศวินสาว แล้วค่อยๆเดินไปหยุดตรงหน้าของอัศวินสาว ใช้มือวางไปที่บ่าของเธอ.. แล้วพูดว่า...

                    "เธอต้องไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง....ทางตะวันตกของ อาณาจักร... ห่างจาก อาณาจักรไปประมาณ600คิยาด์ (600กิโลเมตร).. หมู่บ้านนั้นจะมีเอกลักษณ์คือ... มีหอนาฬิกาสีฟ้าขนาดใหญ่ สูงราวๆ 30 อิยาด์ (ประมาณ30เมตร)."

                "ค่ะ.." อัศวินสาวตอบรับ

                "ชั้นต้องการให้เธอ... ฆ่าทุกคนในหมู่บ้านนั้น.... อย่าให้ใครรอดไปแม้สักคนเดียว..." ชายคนนี้ พูดพร้อมทั้งมองจ้องไปที่ตาของอัศวินสาว...

                "ทะ.. ท่านหมายความว่าไงคะ.. ที่ให้ฆ่าทุกคนน่ะ...." อัศวินสาวตอบด้วยน้ำเสียงตกใจ...

                    "ชั้นรู้แต่ว่า.. ปีกแห่งซิทาเดล อยู่ที่นั่น ชั้นไม่สามารถระบุลักษณะได้.. แต่ที่แน่ๆคือ... ที่ทำไป ก็เพื่อความสงบสุขของอาณาจักร... การเสียสละเป็นสิ่งจำเป็น...  เธอจะทำได้ไหม..." เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมทั้งจ้องไปที่นัยน์ตาของอัศวินสาว...

                   

                    อัศวินสาวทำท่าทีลังเลเล็กน้อย... แต่ไม่นานนัก แววตาของเธอก็กลับมาดูเข้มแข็งแน่วแน่ และตอบเขา กลับไปว่า

                    "ค่ะ... ชั้นจะทำตามที่ท่านบอก..."

                    "ชั้นเชื่อในหนทางที่ท่านเลือก ฉันมั่นใจว่า เส้นทางที่ท่านเลือกนั้น เป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด"

                            อัศวินสาวตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ พร้อมกับเงยหน้าแล้วมองไปที่ตาของเขา

                จากนั้นชูร่าก็หันหลังกลับเดินตรงไปที่เศษของผลึกแก้วอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นมาว่า...

                    "เอาล่ะ... ไปได้แล้ว..."

               

                "ค่ะ...!" อัศวินสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉะฉานแล้วเดินออกจากห้องไป....

                    หลังจากที่อัศวินสาวออกไปจากห้อง  ในตอนนี้ห้องนี้เงียบสงบ เหลือเพียงชายผู้นี้เท่านั้น จากนั้น เขา ก็เริ่มเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วหัวเราะเบาๆ.. จากนั้นก็พูดออกมาว่า....

                    "หนทางที่ถูกต้องที่สุดอย่างงั้นรึ... ชั้นหวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ หึหึหึหึ..." หลังจากพูดจบ ชายคนนี้ก็เดินออกไปจากห้อง... เหลือไว้เพียงสภาพห้องที่พังทลายจากแรงระเบิดของแก้วผลึก เหลือไว้เพียงปริศนาในความหมายของเสียงหัวเราะสุดท้ายของชายผู้นี้...

                    ก๊อกๆ

                    เสียงเคาะประตูห้องๆหนึ่งในปราสาทดังขึ้น...

                    "ชั้นขอเข้าไปหน่อยได้ไหม" ชูร่าพูดเพื่อเรียกคนที่อยู่ในห้องๆ..

