คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ::Chapter5::
การทุ่มเทเพื่อใครสักคน... ไม่จริงหรอกว่าจะไม่หวังสิ่งใดตอบกลับมา
หากแต่สิ่งที่ต้องการแม้รู้ดีว่าโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะได้รับ ทว่าทุกครั้งที่รู้ตัวอีกที
กลับลงมือทำไปเสียแล้ว
...นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความหวังว่าเขาจะเห็นใจ...
‘อรุณสวัสดิ์ อาโอมิเนจจิ’
ข้อความโง่ๆที่ส่งไปนั้นทำให้คิเสะรู้สึกย่ำแย่เหลือเกินในตลอดทั้งวันนั้น
เพราะอะไรน่ะหรอ? ก็เพราะคนที่เขาส่งไปหานั้นอ่านแต่เสือกไม่ตอบมาตั้งสี่ชั่วโมงแล้วยังไงล่ะ!!
“ไม่น่าเชื่อเรเชลเลย ให้ตายเถอะ”ได้แต่บนพึมพำแล้วฟุบหน้าลงกับหมอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก
อันที่จริงเวลานี้เขาสมควรยังต้องนั่งอยู่ในห้องเรียน
แต่ด้วยสภาพวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงขั้นเกือบเดินตกบ่อปลาหน้ามหาลัยอยู่สามรอบ
ทั้งยังทำน้ำหกใส่เลคเชอร์ชาวบ้านไปทั้งโต๊ะอีก สุดท้ายจึงได้โดนเพื่อนรักทั้งสองเตะกลับมานอนพักที่หอก่อนที่จะก่อความพังพินาศไปมากกว่านี้
ความงุ่นง่านในใจทำให้คิเสะได้แต่สวดส่งคนคิดแอพลิเคชั่นที่ไม่ทำระบบให้ลบข้อความที่ส่งไปแล้วไม่ให้อีกฝ่ายเห็นได้
ร่างเพรียวกลิ้งกลิ้งมาบนเตียงอยู่หลายรอบ
ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์สั่นครืดพร้อมหน้าไลน์ที่เด้งขึ้นมาบนจอ
อาโอมิเนจจิ...ตอบกลับมาแล้ว?
อดีตนายแบบหนุ่มกำโทรศัพท์ในมือแน่น กำลังชั่งใจระหว่างขว้างมันออกนอกหน้าต่างเพื่อหนีความจริงกับเปิดอ่านมันซะ
ถ้าหากเปิดออกมา และข้อความในนั้นคือคำด่าทอ
เขาจะทำอย่างไรต่อไป?
เรียวปากบางยกยิ้มอย่างขมขื่น หากเมื่อคิดถึงคำที่อีกฝ่ายเคยบอกเขาอย่างแล้งน้ำใจที่สุดว่า
‘น่ารังเกียจ’ นิ้วมือก็พลันแตะลงบนทัชสกรีน
ไม่ว่าจะเป็นคำด่าทอแบบไหนก็คงไม่เจ็บปวดไปกว่านี้อีกแล้ว...
ดวงตาสีทองปิดสนิทเพื่อเตรียมใจ ก่อนจะค่อยๆเปิดขึ้นอย่างเชื่องข้า
มองดูประโยคสั้นๆที่ตอบกลับมา ไม่ใช่ทั้งคำด่าทอ ยิ่งไม่ใช่คำทักทาย
แต่กลับเป็นคำถาม....
‘เมื่อไหร่จะกลับ?’
********************
สนามบินนาริตะยังคงพลุ่งพลานไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นทุกครั้ง...
ดวงตาสีเหลืองใต้เลนส์แว่นกันแดดสีเข้มจ้องมองไปยังจอโทรศัพท์ของตนเอง สีหน้ายุ่งยาก
คิ้วเรียวขมวดเขาหากันจนชิด กระนั้นก็ไม่อาจลดทอนเสน่ห์อันสะดุดตาจนคนรอบข้างหลายคนแอบมองจนเหลียวหลัง
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่...
อดีตนายแบบหนุ่มสุดฮอตอย่างคิเสะ เรียวตะ ถอนหายใจ
หลังจากอ่านข้อความทั้งด่าทอตัดพ้อจากสองเพื่อนสนิทต่างชาติที่กระหน่ำส่งมาหาหลังจากที่อยู่ๆเขาก็หายตัวไปเสียอย่างนั้น
‘ตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น ปลอดภัยดี พวกนายไม่ต้องห่วงหรอก’
เขาพิมพ์ตอบกลับไป และแทบจะในทันทีที่อีกฝ่ายอ่านและรัวคำถามกลับมา
‘ไม่ห่วงห่าอะไรล่ะ!
