ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Longing [Thor x Loki]

    ลำดับตอนที่ #4 : Longing Part2-2 END

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.07K
      53
      24 ธ.ค. 56

              






    สวัสดีค่ะ ส่วนพล่ามและแจ้งข่าวอยู่ด้านหลัง ดังนั้นตรงนี้ไม่พูดมากนะฮะ อย่าลืมอ่านล่ะ อะฮิฮิฮิ

    เหมือนเช่นเคยค่ะ คำผิดให้คิดมองข้าม เพราะแต่งเส็จลงสด ไม่ได้อ่านทวน 555

    ปล.**คำเตือน** ถ้าเกิดรู้สึกเลี่ยนขออภัย อิชุ้นแต่งหวานไม่เป็น

     





     

    ทอม ฮิดเดิลสตัน กำลังนั่งอ่านสคริปต์อยู่บนโซฟาตัวนุ่ม

    มันเป็นหนังเรื่องใหม่ที่ทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ทัพต่างดาวถล่มแมนฮัตตันเมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน เขาพลิกหน้ากระดาษไปมา จริงอยู่ในยุคนี้แทบไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษอีกแล้ว มีเทคโนโลยีมากมายที่นำมาใช้จดบันทึกสิ่งต่างๆแทนแผ่นกระดาษ แถมยังมีประสิทธิภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มที่ยังคงนิยมใช้กระดาษกันอยู่ด้วยเหตุผลด้านสัมผัสและสุนทรีย์ศาสตร์ แน่นอน... ทอม ฮิดเดิลสตันเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

    เขาคิดว่าเทคโนโลยีสามารถทดแทนสืงต่างๆได้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างเช่นพวกหนังสือต่างๆที่เขาคิดว่ามันจะมีคุณค่ากว่าหากทำเป็นเล่มๆ ไม่ใช่ทำเป็นชุดข้อมูลที่สามารถดึงมาอ่านผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เขาไม่เถียงว่ามันสะดวก แต่บางครั้ง บางคนเช่นเขาก็ให้ค่ากับความคลาสสิคมากกว่าความสะดวก

         กลับมาที่แผ่นกระดาษในมือ ดวงตาสีเขียวอ่านทวนมันจนจบเป็นรอบที่สอง ก่อนจะถอนหายใจ
    มันเป็นภาพยนต์อิงเรื่องจริงเกี่ยวกับซุปเปอร์ฮีโร่ที่ออกมาพิทักษ์โลกจากเหล่าร้ายที่คิดจะทำลายล้างและยึดครองโลก พล็อตเรื่องดูสุดแสนจะซ้ำซากจำเจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าซุปเปอร์ฮี่โร่คล้ายจะกลายเป็นวัฒนธรรมทางภาพยนต์ของอเมริกาไปเสียแล้ว คุณอาจจะคิดว่ามันซ้ำซาก กระนั้นคุณก็ยังดูและตื่นเต้น สนุกไปกับมัน นั่นคงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังแนวนี้กระมัง

    บทที่เขาได้รับเลือกให้เล่นคือโลกิ ตัวร้ายของเรื่อง อันที่จริง... เขาไปแคสบทของธอร์มา แต่สุดท้ายก็ได้เล่นเป็นโลกิ

    คิดแล้วก็น่าขำชะมัด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหนี ‘ตัวตน’ ที่แท้จริงได้สิน่า

         ทอม ฮิดเดิลสตัน หรืออันที่จริงคือโลกิ ลาฟฟี่ซัน แค่นยิ้มฝืนๆ นับแต่วันที่เขาตกลงมาจากสะพานไบฟรอสต์ก็ผ่านมาได้ร้อยปีเศษแล้ว เขาตัดสินใจซ่อนตัวเงียบๆให้ทุกคนคิดว่าโลกิตายไปแล้ว รอจนทุกคนที่รู้จักโลกิบนโลกนี้จากไปทีละคนๆจนหมด เขาจึงได้ออกมา เปลี่ยนทั้งชื่อและฐานะ มันง่ายมากสำหรับเขาที่จะสร้างละครเศร้าฉากเล็กๆเรียกความสงสารจากมิสและมิสเตอร์ฮิดเดิลสตัน ทั้งสองรับเขาเป็นลูกบุญธรรม ให้เขาเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็แสดงบทลูกชายแสนดีได้อย่างไร้ที่ติ และไม่รู้จะหัวเราะหรืออะไรดีที่ความสามารถนี้ของเขาทำให้เขาเข้ามาสู่วงการนักแสดงได้อย่างราบรื่น

    ตอนนี้เขาคือนักแสดงคนหนึ่งที่กำลังจะได้เล่นหนังเรื่องThe Avengers ในบทของโลกิ....

    นี่เป็นอีกเรื่องที่เขาอยากหัวเราะนอกเสียจากการที่เขาหนีบทตัวเองไม่พ้น ก็คือเรื่องที่คนเขียนบทของโลกิเขียนได้ดี เข้าใจถึงความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดทั้งปวงของโลกิมากกว่าเขาที่เป็น’โลกิ’จริงๆเสียอีก...
    ทอมวางสคริปลงบนโต๊ะ ก่อนหลับตาลง

         ไม่มีเหตุผลใดๆที่เขาจะต้องกลับไปแอสการ์ดอีก ธอร์คิดว่าโลกิตายไปแล้ว จากสายตาที่ธอร์มองเขาครั้งสุดท้าย... เขาแน่ใจว่าธอร์จะต้องอยู่ในความทรมาณใจไปทั้งชีวิต และธอร์จะไม่มีวันลืมเขา ไม่มีวันหยุดคิดถึงเหตุผลต่างๆนานๆที่ทำให้’น้องชาย’เปลี่ยนไป

    ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมี’โลกิ’อีกต่อไปแล้ว

    หัวใจของนักแสดงหนุ่มเจ็บแปลบขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็ว

    ไม่... เขาจะต้องตัดทุกความรู้สึกเจ็บปวดที่แม้แต่ตนยังไม่รู้สาเหตุนี้ออกไปให้หมด ตอนนี้เขาไม่ใช่โลกิ แต่เป็นทอม ฮิดเดิลสตัน เขาจะใช้ชีวิตเรียบง่ายและมีความสุขกับการที่จะเห็นธอร์ทรมาณและครุ่นคิดถึง ‘โลกิ’ ไปตลอดกาล 

        เขานึกจินตนาการถึงธอร์ในบางครั้งว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นอย่างไร ทำอะไรอยู่บ้าง จริงอยู่ว่าการใช้เวทย์มนต์ลอบสังเกตุความเป็นไปในแอสการ์ดคือสิ่งที่เขาสามารถทำได้ง่ายๆ แต่นั่นก็เสี่ยงต่อการถูกจับได้ แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้ทุกสิ่งที่ทำมาทั้งหมดสูญเปล่า

    และเขาไม่อยากจะจมอยู่กับธอร์ตลอดไป... เขาอยากลืม ให้มีเพียงธอร์ที่เฝ้าครุ่นคิดถึงโลกิฝ่ายเดียว นั่นจึงเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา

       เมื่อนึกถึงธอร์ เขาจึงพาลนึกถึงอีกชื่อหนึ่งขึ้นมาได้

    คริส เฮมส์เวิร์ธ นักแสดงชาวออซซี่ที่จะมารับบทเทพเจ้าสายฟ้า ทอมยังไม่เคยพบหน้าอีกฝ่ายตรงๆหรอก มีแต่เห็นในรูปถ่าย แต่นั่นก็ทำให้เขานิ่งไปหลายวินาที เพราะหน้าตาที่เขาเห็นในรูป หากไม่นับผมตัดสั้นแล้วก็เหมือนธอร์จนน่ากลัว ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะแย่งบทนี้จากเขาไปได้ เพราะถ้าเขาเป็นโจส เขาก็คงเลือกมิสเตอร์เฮมส์เวิร์ธอย่างไม่ต้องสงสัย

    แต่นั้นคงไม่ใช่ธอร์หรอกนะ....

    เขาคิดขำๆ แอบตลกตัวเองว่าทำไมถึงได้กังวลอะไรไม่เข้าท่า ธอร์เป็นกษัตริย์อยู่ดีๆ จะลงมาเล่นเป็นมนุษย์ได้ยังไงกัน

    #########

            ความมืดสนิทและไร้สิ่งเสียงคือสิ่งที่เขาชิงชัง แต่ก็รักมันยิ่งนัก เพราะรู้ว่ามันจะไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน....

