ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Extern เราจะข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน

    ลำดับตอนที่ #7 : -6 มันมีอะไรมากกว่านั้น 6-

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 52


    ตอนที่ 7

    มันมีอะไรมากกว่านั้น 

     

    เสร็จจากการเรียนรวมบนตึกผู้ป่วยแล้ว วศินก็เดินไปกับเพื่อนๆเพื่อไปกินอาหารกลางวัน ซึ่งวันนี้ต่างไปจากทุกวันตรงที่วันนี้คนส่วนใหญ่เกิดอยากจะไปกินที่โรงอาหารชั้น7ที่อยู่อีกตึกนึง

    ที่โถงชั้นล่างมีทั้งนักศึกษาแพทย์อย่างวศินกับเพื่อนๆ และคนภายนอกซึ่งมักจะเป็นญาติผู้ป่วยมารอลิฟท์อยู่ ระหว่างรอลิฟท์นั้นเองวรรณก็ชวนคุยเรื่องคืนก่อนนั้น
    "โกวิท เธอเขียนรายงานเมื่อคืนนี้เสร็จแล้วหรือยัง"
    โกวิทส่ายหน้าแทนคำตอบปฏิเสธ  เขายังทำไม่เสร็จเพราะเคสที่ว่านี้คือเคสตอนเที่ยงคืน พอกลับถึงห้องก็พอดีเข้านอนเสียก่อน กะว่าจะเขียนตอนบ่ายนี้
    "เคสอะไรเหรอ"นวลถาม มือทั้งสองข้างรวบผมยาวสลวยเข้าด้วยกัน
    "เคสกินยาพารามา ล้างท้องไปสองลิตร แล้วก็ให้NACแบบกินไป" วรรณตอบพอดีกับที่ลิฟท์เปิดออก ทุกคนเดินเข้าไป
    "ทีแรกก็เป็นโกวิทล้างท้อง" เธอพูดต่อ "แล้วพอล้างเสร็จชั้นต้องมานั่งฉีกซองแนคแล้วก็ละลายน้ำ จากนั้นก็ใส่กลับเข้าไปทางสาย ... คนไข้งี้อ้วกออกมา ชั้นก็ต้องมานั่งฉีกเพิ่มแล้วบังคับให้ดื่มแทน กว่าจะ........."

    "อาทิตย์นี้มีหนังอะไรเข้ามั่งวะ"
    ทุกคนในลิฟท์หันมามองทันที เพราะวศินพูดโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังและเห็นได้ชัดว่าขัดการพูดของวรรณ
    "กลับไปที่หอแล้วเดี๋ยวเราไปดูให้แล้วกัน" สุรศักดิ์พูด "เมื่อวานอ่านหนังสือพิมพ์ที่ใต้หอ คลับคล้ายว่ามีหนังเข้าใหม่นะ"

    ลิฟท์เปิดออกพอดี ทุกคนเดินออกมาแล้วเลี้ยวขวาไปยังห้องอาหาร นวลกับวรรณแยกไปกันสองคนโดยไม่รอ
    "มีอะไรหรือเปล่าวศิน ทำไมจู่ๆไปพูดขัดเจ๊แกยังงั้นวะ" โกวิทถาม "ดูโน่น เจ๊แกงอนตุ๊บป่องไปโน่นแล้ว"

    วศินส่ายหน้า ... แล้วจู่ๆก็มีมือหนาๆข้างหนึ่งตบลงที่บ่าของวศิน
    "ดีมากน้อง" 

    วศินหันหน้าไปมอง จากแถบเขียวที่อยู่ตรงกระเป๋าทำให้รู้ว่าเป็นรุ่นพี่แพทย์ประจำบ้าน ... วศินยังไม่ทันได้พูดอะไรพี่ก็เดินจากไป
    " ดีอะไรวะ "โกวิทพูดงงๆ "นายรู้จักพี่คนนั้นเหรอ"