อยู่ๆก็เล่นหายตัวไปแบบนี้ ฉันกับยัยเจนเกือบไปแจ้งความคนหายแล้วรู้มั้ย!?’
‘แล้วนี่เกิดบ้าอะไรถึงกลับไปญี่ปุ่น? ใกล้สอบแล้วนะเว้ย!’
‘ยังมีพรีเซ้นต์งานอีก นี่นายกะซ้ำชั้นใช่มะ?’
คิเสะอ่านแล้วก็ได้แต่ยิ้มฝืนๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองนั้นคงบ้าไปแล้วจริงๆ
เป็นถึงนักเรียนทุนแต่กลับขาดเรียนแล้วบินข้ามทวีปมาอย่างนี้...
‘โทษที เรื่องมันอธิบายยากน่ะ’
‘แต่ฉันอยู่ไม่นานหรอก ไว้จะเล่าให้ฟังนะ’
พิมพ์ตอบไปแบบนั้นก่อนจะกดปิดแอพพลิเคชั่นไป คิเสะเดินไปรับกระเป๋าของตัวเอง
ก่อนจะลากมันเดินไปยังทางขึ้นสกายไลน์เนอร์เพื่อต่อเข้าตัวเมือง
นี่เขามาทำอะไรที่นี่กันแน่นะ...
คิดพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
เพียงแค่ข้อความสั้นๆจากอาโอมิเนจจิ
ก็ทำให้เขาไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะกดจองตั๋วเครื่องบินไฟลท์ใกล้ที่สุดแล้วข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาญี่ปุ่นโดยไม่บอกใครสักคน
นึกแล้วก็น่าสมเพชตัวเองอยู่เหมือนกัน
ปากบอกว่าจะลืม... อุส่าหนีมาเรียนต่อตั้งไกลเพื่อจะลดทอนความรู้สึกของตน
แต่สุดท้ายแล้วก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี
ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าถ้าไม่เจอหน้ากันจริงๆจะทำตัวยังไงแท้ๆ...
กระทั่งจะโทรหาเขายังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ
‘ฉันมาถึงแล้วนะ’
สุดท้ายก็ได้แต่ไลน์ไปแทน และใจชื้นขึ้นเมื่อพบว่าอาโอมิเนะกดอ่านในทันที
อาโอมิเนจจิรอเขาอยู่รึป่าว...
หรือว่าแค่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่พอดี...
‘มาเจอกันที่สวนสาธารณะ xxx ตอนห้าโมง’
คำตอบสั้นๆ ไม่มีแม้แต่จะถามไถ่ถึงการเดินทาง แต่ก็สมกับเจ้าตัวดี
คิเสะยิ้มจาง
คิดว่ายังไงเสียก็ตัดสินใจมาแล้ว จะถอยกลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
เอาเถอะ... เราก็แคทำตัวเหมือนเดิม...
ทำเหมือนสมัยที่เรายังเป็น ’เพื่อนร่วมทีม‘ กัน....
******************
หลังจากเอาของเข้าไปเก็บในบ้านเรียบร้อยแล้ว
คิเสะก็ตัดสินใจตรงมายังสถานที่นัดหมายทันที แม้มันจะก่อนเวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มๆก็ตาม
แต่กลับไม่คิดว่าใครบางคนกลับมาเร็วกว่าเขาเสียอีก...
ใต้แสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำ
ในสนามที่มีแป้นบาสถ์ ร่างสูงๆในชุดสำหรับออกกำลังกายกำลังเลี้ยงลูกบอลสีส้มอย่างคล่องแคล่ว
หยาดเหงื่อเกาะตามผิวสีเข้ม เสริมให้ร่างนั้นดูแข็งแกร่งโดยเฉพาะในยามที่กระโดดและดั๊งค์ลูกอย่างไร้ที่ติ
ในชั่วขณะที่ทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายราวกับภาพติดค้างอยู่จากความทรงจำอันแสนยาวนาน
คิเสะพบว่าตัวเองจ้องมองจนลืมแม้กระทั่งการหายใจ...
...อาโอมิเนจจิ...
คนตรงหน้าเขายังคงเหมือนเดิม...
ยังคงมีเส้นผมสีน้ำเงินซอยสั้น ยังคงมีดวงตาคู่คมที่สะท้อนประกายสุกใสในยามเล่นบาส
ยังคงเป็นคนเดียวกับในความทรงจำที่เขารักสุดหัวใจ...