    เทพมุสารู้สึกอย่างหัวเราะดังๆให้กับความน่าสมเพชของตนเอง เว้นเสียแต่ว่าตอนนี้ลำคอของเขาเต็มไปด้วยโลหิตและเจ็บแสบจนเขาหาเสียงของตนเองไม่เจอ

    แม้แต่แดนนรกก็ยังไม่ต้องการเขา น่าขันสิ้นดี แต่ก็ต้องยอมรับ

    ....ไม่มีที่ไหนที่ต้องการโลกิ...

    ตกจากไบฟรอสต์ถึงสองครั้งแล้วก็ยังไม่ตาย นอกจากเขาแล้ว ไม่รู้จะยังจะมีใครทำได้อีกมั้ย

    ‘โลกิ....’

    แว่วเสียงกระซิบแผ่วๆที่คล้ายกับอยู่ใกล้ แต่ก็เหมือนกับดังมาจากที่แสนไกล เขาไม่รู้จักเสียงนี้ แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ตอนนี้เขาคร้านจะใส่ใจทั้งนั้น

    ‘ข้ารู้ว่าท่านได้ยินข้า.... ข้าคือสกัลด์ ท่านคงเคยได้ยินกระมัง’

    เสียงนั้นพูดต่อ ใช่ เขารู้จัก จากบันทึกโบราณมากมายเอ่ยถึงสามเทพธิดาแห่งโชคชะตา พวกนางเคยมอบคำทำนายแก่โอดินครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นพวกนางอีก บางคนจึงคิดว่าเป็นเพียงตำนานเท่านั้น

    ‘สกัลด์แห่งอนาคต?’เขาเอ่ยในใจ เพราะไม่อาจเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงได้ และเขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยิน

    ‘ใช่... ข้ามาเพื่อมอบอนาคตให้แก่ท่าน โลกิ ลาฟฟี่ซัน’

    ‘อนาคต?’เขาทวน ‘จะมีประโยชน์อะไรที่จะมอบอนาคตให้คนอย่างข้า ให้ความตายกับข้าเสียยังดีกว่า นั่นคงเหมาะสมกับยักษ์น้ำแข็งชั่วช้าดีแล้ว’

    ‘นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านปรารถนาจริงๆหรอก และนั่นก็มิใช่สิ่งที่ท่านสมควรได้รับ’สกัลด์กล่าวเสียงเรียบ ‘โชคชะตาเล่นตลกกับท่านนับแต่ที่ท่านเกิด ทุกเส้นทางที่ท่านก้าวเดินถูกกำหนดแล้วซึ่งจุดหมายปลายทาง ไม่ว่าท่านจะเลือกเดินทางไหน ก็จะถูกผลักดันให้ไปสู่ปลายทางนั้นเสมอ นั่นคือสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง โลกิ แต่ท่านเปลี่ยนมันได้ ท่านไม่ได้ทำให้แร็คนาร็อกเกิดขึ้น ดังนั้นท่านจึงสมควรได้อนาคตใหม่’

    ‘หึ... สาบานได้ว่าข้าตั้งใจจะฆ่าพวกเทพโสมมทุกคนจริงๆ รวมทั้งพวกเจ้าด้วย! เพราะฉนั้นรีบๆให้ข้าตายได้แล้ว!’โลกิตวาด เขาเหนื่อยเต็มที ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว เขาไม่ต้องการจะอยู่ต่อแล้ว

    หากเสียงกระซิบนั้นยังคงพูดต่ออย่างเฉยเมย

    ‘ท่านจะไม่ทำ โลกิ เพราะแท้จริงใจท่านรักพวกเขา ท่านรักแอสการ์ดมากกว่าใครๆ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าท่านโดนหลอกมาตลอดจึงทำให้ท่านโกรธแค้นพวกเขามากถึงเพียงนี้’

    โลกิอยากเถียงออกไป แต่ไม่รู้ทำไมในตอนนี้กลับหาคำใดมาเถียงไม่ออก....

    ‘ไปเถิดโลกิ อนาคตของท่านยังอีกยาวไกล และข้าขออวยพรท่านจากใจจริงว่าขอให้ท่านมีความสุข และได้มาซึ่งสิ่งที่ท่านปรารถนาอย่างแท้จริง........’

    สิ้นเสียง เขาก็รู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นไหลชโลมไปทั่วร่าง แล้วสติทั้งมวลก็ถูกพาดำดิ่งสู่ความมืดมิดที่สุด

    เมื่อตื่นขึ้นมา โลกิพบว่าตัวเองอยู่ในดินแดนที่ตนเกือบทำลายไปแล้วถึงสองครั้ง

    ....มิดการ์ด.....

    ###########

                    “ธอร์... แม่ไม่อยากขัดเจ้า แต่แม่ว่าเจ้าควรจะหยุดได้แล้ว....”พระนางฟริกก้าเอ่ย นางทิ้งตัวนั่งลงข้างบุตรชาย สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวล

    “ท่านแม่... ข้ารู้ว่าท่านลำบากใจ แต่ข้าหยุดไม่ได้... นี่เป็นสิ่งที่ข้าต้องทำ”ธอร์เอ่ย บัดนี้เทพสายฟ้าและดูเปลี่ยนไป ไม่มีแล้วซึ่งความสนุกสนานในดวงตาสีฟ้า ทั้งบนใบหน้าหล่อเหล่ายังปราศจากรอยยิ้มมานานปี ธอร์ดูเหนื่อยล้าและโศกเศร้าจนหัวใจคนเป็นแม่เจ็บปวด

    “ธอร์... แม่รู้ว่ามันลำบากสำหรับเราทุกคนที่จะต้องยอมรับ แต่โลกิ... น้องเจ้าจากไปแล้ว เขาจากเราไปแล้ว แม่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เจ้าเที่ยวตามหาเขามาร้อยปีกว่าได้แล้วธอร์ บรรลังก์ไม่อาจขาดกษัตริย์ และแม่กับพ่อเจ้าก็ไม่อยากให้เจ้าโทษตัวเอง”มารดาแห่งสารพสิ่งเอ่ย มือบางแตะใบหน้าของบุตรชาย

    นับแต่โลกิจากไป ธอร์แทบไม่กินไม่นอน เอาแต่ออกตามหาโลกิที่ดาวต่าวๆอย่างบ้าคลั่ง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างบุตรชายทั้งสองของนาง ไม่รู้ว่าทำไมธอร์จึงโทษว่าตัวเองทำให้โลกิต้องตาย นางไม่เคยเห็นบุตรชายคนโตเศร้าสร้อยขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่โลกิสังหารเจน ฟรอสเตอร์ก็ตาม

    “ข้าไม่ได้โทษตัวเอง ท่านแม่... แต่มันเป็นเพราะข้า... ทุกอย่างมันเป็นเพราะข้า”ธอร์ว่า เขาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง พยายามข่มความเจ็บปวดที่บีบรัดอยู่ในอก มันทรมาณมากเสียจนเขารู้สึกได้ถึงความเค็มคาวของโลหิตที่ดันขึ้นมากระจุกอยู่ในลำคอ

    “โลกิยังไม่ตาย เขาเคยตกจากสะพานไบฟรอสต์มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาก็ต้องรอด”เทพสายฟ้าพึมพำ คล้ายพูดกับตนเองมากกว่ามารดา ภาพที่เห็นทำให้ฟริกก้ารู้สึกจุกในอก นางคิดว่าบุตรชายคนเล็กของนางไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เพราะม้แต่ไฮม์ดัลยังมองไม่เห็นว่าโลกิอยู่ที่ไหน แต่นางก็อับจนหนทาง ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ธอร์ยอมรับ

    มันอาจใช้เวลานานที่จะทำใจ... โอดินบอกกับนางเช่นนี้ แต่นี่มันร้อยปีผ่านไปแล้ว ธอร์ไม่เพียงแต่จะดีขึ้น กลับดูแย่ลงทุกวัน

    “ข้าจะไปตามหาเขา”เสียงทุ่มกล่าว พร้อมร่างสูงที่เดินออกไปจากห้อง โดยที่ฟริกก้าได้แต่มองตามอย่าเศร้าสร้อย

    นางเสียบุตรคนเล็กไปแล้วคนหนึ่ง นางจะไม่ยอมให้ธอร์เป็นอะไรไป

    แต่นอกจากเฝ้ามองและภาวนาแล้วเล่า นางสามารถทำสิ่งใดได้อีก

    คำตอบคือไม่มี....

