คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ก้าวที่ 1 วางแผน แนวทางการหาคณะที่ชอบ
1
สวัสดีน้องๆที่เปิดเข้ามาอ่านนะคะ สำหรับตอนแรกเริ่มแรกเลย พี่ขอบอกก่อนว่า ที่เขียนนี้ยาวมากๆ
ใครขี้เกียจอ่าน อ่านเฉพาะ ตัวสีแดงก็ได้ค่ะ พี่จะค่อยเป็นค่อยไปนะ ตอนแรกเราจะมาช่วยคนที่ยังไม่มีเป้าหมายก่อน แล้วตอนต่อๆไป ค่อยมาว่าเรื่องวิธีการเตรียมตัวต่างเนาะ เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลย
มาเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเข้ามหาลัยกันดีกว่า
สิ่งแรกสุดที่เราควรทำคือ การวางแผน
น้องๆเคยได้ยินวลีของอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาที่ได้กล่าวเอาไว้ไหมคะ
“ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ จะเอา 4 ชั่วโมงไว้ ลับขวาน”
การลับขวานก็คือขั้นตอนการเตรียมการวางแผนก่อนที่จะตัดต้นไม้ ก็เหมือนกับการเข้ามหาลัย น้องต้องมีการวางแผน มีการเตรียมการ หากวางแผนดี ก็เหมือนได้บรรลุเป้าหมายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
//สำหรับน้องที่มีคณะและมหาลัยในฝันแล้ว ถ้ามั่นใจแน่ชัดแล้ว สามารถข้ามไปอ่านตอนที่ 2 ได้เลยค่ะ//
แต่สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าคณะนี้ มหาลัยนี้จะใช่สำหรับเราไหม ขอให้อดทนอ่านตอนนี้ก่อนนะคะ เพราะเกี่ยวกับคณะที่เราจะเรียนถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเลย หากไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนพอ ก็จะไม่สามารถบรรลุได้นะคะ
แล้ว เราจะทำยังไงเพื่อให้รู้ล่ะ ว่าเราอยากเรียน หรือเหมาะกับคณะไหนกันแน่ พี่มีวิธีที่พี่ใช้มาแนะนำค่ะ
วิธีที่ 1 เลือกวิชาที่ชอบ/ไม่ชอบ หรือสิ่งที่ชอบทำ/ไม่ชอบทำ แล้วลิสต์ออกมาทำการวิเคราะห์
อย่างพี่นะ เรียนสายวิทย์ ในบรรดาวิชาทั้งหมดพี่ก็พอได้ พี่เลยไม่มีวิชาที่ชอบเป็นพิเศษ แต่มีวิชาที่พี่ไม่โอเคที่สุดเลย คือคณิต กับอังกฤษ พี่อ่อน 2วิชานี้มาก ดูได้ยังไงว่าอ่อน คือตอนม.4-5 พี่ติดเกมส์มาก เล่นถึงตี 2 บางวันก็ตี 4 ค่ะ แล้วก็มาหลับที่โรงเรียน หลับทุกคาบ ตื่นเฉพาะตอนบอกทำความเคารพ พี่เป็นหัวหน้าห้องที่หลับตลอดจนครูเอือมค่ะ5555555 บางทีก็ชิวไปนะ แต่พอเกรดออก วิชาอื่นพี่ก็ 4 มี 3.5 บ้าง แต่คณิตเพิ่มเติมกับ อังกฤษ เป็น 2 วิชาที่พี่ได้ 2.5 ค่ะ คือช็อกมากกก เกิดมาในชีวิตไม่เคยได้ 2.5 พี่ก็เลยแบบ รู้เลยว่าพี่อ่อนวิชานี้ พอพี่เริ่มคิดเรื่องมหาลัย พี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าคณะอะไรดี เคยได้ยินรุ่นพี่พูดๆมาว่าให้หาจากสิ่งที่ชอบ ที่พี่ชอบทำคือเล่นเกมส์ กับ อ่านหนังสือ อย่างการเล่นเกมส์เนี่ย คณะที่พี่คิดออกตอนนั้นคือ วิศวะคอม ซึ่งมันต้องใช้เลขสอบ ต้องอ่านแพท 3 วิศวะ กับแพท 1 เลข ซึ่งพี่ไม่โอเคเลย คือทั้งไม่ชอบเรียน ไม่อยากอ่าน ไม่ชอบตัวเลข เห็นโจทย์แล้วปวดหัว ทำมากๆอยากร้องไห้ จะอ้วก พี่ก็ตัดทิ้งไป พอมาคิดอีกที ที่พี่ชอบอ่านหนังสือ พี่ก็คิดออกแค่คณะอักษร พอมาดูวิชาที่ต้องใช้ มีอังกฤษด้วย พี่ก็แบบ เอาไงดีอะ ตอนนี้ก็ถึงคราวตัดสินใจละ ว่าจะไฝว้กับอะไรดี แล้วพี่ก็เลือกไฝว้กับอังกฤษ เพราะว่าพี่คิดว่า เวลาที่อยู่กับภาษาอังกฤษ ถึงพี่จะอ่อน จะว่าพี่มีความทุกข์ใจในการอ่านน้อยกว่าวิชาเลข พี่เลยมุ่งเป้าไปที่อักษรเลย
คนที่รู้ตัวแล้วว่าชอบหรือไม่ชอบวิชาอะไร ก็ลิสต์มาเลยว่า วิชาที่เราชอบ ใช้ในคณะไหนบ้าง สิ่งที่เราชอบใช้ในอาชีพไหน แล้ววิเคราะห์เลือกเอาสักทาง ห้ามหว่านแหเด็ดขาด! ส่วนคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรกันแน่ อ่านข้อ 2 เลยจ้า
วิธีที่ 2 ถ้ายังไม่รู้จักตัวเอง ต้องรีบหา
การตามหาตัวเองสำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ในที่นี้คือ ทำแบบทดสอบฝึกอาชีพตามเน็ทไม่ได้ ถ้าคนที่พอจะรู้จักตัวเองได้ เขาจะสามารถตอบคำถามทางจิตวิทยาที่มีถามอินเตอร์เนตได้ พวกสมมติเหตุกาณ์ ว่าถ้าเป็นแบบนี้ชอบแบบไหนมากกว่ากัน แต่คนที่ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ พี่แนะนำค่ะ ให้น้องหาหนังสือมานั่งอ่าน แบบว่าเอาหนังสือมาหลายๆวิชา คณิต วิทย์ อังกฤษ ไทย สังคม บลาๆ แล้วก็ลงมืออ่านค่ะ แล้วลองดูว่าอ่านวิชาไหนได้สบายใจที่สุด อ่านแล้วสนุก อยากอ่านต่อ อยากรู้ อ่านแล้วไม่รู้สึกอยากขว้างทิ้ง อยากปิด นั่นคือวิชาที่เราชอบค่ะ แต่ถ้าใครอ่านได้ชิวๆทุกวิชา ไม่ได้เกิดความรู้สึกชอบหรือเกลียดเป็นพิเศษ ยังไม่รู้สึกอะไร ให้เดินไปหาอย่างอื่นทำค่ะ แล้วลองสังเกตดู เราอยู่กับอะไรนานๆได้ แล้วลองหาแนวทางกับอาชีพที่เกียวข้องดูค่ะ อย่างบางคนติดโซเชี่ยว ก็ลองคิดดูว่าอยากทำงานด้านนี้ไหม หรือแค่เล่นชิวๆไปวันๆ หรือไม่ก็ลองสังเกตมองห้องตัวเองว่าชอบอะไรที่สุด มีอะไรเยอะที่สุด บางคนในห้องเต็มไปด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับ อาจจะเรียนด้านแฟชั่น บางคนในห้องมีแต่อุปกรณ์กีฬา อาจจะเรียนวิทย์กีฬา บางคนในห้องมีกีตาร์ มีเครื่องเสียง ชอบดนตรี ก็อาจจะไปเป็นศิลปิน ก็ได้ อย่างตัวพี่ ในห้องพี่มีแต่หนังสือค่ะ แล้วก็พวกแผ่นเกม หนังสือเกมส์ แต่หนังสือเยอะกว่า 5555 เป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจ หรือน้องๆอาจจะลองคิดดูว่า เวลาเห็นอะไรแล้วรู้สึกดีที่สุด ชอบที่สุด สถานที่ที่ชอบไปบ่อยๆ อย่างพี่เวลาว่างต้องไปห้องสมุดค่ะ ชอบมากๆเลยเวลาเห็นชั้นที่มีหนังสือเยอะๆ เต็มๆ ชอบกลิ่นกระดาษ เวลาจับหนังสือแล้วรู้สึกดี น้องๆอาจจะลองหาแบบพี่ก็ได้ค่ะ จะได้รู้ว่าชอบอะไร หรือไม่น้องลองสังเกตบุคลิกของตัวเองดูค่ะ แล้วเขียนออกมาให้มากที่สุด บุคลิกแต่ละอย่างจะเหมาะกับแต่ละอาชีพค่ะ แต่ถ้าลองทำทุกวิธีแล้วยังไม่รู้ ไปดูวิธีสุดท้ายกันค่ะ
วิธีสุดท้าย ถามคนอื่น
วิธีนี้เป็นขั้นสุดท้ายแล้วค่ะ คนที่เราควรไปถามก็มี พ่อ แม่ คนในครอบครัว เพื่อนสนิท คุณครูที่สนิท แล้วก็เพื่อนในห้องที่ไม่สนิทด้วยค่ะ ที่ให้ไปถามคนสนิทก่อน เพราะว่าคนที่เขารู้จักเราดี เขาจะเห็นความสามารถของเรา จะรู้ว่าเราเก่ง เราอ่อน มีพรสวรรค์ด้านใด ช่วยได้เยอะเลยค่ะ อย่าลืมถามพวกเขาด้วยนะคะว่าเพราะอะไรถึงคิดยังงั้น อย่างพี่เนี่ย เมื่อก่อนก็เคยฝันด้วยความที่เป็นเด็กวิทย์ ก็มีอยากเป็นหมอ เป็นวิศวะ เป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าง เป็นพิธีกร แต่พอถามคนอื่นว่า ‘คิดว่าเค้าเหมาะเรียนอะไร’ เพื่อนก็ให้คำตอบมาหลากหลายเลยค่ะ
‘นิเทศ เพราะพูดเก่ง กล้าแสดงออก ไฮเปอร์แอ็กทีฟ
ครุ เพราะดุ สอนคนอื่นเป็น
อักษร เพราะเป็นเด็กเนิร์ด เป็นหนอนหนังสือ
สังคมสงเคราะห์ เพราะชอบช่วยเหลือคนอื่น
เลขา เพราะประสานงานดี จัดการเรื่องต่างๆได้เป็นระบบ
ไกด์ เพราะพูดเก่ง แอ็กทีพ กระตือรือร้น
แม่ค้า เพราะเป็นคนที่หว่านล้อมคนเก่ง รู้จักวิธีรับมือกับผู้คน ต่อรองเก่ง’
ตอนแรกพี่ฟังๆก็ขำค่ะ 5555555 คือแต่ละคนก็จะมองตัวเราในมุมที่ไม่เหมือนกันเนาะ แล้วก็อย่าลืมถามคนที่ไม่สนิทด้วยนะคะ สำคัญมาก เพราะมุมที่คนไม่สนิทมองเรา จะเป็นมุมของเราที่เด่นที่สุด เพราะคนที่ไม่ค่อยสนิทกัน เขาไม่ค่อยรู้จักเรา สิ่งที่เขารู้จักคงจะเป็นสิ่งที่เราแสดงออกให้คนทั่วไป สังเกตและจับจุดได้ที่สุดค่ะ อย่างอาชีพแม่ค้า พี่ได้มาจากเพื่อนในห้องค่ะ อยู่คนละกลุ่มกัน มันตอบทีพี่เงิบเลยค่ะ บอกเลยยยย 5555555
การหาตัวเองนี่ยากมากเลยนะคะ เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดเลย มันไม่ใช่อะไรที่ใครทุกคนจะหาเจอ อย่างเพื่อนพี่คนนึง จะสมัครแอดมิชชั่นอยู่แล้ว ยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าอยากเรียนอะไร แต่ไม่ต้องเครียดค่ะ ถึงแม้น้องจะไม่รู้จริงๆ ทำยังไงก็ไม่รู้จริงๆ ก็ปล่อยมันไปค่ะ ช่างมันเถอะ แต่พี่ว่าถ้าน้องได้ลองทำทั้ง 3วิธีแล้ว คงจะพอมีลางๆบางอย่างให้น้องรู้แน่นอนค่ะ สู้ๆนะคะ พี่เอาใจช่วยให้ทุกคนหาตัวเองเจอค่ะ
*บอกก่อนเลย เรื่องค่านิยมมหาลัยอย่าดราม่ากะพี่นะคะT^T พี่ถูกสิ่งแวดล้อมปลูกฝังมาอย่างนี้อ่ะเนาะ เข้าใจพี่นะ อ่านแบบเปิดใจกว้างๆนะคะ
