คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ::บทที่1::
บทที่1
กลีบสีชมพูของดอกไม้บานสะพรั่ง ทิวแถวที่ทอดยาวนั้นแทบจะย้อมนภาด้วยสีสันอันอ่อนหวาน
ซากุระที่งดงาม อวดโฉมพิลาศล้ำดั่งมิรู้ว่าในไม่ช้าก็จะร่วงโรย
เมื่อนึกย้อนกลับไปช่างแค้นใจนัก เมื่อพบว่าตนเองมิต่างอะไรจากดอกไม้
เพียงไม่ช้าไม่นานก็ถูกลมพาพัดร่วงเกลื่อนพื้นอย่างมิรู้ตัว....*
ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาในโรงตีดาบ...
ยามใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยสรรพเสียงแห่งชีวิตและสีสันอันแจ่มใส ยังมิทันได้ทำความเข้าใจเรื่องราวอันใด ก็ถูกนำส่งไปยังคฤหาสถ์ใหญ่ซึ่งมีเด็กรับใช้มากมาย และด้านหลังของเรือนนั้นเป็นสวนกว้างที่เต็มไปต้นซากุระ
ข้าไม่รู้แน่ชัดถึงสาเหตุหรือจุดประสงค์ที่ถูกพามาที่นี่ แต่ที่รู้ก็คือ ข้าเป็นจิตวิญญาณแห่งดาบซึ่งถูกวางเก็บไว้บนหิ้งสูงประหนึ่งสมบัติล้ำค่า และแม้ว่าจะไม่ได้ถูกนำไปฟาดฟันศัตรูตามหน้าที่อันสมควร แต่ข้าก็มิได้ใส่ใจนัก
จากตรงนี้สามารถมองเห็นต้นซากุระ... และข้าเพียงจ้องมองมันอย่างเงียบงันจนวันเวลาผ่านพ้นไปเท่านั้น
วันแล้ววันเล่า ทิวามาเยือน ราตรีไล่ล่า หมุนเวียนเรื่อยไปซ้ำๆ มิอาจตอบได้ว่ารู้สึกอย่างไร หรือสิ่งใดควรค่าแก่การที่จะใส่ใจ มนุษย์ไม่อาจมองเห็นร่างจิตของข้า มีเพียงแต่นกที่บางครั้งก็แอบบินเข้ามาด้านในเรือนเพื่อส่งเสียงร้องทักเบาๆเท่านั้น
ช่วงเวลาที่ซ้ำๆ ทิวแถวของซากุระแบบเดิมๆเหมือนจะยาวนานไร้วันสิ้นสุด กระทั่งข้าได้พบกับเขา...
เส้นผมสีขาวที่ปล่อยยาว นัยน์ตาสีแดงสดใสแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน กับกิ่งซากุระเล็กๆที่ถูกยื่นมาตรงหน้า
ข้าจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันคือวันอะไร เพียงแต่รู้ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พูดกับใครสักคน...
“เอ้า! รับไปสิ! ข้าเห็นเจ้ามองซากุระอยู่ได้หลายวันแล้ว อยากจะมองมันใกล้ๆไม่ใช่หรอ”
ข้ามองดูกิ่งซากุระ สลับกับอีกฝ่ายซึ่งมีส่วนสูงไม่ต่างจากข้านัก น่าจะประมาณเอวของมนุษย์ผู้ใหญ่
“เจ้า... มองเห็นข้าหรือ”
ข้าถาม อาจจะเป็นคำถามที่โง่งมที่สุดในชีวิต และมันทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมา ประกายสุกในในดวงตาสีทับทิมยิ่งวาววับเสียจนไม่อาจละสายตาได้
“พูดอะไรของเจ้า! เราเป็นดาบเหมือนกัน ก็ต้องมองเห็นอยู่แล้วสิ!”ตอบเสียงดัง ก่อนจะจัดแจงทัดกิ่งซากุระลงที่หูของคนที่ไม่ยอมยื่นมืออกมาซะที สีชมพูอ่อนของดอกไม้ตัดกับเส้นผมสีน้ำเงินเข้ม ยิ่งเสริมให้ใบหน้านั้นดูอ่อนหวาน เขาพยัคหน้าอย่างถูกใจในผลงานของตน ก่อนจะพูดต่อ
“เจ้าเพิ่งมาใหม่ใช่มั้ยล่ะ ชื่ออะไรหรอ”
“ชื่อ?”ข้าทวนคำถาม กระพริบตาเล็กน้อยแล้วนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ถูกยกขึ้นจากเตาหลอม ที่นายช่างพูดในตอนนั้นคงเป็นนามของข้ากระมัง
“มิคาสึกิ มุเนะจิกะ”
“มุเนะจิกะ... ข้าถูกสร้างขึ้นมาด้วยคนตระกูลมุเนะจิกะล่ะ!”อีกฝ่ายพูด ท่าทางตื่นเต้นของเขานั้นทำให้ข้ารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
“นี่ๆ ข้าชื่อโคกิตสึเนะมารุนะ”
“โคกิตสึเนะมารุ?”ข้าเอ่ยทวน ส่วนเขาพยัคหน้ารับ
“ใช่แล้วๆ แต่ให้เติมคำว่าท่านลงไปด้วยนะ เรียกใหม่สิๆ”โคกิตสึเนะมารุพูดอย่างกระตือรือร้น ดวงตาจดจ้องอย่างคาดหวัง
“โคกิตสึเนะมารุ”
เมื่อเห็นว่าเด็กใหม่ตรงหน้าไม่ยอมเรียกตามที่บอก รอยยิ้มกว้างๆก็เริ่มเหือดหาย
“ต้องท่านโคกิตสึเนะมารุสิ!”
