ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนแฮงค์หาทางแก้ก่อนนะ
เช้าวันต่อมา
" คุราปิก้า เราต้องเดินทางกันแล้วนะ " คุโรโร่ปลุกคุราปิก้าที่นอนหลับสนิท
" อืม........ไปตอนกลางคืนไม่ได้หรอ.....ฮ้าว...แสงตอนเช้ามันทำให้ข้าปวดไปทั้งตัว "
" เฮ่อ.....ก็เผื่อว่าจะได้ภูมิคุ้มกันมาอีกไงล่ะ จะได้เดินทางสะดวกหน่อย ต้องทนไว้รู้ไหมถ้าได้ภูมิคุ้มกันมาล่ะสบายเลยนะ ข้าจะได้พาไปนูนี่ได้สะดวกด้วย ข้าไม่อยากแบกโลงศพเดินไปเดินมาหรอกนะ " คุโรโร่พูดพลางดึงคุราให้ลุกขึ้น
" งืมๆ.......ก็ด้าย หยิบเสื้อให้หน่อยดิ "
" เอานี่.........เฮ้ๆอย่าเปลี่ยนตรงนี่สิ " คุโรโร่พูดขึ้นเมื่อคุราเริ่มถอดเสื้อผ้าออกตรงนั้นเลย
" ทำไมผู้ชายด้วยกัน "
" ก็ชั้นไม่ได้คิดว่านายเป็นผู้ชายนินา ไปไป๊เดี๋ยวจับกดซะหรอก " คุโรโร่ไม่พูดป่าว ยังดันคุราเข้าห้องน้ำไปแล้วปิดประตูทันที
" เชอะ....ยั่วไม่ได้ผลอีกแล้ว ชิชะน่าเบื่อจริงๆเลย คนไร้อารมณ์เอ้ย " คุราบ่นโดยหารู้ไม่ว่าความจริงแล้วไอ้คนไร้อารมณ์ที่ว่านะแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ยังดีที่ยังคุมสติได้
" เสร็จแล้ว....... " คุรปิก้าออกมาจากห้องน้ำ เค้าใส่ชุดสีดำทั้งตัวแบบมาเพีย แล้วหยิบแว่นดำมาใส่พร้อมกับหมวก
" ไปกันเถอะ " คุโรโร่พูดพลางเดินออกไปข้างนอกก่อน ทันทีที่คุราปก้าโดนแสงเพียงเล็กน้อยแขนข้างซ้ายก็กลายเป็นหิน ทำให้คุราปิก้าล้มลงไป แต่คุโรโร่ที่เดินไปก่อนนั้นไม่ได้มองเค้าเลย
" อึก.........เจ็บ....คุโรโร่..........ชั้นไม่ไหว " ทันทีที่เค้าเอ่ยว่าเจ็บคุโรโร่ก็หันมาเพราะเสียงของเค้าทันที ร่างสูงวิ่งเข้ามาดูอาการของร่างบางอย่างตื่นตระหนก เค้าไม่น่าบังคับร่างบางเลยรู้ทั้งรู้ว่าอาจเป็นแบบนี้แต่ก็อดที่จะลองไม่ได้ เมื่อมองดูแขนของร่างเล็กแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ แขนที่เป็นหินนั้นมันค่อยๆลามไปเกือบทั้งตัว
" ไม่เป็นไรนะคุราปิก้า กลับเข้าไปกันก่อนเถอะ " ว่าแล้วร่างสูงก็อุ้มร่างบางที่สลบไปแล้วขึ้นมาแล้วเข้าไปในห้องทันที ในใจก็กลัวแสนกลัวว่านักล่าจะอยู่แถวนี้แค่ร่างบางเข้าห้องได้ก็โอเคแล้วเพราะได้กางเขตอาคมให้ใครเข้าไปไม่ได้ไว้ พอร่างสูงวางคุราปิก้าไว้บนเตียงแล้วก็เดินออกจากห้อง
คุโรโร่วนไปมาที่บริเวณที่คุราปิก้าล้มลงไปก็เหลือบไปเห็นหยดน้ำบนประตูเข้าจึงแตะขึ้นชิมดูแล้วตาเบิกโผล่ง
" ไม่ใช่แสง.....น้ำมนณ์ตะห้กที่ทำร้ายคุราปิก้า....อั๊ก!! " คุโรโร่เอ่ยเบาๆก่อนที่จะล้งลงไปกับพื้น