เอาล่ะมาต่อเรื่อง มหาลัยกัน
หวังว่าตอนนี้น้องๆคงจะได้คณะในดวงใจกันแล้วเนาะ ต่อมาก็มาดูสิ ว่าเราจะเข้ามหาวิทยาลัยไหน เรื่องคณะสำคัญมากก็จริงแต่เรื่องมหาลัยก็สำคัญไม่แพ้กันนะคะ น้องๆที่มีมหาลัยในฝันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ขอให้ตั้งใจพยายามให้เต็มที่นะคะ ลองถามจากรุ่นพี่ที่เขาเรียนคณะนั้น มหาวิทยาลัยนั้นดู ว่าเขาทำยังไงถึงเข้าได้ เขาอ่านหนังสือหนักแค่ไหน ส่วนคนที่ยังไม่รู้ลองถามคุณพ่อคุณแม่ดูก็ได้ค่ะว่าอยากให้เรียนที่ไหน ถ้าท่านเปิดฟรีให้น้องเลือกเอง แนะนำว่าให้ลองไปมหาลัยนั้นดูค่ะ มันอาจจะเกิดความรู้สึกอยากเรียนเกิดขึ้นในใจของน้องก็ได้ค่ะ
การหาคณะที่อยากเข้าเจอจะทำให้เรารู้ว่าจะต้องอ่านวิชาอะไร
ส่วนมหาวิทยาลัยนั้นจะทำให้เรารู้ว่าจะต้องพยายามหนักแค่ไหน
___________________________________________________________________________
อย่างของพี่ จะเล่าให้ฟัง พี่มีความทรงจำที่ไม่ดีมากๆ เกี่ยวกับการสอบเข้าค่ะ คือตอนม.ปลาย พี่ไม่ติดทั้งมหิดลวิทยานุสรณ์ ไม่ติดทั้งเตรียมอุดม สาเหตุคือ ตอนม.ต้น ม.1เลยค่ะ พี่อยากเป็นหมอ ตั้งใจอ่านหนังสือมาก กลับมาบ้านก็อ่านหนังสือ ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนก็ตื่นมาอ่านหนังสือ ทำไปได้จนถึงม.2 กลางๆเทอมค่ะ แล้วพี่ก็เลิก ทะนงคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว พอม.3 พี่มีความรักค่ะ หนังสือหนังหาไม่อ่านเลยค่ะ คือพี่ก็คิดว่าอ่านมาตั้งเยอะม.1 ม.2 น่าจะพอแล้ว ทะนงตน คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว พอผลออกมาไม่ติดมหิดล เฟลมากค่ะ เสียใจมาก อกหักด้วย ไม่มีอารมณ์จะอ่านหนังสือเพื่อสอบเตรียมเลย ก็ไม่ติดสิคะ 5555 ได้ที่1500 จากที่รับ 700 ประมาณนั้นค่ะ คือตอนนั้นแบบรู้สึกแย่มาก แม่เสียใจ เพราะเหมือนแม่พี่ก็คอยเชียร์อยู่อ่ะเนาะ เห็นพี่อ่านหนังสือตั้งแต่ม.1 พอพี่ไม่ติดเลยเสียใจ พี่รู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตอ่ะ แย่มาก คิดว่าไมเป็นงี้วะ ดื้อก็ดื้อ พ่อแม่บอกอะไรก็ไม่ฟัง ช่วงนั้นเริ่มเป็นวัยรุ่นค่ะ ดื้อมากกกก แม่บอกตอนนั้นดื้อที่สุดเลย สอบก็ไม่ติด แม่เสียใจ แต่พี่ก็ยังติดห้องกิฟต์ของโรงเรียนเก่า ก็เลยไม่ได้แย่อะไรมาก แล้วพี่อ่ะ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ มีความฝัน 2 อย่าง คืออย่างแรก พี่อยากให้แฟนเก่าพี่กลับมา อย่างที่ 2 พี่อยากไปเยอรมนี จนพอขึ้นมาม.4แฟนเก่าพี่ก็กลับมาค่ะ แต่ว่าก็เลิกกัน พี่เสียใจมาก พี่เลยกลายเป็นเด็กติดเกมส์เลยค่ะ อย่างที่บอกไปข้างต้นเนาะ แต่พี่ยังเหลือความฝันอีกอย่างที่อยากไปเยอรมนี เพราะพี่เคยอ่านหนังสือ เขาบอกว่า ประเทศที่เหมาะกับคนกรุ๊ปโอคือเยอรมนี พี่เลยอยากรู้ว่าทำไมถึงเหมาะ พี่เลยขอแม่ไป ตอนแรกพี่สอบ AFS นะ ไม่ติดค่ะ 5555 คือตอนนั้นพี่กากอังกฤษมาก อย่างที่บอก พี่เฟลมาก แต่เพื่อนพี่บอกว่า ให้ลองพยายามใหม่ พี่เลยไปสอบ YES ค่ะ แล้วก็คะแนนผ่าน เลือกเยอรมนีได้ แม้จะเสียเงินเต็มจำนวณแต่แม่พี่ให้ไปค่ะ พี่ก็ไปแลกเปลี่ยนช่วงที่เพื่อนๆอยู่ม.6เตรียมเอนทรานซ์กัน พี่สนุกมากกก สบายมากก พี่ก็ยังชิวๆนะ ไม่ได้คิดไรเรื่องอนาคตตัวเองเลย จนพอตอนที่จุฬาประกาศผลรับตรง แล้วเพื่อนพี่มันติดกันรัวๆนี่ล่ะ
พี่น้ำตาไหล
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงที่ตัวอ่ะ เหมือนถูกบีบหัวใจ หายใจไม่ออก รู้สึกอึดอัดใจหาย แล้วแบบเคว้งมากๆ คือไรวะ เพื่อนติดจุฬา มหาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ แล้วฉันล่ะ ทำบ้าไรอยู่ แล้วพี่ก็เริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวของการแอดมิชชั่นเลยค่ะ คือมันก็มีทั้งคนที่ติดจุฬาแล้วก็ไม่ติดอ่ะเนาะ พอลองเปรียบเทียบความรู้สึก คือพี่อ่ะรู้นะว่าแม่พี่อยากให้เข้าจุฬา แต่พี่ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่มีแม้แต่คณะที่ชอบ ตอนนั้นล่ะ ที่พี่เริ่มมาคิดวิเคราะห์ตามที่ได้บอกน้องไปตอนที่แล้ว พอได้มาว่าคณะที่จะเข้าคืออักษร พี่ก็วางจุดเลยว่าต้อง อักษร จุฬาเท่านั้น พอเป็นคำว่า จุฬา ทุกอย่างดูน่ากลัว อย่างที่หลายคนรู้หรือถูกปลูกฝังอ่ะเนาะ มหาลัยอันดับ 1 ของประเทศ การจะเข้าไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกสายตาทุกเป้าหมาย ทุกคนที่ทะเยอทะยานล้วนแก่งแย่งเพื่อจะเข้าไปทั้งนั้น นั่นคือความรู้สึกของพี่ตอนนั้นเลยค่ะ กดดันมากๆๆๆ กลัวทำไม่ได้ กลัวจะพลาด กลัวทำแม่เสียใจ กลัว กลัว กลัว กลัว มีแต่คำว่ากลัวไปหมด พี่บอกแม่ แม่พี่ก็ปลอบว่าไม่เป็นไร ถึงไม่ได้ แม่พี่จะให้เรียนเอกชน พี่ยิ่งเครียดดิ คือแบบทำไมแม่กับพ่อยอมเสียเงินให้มาเยอรมนี แล้วถ้าลูกคนนี้ไม่เอาถ่าน ไม่ติดมหาลัยรัฐ ยังจะยอมให้เรียนเอกชนแพงๆอีก พี่รู้สึกว่าตัวเองแย่ มาก บัดซบอ่ะ TT ลองคุยกับเพื่อนในกลุ่ม มีทั้งคนที่ติดและไม่ได้ติดจุฬา พี่ก็บอกว่า พี่อ่ะอยากเข้าอักษร จุฬา เพื่อนพี่มันบอกว่า
‘มันเสี่ยงนะ ลองมองที่อื่นไหม’ บางคนก็บอกว่า ‘คะแนนสูงนะ จะไหวหรอ’
‘คนที่เข้าอักษร จุฬาได้ มีแต่คนเมพๆอังกฤษเท่านั้นล่ะ’