    #############

           เทพสายฟ้าตรงดิ่งไปที่สะพานไบฟรอสต์ในทันที

    มาถึงตอนนี้ เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองไปพลิกแผ่นดินหาโลกิที่ดาวอื่นๆมากี่สิบกี่ร้อยดวงแล้ว แต่ต่อให้จักรวาลนี้มีแผ่นดินอีกเป็นล้าน เขาก็จะหามันทุกที่

            ธอร์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโลกิทนกับความเจ็บปวดมานานเพียงไร ดังนั้นกับความเจ็บปวดของตนเองในตอนนี้ เขาจึงคิดว่าตนเองสมควรได้รับมันแล้ว

    และธอร์ยังไม่เคยรู้เลยว่าโลกิมีความสำคัญต่อเขามากเพียงใด... ไม่เคยรู้ จนกระทั่งตอนนี้ที่ข้างกายเขาไม่มีร่างเพรียวที่คุ้นเคย และเขาไม่รู้ว่าจะไปตามหาอีกฝ่ายได้ที่ไหน

    แม้ว่าทุกคนจะคิดว่าโลกิตายไปแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ จอมป่วนอันดับหนึ่งที่ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้ามานับร้อยครั้งไม่มีทางที่จะจบชีวิตลงง่ายๆอย่างนี้ ธอร์คิด และหวังเหลือเกินว่านี่จะเป็นเพียงแผนการที่โลกิใช้แก้แค้นเขา

          “ท่านยังจะออกไปอีกหรือ”ผู้พิทักษ์แห่งประตูเอ่ย ยามเมื่อรับรู้ถึงการมาของอีกฝ่าย “ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ แต่ขอแนะนำว่าท่านควรหยุด และกลับไปทำหน้าที่กษัตริย์ของท่านให้ดี โอดินเป็นกังวลเรื่องท่านมาก”

    “ข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะหาเขาพบ”ประโยคของธอร์ทำให้ผู้อาวุโสกว่าถอนหายใจ

    “ท่านหาเขามาร้อยกว่าปีแล้ว กษัตริย์ข้า หากท่านใส่ใจกับคำพูดของข้า รู้ถึงสิ่งที่โลกิปรารถนา ทุกอย่างคงจบดีกว่านี้”ไฮม์ดัลเว้นจังหวะชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม

    “สิ่งที่โลกิปรารถนา ในตอนนี้ท่านสามมารถมอบมันให้เขาได้หรือไม่”

    คำถามนั้นทำให้ธอร์นิ่งไปชั่วครู่

    สิ่งที่โลกิปรารถนา... สิ่งที่เขาเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริง หากว่าเขารู้เร็วกว่านี้... หากเพียงแต่เขาจะเข้าใจอีกฝ่าย เหมือนที่โลกิเข้าใจเขาทุกอย่าง...

    ดวงตาสีฟ้าหลุบลงต่ำ ก่อนจะมองตรงไปเบื้องหน้า เสียงห้าวเอ่ยตอบ ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวที่หนัแน่นกว่าหลักศิลาใดๆ

    “ได้”

    และนั่นทำให้เจ้าของคำถามพอใจ ผู้พิทักษ์แห่งไบฟรอสต์ขยับยิ้ม ก่อนพูด

    “เมื่อไม่นานมานี้ข้าเห็น... แม้เพียงครู่เดียว แต่ข้ามั่นใจว่าเป็นเขา”

    หัวใจของเทพสายฟ้าพองโตขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ประกายแห่งความหวังพาดผ่านบนดวงตา พร้อมกับความยินดีที่ผุดพรายขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ

    “โลกิอยู่ที่ไหน?!”

    “มิดการ์ด”

    ##################

                    วันนี้เป็นวันนัดคุยงานกันพร้อมหน้าของเหล่านักแสดงนำ ทอม ฮิดเดิลสตันตื่นแต่เช้า จัดแจงทำธุระส่วนตัว ก่อนออกจากบ้านด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส

    มันยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก และอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด แต่ที่เขาออกมาแต่เช้าเพราะกะจะเดินไปซื้อของก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

    ทอมเดินตรงไปยังร้านหนึ่งอย่างไม่ลังเล มีอยู่ไม่กี่สิ่งหรอกที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษ และหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือ อันที่จริงอย่าเรียกว่าชอบเลย เรียกว่าตกหลุมรักดีกว่า เขารักมัน ทั้งปรัชญา เพลโต อิมมานูเอล ค้านท์ เรอเน่ เดการ์ต หรือจะเป็นวรรณกรรม โดยเฉพาะเช็คเสปียร์ที่เขานับว่าเป็นแฟนตัวยงเลยทีเดียว เขาชอบงานเขียน มุมมองของความรักและอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เช็คเสปียร์ถ่ายทอดออกมา มันละมุนละไม แต่ก็มีความดิบ ผสมกันอย่างลงตัว

    “อ้าว ทอม มาแต่เช้าเชียวนะครับ”เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนชื่อเบลล์ กล่าวทักทายลูกค้ารายใหญ่อย่างสนิทสนม อันที่จริง... แม้ปริมาณการซื้อของเขาจะนับว่าไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้น ‘ลูกค้ารายใหญ่’ ในนิยามเชิงปริมาณของคนทั่วไป แต่เพราะนี่เป็นร้านหนังสือรูปเล่มที่หาคนอยากซื้อได้น้อยลงทุกที ดังนั้นทอมที่แวะเวียนมาร้านนี้เดือนละไม่ต่ำกว่าสามครั้งจึงนับได้ว่าเป็น ‘ลูกค้ารายใหญ่’ ของร้านนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

    “พอดีมีธุระใกล้ๆนี่น่ะครับ เลยถือโอกาสมาหาหนังสือเข้าชั้นเสียหน่อย”เขาตอบอย่างสุภาพนุ่มนวล อันเป็นบุคลิคลักษณะของทอม ฮิดเดิลสตัน พลางไล่สายตาไปตามสันหนังสือที่ส่วนมากเก่าจนน่ากลัวว่าพอจับแล้วจะหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ

    “พูดตามตรงนะมิสเตอร์ ถ้าไม่มีคนอย่างคุณ ร้านผมคงเจ๊งไปแล้ว คนสมัยนี้นะ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจิ้มเขี่ยอ่านอะไรไม่รู้บนแผ่นอิเล็กโทรนิคซ์พวกนั้น มันจะไปสู้หนังสือแท้ๆได้ยังไง คนหนุ่มๆที่สนหนังสือแบบคุณน่ะหายากขึ้นทุกวัน อีกหน่อยพวกเขาคงเรียกหนังสือพวกนี้ว่าวัตถุโบราณแน่เลย เชื่อผมสิ!”

    ทอมยิ้มให้กับการพร่ำบ่นหัวข้อเดิมๆของเบลล์ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการไปวางบนเคาน์เตอร์

    “คนเราตัดสินคุณค่าของสิ่งต่างๆกันคนละแบบน่ะครับ”

    “นั่นสินะ... โอ้... เช็คเสปียร์อีกแล้วหรอ ผมนึกว่าคุณมีหนังสือของเขาครบแล้วซะอีก”เจ้าของร้านเอ่ยขณะจัดแจงหยิบหนังสือเล่มเก่าใส่ถุงอย่างระมัดระวัง

    “พอดีแฮมเล็ตเล่มที่ผมมีอยู่กระดาษมันชำรุดไปบางหน้าน่ะครับ เลยมาหาซื้ออีกเล่ม”นักแสดงหนุ่มตอบพลางจ่ายเงิน มันเป็นราคาที่สูงกว่าในอดีตมากเพราะเดี๋ยวนี้หนังสือรูปเล่มหายากขึ้นทุกวัน และกลายเป็นสินค้าเฉพาะในกลุ่มนักสะสม

    “เฮ้ รู้อะไรมั้ย คุณน่าจะขอนายเช็คเสปียร์แต่งงานได้แล้วนะทอม”เบลล์หยอกล้อ เรียกเสียงหัวเราะจากแฟนตัวยงของนักเขียนชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ

    “แน่นอน คุณก็รู้ว่าผมหลงรักเขาแทบบ้า”

                     ทอมเดินออกจากร้านหนังสือ AIของเขาปรากฏตัวขึ้นเป็นภาพโฮโลแกรมแล้วเตือนเขาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลานัด นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แทบทุกคนในยุคนี้มีติดตัว โปรแกรมที่จำลองคนเป็นรูปแบบของภาพเสมือนจริงขนาดเล็ก ซึ่งสามารถจัดตารางเวลา ค้นหาข้อมูล เชื่อมต่อดาวเทียมและอินเตอร์เน็ท คล้ายๆกับมีเลขาส่วนตัวพ่วงด้วยสมาร์ทโฟนที่สั่งการด้วยเสียงได้อย่างแม่นยำ

    และเพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับการโต้ตอบกับAI ทำให้ทอมไม่ทันสังเกตุเห็นคนที่กำลังเลี้ยวมาอีกมุมตึก ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายชนกันให้อย่างจัง

    “โอ๊ย...”เขาอุทานเสียงเบา หลังจากที่เซถลาไปหลายก้าว รู้สึกเจ็บจากแรงปะทะเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สนใจแต่กลับขอโทษขอโพยอีกฝ่านในทันที

    “ขอโทษครับ พอดีผมไม่ทันระวัง คุณโอเคใช่มั้ย”ทอมถาม ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ

    ผมสีทองตัดสั้น... ดวงตาสีฟ้า โครงหน้าหล่อเหลา เขาเกือบหลุดชื่อธอร์ออกไปแล้ว หากก็กลืนมันลงคอไปได้ทัน

    “ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณโอเคมั้ย เออ... คือผมหมายความว่าผมสบายดี แต่คุณกระเด็นไปตั้งไกล”คำพูดเกินจริงนั้นเรียกรอยยิ้มขำๆให้ผุดขึ้นบนเรียวปาก ทอมสั่นหน้าเบาๆ “ผมไม่เป็นไร” เขาหยุดไปชั่วครู่ พิจรณาร่างสูงใหญ่ตรงหน้ากับสำเนียงของอีกฝ่าย แล้วจึงถาม “คุณคงเป็นคริส เฮมส์เวิร์ธ”

    “ส่วนคุณก็ทอม ฮิดเดิลสตัล บังเอิญจังนะ คุณกำลังจะไปประชุมบทใช่มั้ย”

    “ใช่ แต่ เฮ้.. คุณเลี้ยวผิดทางนะ ต้องไปทางโน้น ไม่ใช่ทางนี้”ทอมชี้ไปด้านหน้า หลังจากเขย่ามือทักทายกันพอเป็นพิธี

    “อ้าว หรอ.... ไม่รู้สิ ผมเพิ่งย้ายมา แล้วก็ไม่เคยมาแถวนี้มาก่อนน่ะ”คริสพูดพลางเกาหัวแกรกๆ กริยาอันขัดกับร่างสูงใหญ่นั้นทำเอาคนมองถึงกับแอบหัวเราะ

    “ไม่เห็นน่าขำเลยนะมิสเตอร์ฮิดเดิลสตัน”เขาพูด โดยไม่รู้ว่าท่าทางงอนๆนั่นทำให้ทอมถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เสียงใสที่หัวเราะอะฮิฮิฮินั้นทำให้เขานึกอยากบีบแก้มอีกฝ่ายแรงๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนเพิ่งรู้จักล่ะก็นะ...

    “ผะ... ผมขอโทษนะ แต่โอ๊ย... มิสเตอร์เฮมส์เวิร์ธ มีคนเคยบอกคุณมั้ยว่าท่างอนนั่นไม่ได้เข้ากับคุณเลยสักนิด”ทอมว่า นึกในใจว่าคนๆนี้ไม่มีทางจะเป็นธอร์เด็ดขาด... อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นธอร์งอนตุ๊บป่องแบบนี้

    และเมื่อเห็นหน้ามุ่ยๆของอีกฝ่าย เขาจึงรีบกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ ก่อนตบใหล่หนาสองที

    “เอาน่าๆ เพื่อเป็นการไถ่โทษ ผมจะพาคุณไปส่งถึงที่หมายอย่างปลอดภัยเอง”

    ##########

            การคุยงานกันครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนเหมาะสมกับบทและนักแสดงกับทีมงานก็เข้ากันได้ดี บางคนอาจดีมากด้วยช้ำไป อย่างเช่นคริส เฮมส์เวิร์ธและทอม ฮิดเดิลสตัน สองหนุ่มที่เดินมาถึงที่นัดหมายด้วยกัน ทำให้โจสที่เห็นทั้งสองเป็นคนแรกถึงกึบเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่ารู้จักกันมาก่อนหรอ เพราะดูจะสนิทกันดีเหลือเกิน ถึงขั้นที่พอผ่านไปสักพักทั้งสองก็เปลี่ยนจากนามสกุลมาเรียกชื่อกันแทนแล้ว เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่แปลกใจเมื่อรู้ว่าสองคนนี้เพิ่งเจอกันวันแรก พร้อมทั้งลงความเห็นว่าบทของธอร์และโลกิเข้ากับคริสและทอมสุดๆ เพราะทั้งสองดูสนิทกันเหมือนพี่น้องจริงๆ

                    สำหรับทอมแล้ว เขาเองก็แปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงสนิทกับคนๆหนึ่งได้เร็วขนาดนี้ เขารู้แต่ว่าเวลาคุยกับคริสแล้วรู้สึกสบายใจ มันคงไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหน้าตาเหมือนธอร์ เพราะนอกจากนั้นแล้ว คริสกับธอร์แทบไม่เหมือนกันเลย คริสเป็นคนอบอุ่น และแม้คำว่าน่ารักจะไม่เหมาะกับผู้ชาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคริสเป็นคนน่ารักจริงๆ อีกทั้งยังไม่ถือตัว ผิดกับธอร์ที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และแสดงอำนาจอยู่ในทุกการกระทำเสมอ

    “ยินดีที่ได้ร่วมงานกับนายนะคริส”นักแสดงหนุ่มเอ่ยยิ้มๆเมื่อถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน

    “ฉันเองก็เหมือนกัน จริงสิ นายกลับทางไหนน่ะ เผื่อจะทางเดียวกัน”คริสถามเพื่อนใหม่ของตน

    และเมื่อทอมบอกที่อยู่ไป ก็เป็นเส้นทางเดียวกันจริงๆ และทั้งสองก็ไม่ได้เอารถมา ตอนแรกทอมวางแผนว่าจะขึ้นรถไฟตอนขากลับ แต่ในเมื่อมีเพื่อนร่วมทาง ทั้งสองจึงตกลงจะค่อยๆเดินกลับด้วยกัน

    “ในถุงนั่นคืออะไรน่ะ”คริสถามระหว่างทางเดินกลับ ดวงตาสีฟ้ามองดูถุงกระดาษในมืออีกฝ่ายอย่างสนใจ

    “หนังสือน่ะ เออ... ฉันหมายถึงหนังสือเล่มๆจริงๆ แบบที่เป็นกระดาษน่ะนะ”

    คำตอบนั้นทำให้หนุ่มออซซี่เบิกตากว้าง พร้อมเอ่ยปากขอดูหนังสือในถุง

    “พระเจ้า ฉันไม่ได้เห็นหนังสือแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ไม่นึกว่ายังมีคนรุ่นๆเราอ่านแบบนี้ด้วย”คริสว่า มือหนาลูบสันหนังสือที่ตัวอักษรสีทองเริ่มเลือนไปบ้างเบาๆ

    “นายคงคิดว่าฉันเชยล่ะสิ แต่อ่านแบบนี้มันห็ความรู้สึกดีกว่านี่หน่า ทั้งกระดาษ กลิ่นหมึก พวกE-bookก็สะดวกอยู่หรอก แต่มันไม่มีสัมผัส หนังสือใหม่ๆเดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำเป็นเล่มกันแล้ว นายรู้มั้ยว่าฉันต้องสั่งทำเชียวนะ”คนรักหนังสือบ่นอุบอิบ ทำให้คนข้างตัวอดหัวเราะไม่ได้

    “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หน่า พ่อคนคอนเซอเวทีฟ แต่ ว้าว! ทอม นายน่าทึ่งชะมัด นี่มันเช็คเสปียร์เลยนะเนี่ย ฉันเคยอ่านอยู่เล่มหนึ่ง อ่านยากชะมัด”คริสว่า ดวงตาสีฟ้าปรากฏแววชื่นชมจากใจจริง ก่อนว่าต่อ

    “ท่าทางนายจะชอบหนังสือน่าดู ส่วนมากนายอ่านอะไรหรอ”

    “หลายอย่างนะ แต่หลักๆก็พวกปรัชญากับวรรณกรรม โดยเฉพาะเช็คเสปียร์ ฉันชอบงานของเขามากๆเลย มีครบทุกเล่มเชียวนะ! ฉันชอบมุมมองของเขาต่ออารมณ์ของมนุษย์ตัวละครทุกตัวก็ทำได้มีมิติมากๆ อย่างเรื่อง....”ทอมเริ่มพูดพล่ามถึงนักเขียนคนโปรดเสียยาวเหยียด และกว่าจะรู้ว่าตัวเองติดลมไปไกลก็ผ่านไปแล้วหลายนาที เขารีบกระแอมน้อยๆแก้เขิน

    บุญเท่าไหร่แล้วที่คริสไม่หลับไประหว่างที่เขาพล่ามน่ะ!