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
และเหมือนว่าเขาจะตกอยู่ในภวังค์นานเกินไป เพราะเมื่อรู้ตัวอีกที
คนที่เคยเล่นบาสอยู่กลางสนามก็พลันเดินมาอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
อารามตกใจทำให้คิเสะผงะไปเล็กน้อย
และนั่นทำให้นัยน์ตาคมปราบของอีกฝ่ายสะท้อนประกายไม่พอใจขึ้นแวบหนึ่ง
ก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ไปอยู่เมืองนอกจนฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกแล้วรึไง?”
“ง่า... เปล่าสักหน่อย แค่...”คนไม่ทันตั้งตัวได้แต่กรอกตาไปมาอย่างเลิ่กลัก
มือไม่ปั่นป่วนไม่รู้จะวางไว่ที่ไหนดี อันที่จริงแล้วก่อนจะมาเขาจินตนาการถึงการพบกันไว้หลายรูปแบบ
แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นฝ่ายถูกทักก่อนอย่างฉุกละหุกเช่นนี้
“ฉะ...
ฉันแค่นึกคำพูดไม่ออกน่ะ ตะ...แต่ว่าไม่ได้ลืมภาษาญี่ปุ่นหรอกนะ!”
อา... แย่จริง ไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรดี...
คิเสะรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ใจหนึ่งก็อยากมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆแล้วฉีกยิ้มทักทายแบบปกติ ทว่าทั้งร่างกลับเกร็งไม่ยอมขยับเสียอย่างนั้น
ท่าทีกล้าๆกลัวๆทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้สายตาของอดีตนักบาสหนุ่มทั้งสิ้น อาโอมิเนะเหยียดยิ้มน้อยๆที่อีกคนไม่มีทางได้เห็นเพราะมัวแต่มองไปทางอื่น
เขารู้สึกพอใจ...
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ท่าทางประหม่าของคิเสะกลับทำให้เขาพึงพอใจได้ขนาดนี้
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้นั้นใกล้เคียงของรสชาติของคำว่าชัยชนะ...
“โอ๊ย!”
ลูกบาสถูกโยนเข้าใส่หัวสีเหลืองๆของอดีตนายแบบหนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว
ทำให้อีกฝ่ายหลบไม่ทัน ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความเจ็บ
มือยกขึ้นลูบหัวป้อยๆ
“มันเจ็บนะอาโอมิเนจจิ!”
ด้วยความตกใจจึงเผลอตะโกนด้วยความเคยชิน บรรยากาศที่เคยอึดอัดจึงพลอยสลายไปด้วยในพริบตา
“ก็ไม่ได้ลืมเอาปากมานี่”คนทำร้ายร่างกายยิ้มเยาะ ก่อนจะหยิบลูกบาสขึ้นมา
แล้วโยนให้อีกฝ่ายรับไว้
“มาแข่งกัน ดูสิว่านายยังห่วยแตกเหมือนเดิมรึป่าว”
ประโยคนั้นทำให้ดวงตาสีทองเบิกกว้าง
คิเสะไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่าอาโอมิเนจจิจะชวนเขาแข่งด้วย แบบนี้
ความประหม่าพลันแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจ
เรียวปากบางเริ่มกลับมามีรอยยิ้มสดใสอย่างที่เคยเป็นอยู่เสมอ
“เห็นแบบนี้แต่ฉันก็เล่นบาสอยู่ตลอดนะ”คิเสะว่า
พร้อมเลี้ยงลูกบาสไปมาอย่างคล่องแคล่วเพื่อเป็นหลักฐาน “อาโอมิเนจจินั่นแหละ
ล้างคอเตรียมแพ้ไว้ได้เลย!”พูดจบ
คิเสะก็เริ่มออกตัวพุ่งไปด้านหน้าทันที
เกม1on1เริ่มขึ้นท่ามกลางแสงอาทิตย์ของยามเย็น
ร่างสูงสองร่างต่างวิ่งรุกไล่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ฝีมือมีเท่าไหร่ก็ใส่กันไม่ยั้งราวกับกำลังอยู่ในเกมชิงแชมป์... ไม่สิ...
อาจจะยิ่งกว่านั้น
จังหวะการหายใจ...
การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ... หยาดเหงื่อและเสียงของพื้นรองเท้าที่เสียดสีกับสนาม
ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับพาเขาย้อนกลับไปสู่อดีต สู่โรงยิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
ทุกครั้งที่บาสกระทบลงบนพื้น ทุกครั้งที่หัวใจเต้นเพื่อนำเลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง
กระตุ้นความรู้สึกมากมายให้ไหลเวียนออกมา ความคิดถึง... ความคะนึงหา... ถ้อยคำมากมายที่ไม่อาจได้เอื้อนเอ่ยล้วนแสดงออกผ่านดวงตาทั้งสิ้น
รู้สึก...อยากจะร้องไห้ขึ้นมาซะแล้วสิ...
เกมจบลง พร้อมกับเรี่ยวแรงที่ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น คิเสะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น
เป็นภาพเดิมๆที่เขากำลังหอบหายใจอย่างหนักและแบกรับความพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อโต้เถียง
อา...ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองเก่งขึ้นแล้วก็เถอะ แต่สุดท้ายอาโอมิเนจจิก็ยังคงก้าวไปไกลกว่าเขาเสมอ...
“ไหนบอกว่าเก่งไง
ขี้โม้เอ๊ย”คนชนะว่า มุมปากหยักยิ้มขึ้นเมื่อมองอีกฝ่าย ภาพนั้นซ้อนทับขึ้นมากับสมัยที่พวกเขายังคงเป็นเด็กมัธยม
พลันรู้สึกโล่งใจที่หมอนี่ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
โล่งใจ…?
ความสงสัยผุดขึ้นในใจเพียงเสี้ยววินาที
ก่อนจะถูกปัดทิ้งไปเมื่อนัยน์ตาสีทองของอีกฝ่ายเบือนมาสบตาของเขาตรงๆเป็นครั้งแรก
มันยังคงเป็นแววตาที่ใส่กระจ่าง ซื่อตรง และระรื่นด้วยบางสิ่งที่คล้ายกับน้ำตา...
“ใครๆก็บอกว่าฉันเก่งทั้งนั้นแหละ
แค่แพ้อาโอมิเนจจิไม่ได้หมายความว่าฉันกากสักหน่อย”คิเสะว่า
มือขาวยกขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้า “ที่จริงอาโอมิเนจจิต่างหากที่เก่งเกินไป”
เหนื่อย...
แต่ก็สนุก ทั้งยังรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา ความรู้สึกต่างๆนั้นผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
ทั้งความดีใจที่ได้กลับมาแข่งกันอีกครั้ง ความคำนึงถึงอดีตที่ผ่านมา
และความสับสนต่อท่าทีของอีกฝ่ายที่คล้ายกับว่าช่วงเวลาหลายปีที่หมางเมินกันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“แล้วนี่จะอยู่กี่วัน”
คิเสะเหลือบตามองคนถามที่กำลังลุกขึ้น ลึกๆแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือมาให้
แต่ก็ต้องนึกขำในใจกับความฝุ้งซ่านของตัวเอง แล้วจึงใช้สองมือยันตัวขึ้นจากพื้น
พลางตอบ
“เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว ช่วงนี้ใกล้สอบอะ อยู่นานไม่ได้”
คนถามเพียงพยัคหน้ารับ
คล้ายไม่ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรีบกลับมาญี่ปุ่นทั้งๆที่กำลังจะสอบเพราะอะไร
หรือเพราะใคร และนั่นสร้างความผิดหวังเจือเสียใจแก่คนมอง หากก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
คนที่เลือกกลับมาก็คือตัวเขาเอง
ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องหาความซาบซึ้งใจใดๆ และคิเสะรู้ดีว่าสิ่งๆนั้น คนอย่างอาโอมิเนะ
ไดกิ ไม่เคยมีไว้เพื่อเขา...
“ไฟล์ทออกสองทุ่ม”เขาพูด เรียกให้ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบือนมามอง
คิ้วเลิกขึ้นสูงราวกับจะบอกว่า ‘แล้วไง?’ อาโอมิเนะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อ่านข้อความจากไลน์ที่ปรากฏขึ้นบนจอก่อนพูดโดยไม่หันมามองคู่สนทนา
“หรอ ไม่ส่งนะ”
เย็นชา...ห่างเหิน...
จนแล้วจนรอดก็ยังเหมือนเดิม ยังคงเป็นอาโอมิเนจจิคนเดิมที่บางครั้งก็ใจดี
บางครั้งก็ทำตัวแย่ๆ เปลี่ยนไปมาจนเขาไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นคนยังไงกันแน่
คิดอะไรอยู่กันแน่...