" แหม.........รูด้วยหรอเนี่ย ไม่แปลกนินะคุณนักล่านอกรีต จอมเวทแห่งมนณ์ดำ เทวดาปีกดำ แล้วยังมีอะไรอีกนะที่คนชอบเรียกนายนะหืม.....ใช่ๆ เทพซาตาน................ " นั่นคือเสียงและใบหน้าสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่จะสลบไปความคิดแล่นเข้ามาในหัวข้อมูลของชายตรงหน้า....นั่นคือฮิโซกะ 1 ในนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด สันชาตญาณบอกออกมาว่าหมอนี่รู้เวทมนณ์.........ถึงเค้าจะรู้มาว่าหมอนี้ชอบแกล้งปล่อยเหยื่อให้เก่งก่อนแล้วค่อยฆ่าก็เถอะโดยที่ไม่มีคนจับได้เลยแม้แต่เหยื่อเองก็เถอะแต่....เค้าจะรอดไหมเนี่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งห่วงแสนห่วงคนรักที่นอนทรมาณเพราะน้ำมนณ์นั่น เพราะเค้าเองแท้ๆทำให้คนๆนั้นเป็นห่วงอีกแล้ว แย่จริงๆ
กลับไปที่คุราปิก้า
" อึก....อะเบตา...ลูเอล......อา...ไซบา........อ๊า!! " ตอนนี้ตัวเค้าเองไม่สามารถร่ายมนณ์ในใจได้อย่างเตยเพราะสมาธิถูกผูกติกอยู่กับความเจ็บปวดจึงต้องพูดมนณ์ออกมาอย่างยากลำบาก พอร่ายจบร่างกายที่กลายเป็นหินก็ค่อยๆกลับสภาพเดิมแต่ก็สร้างความเจ็บปวดไม่น้อยจากการร่ายเวทนี้ถึงจะหายจากการเป็นหินแต่ก็จะได้รับคาวมเจ็บปวดมาก แล้วเค้าก็รู้สึกถึงความผิดปรกติบางอย่างจิตของคุโรโร่หายไปจากอาณาเขตของเค้า
" คุโรโร่.......คุโรโร่!!...........อึก...นายอยู่ไหน............ " คุราปิก้าพยายามลุกขึ้นแต่ก็เจ็บไปทั้งตัวแทบจะขยับไม่ได้ แต่ก็ฝืนลุกขึ้นพลางลากสังขารออกนอกห้องทั้งๆที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน โดยไม่สนใจสภาพตนเอง แล้วก็มองไปพบหินสีรุ้งที่พื้นก่อนจะร่ายมนณ์บางอย่าง
" ไทม์....รีมูฟ.......อิน...สตอ..รีฟิล อะ ไซ ริ เซีย " ภาพความทรงจำของหินก้อนนั้นก็ปรากฏออกมาทั้งภาพของฮิโซกะที่อุ้มคุโรโร่ไป ทุกๆอย่างเค้าเห็นทั้งหมด
" ......ฮิโซกะ.............ต้องไปที่โบสถอะซีเนีย สินะ...........อาณาเขตของเจ้านั่น....................... " ว่าแล้วคุราปิก้าก็ล้มลงไปทันที
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาล่ะจะมาบ่นให้ฟังนะเกี่ยวกับเจ้าคุโรกับคุรา เชิญฟัง
คุราปิก้าในสมัยก่อนเป็นนักบวชธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับนักล่าเลย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นก็คือสงครามของแวมไพร์กับมนุษย์ คุราปิก้าเป็นคนที่มีพลังเวทที่แข็งเกร่งมากแต่ไม่ยอมใช้ทำร้ายใครใช้แค่รักษาคนเท่านั้น และในสงครามมีแวมไพร์บุกเข้ามาหมายจะทำให้ทุกคนในเมืองกลายเป็นแวมไพร์