                    "เข้ามาได้เลยค่ะ." มีเสียงเด็กผู้หญิงตอบรับดังออกมาจากภายในห้องนั้น หลังจากได้ยินเสียงตอบรับ ชูร่าก็เปิดประตูแล้วจึงค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง  ในห้องนี้เป็นห้องที่จัดได้ว่าค่อนข้างที่จะว่างเปล่า มีเตียงหนึ่งหลัง กับตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้เท่านั้น.. ชูร่าเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของเสียง..  เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวๆ10ขวบ   ผมสีทองยาวถึงกลางหลัง หน้าตาน่ารัก นัยน์ตาสีฟ้า แววตาไร้เดียงสา...  เธอนั่งอยู่บนเตียง เงยหน้ามองมาที่ชูร่า..

                    "สวัสดีค่ะ ท่านมหาปราชญ์" เด็กหญิงยิ้มพร้อมๆทั้งกับเอียงคอเล็กน้อย

                    "สวัสดี ข้ามาเยี่ยมเจ้าน่ะ หนึ่งอาทิตย์ที่เจ้ามาอยู่ที่นี่เริ่มปรับตัวเข้ากับสถานที่ได้หรือยังล่ะ" ชูร่าพูดกับเด็กหญิงด้วยท่าทางที่ดูจะเป็นห่วงเด็กผู้หญิงคนนี้อยู่มาก

                "หนูสบายดีค่ะ.. ที่นี่ดีกว่าที่ๆหนูเคยอยู่เยอะ... และก็ หนูดีใจนะคะที่ท่านพาหนูมาอยู่ที่นี่ " เด็กหญิงหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วจึงเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย "มะ..ไม่เคยมีใครใจดี และเป็นห่วงหนูเท่าท่านมหานักปราชญ์มาก่อนเลย " เธอพูดพร้อมๆทั้งร้องไห้.. อาจจะเป็นเพราะเธอนึกถึงอดีตที่ผ่านมา อดีตของเธออาจจะพบเรื่องที่น่าเศร้ามามากมายกว่าจะมาถึงวันนี้...

                    "งั้นรึ.." ชูร่าพูด พร้อมๆกับเดินตรงเข้าไปหาเด็กหญิง เขานั่งลงบนเตียง พร้อมๆกับใช้มือ2ข้างโอบกอดเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้..  "เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะคอยดูแลเจ้าเอง " ชูร่าพูดเพื่อปลอบเด็กหญิง

                   

    "ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าอยากให้เจ้า อยู่เพื่อข้า... คอยทำตามที่ข้าบอก.. แล้วข้าจะคอยปกป้องดูแลเจ้า ตลอดไป..." ชูร่าพูดกับกับเด็กหญิง

    เด็กหญิงเช็ดน้ำตา แล้วจึงตอบรับ

    "ค่ะ.. หนูจะเชื่อฟังท่านมหาปราชญ์ตลอดไป" เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม 

    ชูร่าค่อยๆปล่อยเด็กหญิงออกจากอ้อมแขนของตน แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงที่หน้าประตูห้อง "ราตรีสวัสดิ์นะ.. " ชูร่าพูด พลางมองไปที่เด็กสาวอย่างอ่อนโยน  เขาเปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป...   จากนั้นประตูห้องของเด็กหญิงก็ได้ปิดลง..

      

      

    หลายคืนต่อมา ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง... หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านกัลบาดี้... เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอาณาจักร... มีหอนาฬิกาสีฟ้าสูงใหญ่อยู่ใจกลางหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีบ้านอยู่ไม่ถึง20หลัง.. มีคนอาศัยแค่ราวๆ 40-50คน ในคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด... บ้านทุกหลังต่างปิดไฟ ในยามนี้.. มันช่างมืดสนิทและเงียบสงัดยิ่งนัก... มีเพียงบ้านหลังเดียวที่อยู่ทางด้านหลังสุดของหมู่บ้าน ที่ยังคงมีแสงไฟอยู่....

                   

                    "พ่อครับ.. เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามของเหล่าเทพให้ผมฟังอีกทีสิครับ.." เด็กน้อยผมสีน้ำตาลทอง นัยน์ตาสีเขียวมรกต หน้าตาใสซื่อ พูดพร้อมทั้งมองไปที่ชายผู้เป็นพ่อด้วยสายตาอ้อนวอน...