บางครั้งเขาก็นึกโกรธตัวเองเหลือเกินที่ไปรักคนแบบนี้...
“อือ”สุดท้ายก็เพียงขานรับในลำคอ มองดูคนที่เอาแต่กดโทรศัพท์
จ้องมองนิ่งๆโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่รู้จะหาคำอะไรมาอธิบายสถาณะที่เป็นอยู่
และไม่อาจแน่ใจด้วยว่าตัวเองจะอยากรู้จริงๆรึปล่าว
ช่วงเวลาที่ไม่สามารถเห็นหน้า หรือพูดคุยกันได้มันทรมาณ... แต่การได้กลับมาคุยกันแบบนี้มันดีแล้วจริงๆน่ะหรือ?
คุยกันทั้งที่ต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดยังไง
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆที่ต่างก็รู้ดีว่าไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ความคิดพลันสะดุดลงตรงนี้เมื่ออยู่ๆนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของคนที่ถูกจ้องอยู่ได้ละจากจอโทรศัพท์ขึ้นมาสบตาเขา
ชั่วขณะนั้นราวกับมีเชือกที่มองไม่เห็นได้รัดพันไปทั่วร่างจนเขาไม่อาจหายใจ
“มืดแล้ว
กลับกันเถอะ”
มือใหญ่เอื้อมมาผลักหัวเขาเบาๆเป็นการเรียกสติ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินนำออกไปจากสนาม
คิเสะมองตามแผ่นหลังกว้างนั้น
ทัศนียภาพแบบเดิมๆที่เขาคุ้นชินมาหลายปีก็คือแผ่นหลังนี้ที่ได้แต่เพียงเป็นฝ่ายไล่ตาม
มือเรียวแตะลงบนศรีษะของตน แล้วจึงถอนหายใจออกมา
เอาเถิด
เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดทีหลัง อย่างน้อยได้คุยกันบ้างก็ดีกว่าไม่สนใจกันเลยไม่ใช่หรือไง?
คิดพลางวิ่งเหยาะๆไปหาอีกคนที่ชักเดินนำไปไกล ก่อนจะพูดขึ้น
“นี่ๆ อาโอมิเนจจิ ฉันหิวอะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
ถ้าหากอาโอมิเนจจิเป็นอาโอมิเนจจิที่ใจดำตลอดเวลาล่ะก็...
“นายเลี้ยงนะ”
“โหย ขี้งกไม่เปลี่ยน ฉันเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆนะ
อาโอมิเนจจิต่างหากที่ควรจะเลี้ยง!”
“งั้นก็ไม่กิน”
“ใจดำชะมัด!”
ถ้าหากเป็นอย่างนั้น...
ฉันก็คงจะตัดใจได้สักที
********************
วันต่อมาคือวันที่เขาต้องเตรียมตัวกลับอเมริกา
อดีตนายแบบหนุ่มที่ปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิศวะการบินสลบไปนานเนื่องจากความเหนื่อยล้าผสมกับอาการเจ็ทแลค
สุดท้ายแล้ววันทั้งวันเลยได้แต่นอน ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ต้องเตรียมกระเป๋าเดินทางกลับแล้ว
คุโรโกะซึ่งเป็นคนเดียวที่ว่างพอมาส่งเขาที่สนามบินถาม เมื่อจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเงาของคนที่สมควรมาอยู่ตรงนี้ที่สุด
“ไม่มาหรอก อาโอมิเนจจิบอกฉันแล้วแหละ นี่ก็เพิ่งเห็นเช็คอินว่าพาสาวไปเที่ยวอะ น่าอิจฉาจังน้า”คิเสะว่า ประโยคที่ตั้งใจพูดให้ขำกลับยอกย้อนใส่ตัวเองจนจุก
คนผมฟ้ามองดูเพื่อนที่แกล้งทำเป็นร่าเริงอย่างไม่เนียนเอาสักนิดแล้วก็ถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยแทนเหลือเกินกับเรื่องของเพื่อนทั้งสองที่วุ่นวายไม่จบสิ้นสักที
“เดินทางดีๆนะครับ แล้วถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องบินกลับมาหรอก เพราะคิเสะคุงตามใจเกินไปเขาถึงได้เหลิงแบบนี้”เขาเตือน แม้จะรู้ดีว่าคนตรงหน้านั้นอาการเกินเยียวยาไปนานแล้วก็ตาม
