ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Extern เราจะข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน

    ลำดับตอนที่ #15 : -6 สมควรโดนแล้วล่ะ เพราะมันมีระเบิด 6-

    • อัปเดตล่าสุด 4 ธ.ค. 52


     

    กิตติพัทธ์ รีบเดินลงจากรถเมล์พร้อมเพื่อนๆอีกสามคน แม้ว่าเขาจะมีเพื่อนมากันหลายคนแต่ว่าเขาก็ไม่แน่ใจได้ว่าคนที่ขึ้นรถเมล์ ตามเขามานั้นมีอะไรอยู่ในกระเป๋า
    กิตติพัทธ์เรียนที่นี่มาได้สามเดือน แล้ว รุ่นพี่ที่นี่รักรุ่นน้องทุกคนเหมือนเป็นน้องร่วมสายเลือด ให้ความเป็นกันเองกันอย่างที่เขาไม่เคยได้จากครอบครัวจริงๆ เมื่อเดือนที่แล้วเขาและเพื่อนร่วมรุ่นเพิ่งเดินทางไปที่ต่างจังหวัดเพื่อ ประกอบพิธีรับน้อง อันถือเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ของสถาบัน หากแต่ว่าเป็นการไปกันอย่างลับๆเพราะว่าอาจารย์รุ่นเก่าๆหลายคนที่หัวโบราณ กลัวว่ากลุ่มนักศึกษาจะรวมกันติดและต่อต้านท้าทายอำนาจอาจารย์ได้
    อาจารย์ ที่นี่ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่รุ่นพี่สอนสั่งกันมา อาจารย์ที่มาสอนที่นี่ส่วนมากก็เป็นคนที่ต้องการแค่กินเงินเดือนไปวันๆและ ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ ไม่มีใครที่ห่วงใยนักเรียนจริงๆ รุ่นพี่ที่นี่หลายคนที่มีความคิดนอกกรอบและรักห่วงใยน้องๆก็มีอันต้องโดน อำนาจมืดขับไล่ให้ออกไปกัน แม้แต่ความห่วงใยในเรื่องชีวิตของน้องๆที่มากเกินไปก็โดนอิจฉาจากอาจารย์ที่ ไม่เคยห่วงใยเด็ก
    กิตติพัทธ์เอามือคลำท่อนเหล็กที่เหน็บข้างกาย สิ่งอันเปรียบเสมือนสายสัมพันธ์ของรุ่นพี่น้อง สิ่งที่สร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพี่ๆซึ่งต้องสร้างขึ้นอย่างลึกลับ เสมือนสิ่งต้องห้ามที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้
    "พวกเราไม่เคยทำใครก่อน ของนี้มีไว้เพื่อป้องกันตัว"
    สิ่ง นี้คือสิ่งที่รุ่นพี่พร่ำสอนไว้ แม้ว่าใครจะกล่าวหาว่าพวกเขาสร้างอาวุธไว้ทำร้ายคนอื่น แต่เขารู้แก่ใจว่าสถาบันของเขาไม่เคยทำใครก่อนหากแต่เป็นแต่ผู้ถูกกระทำอยู่ ฝ่ายเดียว
    รุ่นพี่สอนเสมอว่าพวกเราต้องไม่ทำใครก่อน แต่ว่าก็อย่ารอจนใครมาทำอะไรเราได้ ... ดังนั้นจึงมีการซักซ้อมกันเพื่อให้มีความชำนิชำนาญและสอนการระมัดระวังดูท่า ทางของคนที่เดินอยู่รอบข้าง เพราะบ่อยครั้งที่เพื่อนร่วมสถาบันต้องบาดเจ็บจากการที่ถูกลอบทำร้ายโดยไม่ ทันรู้ตัว ... ดังนั้นเขาต้องประเมินให้ได้ว่าคนที่กำลังควักสิ่งของออกจากกระเป๋า คนที่ทำท่าหยิบโทรศัพท์มือถือ หรือคนที่ทำท่าก้มลงจะผูกเชือกรองเท้าว่าอาจจะเป็นคนที่กำลังจะควักอาวุธออก มาก็ได้
    "มันยังตามมาเลยว่ะ" เพื่อนสะกิดบอก ชายหนุ่มซุกมือเข้าไปในชายเสื้อ กุมอาวุธท่อนนั้นไว้มั่น