“โคกิตสึเนะมารุ”
“ท่านโคกิตสึเนะมารุ!”
“โคกิตสึเนะมารุ”
“ท่านโคกิตสึเนะมารุ!”
“โคกิ...”
“ก็ได้ๆ! จะเรียกอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ!”ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็หมดความพยายามที่จะทำให้เด็กใหม่เรียกตัวเองว่าท่าน ใบหน้ากลมๆที่เปื้อนยิ้มบึ้งสนิทและหันหนีไปอีกทางอย่างงอนๆ
และนั่นทำให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก เสียงหัวเราะเบาๆกับกริยาของมือที่ยกขึ้นมาบังตรงมุมปากนั้นงดงามเสียจนนัยน์ตาของคนมองพร่ามัว อารมณ์โกรธเคืองหายลับไปราวกับกลีบดอกไม้ที่ถูกลมพัด
ตั้งแต่เทพอินารินำวิญญาณของเขามอบให้มุเนะจิกะตีเป็นดาบและถือกำเนิดลงบนโลก โคกิตสึเนะมารุไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ที่สามารถยิ้มได้งดงามถึงเพียงนี้....
กลีบดอกไม้พัดผ่านระหว่างร่างเล็กๆทั้งสอง นั่นเป็นครั้งแรกที่พบกัน ช่วงเวลาอันสงบสุขในวัยเยาว์ เรือนหลังใหญ่ ซากุระที่ผลิบานและร่วงโรยครั้งแล้วครั้งเล่า และกาลเวลาสงบสุขที่เนิ่นนานราวกับไร้จุดสิ้นสุด...
...ใบไม้ผลิวิ่งเล่นชมดอกไม้ ร้อนทอดกายสนทนาชานระเบียง สารทเสียงเพรียกซามิเซงแว่วบรรเลง เหมันต์ไร้วังเวงร่ำสุรา... เพียงชั่วกระพริบตา กาลเวลาก็ผันผ่านไปร้อยพันราตรี มวลบุปผาผลิบานและโรยรา ลำต้นอ่อนของพฤกษชาติแทรกตัวขึ้นบนพื้นดิน เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ และหากแม้พลั้งเผลอคลาดสายตาไปไม่นาน ต้นอ่อนนั้นก็เติบใหญ่เสียจนทอดเงาพาดผ่านจากสวนสู่ตัวเรือน
“โคกิตสึเนะมารุ”น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดียวกับสัมผัสแผ่วเบาของมือที่ลูบไปตามเส้นผมสีขาว หากยังไม่ทันที่จะสัมผัสหูของสุนัขจิ้งจอก มือใหญ่ก็รวบข้อมือของเขาเอาไว้
“เจ้านี่นะ... ทำไมถึงเรียกชื่อข้าห้วนๆตลอดเลย”เจ้าของมือนั้นบ่นพึมพำโดยที่ยังหลับตาพริ้ม คนถูกถามมองดูร่างสูงที่นอนพาดกายครึ่งบนอยู่บนตักของตนแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ยังต้องถามอีกหรอ”
กับผู้ที่ทำตัวแบบเด็กน้อยไม่เคยเปลี่ยนเช่นนี้ เขาคิดว่าชื่อความหมายตรงตัวอย่างจิ้งจอกน้อย** ถึงจะไม่เข้ากับร่างสูงๆแบบนี้ แต่ก็เหมาะสมกับนิสัยดีแล้ว
ทว่าอีกฝ่ายคงจะไม่เห็นด้วย เสียงทุ้มจึงได้รีบเถียง
“อย่างน้อยข้าก็อายุมากก็เจ้านะ”
“แต่นิสัยเจ้าไม่ใช่”
คำพูดตรงๆเช่นนั้นทำเอาคนฟังถึงกับจุก อันที่จริงเขาเองก็ยอมรับว่าแม้ตัวเองจะเกิดมาก่อน ทว่าทั้งกริยาและลักษณะนิสัยของมิคาสึกินั้นดูแก่กว่าเขาเสียอีก
แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็เกิดมาก่อนนี่หน่า! อายุมากกว่าเลยนะ!
มิคาสึกิก้มหน้ามองคนที่เงียบไปผิดวิสัย ก็รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายคงงอนเขาเสียแล้ว
เป็นเด็กจริงๆนั่นแหละ...
ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วจึงตัดสินใจพูดขึ้นเบาๆ
“....ท่านโคกิตสึเนะมารุ”
ถ้อยคำสั้นๆหากทรงพลังมหาศาล นัยน์ตาสีทับทิมเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จับจ้องใบหน้างามที่กำลังก้มลงมองเขาพอดี
“เรียกอีกครั้ง...”