                    "อีกแล้วหรือ... นี่พ่อเล่าให้ฟังตั้งหลายรอบแล้วนะ..." ชายผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเล็กน้อย..

                    "แต่ผมชอบนี่.. ยิ่งถ้าไม่ได้ฟังก่อนนอนผมนอนไม่ค่อยหลับเลยนะครับ " เด็กชายตอบพ่อของเขาด้วยท่าทีทะเล้นๆ เล็กน้อย...

                    "เฮ้อ... เรานี่จริงๆเลยนะ... " ชายผู้เป็นพ่อพูดพลางถอนหายใจ...

                    "เอาล่ะ.. พ่อจะเล่าให้ฟังครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ..." ชายผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมๆกับมองไปที่ลูกชาย.....

                "ฮิๆ เมื่อวานพ่อก็พูดอย่างนี้นี่..." เด็กชายพูดเบาๆพร้อมๆกับหัวเราะคิกคัก...

                    "เอล.. ตะกี้แกว่าอะไรนะ.." ชายผู้เป็นพ่อหันไปทางเด็กชายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคืองโกรธเล็กน้อย..

                    "ป่าวครับพ่อ.. ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่... รีบๆเล่าเถอะ ผมอยากฟังเร็วๆ" เด็กชายรีบพูดเบี่ยงประเด็น... พร้อมๆกับยิ้มแบบทะเล้นเล็กน้อย..

                    "แกนี่มัน.... เอาเถอะ.. ชั้นจะเล่าล่ะนะ อย่ามาขัดละกัน..." ชายผู้เป็นพ่อพูดพร้อมกับมองหน้าลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง... เด็กชายมองหน้าพ่อ แล้วพยักหน้าขานรับเบาๆ หลังจากนั้นชายผู้เป็นพ่อจึงเริ่มเล่าเรื่อง

                    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... สมัยที่พระเจ้ายังคงทรง ฤทธานุภาพ... คอยปกครอง ดูแลรักษามนุษย์จากความมืดที่แสนชั่วร้ายตลอดมา...  ในตอนนั้นมีเทพเจ้าสูงสุดสี่องค์... องค์แรกคือเทพ มาลาไค เป็นเทพผู้สร้าง.. องค์สองคือเทพ สเกปากอส เป็นเทพผู้รักษาและฟื้นฟูโลก องค์ที่สามเป็นเทพ ธอทารัส ผู้ทำลายความมืดมิดอันชั่วร้าย... องค์ที่สี่เป็นเทพ มาอูเซล ผู้คอยปกป้องและคุ้มครองมนุษย์จากความมืด... ทั้งสี่องค์เป็นเทพที่ทรงฤทธิ์ธานุภาพมหาศาล... ทำให้ความชั่วร้ายไม่อาจก้ำกลายเข้ามาอย่างดินแดนแห่งโซราริส จอมเทพทั้งสี่องค์ต่างร่วมกันดูแลมนุษย์ตลอดมาจนกระทั่งวันนึง...."

               

    "วันนั้น.. เป็นวันที่เกิดสุริยะคราส... เป็นระยะเวลาที่เหล่าทวยเทพอ่อนแอที่สุด... วันนั้น เหล่าความมืดอันแสนชั่วร้าย ได้ถือโอกาสบุกรุกดินแดนแห่งโซราริส เหล่าปีศาจชั่วร้าย มีจำนวนมากมายมหาศาลนับล้านๆตน แต่ละตนล้วนมีรูปร่างใหญ่โต น่าเกลียด และ อัปลักษณ์ ซึ่งผู้นำของพวกมันก็คือ.. จอมมารซิทาเดล ว่ากันว่า จอมมารนั้นมีพลังมหาศาล แค่มันเพียงตนเดียวก็สามารถต่อกรกับเทพเจ้าทั้งสี่ได้อย่างสูสี "