    "เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดด"

    เสียง รถที่เบรกอย่างดังทำให้ชายหนุ่มตกใจ เขาหันไปมองเพื่อนที่เดินตามมาซึ่งชักปืนปากกามาไว้ในมือแล้ว คนที่เดินตามมานั่นก็มีปืนในมือเช่นกัน
    หางตาเหลือบไปทางซ้าย ถนนฝั่งตรงข้ามมีร่างชายหนุ่มในเสื้อชอปก้มอยู่ ในมือมีอะไรกลมๆดำๆ .... นั่นไง ระเบิดปิงปอง
    ... นั่นไง มันลุกขึ้นมองมาทางเขาและเพื่อนแล้ว
    ไวเท่าความคิด กิตติพัทธ์ยกปืนในมือ เล็งไปที่ชายคนนั้นก่อนจะยิง เพื่อนๆของเขายกปืนหันตามแล้วก็ยิงกันคนละนัดก่อนจะรีบวิ่งหนี
    ชาย หนุ่มวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมเพื่อนๆ ... นึกอย่างภูมิใจที่ตนเองมีโอกาสได้กำจัดกากเดนสังคมไปอีกหนึ่งตัว เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าหากเดนมนุษย์ตนนั้นขว้างระเบิดเข้ามา จะมีคนที่โดนลูกหลงไปอีกสักกี่คน

     

     

     

    เสมาขึ้นรถเมล์เพื่อจะกลับบ้าน ทีแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมคนถึงมองเขาเยอะนัก มองด้วยสายตาแปลกๆทั้งที่เขาเองก็ถอดเสื้อชอปไว้ที่วิทยาลัยแล้วก็ตาม
    เสมา เรียนที่นี่มาสองปีแล้ว เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจกับระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่สถาบันมากนัก เขามาเรียนเพื่อเอาความรู้ไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงพ่อแม่ ส่วนระบบรุ่นพี่รุ่นน้องงี่เง่านั่นเขาไม่สนใจ เพราะถึงพวกนั้นมันจะบอกปาวๆว่าการเรียนในวิชาช่าง ต้องอาศัยความเป็นพี่น้อง ต้องมีการสอนจากพี่สู่น้อง ใครที่ไม่มารับน้องจะโดนตัดสาย
    แต่ในความเป็นจริงก็พวกพี่ที่สอบตกกับพวกที่เรียนจะไม่รอดที่ขู่ตัดสายเขานั่นแหละที่พอใกล้จะสอบก็ต้องขอให้เขาช่วยติว
    เสมามองไปนักเรียนช่างสี่คนข้างหน้าที่มองมาทางเขาบ่อยๆจนไม่น่าไว้วางใจ แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้งเพราะว่าป้ายหน้าก็จะถึงซอยบ้านเขาแล้ว
    เมื่อก้าวลงรถเขาก็แทบจะเอามือตกหน้าผาก เพราะว่าสี่คนนั้นดันลงป้ายเดียวกับเขาพอดี
    แล้วมันยังมองมาทางนี้อีกแล้ว!
    ชายหนุ่มมองตามสายตาของพวกนั้น มันไม่ได้มองหน้าเขา แต่มองไปที่กางเกงของเขา ... มองทำไมฟระ หรือพวกมันเป็นเกย์
    แล้ว เขาก็อยากจะตบกะโหลกตัวเองอีกครั้ง เพราะว่าเขาลืมเปลี่ยนหัวเข็มขัด จนป่านนี้หัวเข็มขัดของเขายังเป็นแบบจอไวน์สกรีนซีนีมาสโคปอยู่เลย ต่อให้อยู่ห่างไปสักห้าร้อยเมตรมันก็บอกได้ว่าเขาเป็นเด็กช่าง
    เสมาเอามือซุกเข้าไปในกระเป๋าทันที สัญชาตญาณและประสบการณ์สอนเขาไว้หลายครั้งแล้วว่าให้ระวังพวกนี้
    พวก ที่เดินมาเป็นกลุ่มๆแบบนี้จะขี้กลัวขี้ตกใจง่าย มันเห็นเขาเดินลงป้ายเดียวกันมันก็อาจจะระแวงจนชักอาวุธมายิงเขาได้ แถมถ้าโดนจับพวกนั้นก็จะอ้างว่าคนที่โดนยิงชักปืนก่อน