ดวงตาสีเงินดูคนที่ได้คืบจะเอาศอก ตั้งใจว่าจะเงียบ หากแววตาที่มองมาตรงๆคู่นั้นกลับทำให้เขาเอ่ยออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านโคกิตสึเนะมารุ”
ราวกับก้อนหินที่โยนลงบนผิวน้ำ ก่อกระแสขึ้นเป็นระรอกในใจของผู้ฟัง ปลายนิ้วยกขึ้นแตะสัมผัสใบหน้าหมดจด ไล่ไปตามโครงแก้มและหยุดลงที่เรียวปากซึ่งเพิ่งเอื้อนเอ่ยนามแห่งตน
เวลาที่ผันผ่านแปรเปลี่ยนสรรพสิ่งรอบกายแลรูปลักษณ์ของทั้งเขาและคนตรงหน้า มาดแม้แลเห็นอยู่ทุกวี่วัน หากก็ยิ่งทวีความน่าหลงใหลขึ้นทุกเวลา....
“วันหลังอย่าเรียกแบบนั้นอีก รู้มั้ย”
เสียงทุ้มนั้นแผ่วเบาจนแทบเป็นการกระซิบ และถ้อยคำเหล่านั้นสร้างความงุนงงให้แก่ผู้ฟัง หากอีกฝ่ายก็ไม่เปิดโอกาศให้เขาได้ถาม วงแขนแกร่งโอบรอบเอวผอม ใบหน้าซุกลงที่ตัก บอกเป็นนัยว่าตนกำลังจะนอน
“มีสำนวนว่าใจสตรีแปรปรวนดั่งสารท แต่ไม่คิดว่าจะใช้ได้กับเด็กด้วย”เปรยขึ้นเบาๆ ปลายนิ้วไล่ไปตามเส้นผมพองฟูอ่อนนุ่ม และไม่ได้พูดอะไรต่อ
ส่วนผู้ที่แกล้งหลับนั้นได้แต่หลบซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเอาไว้ โคกิตสึเนะมารุรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นดังเสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
ไม่ดีเลย... ไม่ดีจริงๆ....
ถ้าหากว่ามิคาสึกิเรียกเขาแบบนั้น ต้องมีสักวันที่เขาทนไม่ได้แน่นอน....
****************
*มาจากสำนวนญี่ปุ่นค่ะ ประมาณว่า นึกเคียดแค้นซากุระอยู่ในใจที่ยังคิดว่าตนจะบานสะพรั่งถึงวันพรุ่งนี้ เพราะแท้จริงแล้วเจ้าดอกไม้ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกลมพัดทิ้งร่วงโรยราในไม่ช้า ความหมายคือความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง และวันพรุ่งนี้ที่อาจไม่มีอีกแล้วค่ะ
**ชื่อโคกิตสึเนะมารุ คันจิตัว ‘โคะ’ หมายถึงเด็กค่ะ ส่วนตัวมารุนั้นหมายถึงวงกลม ซึ่งจะนิยมใช้เรียกต่อชื่อของเด็กผู้ชาย ดังนั้นแปลตรงๆเลย โคกิตสึเนะมารุจะแปลว่าจิ้งจอกน้อยกลมๆค่ะ(น่าร้ากกก) ซานิวะไทยเลยเรียกคุณโคกิตสึเนะมารุว่าจิ้งกลมไงคะ ฮา / ส่วนเรื่องจิ้งกลมเกิดก่อนปู่นี่จริงค่ะ ตามตำนานโคกิตสึเนะมารุเป็นดาบที่เก่าแก่กว่า แต่เพราะเราๆเรียกมิคาสึกิว่าปู่กัน คนส่วนมากก็เลยเข้าใจว่าปู่เก่าสุดค่ะ (ตอนแรกที่เรายังไม่ได้หาประวัติมาอ่านนี่ก็แอบคิดเช่นนั้นเหมือนกันค่ะorz)
Talk: แต่งไปเรื่อยๆตามการมโนนะคะ ตรงไหนแปลกๆ พิมพ์ผิดจะค่อยๆเกลาไปเรื่อยๆค่ะ เพราะเราแต่งเรื่องนี้ขณะปั่นงานก่อนสอบไปด้วย ดังนั้นบางช่วงอาจเละๆมึนๆไปหน่อยนะคะ แล้วเรื่องคาแรคเตอร์นี่ถ้าหลุดกรอบทะลุไปไกลเราขออภัยจริงๆค่ะ บางส่วนเราก็มโนขึ้นเอง โดยเฉพาะเรื่องราวต่อจากนี้ที่จะมาซานิวะมาเกี่ยวข้อง เราจะไม่ได้อิงเนื้อเรื่องจากเกมนะคะ เพราะสารภาพตรงๆว่าเราไม่แน่นเรื่องเนื้อเรื่องและประวัติศาสตร์ ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการดำเนินเรื่องเราจะใช้จินตนาการของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ค่ะ TvT // ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่า
ความคิดเห็น