    "อำนาจของจอมมารซิทาเดลนั้นยิ่งใหญ่นัก.. มันสามารถยืดระยะเวลาการเกิดสุริยคราสให้คงอยู่ได้นานนับสิบวัน ตัวจอมมารนั้นมีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร ว่ากันว่าอาจจะสูงเที่ยบเท่ายอดเขาเซเรสที่ตั้งอยู่ใจกลางดินแดนโซราริส มีปีกอันมโหราฬสีดำสนิทถึงสี่ข้าง สองข้างเป็นปีกมังกร และอีกสองข้างเป็นปีกนกอินทรีย์... ยามเมื่อปีกทั้งสี่กางออก จะสามารถบดบางแสงอาทิตย์ได้เป็นระยะทางหลายร้อยคิยาด์ สิ่งเหล่านี้ทำให้จอมมารลำพองใจว่าพลังของตนนั้นยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง... จึงได้ตัดสินใจที่จะก่อสงครามเพื่อแย่งชิงแผ่นดินโซราริสกับเหล่าทวยเทพ โดยมิได้รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย   "

               

    "จอมมารซิทาเดล บอกกับเหล่าทวยเทพด้วยน้ำเสียงที่ดูจองหองอวดดีว่า... "ข้าต้องการปกครองครึ่งหนึ่งของโซราริส.. หากพวกเจ้าไม่ยินยอม ข้าจะใช้กำลังแย่งชิงดินแดนมา..." แน่นอนว่าเหล่าเทพย่อมไม่ทำตามความต้องการของจอมมาร... จึงเกิดเป็นมหาสงครามระหว่างความมืดและแสงสว่าง สงครามครั้งนี้ยาวนานถึง7วัน7คืน... ทั้งฝ่ายเทพและมารต่างสูญเสียเหล่าสาวกของตนไปจนเกือบทั้งหมด... จนสุดท้ายเหลือแต่เพียงสี่เทพกับหนึ่งจอมมาร จอมมารเป็นปีศาจที่ทรงฤทธิ์มหาศาล... มันเพียงแค่ตนเดียวก็ทำให้เหล่าเทพต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก.... การต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาสามวันสามคืนจนในที่สุด จอมมารก็ถูกสี่จอมเทพปราบจนสำเร็จ... แต่สงครามครั้งนั้น ได้ทำให้เทพหนึ่งองค์อยู่ในสภาพถูกจองจำเพราะพลังของจอมมาร และเทพอีกสามองค์ก็ได้รับบาดเจ็บ... จนกระทั่งต้องพักฟื้นเป็นเวลานานจนกระทั่งทุกวันนี้..."

    "เอาล่ะ... จบแล้วล่ะ นอนได้แล้วนะเราน่ะ..." ชายผู้เป็นพ่อ พูดกับเด็กชาย พร้อมทั้งเอามือลูบหัวเบาๆอย่างเอ็นดู

    "ครับๆ ว่าแต่... เท่าที่ฟังแล้วนี่แสดงว่าตอนนี้เหล่าเทพก็คงหลับไหลอยู่ ไม่ได้ดูแลโลกมนุษย์เลยงั้นหรอครับพ่อ..." เด็กชายถามพร้อมกับท่าทางอยากรู้...

    "นั่นสินะ... อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ... ทุกวันนี้โซราริสถึงได้ย่ำแย่ มีสงครามอยู่ตลอด ผู้คนล้มตายมากมาย.. เพราะไอ้จักรวรรดิเอวาริสแท้ๆ"

    "หมายความว่าไงหรอครับพ่อ..." เด็กชายถามด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น....

    ชายผู้เป็นพ่อมองไปที่เด็กชายมองตาของเด็กชาย แล้วแสดงสีหน้าเศร้าเล็กน้อย แล้วพูดกับเด็กชายว่า..

    "ลูกยังเด็ก นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก ตอนนี้ดึกมากแล้ว นอนได้แล้ว เข้าใจไหม..."

    เด็กน้อยพยักหน้ารับคำ แล้วก็เริ่มหลับตาลง จากนั้นชายผู้เป็นพ่อจึงเดินไปดับไฟตะเกียงที่จุดไว้บนโต๊ะหนังสือ แล้วหันหน้าไปทางเด็กชาย แล้วพูดว่า..