คือจากที่พี่กดดันอยู่แล้ว พี่ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่อ่ะ เพราะเหมือนเพื่อนยังไม่เชื่อเลยว่าพี่จะทำได้ ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนสักคนที่คิดว่าพี่ทำได้ พี่เฟลมาก เสียใจหนักเข้าไปใหญ่อ่ะ เหมือนแบบ เออ ก็รู้นะว่าที่เพื่อนพูดน่ะ ที่เพื่อนดูถูกอ่ะ เพื่อนดูพี่ได้ถูกแล้ว พี่กากจริงๆ แต่ก็เสียใจอ่ะ เหมือนอุตส่าห์หาสิ่งที่ต้องการเจอ แต่กลับมีแต่คนบอกว่า ไม่สามารถจะทำได้ มันก็เฟลอ่ะ
จนพี่ได้คุยกับเพื่อนสนิทอีกคนนึง ขอใช้ชื่อว่า พี่เอนะ มันติดวิศวะคอม จุฬา เป็นคนที่พี่ไว้ใจมาก ถึงจะอยู่คนละโรงเรียน แต่พี่ปรึกษามันตลอด พี่เล่าให้มันฟังว่า พี่กลัวพี่ทำไม่ได้ กลัวไม่ติดอักษร ฬ กลัวทำแม่เสียใจ แล้วมันกลับบอกพี่ว่าอะไรน้องรู้ไหม มันบอกพี่ว่า
“อย่างแกได้อยู่แล้ว
ไม่ต้องเครียดๆ
ไม่ต้องกลัว
เค้าเคยกลัวนะ
คิดว่ามันจะได้ยาก
แต่ไม่จริงเลยแก
เปิดรับหลายรอบมาก ทั้งตรงทั้งแอด
ดูเหมือนจะมีคนเก่งเยอะ แต่ยังไงถ้าหวังแล้วตั้งใจยังไงก็ได้
แต่เค้าว่าแกได้ 100 เปอ
จริงๆ”
คือแบบ ตอนนั้นพี่โค่ดรู้สึกดีอ่ะ เหมือนกับว่าพี่ได้รับกำลังใจจากมัน ความรู้สึกแย่ๆหายไปหมด เหมือนมันได้ช่วยเยียวยาให้หัวใจที่เคยเจ็บ เคยแหลกเพราะคำดูถูก กลับมามีชีวิต มีความกล้า มีแรงอีกครั้ง คือมันเป็นคนแรกเลยนะที่เชื่อ ที่บอกว่าพี่จะทำได้ มันเชื่อพี่ในขณะที่ไม่มีใครเชื่อ มันเชื่อ ในขณะที่พี่ไม่แม้แต่จะเชื่อตัวเอง พี่รู้สึกดีมากจริงๆ หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มหาเลยว่าต้องสอบวิชาไหน อัตราส่วนเท่าไหร่ กำหนดการสอบต่างๆ ตามข่าวสาร ใช้เวลาที่ยังอยู่เยอรมันไล่อ่านแกรมม่าเยอรมัน ฝึกอังกฤษ แล้วตอนหน้าพี่จะมาบอกว่าพี่อ่านหนังสืออะไรบ้าง แบ่งเวลามีวิธีอ่านยังไง เพราะยิ่งพี่อยากเข้าจุฬาให้ได้ พี่ยิ่งรู้สึกว่าต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น ยิ่งมีคนที่คอยให้กำลังใจ คอยเชียร์ คอยดูอยู่ พี่ยิ่งรู้สึกว่า จะทำให้มันผิดหวังไม่ได้ พี่น่ะ อยากจะให้ไอ้พี่เอมันเห็นว่า มันคิดถูก ที่เชื่อว่าพี่ทำได้ แล้วพี่ก็อยากพิสูจน์ให้คนที่บอกว่าพี่ทำไม่ได้ ให้รู้ไปเลย ว่ามันอ่ะ คิดผิด!!
จบไปแล้วสำหรับตอนแรก สำนวนอาจจะยังไม่ดีเท่าไหร่ แต่หวังว่าน้องๆที่เคยถูกดูถูก เคยเสียใจจากคำพูดของคนอื่น จะได้เห็นเรื่องราวของพี่ ว่าพี่เองก็เคยเจอแบบน้องๆเหมือนกัน พี่เข้าใจ เราไม่ต่างกัน มีทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ พี่ก็อยากให้น้องแปรเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้เป็นพลัง มาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เข้มแข็งนะหนู
ตอนหน้าเจอกันจ้า
#Moyaki
______________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น