ซึ่งคุราปิก้าก็สร้างบาเรียกันพวกนั้นเอาไว้ทำให้ทุกคนรู้ว่าคุราปิก้ามีพลังเวทมหาสารพอข่าวไปเข้ารูหูของสมาคมนักล่าแวมไพร์ ก็รีบส่งคนมารับคุราปิก้าแต่คุราปิก้าไม่ต้องการจะไปทำให้โดนขู่ว่าจะฆ่าคนในหมู่บ้านทำให้คุราปิก้าต้องไป คุราปิก้าได้โดนจับคู่ทำงานกับคุโรโร่ ซึ่งคุโรโร่ก็โดนเรียกตัวมาเหมือนกันเพราะตอนที่เกิดสงครามคุโรโร่ใช้พลังฆ่าแวมไพร์ทั้งหมดที่มารุมตนเองได้ในพริบตาแต่ก็ทำให้ผู้คนล้มตายไปไม่น้อยจากการใช้พลังนั้น
ทั้งคุราปิก้าและคุโรโร่เมื่อมาเจอกันก็เหมือนแม่เหล็กดึงดูดเหมือนแสงสว่างที่อยู่ไม่ได้ถ้าขาดความมืดและความมืดก็อยู่ไม่ได้ถ้าขาดแสงสว่าง แล้วการต่อสู่กับแวมไพร์ครังสุดท้ายนั่นคุโรโร่ถูกจับตัวไปโดยแวมไพร์ส่งข้อเวนอมาว่าให้ยกตัวคุราปิก้าให้พวกนั้น ตอนแรกนักล่าไม่ยอมเพราะว่าถ้าให้คุราปิก้าไปก็จะทำให้เสียเปรียบมากขึ้นแต่ถ้าคุโรโร่หายไปก็ไม่เสียอะไรซักอย่าง คุราปิก้านั่นมาล่าแวมไพร์เพราะโดนขู่แต่ใจจริงเค้าไม่อยากฆ่าเลยซักนิด เค้าจึงไม่สนใจทั้งนักล่าและแวมไพร์ เค้าตัดสินใจเดินทางไปช่วยคุโรโร่
คุราปิก้ารู้ว่าไม่มีใครช่วยจึงได้บุกเดี่ยวเข้าไปในปราสาทแวมไพร์ แต่กลับพบงานเลี้ยงต้อนรับของแวมไพร์ แวมไพร์อาวุทโสคนนึงกล่าวไว้กลับคุราปิก้าว่า " เราต้องการให้ท่านมาเป็นราชาแวมไพร์ของเรา ท่านนั่นมีจิตใจเมตตาเหลือล้น ถ้าเป็นท่านจะต้องทำให้มนุษย์หันเข้ามารวมอยู่ด้วยกันกับเราได้แน่ๆ........อย่าได้สงสัย คำทำนานแต่โบราณกล่าวไว้ว่า บุรุษประเสิธชี้ทางสู่สันติ ราชาแวมไพร์ดั่งนักบุญชักพา ราชาสมนุษย์ดั่งเจ้าชีวิตที่เทิดทูน ผู้นักมิอาจเกิดเป็นสิ่งใดเล่าแม้เป็นแวมไพร์ยังมิกล้าฆ่าใคร อาจหาญดุจดั่งสายนฤา แม้เป็นมนุษย์ยังปกป้อง มิใครใครลำบาก ดั่งแสงสีทองแห่งยุคเรื่องรองดั่งสายน้ำที่สงบไม่ไหวติง มีเพียงความทุขของประชาจะสั่นคลอ....................นั้นคือท่านไม่ผิดแน่ ถึงแม้ว่าคำทำนายนี้ยังไม่ได้บอกอออกมาทั้งหมดก็ตาม เนื้อหาในส่วนอื่นๆก็ยังมีความหมายคล้ายๆแบบนี้.......