    "ราตรีสวัสดิ์ ลูกรัก.."

    เคร้งๆ!!

                    เสียงระฆังเตือนภัยของหมู่บ้านดังขึ้น....  ชายผู้เป็นพ่อมีท่าทีตกใจมาก. วิ่งไปหาลูกชายที่เตียงแล้วบอกให้ลูกของเขาลงไปซ่อนที่ใต้เตียง เด็กชายยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น.. แต่ก็ทำตามที่พ่อสั่ง เพราะเด็กชายรู้ว่าการที่ระฆังเตือนภัยดัง มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

                หลังจากที่ชายผู้เป็นพ่อได้สั่งให้เด็กชายซ่อนตัวแล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปจากห้องของเด็กชาย เด็กชายได้แต่รอพ่อของเขาอยู่ใต้เตียง รอจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปสักพัก... จนในที่สุด ประตูห้องก็เปิดขึ้น ชายผู้เป็นพ่อรีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้วหยุดอยู่ที่เตียง แล้วพูดกับเด็กชายว่า...

                    "ลูกพ่อ ตอนนี้พวกกองทัพของ อาณาจักรบุกมาโจมตีหมู่บ้าน พ่อไม่รู้ว่าทำไม แต่พวกมันฆ่าและเผาบ้านทีละหลัง และอีกไม่นานคงมาถึงบ้านเราแน่ พ่ออยากให้ลูกรีบมากับพ่อ เราจะหนีไปทางป่าด้านหลังของบ้าน...."

                "ครับ " เด็กชายขานรับ พร้อมทั้งรีบคลานออกมาจากใต้เตียง จากนั้น ชายผู้เป็นพ่อจึงรีบจูงมือเด็กชายวิ่งออกทางประตูหลังของบ้าน....

                    "นั่น!!! ตรงนั้นยังมีคนอีก" ทหารนายหนึ่งเห็นสองพ่อลูกวิ่งหนีเข้าป่าไป...

                    "ตามไป อย่าให้หนีรอดไปได้" อัศวินสาวสั่งพวกทหาร จากนั้นจึงรีบติดตามสองพ่อลูกที่วิ่งหนีเข้าไปในป่า

                   "แฮ่กๆ... พ่อ ผมเหนื่อยแล้วนะ..." เด็กชายวิ่งไปพร้อมกับหายใจหอบ...

                   

                    "เราจะหยุดไม่ได้... ถ้าหยุดเราไม่รอดแน่ ทหารพวกนั้นมันฆ่าทุกคนในหมู่บ้าน มันคงไม่ปล่อยให้เรารอดหรอกนะ.." ชายผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

                    "ตะ... แต่ว่า พวกเขาทำไปเพื่ออาไรกันล่ะ.." เด็กชายถาม...

                    "พ่อก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพวกมันฆ่าทุกคนโดยไม่ถามไถ่หรือพูดอะไรเลย... บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า.. อั้ก!!!"

    ลูกธนูก็พุ่งฝ่าความมืดแล้วปักเข้าที่ขาของผู้เป็นพ่อ

     "พ่อ!!!"  เด็กน้อยตะโกนด้วยความตกใจ แต่พ่อของเขาก็เอามือมาปิดปากเด็กน้อยเอาไว้เพื่อไม่ให้ทหารที่ตามมาได้ยินเสียง หลังจากนั้นชายผู้เป็นพ่อก็อุ้มลูกชายพร้อมกับขาอันบาดเจ็บเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้

                    "พ่อ... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ.. พ่อครับ..." เด็กชายพูดกับพ่อของเขาด้วยท่าทีที่ตกใจสุดขีด.. จากนั้นเด็กชายก็เริ่มร้องไห้...