    “เอ้อ... แล้วนายชอบอ่านอะไรน่ะคริส”ทอมถาม ใบหน้าขาวขึ้นสีเล็กน้อย

    คริสไหวตัวน้อยๆเมื่อได้ยินคำถาม เพราะเมื่อครู่เขากำลังฟังอีกฝ่ายเพลิน ทอมเป็นคนเสียงเพราะ บวกกับสำเนียงบริทิชแท้ๆนั่นอีก ทำให้คนฟังฟังได้เรื่อยๆไม่เบื่อ

    “ฉันหรอ ฉันชอบการ์ตูนน่ะ คนละแนวกับนายเลย”ตอบพลางหัวเราะฮ่าๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

    “นายเป็นคนอังกฤษสินะทอม สำเนียงนายบอกชัดมาก มาจากเมืองไหนน่ะ”คริสถาม

    “ลอนดอน... อันที่จริงฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่หรอก มัวแต่ขลุกอยู่ที่ยูนั่นแหละ แล้วพอเรียนจบฉันก็ย้ายมาอเมริกา พ่อแม่ฉัน ท่านไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆหรอก พวกท่านอยากให้ฉันรับช่วงต่อกิจการยาที่บ้าน แต่ฉันอยากเป็นนักแสดง เราเลยทะเลาะกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้ก็ดีกันแล้วล่ะ”

    “นายเรียนมหาลัยด้วยหรอ ที่ไหนน่ะ”คริสถาม ทอมหันหน้ามามองเขา ก่อนก้มหน้าลง แล้วอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา

    “เคมบริจด์น่ะ”

    ตอบพลางถอนหายใจ เตรียมรับกับคำถามประเภทที่ว่าเรียนมาขนาดนี้ทำไมยังมาเป็นนักแสดง ซึ่งเป็นคำถามที่เพื่อนๆและคนรอบข้างมักถามเขาบ่อยๆ

    หากแต่คริสก็ทำให้เขาประหลาดใจ

    “ว้าว... นายมันน่าทึ่งจริงๆแหละทอม! แล้วนายก็กล้ามากด้วยที่ออกมาทำตามความฝันแบบนี้ ฉันนับถือนายจริงๆนะ”

    ท่าทางชื่นชมอย่างไม่ปิดบังของคริสทำให้เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกอยู่หลายวินาที ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด

    “นี่ฉันพูดอะไรน่าขำไปอย่างงั้นหรือทอม”คริสถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนใหม่ของตนเริ่มต้นหัวเราะอีกแล้ว

    “เปล่าๆ แต่ฉันประทับใจน่ะ พูดจริงๆนะคริส ฉันว่านายน่ารักมากเลย”

    “ฉันว่าคำว่าน่ารักมันไม่ได้เอาไว้ใช่กับผู้ชายหรอกนะ”หนุ่มออซซี่บ่นพึมพำ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หยุดหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เขาก็หัวเราะตามในที่สุด

                    เดินต่ออีกไม่นานก็ถึงบ้านของทอม ทั้งสองกล่าวร่ำรากันเสร็จ ทอมก็หมุนตัวเดินเข้าบ้าน แต่เสียงของคริสก็รั้งเขาไว้ให้หันไปมอง

    “เฮ้ ทอม ฉันว่านะ นายน่าจะไปขอเช็คเสปียร์แต่งงาน รู้มั้ย”

    ประโยคที่เขาได้ยินมาถึงสองหนจากคนสองคนในวันนี้ ทำให้เขาหัวเราะร่า ก่อนหลิ่วตาให้อีกฝ่าย

    “แน่นอน ถึงตอนนั้น นายต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนะ มิสเตอร์เฮมส์เวิร์ธ”

    #############

                    การถ่ายทำThe Avengersเป็นไปอย่างราบรื่น แถมในกองถ่ายยังครื้นเครงสุดๆ จนเรียกได้ว่าสนิทกันแทบทั้งกอง เล่นไปทำงานไปกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้การถ่ายทำล่าช้าแต่อย่างใด

    และคิวถ่ายวันนี้ก็คือฉากสองศรีพี่น้องที่เทพสายฟ้าพยายามเกลี้ยกล่อมโลกิกลับบ้านนั่นเอง

    “ทอม นายเห็นฆ้อนของฉันมั้ย”คริสที่แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้อง คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมเพราะไม่รู้ว่าอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่กลายเป็นของเล่นสาธารณะไปเสียแล้วหายไปอยู่ที่ไหน

    “ฉันวางคืนที่เดิมแล้วนะ นายลองไปถามคุณมนุษย์เตารีดดูสิ ฉันว่าฉันเห็นเขาเอาไปเล่นกับคุณกัปตันนะ”ทอมที่กำลังให้ช่างจัดแต่งทรงตอบ เขาลอบมองภาพของคริสที่สะท้อนในกระจก เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อไว้ผมยาวและแต่งตัวแบบนี้ คริสเหมือน’ธอร์’มากจริงๆ

    “อา ให้ตายสิ ทำไมพวกนายต้องหยิบฆ้อนฉันไปเล่นทุกทีเลย ฉันว่าเราน่าจะทำหนังเรื่องเทพสายฟ้ากับฆ้อนที่หายไปแทนนะ”คริสบ่น ก่อนจะก้าวยาวๆออกไปตามหาพร็อพของตนต่อ

    “โธ่ ทอมคะ คุณอย่าแกล้งคริสนักเลย”เมคอัพอาร์ตติสท์สาวพูดขึ้นเมื่อคริสก้าวพ้นประตูห้องไป พร้อมมองหนุ่มอังกฤษที่เอาฆ้อนที่ตนซ่อนไว้มาควงเล่นอย่างอารมณ์ดี

    “ผมไม่ได้แกล้งสักหน่อย พวกนั้นเอาไอ้นี่ไปเล่นจริงๆนี่หน่า แต่เป็นก่อนหน้าที่ผมจะหยิบมาน่ะนะ”เขาว่าพลางมองโยเนียร์ในมือ โดยรายละเอียดทำได้เหมือนจริงมาก แต่ไม่รวมไปถึงน้ำหนักเบาโหว่งของมันน่ะนะ แต่แน่นอน หากทำตามน้ำหนักจริง ไม่ว่าคริสหรือเขาก็ยกมันไม่ขึ้นแน่

    “พวกคุณไม่คิดหรอว่าคริสเหมือนหมีตัวโตๆที่น่าแกล้งน่ะ”เขาพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกระจก แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ค้างไปในทันที

    “คริส... คือว่า...”ทอมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะค่อยๆหันไปเผชิญหน้ากับพ่อหมีตัวโตที่ยืนจ้องเขม็งอยู่ ส่วนทั้งช่างแต่งหน้าทำผมของเขาหนีไปยืนสุดประตูเรียบร้อยแล้ว

    “นายว่าใครน่าแกล้ง ไหนพูดอีกทีสิทอม”คริสพูดพร้อมจับแก้มอีกฝ่ายบิดไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

    “โอ๊ยๆ... คริส ฉันเจ็บนะ”ทอมว่าพลางหันหนาหนี มือเรียวบางยกขึ้นลูบแก้มที่ขึ้นสีแดงป้อยๆ

    “ฉันจะฟ้องโจสว่านายทำหน้าฉันเป็นรอย”เขาเอ่ยขำๆ และนั่นทำให้อีกฝ่ายอยากขยี้ผมดำๆนั่นสักที... ถ้าไม่ติดว่านี่จะได้เวลาเข้าฉากแล้วล่ะก็นะ

    “ฉันก็จะบอกโจสเหมือนกันว่านายเอาฆ้อนฉันไปนะทอม”

    ประโยคที่ทำให้คนขโมยฆ้อนทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ ก่อนจะยืนโยเนียร์ปลอมคืนให้อีกฝ่าย

    “นายมันขี้งก”

    “ส่วนนายก็จอมป่วนขี้แกล้ง”คริสว่าพลางดีดนิ้วใส่หน้าผากเหม่งๆหนึ่งที แล้วจึงหัวเราะฮ่าๆ ควงฆ้อนออกจากห้องไปอย่างสะใจ

    ส่วนหนึ่งสาวหนึ่งหนุ่มใจสาวก็มองฉากสุดโบรแมนซ์เมื่อครู่ด้วยความฟินสุดๆกับแมวน้อยที่ถูกพ่อหมีเอาคืน ก่อนที่จะจัดแจงเข้าไปแต่งผมและปาดคอนซิลเลอร์กลบรอยแดงบนหน้าคมหวานของนักแสดงหนุ่ม

    แหม่ ถ้านี่เป็น ‘รอยอื่น’ ที่อยู่บน ‘ซอกคอ’ ล่ะก็ จะดีแค่ไหนกันหนอ!