    เขายังจำได้ ถึงตอนที่เพื่อนที่รอรถเมล์ด้วยกันหยิบแซนวิชออกมาทานแล้วเจอยิง จากนั้นพอโดนจับ พวกที่ยิงก็อ้างว่าเสมาและเพื่อนมีปืน ซึ่งคงจะโยนทิ้งไประหว่างเดินทางมาโรงพยาบาล ... ทำให้เสมาและเพื่อนที่ถูกยิงตกเป็นข่าวไปหลายวันและถูกอาจารย์ภาคทัณฑ์เอา ไว้
    เสมาได้รับความยอมรับนับถือจากรุ่นพี่รุ่นน้องจำนวนมากจากเหตุการณ์ นั้นจนขนาดว่ารุ่นพี่ที่โดนไล่ออกไปทำปืนลูกซองสั้นมาให้แทนอันเก่าที่คิด ว่าเขาโยน ทิ้งระหว่างไปโรงพยาบาล

    พวกนั้นจะทำหน้ายังไงนะถ้ารู้ความ จริงว่าเสมาไม่เคยมีอาวุธเป็นของตัวเอง ปืนลูกซองสั้นที่เขากำลังกุมไว้ในกระเป๋านี้ก็คือกระบอกแรกกระบอกเดียวที่ เขามี

    "เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

    เสียงล้อรถบดเบียดไปกับพื้นถนนทำให้เสมาตกใจจนเผลอดึงปืนออกมาจากกระเป๋า ชิบแล้วสิ พวกมันชักปืนออกมาแล้ว ...
    ชาย หนุ่มกำลังตัดสินใจว่าจะยิงหรือไม่ยิงดี กระทั่งเจ้าคนที่อยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มนั้นยิงไปที่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นคนที่เหลือก็ยิงตาม ... เขาเห็นผู้ชายในเสื้อชอปสีนำเงินทรุดตัวลงที่พื้น
    เสมาลุกวิ่งออกมาจากที่นั้นอย่างโล่งใจ โล่งใจที่ว่าเขาไม่โดนยิง และโล่งใจที่ว่าครั้งนี้เขาไม่ได้เป็นสาเหตุของการยิงกัน
    แม้จะไม่รู้ว่าคนที่โดนยิงเป็นใคร แต่เขาก็แน่ใจว่าคนที่โดนยิงคงเป็นคู่อริที่ชักอาวุธออกมานั่นแหละ 

     

     

     

     