    " นั่นน่ะพี่เดนท์ศัลย์" สุรศักดิ์พูด ... เด้นท์ศัลย์หมายถึงแพทย์ประจำบ้านที่มาฝึกเป็นหมอผ่าตัดนั่นเอง  " เอาเหอะวศิน ดีแล้วแหละ ตอนแรกเราก็ขัดหูอยู่เหมือนกันแต่ไม่กล้าท้วงว่ะ เดี๋ยวโดนหาว่าไปฉีกหน้า .... เอาเหอะไปกินข้าวกัน"
    ว่าแล้วสุรศักดิ์ก็ตบบ่าแพื่อนทั้งสองแล้วก็เดินเข้าไปพร้อมกัน
                              
    . . . . .

    "คืนนี้เราอยู่เวรที่ตึกนะ" วศินบอกระหว่างที่เดินออกจากร้านอาหาร "นายสองคนนั่งอ่านหนังสือกันไปเลยไม่ต้องรอเรา"
    หลังจากนั้นวศินก็กลับไปที่ตึกผู้ป่วยเพื่อจัดการรายงานผู้ป่วยต่อ เมื่อถึงเวลา 4 โมงเย็นเขาก็ไปรายงานตัวกับพี่แพทย์ประจำบ้านจิตเวชศาสตร์ที่ประจำเวรคืน นั้น
    เวรที่ตึกนี้ไม่ได้มีอะไรมากนัก เพราะว่านักศึกษาพทย์ชั้นปีที่6จะมีหน้าที่นอนในห้องพักแพทย์เวร และออกมาเมื่อมีเคสที่เกิดอาการผิดปกติ หน้าที่ของexternที่อยู่เวรก็คือการประเมินผู้ป่วยที่เกิดอาการผิดปกติและ รายงานให้แพทย์ประจำบ้านทราบ 

    เพราะว่าที่ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แทบจะไม่มีการตามนักศึกษาแพทย์ในเวรเลย ความน่ากลัวของที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องเคสผู้ป่วย หากแต่เป็นเรื่องความวังเวงของห้องพัก ที่เมื่อมองไปรอบด้านแล้วเป็นห้องทึมๆที่เงียบสงัดน่าอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

    หลังจากที่รายงานตัวที่เคาน์เตอร์พยาบาลแล้ว เขาก็เดินเข้าไปที่ห้องพัก วศินจัดการเรื่องที่นอนจนเรียบร้อยแล้ว เขาเอาหมอนและผ้าห่มวางไว้ที่ปลายโซฟาแล้วก็เดินสำรวจไปที่ข้างหลังผ้าม่าน

    หลังผ้าม่านไม่มีอะไร ... หลังเครื่องปรับอากาศล่ะ

    เครื่องปรับอากาศก็ไม่มีอะไร

    วศินนั่งอ่านหนังสือที่โซฟา เปิดอ่านไปทีละหน้า ทีละหน้า เสียงนาฬิกาที่ผนังดังเป็นจังหวะช้าๆ

    เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ วศินปิดหนังสือแล้วเดินไปที่ประตูแง้มผ้าม่านที่กระจกประตูเพื่อดูไปที่ข้าง นอก ด้านซ้ายคือส่วนที่ผู้ป่วยนอนอยู่ มีลานตรงกลางที่มีโซฟาวางระเกะระกะ มีเคาน์เตอร์พยาบาลคั่นไว้ ส่วนทางด้านขวาซึ่งเป็นทางออกจากหอผู้ป่วย วศินเห็นประตูกระจกที่มีเก้าอี้วางขวางไว้หนึ่งตัว และมียามของโรงพยาบาลนั่งตระหง่านอยู่