แม้ว่าถ้าท่านกลายเป็นแวมไพร์แล้วจะทำต้องฆ่าใครก็ตามเราก็ต้องได้ท่านมา " คำพูดนั้นคุราปิก้าไม่ได้เข้าใจเลยแม้แต่นิด แต่เค้าก็ยอมเป็นราชาให้พวกนั้นแต่ก็ไม่เคยที่จะแตะต้องเลือดเลย ส่วนคุโรโร่ก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วไม่ยอมออกจากข้างกายของคุราปิก้าเลย คุโรโร่จึงเป็นมนุษย์คนเดียวในปราสาทที่คุราปิก้าได้สั่งไว้ว่าห้ามใครแตะต้อง คุราปิก้าได้ศึกษาเวทมนณ์ต่างๆของแวมไพร์ทำให้เค้ารู้จักทั้งเวทมนณ์แห่งแสงสว่างและเวทมนณ์แห่งความมืดหรือเวทมนณ์ดำนั่นเอง ผ่านไปนานวันก็ยังคงไม่มีใครมาตามล่าแม้แต่น้อย จนกระทั่งคุราปิก้าห้ามอาการอยากเลือดไม่ได้ ทำให้บ้าคลั่งจนกลุ่มนักล่าต้องออกมาจัดการ แต่ก็ได้คุโรโร่ช่วยเอาไว้โดยการให้ดื่มเลือดของตัวเอง แล้วพาหนีไป ซึ่งคุราปิก้าก็ยังไม่ยอมดื่มเลือดอีกจนเกิดเหตุการซ้ำๆขึ้นซึ่งทำใหจำนวนแวมไพร์ลดน้อยลงเพราะการปกป้องคุราปิก้าจากนักล่าในแต่ล่ะครั้งที่คุราปิก้าคลั่ง จนคุราปิก้ายอมดื่มเลือดแต่โดยดี จิตใจก็เริ่มคิดเหมือนแวมไพร์เข้าไปทุกที แวมไพร์อาวุโสเอ่ยในที่ประทับขึ้นมาว่า " ข้าไม่น่าให้ท่านเป็นราชาแวมไพร์เลย...........จิตใจของท่านสั่นคลอเช่นนี้แล้ว ข้าน่าจะให้ท่านเป็นาชามนุษย์เสียยังดีกว่า " แล้วหลังจากนั้นแวมไพร์อาวุโสตนนั้นก็ตายไป คุราปิก้าได้สั่งให้แวมไพร์ทุกตนไปซ่อนตัวให้พ้นจากนักล่า รวมทั้งสอนวิธีหนีจากนักล่าไปด้วยแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกับคุโรโร่ รอวันที่แวมไพร์กับมนุษย์จะปองดองกัน และรอวันที่จะกับเป็นมนุษย์
จบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
" คุราปิก้า เราต้องเดินทางกันแล้วนะ " คุโรโร่ปลุกคุราปิก้าที่นอนหลับสนิท
" อืม........ไปตอนกลางคืนไม่ได้หรอ.....ฮ้าว...แสงตอนเช้ามันทำให้ข้าปวดไปทั้งตัว "
" เฮ่อ.....ก็เผื่อว่าจะได้ภูมิคุ้มกันมาอีกไงล่ะ จะได้เดินทางสะดวกหน่อย ต้องทนไว้รู้ไหมถ้าได้ภูมิคุ้มกันมาล่ะสบายเลยนะ ข้าจะได้พาไปนูนี่ได้สะดวกด้วย ข้าไม่อยากแบกโลงศพเดินไปเดินมาหรอกนะ " คุโรโร่พูดพลางดึงคุราให้ลุกขึ้น
" งืมๆ.......ก็ด้าย หยิบเสื้อให้หน่อยดิ "
" เอานี่.........เฮ้ๆอย่าเปลี่ยนตรงนี่สิ " คุโรโร่พูดขึ้นเมื่อคุราเริ่มถอดเสื้อผ้าออกตรงนั้นเลย
" ทำไมผู้ชายด้วยกัน "
" ก็ชั้นไม่ได้คิดว่านายเป็นผู้ชายนินา ไปไป๊เดี๋ยวจับกดซะหรอก " คุโรโร่ไม่พูดป่าว ยังดันคุราเข้าห้องน้ำไปแล้วปิดประตูทันที
" เชอะ....ยั่วไม่ได้ผลอีกแล้ว ชิชะน่าเบื่อจริงๆเลย คนไร้อารมณ์เอ้ย " คุราบ่นโดยหารู้ไม่ว่าความจริงแล้วไอ้คนไร้อารมณ์ที่ว่านะแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ยังดีที่ยังคุมสติได้
" เสร็จแล้ว....... " คุรปิก้าออกมาจากห้องน้ำ เค้าใส่ชุดสีดำทั้งตัวแบบมาเพีย แล้วหยิบแว่นดำมาใส่พร้อมกับหมวก