    ########

               เสียงของผู้กำกับที่สั่งให้เริ่มแสดงดังขึ้น ทั้งคริสและทอมที่พูดคุยหยอกล้อกันเมื่อครู่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เข้าสู่บทได้อย่างรวดเร็ว สำหรับทอม มันเป็นบทที่ง่ายมากและเขาแทบไม่เคยต้องถ่ายซ่อมหลายเทค เพราะโดยแท้จริงแล้วเขาก็คือ ‘โลกิ’ ส่วนคริส... เขาคงต้องชมว่าฝีมือการแสดงของคริสสุดยอดมาก เพราะอีกฝ่ายก็สามารถเข้าสู่อารมณ์ตัวละครได้อย่างรวดเร็วและเหมือนธอร์จริงๆจนครั้งแรกที่เห็นเขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน

                    “โลกิ กลับบ้าน....”

    การแสดงเริ่มต้นขึ้น มันเป็นฉากที่ทอมทั้วเฝ้ารอและไม่เฝ้ารอที่สุด นั่นเพราะมันเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นเจ็บปวดต่อครอบครัวและการถูกหลอกลวง เขามั่นใจว่ามันจะเป็นฉากที่เขาแสดงได้ดีที่สุด แต่ก็กลัวว่าตนจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

    “บ้าน?”เขาเอ่ยทวนตามบท มองดูดวงตาสีฟ้าที่เหมือนกับของธอร์จนแยกไม่ออก

    “แอสการ์ดไม่ใช่บ้านข้า!”เขากระชากเสียง ปล่อยทุกอย่างให้ไหลไปตามอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ลืมที่จะควบคุมตนเอง

    “แต่เจ้าเป็นน้องข้า!!”อีกฝ่ายขึ้นเสียงกลับ แววตาดุดันเจือสั่นไหว วิงวอน กับน้ำเสียงที่เอ่ยนั้นทำให้ทอมแทบประคองสติไว้ไม่อยู่ ความรู้สึกอึดอัดคับแค้นที่หลับใหลอยู่ในใจมากว่ารอยปีเอ่อล้นออกมาจนยากจะควบคุม ประโยคถัดมาที่เขาเอ่ยจึงได้อัดแน่นไว้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดทั้งมวล สะกดให้ทุกสรรพสิ่งรอบกายเงียบงัน

    “ข้า...ไม่ใช่....น้องเจ้า!! ธอร์! ข้าไม่ใช่น้องเจ้า ไม่เคยเป็น!!”ทอมหายใจแรง พยายามเหลือเกินที่จะห้ามน้ำตาไม่ให้ใหลออกมา แต่ก็พบว่ามันยากเย็นนักในยามที่ตกอยู่ใต้ดวงตาสีฟ้าคู่นี้ ที่แม้จะไม่ใช่ของธอร์ก็ตาม...

    “โลกิ... โลกิ ข้าขอโทษ....”ประโยคถัดมานั้น คริสเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เจ็บปวดจนหัวใจของทุกคนที่ได้ยินปวดร้าว

    “อะ...อะไรนะ...”สมองของทอมคล้ายจะเป็นอัมพาตไปเสียแล้ว หยาดน้ำตารินไหลจากนัยน์ตาสีเขียว และเป็นนิ้วของอีกฝ่ายที่เกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างนุ่มนวล

    “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”

    ใช้เวลาอยู่ไม่นานที่ทอมจะนึกขึ้นได้ว่านี่มันนอกบท ในขณะที่คนอื่นๆไม่รู้ หรืออาจรู้แต่ยังไม่สั่งคัทเพราะบรรยากาสกดดันจนแทบหายใจไม่ออกนี้

    “เจ้า... ธอร์... เจ้า....”เสียงสั่นเครือเอ่ยตะกุกตะกัก ก่อนที่มือเรียวจะผลักอีกฝ่ายออกห่าง แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    “โลกิ!!!!”คริสตะโกนเรียก ร่างสูงรีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำให้เหล่าทีมงานกระพริบตาปริบๆอย่างตั้งตัวไม่ถูก จนกระทั้งโจสตบมือขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วกล่าวติดตลกที่แทนที่บรรยากาสประหลาดๆนี้ด้วยเสียงหัวเราะ

    “ใครช่วยบอกฉันทีว่าธอร์กับโลกิไม่ใช่ผัวเมียที่กำลังทะเลาะกัน”

    ###########

                    ทอมออกวิ่งไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เขาไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน รู้แต่ต้องรีบไปให้ไกลจากตรงนี้ที่สุด

    “ทอม!!”เสียงของคนที่เขาอยากหนีห่างดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่มือหนาจะคว้าข้อมือเขาไว้ได้ในที่สุด

    “อย่ามาแตะฉัน!!”ทอมตะโกนกร้าว เขากระชากมือจากอีกฝ่ายอย่างแรงจนเซถอยไปด้านหลังหลายก้าว

    นี่มันอะไรกัน... ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ทำไม....

     

    “ทอม ฟังฉันพูดก่อน ฉัน....”หากแต่ยังไม่ทันที่คริสจะพูดอะไรมากกว่านั้น อีกฝ่ายก็ขัดขึ้นก่อน

    “ตลอดหลายเดือนมานี้นายหลอกฉันมาตลอด... ฉันนึกว่านานคือคริส เฮมส์เวิร์ธ แต่นั่นมันหลอกลวงทั้งเพ ทำไมกัน ทำไมนาย... ทำไมเจ้าต้องทำอย่างนี้ ธอร์ เจ้าจะมาให้ข้าเห็นหน้าอีกทำไมกัน!”ทอม หรือก็คือโลกิตะโกนสุดเสียง ร่างเพรียวบางทรุดลงกับพื้น เรี่ยวแรงต่างๆหายไปจนหมด หายไปพร้อมๆกับความเข้มแข็งทั้งมวลที่เขาคิดว่าตนเองมีมากพอเสมอ

    เขาไม่เคยคิดเลยว่าต้องเจอกับธอร์อีก ยิ่งไม่ใช่ในสภาพที่พูดคุยสนิทสนมกันมาหลายเดือนโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันขนาดนั้น ทั้งๆที่หน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น ทำไมเขาถึงดูไม่ออก...

    แล้วเพราะอะไรธอร์ถึงต้องทำแบบนี้เพื่อหลอกเขา เพราะอยากเห็นเขาเป็นตัวตลกน่ะหรอ น่าขำสิ้นดี สุดท้ายแล้วที่เขาทำไปทั้งหมดก็ไร้ค่าน่ะหรือ...

    “เพราะตอนแรกข้าไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้า! เจ้าดูเปลี่ยนไปโลกิ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าที่ยิ้มหรือหัวเราะแบบนี้ แต่สาบานได้ว่าข้าไม่ต้องการหลอกเจ้าเลยสักนิด”ธอร์ว่า ดวงตาสีฟ้ามองดูร่างสั่นเทาของอีกฝ่ายอย่างเจ็บปวด

    ใช่... เป็นความจริงที่เขาลงมายังมิดการ์ดด้วยฐานะคริส เฮมส์เวิร์ธ เพื่อจะได้เข้าใกล้ทอม คนที่ไฮม์ดัลบอกว่าน่าจะเป็นโลกิ แต่เขาไม่เคยแน่ใจ... ไม่เคยจนกระทั่งได้เห็นแววตาและน้ำเสียงของโลกิเมื่อเข้าฉากนั้น ไม่งั้นเขาคงไม่อาจมั่นใจว่าทอม ฮิดเดิลสตัน หนุ่มอังกฤษที่แสนสุภาพนุ่มนวล คลั่งเช็คเสปียร์และเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีคนนั้นคือโลกิ คนที่เขาแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มจริงใจจากอีกฝ่ายเลยสักครั้ง

     ร่างสูงคุกเข่าลง มองดูโลกิที่ยังคงเงียบ

    เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลกิมีไหล่ที่บอบบางถึงเพียงนี้... ไม่เคยคิดว่าด้วยตัวผอมบางเช่นนี้ อีกฝ่ายแบกรับความทุกข์ใจมากมายไว้แค่ไหน เก็บซ่อนความรู้สึกต่างๆไว้มากมายเพียงใด

    “โลกิ...”

    “ฆ่าข้าซะ”เทพมุสาพูดตัดก่อนที่ธอร์จะได้เอ่ยต่อ ดวงตาสีเขียวช้อนขึ้นสบดวงตาสีฟ้า ในดวงตาที่สวยงามนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น เจ็บปวด และเว้าวอน...