    ก่อนหน้านี้เขาไปคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นั่งตรงนั้นแล้ว ได้ความว่าเมื่อก่อนนี้จะมีผู้ป่วยบางรายที่หนีออกมาได้ก็จะวิ่งพุ่งตรงไปที่ประตูและหนีลงบันไดได้เลย ส่วนการปิดประตู ก็เสี่ยงที่จะทำให้ผู้ป่วยวิ่งพุ่งชนกระจก ดังนั้นการจัดการกับปัญหานี้ก็คือ การให้ยามตั้งเก้าอี้ไว้ตรงกลางทางออก หากผู้ป่วยจะวิ่งฝ่าออกไปก็จะได้จับตัวไว้ได้ทันที

    วศินเดินกลับมาที่โซฟาและนั่งอ่านหนังสือต่อ เสียงพยาบาลเปลี่ยนเวรข้างนอกดังขึ้นครู่หนึ่งบอกเวลาห้าทุ่ม ... หลังจากนั้นวศินก็เตรียมเข้านอน

    ปัง ปัง ปัง
    วศินเงยหน้าขึ้น
    ปัง ปัง ปัง

    "น้องๆ มาดูคนไข้หน่อย" เสียงพี่พยาบาลดังมาจากหน้าประตู
    วศินเดินไปที่ประตูที่ล๊อคอยู่ ที่จริงถ้าเป็นตึกอื่น ห้องพักแพทย์จะไม่ได้ล๊อค จะมีเพียงตึกผู้ป่วยจิตเวชนี้เท่านั้นที่ห้องพักแพทย์จะต้องล๊อคเอาไว้ ... วศินเดินออกไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

    "คนไข้ชายอายุ50ปี เป็นSchizophrenia ตอนนี้ปรับยาอยู่ในโรงพยาบาลไม่มีอาการอาละวาดโวยวายมาประมาณ 1 เดือนแล้ว" พี่พยาบาลเล่าประวัติให้ฟังคร่าวๆ" จนเมื่อคืนนี้เริ่มมีอาการขึ้นมาอีกครั้ง แพทย์เวรที่อยู่คืนก่อนหน้านี้ตรวจแล้วให้เพิ่มยาระงับประสาทไป เช้านี้ก็อาการปกติดี เริ่มมามีอาการเมื่อตอนดึกๆนี้อีกครั้ง"

    Schizophrenia หรือจิตเภท ก็เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดระแวงและอาละวาดโวยวายได้อยู่แล้ว
    "คนไข้มีโรคประจำตัวอะไรไหมครับ" วศินถามพลางนึกตาม

    "เป็นเบาหวานอยู่" พยาบาลตอบและพลิกไปหน้าอื่น "แต่เค้ามีเจาะน้ำตาลอยู่แล้ว ช่วงนี้คนไข้เค้าปรับระดับน้ำตาลได้ไม่ค่อยดีนิดนึง จะอยู่ที่ประมาณ 160 ไม่เคยเจาะได้น้ำตาลต่ำเลยในช่วงที่มาอยู่ที่นี่"

    วศินพลิกดูแฟ้มผู้ป่วย เมื่อคืนนี้เป็นเวรของนวล มีการเขียนไว้เรื่องเบาหวานเหมือนกันว่าไม่สงสัยจากการที่น้ำตาลปกติมาเป็นเวลานาน ซึ่งรายงานให้พี่แพทย์ประจำบ้านทราบและก็มีคำสั่งให้ฉีดยาระงับประสาท

    แล้วคนไข้เป็นอะไรล่ะ ?