" ไปกันเถอะ " คุโรโร่พูดพลางเดินออกไปข้างนอกก่อน ทันทีที่คุราปก้าโดนแสงเพียงเล็กน้อยแขนข้างซ้ายก็กลายเป็นหิน ทำให้คุราปิก้าล้มลงไป แต่คุโรโร่ที่เดินไปก่อนนั้นไม่ได้มองเค้าเลย
" อึก.........เจ็บ....คุโรโร่..........ชั้นไม่ไหว " ทันทีที่เค้าเอ่ยว่าเจ็บคุโรโร่ก็หันมาเพราะเสียงของเค้าทันที ร่างสูงวิ่งเข้ามาดูอาการของร่างบางอย่างตื่นตระหนก เค้าไม่น่าบังคับร่างบางเลยรู้ทั้งรู้ว่าอาจเป็นแบบนี้แต่ก็อดที่จะลองไม่ได้ เมื่อมองดูแขนของร่างเล็กแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ แขนที่เป็นหินนั้นมันค่อยๆลามไปเกือบทั้งตัว
" ไม่เป็นไรนะคุราปิก้า กลับเข้าไปกันก่อนเถอะ " ว่าแล้วร่างสูงก็อุ้มร่างบางที่สลบไปแล้วขึ้นมาแล้วเข้าไปในห้องทันที ในใจก็กลัวแสนกลัวว่านักล่าจะอยู่แถวนี้แค่ร่างบางเข้าห้องได้ก็โอเคแล้วเพราะได้กางเขตอาคมให้ใครเข้าไปไม่ได้ไว้ พอร่างสูงวางคุราปิก้าไว้บนเตียงแล้วก็เดินออกจากห้อง
คุโรโร่วนไปมาที่บริเวณที่คุราปิก้าล้มลงไปก็เหลือบไปเห็นหยดน้ำบนประตูเข้าจึงแตะขึ้นชิมดูแล้วตาเบิกโผล่ง
" ไม่ใช่แสง.....น้ำมนณ์ตะห้กที่ทำร้ายคุราปิก้า....อั๊ก!! " คุโรโร่เอ่ยเบาๆก่อนที่จะล้งลงไปกับพื้น
" แหม.........รูด้วยหรอเนี่ย ไม่แปลกนินะคุณนักล่านอกรีต จอมเวทแห่งมนณ์ดำ เทวดาปีกดำ แล้วยังมีอะไรอีกนะที่คนชอบเรียกนายนะหืม.....ใช่ๆ เทพซาตาน................ " นั่นคือเสียงและใบหน้าสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่จะสลบไปความคิดแล่นเข้ามาในหัวข้อมูลของชายตรงหน้า....นั่นคือฮิโซกะ 1 ในนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด สันชาตญาณบอกออกมาว่าหมอนี่รู้เวทมนณ์.........ถึงเค้าจะรู้มาว่าหมอนี้ชอบแกล้งปล่อยเหยื่อให้เก่งก่อนแล้วค่อยฆ่าก็เถอะโดยที่ไม่มีคนจับได้เลยแม้แต่เหยื่อเองก็เถอะแต่....เค้าจะรอดไหมเนี่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งห่วงแสนห่วงคนรักที่นอนทรมาณเพราะน้ำมนณ์นั่น เพราะเค้าเองแท้ๆทำให้คนๆนั้นเป็นห่วงอีกแล้ว แย่จริงๆ
กลับไปที่คุราปิก้า
" อึก....อะเบตา...ลูเอล......อา...ไซบา........อ๊า!! " ตอนนี้ตัวเค้าเองไม่สามารถร่ายมนณ์ในใจได้อย่างเตยเพราะสมาธิถูกผูกติกอยู่กับความเจ็บปวดจึงต้องพูดมนณ์ออกมาอย่างยากลำบาก พอร่ายจบร่างกายที่กลายเป็นหินก็ค่อยๆกลับสภาพเดิมแต่ก็สร้างความเจ็บปวดไม่น้อยจากการร่ายเวทนี้ถึงจะหายจากการเป็นหินแต่ก็จะได้รับคาวมเจ็บปวดมาก แล้วเค้าก็รู้สึกถึงความผิดปรกติบางอย่างจิตของคุโรโร่หายไปจากอาณาเขตของเค้า