    นิธิโกรธตัวเองที่ขี้ลืม เขาลืมเอาเสื้อมาเปลี่ยนก่อนกลับบ้าน
    นิธิ เรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเสื้อที่ใส่ประจำก็คือเสื้อชอป แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เขาและเพื่อนร่วมคณะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
    เมื่อ สัปดาห์ที่แล้วรุ่นพี่ทั้งที่จบไปแล้ว1-2ปี และพี่ปี4 เรียกประชุมชั้นปี มีมติเรื่องเสื้อออกมาอย่างชัดเจน ออกเป็นคำสั่งตามระบบSOTUSว่า ห้ามรุ่นน้องใส่เสื้อชอปออกนอกเขตมหาวิทยาลัยเด็ดขาด
    คำสั่งนี้แม้จะดู แปลกและดูเหมือนการลดเกียรติคณะ แต่ทุกคนก็ยินดีทำตามเพราะถือเป็นคำสั่งที่มาจากรุ่นพี่ทั้งที่จบไปแล้วและ อยู่ชั้นปีสูงสุด อีกทั้งเป็นคำสั่งที่มีเหตุมีผล
    มีเหมือนกันที่มีรุ่นน้องตั้งคำถามว่า การไม่ใส่เสื้อชอปก็เหมือนกับการไม่ให้เกียรติคณะหรือไม่ คำตอบที่รุ่นพี่ให้ก็คือ
    "เกียรติของคณะเราไม่ได้อยู่ที่เสื้อ แต่อยู่ที่รุ่นน้องทุกคน"
    นอก จากนี้คำสั่งที่เป็นเหมือนบัญชาจากรุ่นพี่จากรุ่นสู่รุ่นก็คือ หากสถานการณ์เข้าตาจนคับขัน ก็ให้ถอดเสื้อชอปหรือโยนตราคณะทิ้งไว้ ล่อให้พวกบ้าคลั่งสถาบันเอาไป
    เสื้อตัวละ350เทียบไม่ได้เลยกับชีวิตของนักศึกษาคนนึง

    "เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

    เสียง เบรกดังขึ้นพร้อมกับที่เด็กประถมคนนึงที่ลื่นล้มลงก้นจ้ำเบ้า อะไรบางอย่างกลิ้งมาที่เท้าของนิธิ ... เขาเอื้อมมือลงไปหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมา
    ปัง ปัง ปัง ปัง
    นิธิรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แปลบเข้ามาที่ลำตัวและแขนขา
    เขาโดนอะไรนะ
    เขากำลังจะตายหรือนี่
    ....
    และอะไรกันที่อยู่ในมือของเขา ... เขาเพ่งพิศเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับวูบไป 

     

     

    วศินเข้ามาในห้องฉุกเฉินตามพี่แพทย์ประจำบ้าน จริงอยู่ที่ว่าวันนี้เป็นวันหยุด แต่ว่าเขาก็มีเวรออกตรวจที่ห้องตรวจเด็กนอกเวลาราชการพร้อมพี่ๆ
    รายงานยังปั่นไม่เสร็จเลย แต่ทำไงได้ งานตรงหน้ามาแล้ว งานที่ตึกไว้ทีหลังก็แล้วกัน
    "หมอ ดูคนไข้คนนี้หน่อยสิ " พี่พยาบาลหยิบชาร์ทยื่นให้ วศินรับมาถือไว้ก่อนที่จะพลิกๆอ่านดู
    "เอ่อ พี่ครับ อันนี้มันเป็นเคสจิตเวชเด็กไม่ใช่เหรอครับ" วศินแย้ง
    "แต่เค้าเขียนว่าปรึกษาแผนกเด็ก ถ้าหมอคิดว่าไม่ใช่หมอก็ไปบอกเค้าเองแล้วกัน"