                    "ระ... รีบหนีไป.. ไม่ต้องห่วงพ่อ... พวกทหารกำลังใกล้เข้ามาแล้ว..." ชายผู้เป็นพ่อพูดพร้อมทัดกัดฟันทนความเจ็บปวดจากแผลที่ถูกธนูยิง

    "ตะ.. แต่ว่า ....ผม...." เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงอึกอัก...

                    "ไปซะ พวกมันมาแล้ว อย่างน้อยขอให้ลูกรอดก็ยังดี...... ไป!!!!....." ชายผู้เป็นพ่อผลักพร้อมทั้งตะโกนไล่เด็กชายให้หนีไป..

    "มะ.. ไม่.. ผมทิ้งพ่อไปไม่ได้..." เด็กชายปฏิเสธ

    "เจ้าเด็กโง่เอ๊ย... ถ้าเราอยู่รวมกันก็มีโอกาสรอดยากน่ะสิ... ถ้าหนีแยกกันจะมีโอกาสรอดเยอะขึ้นเข้าใจไหม ลูกเป็นลูกพ่อ ต้องทำได้สิ" ชายผู้เป็นพ่อพูดกับลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    "ไม่ต้องห่วง... พ่อไม่ตายหรอก หยุดร้องไห้แล้วไปซะ..." ชายผู้เป็นพ่อตะโกนไล่เด็กชาย

                     "คะ.. ครับ.. แต่พ่อต้องสัญญานะว่าจะไม่ตาย..."

                "ได้สิ.. พ่อจะไม่ตาย..." ชายผู้เป็นพ่อยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับมองไปที่หน้าที่คลอไปด้วยน้ำตาของลูกชาย..

    หลังจากเด็กชายได้ฟังพ่อของตนพูดเช่นนั้นเด็กชายจึงเอามือปาดน้ำตาของตนเอง... แล้วหันหลังรีบวิ่งจากไป...

                    "ดีมาก.. ลูกพ่อ..." ชายผู้เป็นพ่อมองดูลูกชายวิ่งจากไปแล้วยิ้มอย่างหมดห่วง จากนั้นชายผู้เป็นพ่อก็ค่อยๆขยับตัวแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งที่เหน็บไว้ตรงเอวด้านหลังออกมา ภายในเงามืดเห็นของสิ่งนั้นเป็นเพียงเหมือนแท่งอะไรสักอย่าง... ชายผู้เป็นพ่อจ้องมองสิ่งนั้น พลางพูดขึ้นมาว่า... "บางทีเราคงต้องใช้สิ่งนี้ ขอโทษด้วยนะเอล.. ที่พ่อคงทำตามสัญญาไม่ได้"

                    เด็กชายวิ่งเข้าไปในป่าลึก... เขาพยายามวิ่งโดยไม่หยุดพัก ในใจก็คิดเป็นห่วงพ่อของตน... แต่ก็มั่นใจว่าพ่อของตนต้องไม่เป็นไร เพราะว่า พ่อของเขาไม่เคยผิดสัญญากับเขาเลยสักครั้ง ดังนั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน... เขาจึงเชื่อมั่นว่าพ่อของเขาต้องไม่ตาย...

                    เด็กชายวิ่งไปสักพัก.. เขาก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากไล่หลังเขามา...  จากนั้นเขารู้สึกเย็นสันหลังวาบ เหมือนมีอะไรบินผ่านตัวเขาไปอย่างเร็ว..

            ฉึก!!!

                    ลูกธนูที่ถูกยิงโดยทหารพุ่งเฉียดผ่านตัวเขาไปปักที่ต้นไม้ข้างๆ เด็กชายหน้าซีดด้วยความตกใจ แต่ก็ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เพราะเขารู้ว่า หากเขาหยุดวิ่งเมื่อไร เขาคงจะต้องพบจุดจบด้วยลูกธนูของพวกทหารเป็นแน่ จนกระทั่งเขาต้องหยุดฝีเทาของตัวเอง... เมื่อเขารู้ตัวว่า เขาวิ่งมาถึงในที่ๆไม่สมควรมาเลยจริงๆ  เพราะว่าเด็กชายได้วิ่งมาถึงจุดที่เป็นหน้าผา... ด้านล่างของหน้าผาเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราด ส่วนด้านหลังของเด็กชายก็มีทหารราวๆแปดถึงเก้าคน พร้อมทั้งอัศวินสาวท่าทางเป็นผู้นำกลุ่มทหารอยู่ด้วย...