" คุโรโร่.......คุโรโร่!!...........อึก...นายอยู่ไหน............ " คุราปิก้าพยายามลุกขึ้นแต่ก็เจ็บไปทั้งตัวแทบจะขยับไม่ได้ แต่ก็ฝืนลุกขึ้นพลางลากสังขารออกนอกห้องทั้งๆที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน โดยไม่สนใจสภาพตนเอง แล้วก็มองไปพบหินสีรุ้งที่พื้นก่อนจะร่ายมนณ์บางอย่าง
" ไทม์....รีมูฟ.......อิน...สตอ..รีฟิล อะ ไซ ริ เซีย " ภาพความทรงจำของหินก้อนนั้นก็ปรากฏออกมาทั้งภาพของฮิโซกะที่อุ้มคุโรโร่ไป ทุกๆอย่างเค้าเห็นทั้งหมด
" ......ฮิโซกะ.............ต้องไปที่โบสถอะซีเนีย สินะ...........อาณาเขตของเจ้านั่น....................... " ว่าแล้วคุราปิก้าก็ล้มลงไปทันที
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาล่ะจะมาบ่นให้ฟังนะเกี่ยวกับเจ้าคุโรกับคุรา เชิญฟัง
คุราปิก้าในสมัยก่อนเป็นนักบวชธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับนักล่าเลย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นก็คือสงครามของแวมไพร์กับมนุษย์ คุราปิก้าเป็นคนที่มีพลังเวทที่แข็งเกร่งมากแต่ไม่ยอมใช้ทำร้ายใครใช้แค่รักษาคนเท่านั้น และในสงครามมีแวมไพร์บุกเข้ามาหมายจะทำให้ทุกคนในเมืองกลายเป็นแวมไพร์
ซึ่งคุราปิก้าก็สร้างบาเรียกันพวกนั้นเอาไว้ทำให้ทุกคนรู้ว่าคุราปิก้ามีพลังเวทมหาสารพอข่าวไปเข้ารูหูของสมาคมนักล่าแวมไพร์ ก็รีบส่งคนมารับคุราปิก้าแต่คุราปิก้าไม่ต้องการจะไปทำให้โดนขู่ว่าจะฆ่าคนในหมู่บ้านทำให้คุราปิก้าต้องไป คุราปิก้าได้โดนจับคู่ทำงานกับคุโรโร่ ซึ่งคุโรโร่ก็โดนเรียกตัวมาเหมือนกันเพราะตอนที่เกิดสงครามคุโรโร่ใช้พลังฆ่าแวมไพร์ทั้งหมดที่มารุมตนเองได้ในพริบตาแต่ก็ทำให้ผู้คนล้มตายไปไม่น้อยจากการใช้พลังนั้น
ทั้งคุราปิก้าและคุโรโร่เมื่อมาเจอกันก็เหมือนแม่เหล็กดึงดูดเหมือนแสงสว่างที่อยู่ไม่ได้ถ้าขาดความมืดและความมืดก็อยู่ไม่ได้ถ้าขาดแสงสว่าง แล้วการต่อสู่กับแวมไพร์ครังสุดท้ายนั่นคุโรโร่ถูกจับตัวไปโดยแวมไพร์ส่งข้อเวนอมาว่าให้ยกตัวคุราปิก้าให้พวกนั้น ตอนแรกนักล่าไม่ยอมเพราะว่าถ้าให้คุราปิก้าไปก็จะทำให้เสียเปรียบมากขึ้นแต่ถ้าคุโรโร่หายไปก็ไม่เสียอะไรซักอย่าง คุราปิก้านั่นมาล่าแวมไพร์เพราะโดนขู่แต่ใจจริงเค้าไม่อยากฆ่าเลยซักนิด เค้าจึงไม่สนใจทั้งนักล่าและแวมไพร์ เค้าตัดสินใจเดินทางไปช่วยคุโรโร่