    วศิน อ่านข้อมูลภายในนั้นก่อนที่จะเดินออกจากห้องตรวจ เนื่องจากในนั้นระบุว่าเด็กอยู่ที่ห้องตรวจอุบัติเหตุ ... ปกติแล้วหากผู้ป่วยเด็กมีอาการทางจิตเวชก็จะต้องทำการปรึกษาภาควิชาจิตเวช ศาสตร์ แต่ว่ากรณีนี้ไ่ม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงมาปรึกษาแผนกเด็ก ... ข้อมูลไม่ได้บอกอะไรมากนักนอกจากว่าเด็กตกใจมากหลังจากอยู่ในเหตุการณ์คนยิง กันโดยที่คนที่ถูกยิงยืนอยู่ข้างๆเด็กคนนั้น
    วศินชี้ชื่อเด็กถามพยาบาลที่อยู่ตรงนั้น พยาบาลผายมือไปทางม่านที่อยู่ริมสุด
    เมื่อ เปิดเข้าไปวศินพบกับเด็กผู้หญิงอายุน่าจะอยู่ราวๆ7-8ขวบนั่งกอดเข่าอยู่ที่ เตียง หางตายังชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ผ่านการไหลมาไม่นาน เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้คงผ่านเหตุการณ์ที่หนักเอาการ
    "สวัสดีครับ" วศินแนะนำตัวกับผู้หญิงที่ยืนอยู่กับเด็ก "ผมชื่อวศินเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่6แผนกเด็ก"
    "สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นครูของเด็กคนนี้ค่ะ คุณหมอช่วยหน่อยนะคะ แกยังตกใจไม่หายเลย"

    วศินก้มลงไปจะคุยกับเด็กผู้หญิง แต่เมื่อเข้าใกล้ เธอก็ขยับหนีเข้ามุมแล้วร้องไห้ออกมาอีก ... วศินและครูพยายามปลอบแต่ก็ไม่ได้ผล
    "ยังกลัวอยู่เหรอ ไม่เป็นไรนะครับ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว" วศินคุยด้วยแต่เด็กน้อยก็เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว
    "ทำไมถึงร้องไห้ล่ะครับ"วศินเปลี่ยนคำถาม เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมา สะอื้นในลำคอ
    "หนูทำให้พี่เค้าตาย"
    "พี่คนไหนเหรอครับ แล้วหนูไปทำอะไร" วศินถาม
    "หนูหกล้มทำของตก แล้วพอพี่เค้าเก็บให้หนู พี่เค้าก็ตาย"

    ว่าแล้วเด็กน้อยก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อ ... วศินนึกอะไรบางอย่างก่อนจะขอตัวคุณครูเดินออกไปด้านนอก
    "พี่ครับ มีคนไข้ที่โดนยิงแล้วส่งโรงพยาบาลพร้อมๆกับเด็กคนนี้ไหมครับ"

    พยาบาลชี้ไปที่คนไข้ที่กำลังถูกเข็นออกมาจากห้องเอ็กซ์เรย์


    .......


    วศินกลับเข้ามาอีกครั้งบอกคุณครูให้พาเด็กมาด้วยกัน
    " พี่คนที่โดนยิงยังนอนอยู่ตรงนั้นไง  ยังไม่ตายสักหน่อย" วศินชี้ให้เด็กคนนั้นดูร่างชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเปล เห็นเสื้อชอปที่โดนตัดพับวางไว้ใต้เปลนอน
    เด็กหญิงมองอย่างไม่แน่ใจเหมือนจะพยายามนึกให้ออกว่าคือคนๆเดียวกันหรือเปล่า
    " พี่เค้าถามด้วยว่าเค้าจำไม่ได้ว่าตอนที่โดนยิงกำลังหยิบอะไรบางอย่างอยู่ ... เค้ายังถามพี่หมอเลยว่ารู้หรือเปล่าว่าตอนที่เค้าสลบไปเค้ากำลังถืออะไร อยู่"
    เด็กผู้หญิงล้วงลงไปในกระเป๋าหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาเดินตรงไปยัง นักศึกษาวิศวะที่นอนอยู่ ... สะกิดที่แขนที่มีสายน้ำเกลือระโยงระยางก่อนจะยื่นของในมือให้

    ชายหนุ่มยกของชิ้นนั้นส่องดูอย่างพินิจ ... มันคือสิ่งเดียวกับที่เขาถือไว้ก่อนจะสลบไปจริงๆนั่นแหละ


    มันคือ

     

     

     

     

     


     

    ตุ๊กตาหมี 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×