    วศินมองไปทางผู้ป่วย ก็มีอาการโวยวายและด่าพยาบาลอยู่ มียามซึ่งถูกตามมาเสริมอีกคนนึงคอยคุมเชิงอยู่
    "เจาะน้ำตาลก่อนแล้วกันครับพี่" วศินบอก หลังจากนั้นก็เดินไปดู ... ทีแรกก็เกือบจะต้องช่วยกันจับแล้ว แต่พยาบาลที่ประจำตรงนั้นก็เข้าไปคุยกับผู้ป่วยโดยบอกว่าจะขอเจาะน้ำตาล ... อธิบายให้ฟังว่าอาการที่เป็นตอนนี้อาจจะเป็นจากน้ำตาลต่ำก็ได้
    ผู้ป่วยที่มีท่าทีสับสนอยู่สงบงงเล็กน้อยและก็ยอมให้เจาะแต่โดยดี  ... ผลที่ได้ออกมาคือ

    Lo

    Lo คือค่าระดับน้ำตาลที่ต่ำ ถ้าประกอบกับอาการทางสติที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวนี้เป็นตัวบอกว่าเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลงซึ่งก่ออาการทางสมองได้
    "ให้น้ำหวานสักสองแก้วก่อนแล้วกันครับ" วศินบอกพี่พยาบาลที่เคาน์เตอร์ให้ช่วยชงน้ำกลูโคสแล้วส่งให้ผู้ป่วยซึ่งรับ ไปดื่มแต่โดยดี เวลาผ่านไปสักสิบนาทีก่อนที่ผู้ป่วยจะหยุดทำท่ามึนงงก่อนจะเอ่ยปากออกมา
    "หมอช่วยเจาะน้ำตาลดูอีกทีหน่อย" เขาบอก "ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว"
    ผลน้ำตาลปลายนิ้วครั้งนี้ได้ 177  วศินจึงขอให้ผู้ป่วยกินอาหารว่างเป็นขนมปังซึ่งวศินซื้อมาแล้วกะว่าจะกินเป็นอาหารมื้อดึก และดื่มน้ำหวานธรรมดาอีกแก้วหนึ่งก่อนไปนอน จากนั้นวศินจึงโทรรายงานพี่แพทย์ประจำบ้านอีกครั้งหนึ่งซึ่งพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
    หลังจากนั้นทั้งคืนก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีก วศินหลับยาวจนถึงเช้า

    "นายรู้ได้ไงว่าเป็นจากน้ำตาลต่ำ" โกวิทถามในเช้ารุ่งขึ้นหลังจากราวน์ผู้ป่วยเสร็จและมีการนำเคสนี้มาพูดคุยเรื่องการจัดการผู้ป่วยเมื่อคืนนี้  " เห็นที่พยาบาลบันทึกไว้ อาการผู้ป่วยเมื่อคืนเหมือนกับอาการโรคเดิมที่เป็นอยู่เลยนี่นา"
    "เราก็ไม่รู้เหมือนกัน" วศินตอบตามตรง ... เมื่อคืนนี้เขาแค่คิดว่าถ้าอาการปกติมาตั้งเดือนนึง ก็น่าจะมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นเท่านั้น ที่จริงจากประวัติเดิมของผู้ป่วยที่ไม่เคยมีน้ำตาลต่ำทำให้เขาเขวไปเสียด้วย ซ้ำ
    "แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะว่าที่จริงหลักการดูผู้ป่วยที่มีการรู้สึกตัวผิดปกติโดยเฉพาะที่เป็น เบาหวาน ก็ต้องตรวจระดับน้ำตาล" สุรศักดิ์เสริม  "ถ้าเราไปมองว่าผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจโรคทางกาย ก็อาจจะหลุดได้"
    " และถ้านายหลุดไป ตอนนี้คนไข้ก็อาจจะไม่เหลือชีวิตให้มารักษาจิตเวชแล้วก็ได้"

    ...ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่เขาจะจำเอาไว้

     

     

     

    ***************************

    ปล. สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่หลงเข้ามาอ่าน กด CTRL + A
    ปอ. สำหรับคนที่อ่านแล้วงงในท่อนแรกว่า เพราะอะไรรุ่นพี่resident 3 จึงตบบ่าแล้วชมวศิน กด CTRL + A

    นักศึกษาแพทย์ไม่ควรเอาข้อมูลหรือเรื่องของผู้ป่วยไปพูดคุยตามทางเดิน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×