คุราปิก้ารู้ว่าไม่มีใครช่วยจึงได้บุกเดี่ยวเข้าไปในปราสาทแวมไพร์ แต่กลับพบงานเลี้ยงต้อนรับของแวมไพร์ แวมไพร์อาวุทโสคนนึงกล่าวไว้กลับคุราปิก้าว่า " เราต้องการให้ท่านมาเป็นราชาแวมไพร์ของเรา ท่านนั่นมีจิตใจเมตตาเหลือล้น ถ้าเป็นท่านจะต้องทำให้มนุษย์หันเข้ามารวมอยู่ด้วยกันกับเราได้แน่ๆ........อย่าได้สงสัย คำทำนานแต่โบราณกล่าวไว้ว่า บุรุษประเสิธชี้ทางสู่สันติ ราชาแวมไพร์ดั่งนักบุญชักพา ราชาสมนุษย์ดั่งเจ้าชีวิตที่เทิดทูน ผู้นักมิอาจเกิดเป็นสิ่งใดเล่าแม้เป็นแวมไพร์ยังมิกล้าฆ่าใคร อาจหาญดุจดั่งสายนฤา แม้เป็นมนุษย์ยังปกป้อง มิใครใครลำบาก ดั่งแสงสีทองแห่งยุคเรื่องรองดั่งสายน้ำที่สงบไม่ไหวติง มีเพียงความทุขของประชาจะสั่นคลอ....................นั้นคือท่านไม่ผิดแน่ ถึงแม้ว่าคำทำนายนี้ยังไม่ได้บอกอออกมาทั้งหมดก็ตาม เนื้อหาในส่วนอื่นๆก็ยังมีความหมายคล้ายๆแบบนี้.......แม้ว่าถ้าท่านกลายเป็นแวมไพร์แล้วจะทำต้องฆ่าใครก็ตามเราก็ต้องได้ท่านมา " คำพูดนั้นคุราปิก้าไม่ได้เข้าใจเลยแม้แต่นิด แต่เค้าก็ยอมเป็นราชาให้พวกนั้นแต่ก็ไม่เคยที่จะแตะต้องเลือดเลย ส่วนคุโรโร่ก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วไม่ยอมออกจากข้างกายของคุราปิก้าเลย คุโรโร่จึงเป็นมนุษย์คนเดียวในปราสาทที่คุราปิก้าได้สั่งไว้ว่าห้ามใครแตะต้อง คุราปิก้าได้ศึกษาเวทมนณ์ต่างๆของแวมไพร์ทำให้เค้ารู้จักทั้งเวทมนณ์แห่งแสงสว่างและเวทมนณ์แห่งความมืดหรือเวทมนณ์ดำนั่นเอง ผ่านไปนานวันก็ยังคงไม่มีใครมาตามล่าแม้แต่น้อย จนกระทั่งคุราปิก้าห้ามอาการอยากเลือดไม่ได้ ทำให้บ้าคลั่งจนกลุ่มนักล่าต้องออกมาจัดการ แต่ก็ได้คุโรโร่ช่วยเอาไว้โดยการให้ดื่มเลือดของตัวเอง แล้วพาหนีไป ซึ่งคุราปิก้าก็ยังไม่ยอมดื่มเลือดอีกจนเกิดเหตุการซ้ำๆขึ้นซึ่งทำใหจำนวนแวมไพร์ลดน้อยลงเพราะการปกป้องคุราปิก้าจากนักล่าในแต่ล่ะครั้งที่คุราปิก้าคลั่ง จนคุราปิก้ายอมดื่มเลือดแต่โดยดี จิตใจก็เริ่มคิดเหมือนแวมไพร์เข้าไปทุกที แวมไพร์อาวุโสเอ่ยในที่ประทับขึ้นมาว่า " ข้าไม่น่าให้ท่านเป็นราชาแวมไพร์เลย...........จิตใจของท่านสั่นคลอเช่นนี้แล้ว ข้าน่าจะให้ท่านเป็นาชามนุษย์เสียยังดีกว่า " แล้วหลังจากนั้นแวมไพร์อาวุโสตนนั้นก็ตายไป คุราปิก้าได้สั่งให้แวมไพร์ทุกตนไปซ่อนตัวให้พ้นจากนักล่า รวมทั้งสอนวิธีหนีจากนักล่าไปด้วยแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกับคุโรโร่ รอวันที่แวมไพร์กับมนุษย์จะปองดองกัน และรอวันที่จะกับเป็นมนุษย์
จบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น