                    "ไม่มีทางหนีอีกแล้วนะเด็กน้อย…." อัศวินสาวพูดกับเด็กชาย

                    "ทำไม.. ทำไมต้องทำลายหมู่บ้านของเราด้วย" เด็กชายจ้องมองไปที่อัศวินสาวด้วยแววตาโกรธแค้น แต่ใบหน้านั้นยังคงอาบไปด้วยน้ำตา

                    "เธอไม่จำเป็นต้องรู้.. ชั้นทำเพื่อความสงบสุขของโลก จึงจำเป็นต้องมีการเสียสละกันบ้าง.." อัศวินสาวพูด แต่สายตาของเธอมิได้หันไปมองที่ตาของเด็กชาย อาจจะเป็นเพราะว่า เธอก็รู้สึกผิดเกี่ยวกับการกระทำครั้งนี้... อาจจะเป็นเพราะเธอก็ไม่อยากฆ่า แต่ว่าเธอไม่มีทางเลือก หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น... เด็กชายเห็นดังนั้นก็เริ่มมีความหวังรอดขึ้นมาบ้าง.. จึงรีบพูดต่อทันทีว่า..

                    "ความสงบสุขที่ได้มาด้วยการฆ่าน่ะมีด้วยรึไง.."  เด็กชายพูด พร้อมทั้งยังคงจ้องหน้าอัศวินสาวด้วยสีหน้าที่เคียดแค้น....

                    "หยุดพูดได้แล้ว... ไม่ว่ายังไง ชั้นก็ต้องสังหารทุกคนในหมู่บ้านนี้... เพื่อความสงบสุขของแผ่นดินโซราริสแห่งนี้.. ชั้นไม่มีทางเลือก... ขอโทษด้วย...." อัศวินสาวมองหน้าเด็กชายด้วยสายตาเศร้าสร้อย

                "ยิงได้..." อัศวินสาวสั่งให้ทหารยิงธนูใส่เด็กชาย....

                    พริบตาที่ทหารนายหนึ่งกำลังเงื้อธนูขึ้น เด็กชายรู้สึกสิ้นหวัง ทันใดนั้นพ่อของเด็กชายก็วิ่งออกมาจากพงหญ้าด้านหลังของพวกทหาร... พร้อมกับถือระเบิดมือที่จุดไฟแล้ววิ่งตรงใส่กลุ่มทหาร...  อัศวินสาวเห็นดังนั้น รีบกระโดดถอยห่างจากกลุ่มทหารทันที...

                    "ชั้นไม่ยอมให้พวกแกทำอะไรลูกชั้นได้หรอก !!!" ชายผู้เป็นพ่อตะโกนสุดเสียง..

                "ไม่นะพ่อ... อย่า..................." เด็กชายตะโกนห้ามไม่ให้พ่อของตนทำสิ่งที่เขากำลังจะทำ....

            ตูม!!!

                    เสียงระเบิดดังลั่น.... ทหารกลุ่มนั้นโดนระเบิดปลิวกระเด็นไปในทิศต่างๆ อัศวินสาวหลบไปอยู่ห่างจึงไม่โดนแรงระเบิด.. และในใจเธอก็แอบชื่นชมความกล้าหาญชายผู้เป็นพ่อ ส่วนทางด้านเด็กชายก็โดนแรงระเบิดพัดกระเด็นไปทางหน้าผา...

                    "อ้า....... พ่อคร้าบ..........." เด็กชายโดนแรงระเบิดพัดกระเด็นตกหน้าผาไป.... จากนั้น สติของเขาก็ขาดวูบ.. ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย มีแต่เพียงความมืดมิดเท่านั้น

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×