“ฉันไม่ได้กลับมาเพราะอาโอมิเนะจิสักหน่อย”และก็เป็นดังคาดเมื่ออีกฝ่ายรีบปฏิเสธทันที คิเสะมองดูเวลาแล้วก็หันมายิ้มให้คนตรงหน้า
“ฉันไปก่อนนะคุโรโกจจิ ขอบคุณที่มาส่งน้า ไว้เจอกันช่วงปิดเทอม”
“ครับ ไว้เจอกัน”
หลังจากร่ำรากันเรียบร้อย คนหมดหน้าที่จึงหันหลังกลับเตรียมออกจากสนามบิน ทว่าก็ชะงักเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นร่างสูงๆของใครบางคนกำลังยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกล
“สตอล์กเกอร์หรอครับ”
“แค่บังเอิญผ่านมา”คนปากแข็งไม่ยอมรับ พร้อมดึงฮู้ดที่สวมเพื่อบังหน้าออกเพราะไม่จำเป็นอีกต่อไป “นายนี่ตาไวชะมัด”
“ถ้าไม่ไวก็คงไม่ทันเห็นคนโกหกรอกครับ”คุโรโกะว่า “ทำแบบนี้แล้วสนุกหรอครับ พอเขาถอยห่างก็ดึงเขากลับมา แต่พอเขาเข้าหาก็ผลักออกไปอีก”
คำถามตรงไปตรงมาที่ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน รอยยิ้มเหยียดบนปากแปรเปลี่ยนเป็นเส้นตรง
“มันเรื่องของฉั-”
“มันไม่ใช่เรื่องของอาโอมิเนะคุงคนเดียวนี่ครับ”เขาว่า ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมาตรงๆ สีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึก “ทั้งคิเสะคุงกับอาโอมิเนะคุงต่างก็เป็นเพื่อนของผม แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็...”
ในดวงตาที่ปกติมักเรียบเฉยคล้ายกับมีร่องรอบความโกรธเบาบางซึ่งน่ากลัวมากพอจะทำให้คนสูงกว่าเผลอหลบตาโดยไม่รู้ตัว
“ผมจะไม่ลังเลที่จะกันคิเสะคุงออกจากนาย”
พูดจบ ร่างเล็กก็เดินจากไป ทิ้งให้คำพูดทั้งหมดกลายเป็นคลื่นพายุปั่นปวนอยู่ในใจของคนฟัง
บางสิ่งบางอย่างนั้นได้มาโดยไม่เคยร้องขอ ทั้งน่ารำคาญและแสนเบื่อหนาย
แต่เมื่อจะสูญเสียไป...กลับทนไม่ได้...
ไม่ได้ต้องการ หากก็ไม่ปรารถนาให้กลายเป็นของคนอื่น
กับสิ่งที่ทั้งไม่อยากถือครองและไม่ต้องการให้ผู้อื่นถือครองนั้น...
หนทางที่ควรเลือกหรือเป็นการ....ทำลาย?
Talk: I’m come back~~!! หายไปนานเลยค่า ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาทวงเข้ามารอนะคะ ที่กลับมาอัพเพราะอ่านคอมเม้นท์แล้วทนไม่ได้ค่ะ เห็นใจคนที่หลงเข้ามาอ่านแล้วเจอฟิคไม่จบ ฮรืออ //ตอนนี้ปั่นสองทุ่มเสร็จตีสอง รู้สึกยังไม่พอใจกับผลงานแต่ก็ไม่ว่างแก้เลยค่ะ ไว้เขียนจนใกล้จบแล้วจะมานั่งปรับทีหลังนะคะTvT
ขอสารภาพบาปว่านอกจากงานและเรียนจะหนักแล้ว ยังติดเกมมากมายค่ะ ตอนนี้ติดLOLมาก หัวก็มีแต่ฟิคลีคแถมยังเล่นเกมดึกดื่นถึงตีสามแล้วออกไปเรียนต่อตอนหกโมง(ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างค่ะ ไรท์แม่งทำตัวแย่orz’’) จริงๆฟิคเรื่องนี้เขียนช่วงท้ายเรื่อง-ตอนจบไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือแค่ช่วงกลางเรื่องนี่แหละที่มีแต่พล็อตแต่ยังไม่เริ่มเขียน มันเขียนยาก แต่ไรท์ก็จะพยายามงัดออกมานะคะ ฮรืออ
**อย่าลืมคอมเม้นท์น้า อาศัยคอมเม้นท์เป็นเอนิจี้ล้วนๆ ขอบคุณล่วงหน้าค่า**
ความคิดเห็น