    “ข้าฆ่า ธอร์ ข้าขอร้อง ให้มันจบเสียที ข้าเหนื่อยมากแล้วจริงๆ”เขาพูด ก่อนกระตุกยิ้มฝืนๆที่มุมปาก

    หัวใจของเขายังคงเจ็บปวด... ทั้งๆที่มันเคยเจ็บไปจนด้านชา

    แต่ครั้งนี้มันกลับเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง มากขึ้น....มากขึ้น เสียจนแทบทนไม่ไหว เพราะการปรากฏตัวของธอร์

    “เจ้ารู้มั้ยว่าการที่พยายามมากเท่าไรก็ไม่เคยได้สิ่งที่ต้องการมันเศร้าอย่างน่าสมเพชมากเพียงไร แล้วเจ้ารู้บ้างมั้ยว่าการที่คิดว่าสิ่งที่ทำสำเร็จด้วยดีแล้วอยู่ๆก็พบว่ามันพังทลายลงต่อหน้า ที่ลงแรงมาทั้งหมดมันสูญเปล่า มันทรมาณอย่างน่าอดสูมากแค่ไหน เจ้าเคยรู้ เคยสัมผัสถึงเรื่องพวกนี้มั้ยธอร์.... ข้าว่าไม่ เพราะเจ้ามันแสงสว่าง เจ้าคือโอดินซัน แต่เจ้ารู้มั้ยว่าทั้งหมดนี่คือข้า... คือสิ่งที่ข้าต้องเจอมาตลอดทั้งชีวิต เพียงเพราะข้าแตกต่าง เพียงเพราะว่าข้าเป็นลาฟฟี่ซัน... เพียงเพราะข้า....”เขาหยุดพูดไปชั่วครู่ เพื่อเก็บกลืนก้อนสะอื้นที่ขึ้นมากระจุกในลำคอลงไปอย่างยากลำบาก

    “เพียงเพราะข้าคือโลกิ....”

    ยากเหลือเกินที่จะกลั้นน้ำตา แต่เขาก็ยังทำได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาทำมาตลอด

    เพราะรู้ว่าต่อให้ร้องไห้มากเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยได้อะไรกลับมา ต่อให้เจ็บปวดมากมายกว่านี้สักเท่าไหร่แล้วยังไง เขาก็เป็นเพียงยักษ์น้ำแข็งที่ไม่มีค่าเพียงพอแก่การเหลือบแล...

    โลกิหลับตาลง ใบหน้าคมหวานนั้นอิดโรยซีดเซียว เป็นสีหน้าเดียวกับที่ธอร์เคยเห็นเมื่อครั้งโลกิถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน

    เจ็บปวด สิ้นหวัง และปรารถนาซึ่งความตาย....

    “ข้าฆ่าซะ ฝ่าบาท สังหารน้องชายทรราชย์ของท่าน แล้วกลับไปนั่งบนบรรลังก์ของท่านซะ ฆ่าข้า!”เขาตะโกนสุดเสียง

    สิ้นหวัง... สิ้นหวังเหลือเกิน.... ช่างเถิด เขาไม่สนอีกต่อไปแล้ว เป็นน้องหรือไม่แล้วอย่างไร รักและแค้นแล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงโลกิ โลกิที่น่าสมเพช โลกิที่น่าชิงชัง โลกิที่ถูกทุกสรรพสิ่งเกลียดชัง กระทั่งตนเอง...

    “ไม่.... ข้าไม่มีวันให้เจ้าตายต่อหน้าข้า ยิ่งจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้า!!!”เทพสายฟ้าพูด น้ำเสียงนั้นทั้งดังประดุจฟ้าผ่า และหนักแน่นกว่าแรงทุบของโยเนียร์ มือใหญ่คว้าปลายคางของอีกฝ่าย บังคับให้มาสบตา

    “โลกิ ฟังข้า... ข้าขอร้อง... ฟังข้าดีๆ อย่าเพิ่งขัด”เขาเอ่ย ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความอ้อนวอนและหมองเศร้าจนโลกิได้แต่นิ่งงันราวถูกสะกด

    “โลกิ เจ้าเคยบอกว่าข้าโง่... ถูกของเจ้า ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าคิดอะไร ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของเจ้าเหมือนที่เจ้าอ่านข้าออกทุกอย่าง ข้าไม่รู้ว่าตัวเองทำให้เจ้าเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เชื่อข้าเถอะนะ....”ปลายนิ้วไล่ไปตามผิวแก้มเย็นเฉียบ เฉียดผ่านดวงตาสีเขียวที่สั่นไหว

    “ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า...”

    ชั่วขณะนั้นโลกิรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบได้จมลงสู่ความเงียบงั้นอันเป็นนิรันด์....

    หัวสมองขาวโพลน สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่จ้องมองมาอย่างเปิดเผยจริงใจ สิ่งเดียวที่เขารับรู้คือสัมผัสอบอุ่นของปลายนิ้วที่เกลี่ยไปมาบนใบหน้า

    “โลกิ กลับบ้านกันเถอะ...”

    แต่แล้วทุกสิ่งก็พลันดับวูบลงด้วยประโยคที่ฉุดเขากลับคืนสู่ความเป็นจริง เทพมุสาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ดวงตาสีเขียวเสมองต่ำ เปี่ยมด้วยความรวดร้าว

    “เจ้ายังคงพูดเพ้อเจ้อไม่หยุดหย่อน ธอร์”

    เจ้ายังคงมอบความหวังลมๆแล้งๆให้ข้าอีกครั้ง และอีกครั้ง...

    “ไม่มีบ้านสำหรับข้าหรอก ไม่ว่าจะที่นี่ แอสการ์ด หรือนรกขุมไหนๆ ไม่มีที่ไหนสักที่ที่ต้องการโลกิ”เขาเอ่ย รู้สึกได้ว่าเสียงของตัวเองเริ่มสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้

    ร่างเพรียวลุกขึ้นยืน แม้จะไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน แต่เขาไม่อยากดูน่ามเพชไปมากกว่านี้

    “ถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้าก็ไปซะ... ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ กลับไปสู่แสงสว่างของเจ้า ธอร์”ใบหน้าคมหวานเงยขึ้น ดวงตาสีเขียวฝืนมองอีกฝ่ายตรงๆ หยิบยกกำแพงอันสุดท้ายมาขวางกั้นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลไม่ให้ใครได้ล่วงล้ำ

    “อย่าได้มาทำตัวตกต่ำด้วยการเกลือกกลัวกับคนโสมมเช่นข้า...”ประโยคที่เอื้อนเอ่ยจนจบอย่างยากลำบาก โลกิหันหลัง ก้าวเดินออกไปสู่จุดหมายที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะหยุดลงตรงไหน
    หากแต่ยังไม่ทันจะเดินได้ไกล ร่างผอมบางก็ถูกดึงเข้าสู่วงล้อมอันอบอุ่นแข็งแกร่ง อ้อมแขนที่โอบกอดแน่นราวกับจะไม่มีวันคลายออกตลอดกาล

    “ธอร์...”ดวงตาสีเขียวเบิกกว้าง ก่อนที่สติที่บอกให้เขาผลักอีกฝ่ายออก แต่ก็ไร้ผล เขาสู้แรงคนตรงหน้าไม่ได้

    ด้วยระยะห่างที่ถูกแทนที่ด้วยอ้อมกอด... ใกล้ชิดเสียงจนโลกิได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงหากแต่หนักแน่นของธอร์ รับรู้ถึงไออุ่นจากกายอีกฝ่ายที่ตัดกับความเย็นเยียบจากตัวเขา

    “เจ้าบอกว่าไม่มีที่ไหนต้องการเจ้า... นั่นมันไม่จริง ที่ตรงนี้เป็นของเจ้า จากนี้และตลอดไปจะเป็นของเจ้าคนเดียว...”เทพสายฟ้าเอ่ย เขาคลายอ้อมกอดออก สองมือจับที่ไหล่บอบบาง ดันอีกฝ่ายออกห่างเล็กน้อยเพื่อจะได้มองสบดวงตาสีเขียว

    “ข้าต้องการเจ้า โลกิ.... เจ้าสำคัญกับข้ามากกว่าทุกสิ่ง มากกว่าโลกนี้ มากกว่าแอสการ์ด มากกว่าเจนหรือใครๆ...”ธอร์พูด มันคือความจริงที่เขาเพิ่งตระหนักรู้ ไม่สิ... บางทีเขาอาจรู้มาตลอดแต่ไม่กล้ายอมรับ ความรักที่แอบก่อตัวอยู่ในใจเขามาเนิ่นนาน ความรักที่เขารู้ดีว่าไม่ควร จึงได้แต่ยกสิ่งต่างๆขึ้นมาอ้าง เพื่อเก็บงำมันไว้ลึกสุดของหัวใจ ทั้งฐานะพี่น้อง คำว่าครอบครัว หรือกระทั่งเจน บัดนี้เขารู้กระจ่างชัดเมื่อคิดว่าจะสูญเสียโลกิไปตลอดกาล ว่าโลกิสำคัญต่อเขามากเพียงไหน ว่าแท้จริงแล้วเขารักโลกิมากเพียงไร...

    “หากว่ามิดการ์ดทำร้ายเจ้า ข้าจะทำลายมันซะ หากว่าแอสการ์ดทำให้เจ้าเจ็บปวด ข้าจะเป็นกบฏต่อมันซะ เจ้าเคียดแค้นทั้งจักรวาล ข้าก็จะทำลายทั้งจักรวาล ปกป้องทุกสิ่งไว้ได้แล้วยังไง ได้บรรลังก์ปวงเทพมาแล้วยังไง ทุกอย่างล้วนไร้ค่าเมื่อไม่มีเจ้า โลกิ... ข้าทำผิดต่อเจ้ามากมายนัก ข้าไม่คู่ควรจะให้เจ้ามาทุ่มเทใจรักด้วยซ้ำ ข้าขอโทษ... ได้โปรด...”มือเรียวถูกประครองขึ้นอย่างนุ่มนวล พร้อมเรียวปากอุ่นร้อนที่ประทับจูบลงไปอย่างแผ่วเบาดุจสัมผัสจากปีกของผีเสื้อ

    “ให้ข้าได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งชีวิต ชดใช้คืนให้เจ้า...”

    โลกิไม่รู้ว่าตัวเองเฝ้ารอเวลานี้มาเนิ่นนานเพียงไร... รอคอยอ้อมกอดอ่อนโยนเช่นนี้ รอคอยสายตามั่นคงหนักแน่นเช่นนี้ให้จับจ้องมาทางเขา รอมานานเหลือเกิน... นานเสียจนเขาลืมเลือนไปเสียแล้วด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างแท้จริงคืออะไร

    ไม่ใช่ทั้งอำนาจหรือดาวดวงไหนๆ ไม่ใช่ทั้งการที่จะให้ธอร์เฝ้าคิดถึงแต่เขาด้วยความเคียดแค้น หรือรู้สึกผิด ไม่ใช่เลยสักนิด

    ที่เขาต้องการก็แค่อยากเป็นผู้เป็นที่รัก.... อยากให้ธอร์รักเขา อยากให้โอดินและฟริกก้ารักเขา เพียงเท่านั้นเอง...

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความปรารถนาเล็กน้อยเรียบง่ายเช่นนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น....

    ดวงตาสีเขียวเอ่อคลอด้วยน้ำตาที่ไม่อาจเก็บซ่อนได้อีกต่อไป มันไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ราวกับปลดปล่อยความรวดร้าวทั้งปวงที่สะสมมาเนิ่นนานให้เลือนหายไปภายใต้ดวงตาสีฟ้าที่จ้องมองมาคู่นั้น

    “ธอร์...”ร่างเพรียวโผกอดร่างสูงแน่น เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้น จากแผ่วเบาและดังขึ้น โลกิร้องไห้สุดเสียง ร้องให้แก่ความเจ็บปวดที่ผ่านมา ร้องให้กับสิ่งผิดพลาดที่ตนได้กระทำลงไป

    “ธอร์... ธอร์... ธอร์....”ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขานึกออก นอกจากชื่อของคนที่เขาโหยหาเหลือเกิน คนที่เหมือนจะอยู่แสนห่างไกลจากความมืดมิดเช่นเขา บัดนี้กลับอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้

    ธอร์ประครองใบหน้าสวยขึ้น เกลี่ยไล่หยาดน้ำตาออกอย่างอ่อนโยน

    “ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป และจะไม่ทำให้เจ้าต้องร้องไห้อีก...”  

    เขาพูดเสียงเบา ก่อนจะก้มหน้าลง ปลายจมูกแตะสัมผัสกัน รับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันผ่านระยะห่างที่หดสั้นลงเรื่อยๆ

    “ข้าสัญญา”

    และแทนที่ด้วยจุมพิตที่อ่อนโยนและหวานล้ำยิ่งกว่าสิ่งใด....

    ########

                    หลังจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่อยู่ๆนักแสดงนำทั้งสองก็หายออกไปจากกองถ่ายท่ามกลางความมึนงงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ วันต่อมาจึงมีการนัดถ่ายซ่อม โดยเหตุผลที่ทั้งสองรีบหายไปทั้งอย่างนั้นคือทั้งคู่เกิดทะเลาะกันเพราะคริสไม่ยอมเล่นตามบททั้งๆที่ทอมเตือนไปหลายครั้งแล้ว จากคำบอกเล่าของหนุ่มอังกฤษน่ะนะ ซึ่งแม้มันจะดูน่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็เถอะ แต่ก็ไม่มีใครคิดถามซ่อกแซ่กอะไรให้มากความ

    “ว้าย คริส นี่รอยอะไรกันคะ!”เสียงของทีมงานสาวที่กำลังจัดแต่งทรงผมให้หนุ่มออซซี่ดังขึ้น เมื่อเจ้าหล่อนสังเกตุเห็นรอยแดงที่โผล่วับๆแวมๆให้เห็นตรงต้นคอ

    “อ๋อ... นี่น่ะหรอครับ”คริสเอ่ยทวน ดวงตาสีฟ้ามองดูรอยสีระเรื่อจางๆบนคอของตนผ่านกระจก ก่อนยิ้มหวานเมื่อนึกถึงคนที่มาทิ้งมันไว้เมื่อคืน

    “พอดีโดนแมวที่บ้านมัน ‘กัด’ เอาน่ะครับ”

    คำตอบของนักแสดงหนุ่มที่ทำให้หนึ่งสาวและหนุ่มใจสาวผู้มีหน้าที่แต่งหน้าทำผมให้ทอม ฮิดเดิลสตันหูผึ่ง ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะรีบตรงไปยังห้องแต่งตัวของหนุ่มอีกคนอย่างรวดเร็ว

    เพราะพวกหล่อนอยากรู้นักว่าบนคอของทอมจะมีรอย ‘หมีกัด’ อยู่บ้างรึเปล่าน่ะสิ!!

    -End-

     

    อร๊ายย จบซะทีค่ะ //จุดพลุฉลอง//(โดนสาวกไอเอิร์นฟรอสต์ตบตีข้อหาทำโทนี่หาย ถถถ)

    ไรท์เตอร์แต่งหวานๆไม่เป็น(แต่ชอบอ่าน อะฮุ) ดังนั้นฟิคเรื่องนี้จึงดราม่านิดนึงเนอะ>-<

    ไม่คิดเลยค่ะว่าจะใช้เวลาแต่งนานขนาดนี้ สองพาร์ทแรกน่ะติดสอบ แต่พาร์ทนี้มันน่าจะแต่งได้เร็ว ถ้าไม่ใช่เพราะนาง...

     

     


    เพราะนางแฟบูรัส

     

     

     

     

    แอนด์ บิชชี่

     

     

     

    ไอเลิฟฮิมโซมัชพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่

     


    แอร๊ยยย แบบว่าๆ เข้าไปดูฮอบบิทตั้งแต่วันแรกๆด้วยโรงอีนิคม่าแบบโคตรทุ่มทุนค่ะ(ติ่งมาก55) คือใจจริงกะไปติ่งออร์ลันโด้ พี่ลี เบนเหนียง(ทำไมเสียงสม็อคไม่ใช้เสียงพี่เบนสดๆล่ะค๊า ฮรืออ) ริชาร์ด (ฮอบบิทสองนี่หนังเร่ขายผู้ชายชัดๆ#ผิด แหม ทุกคนก็เป็นนักแสดงฝีมือดีทั้งนั้นฮร่ะ แต่เห็นหน้าแต่ละท่านแล้วอดคิดไม่ได้จริงๆ 55) แต่ปรากฏว่า.... ทั้งเรื่องอิชุ้นถูกสายตาคู่นั้นของขุ่นแม่ดึงดูดค่ะ กรี๊ดพี่ลีมากกก ฮีสวยและออร่า*-* คือเลโกะนี่เป็นรักแรก รักมาสิบปี เลโกะตรากตรำกรำศึกมาสามภาคกว่าจะเข้ามานั่งอยู่ในใจเราได้นานขนาดนี้ แต่เสด็จแม่เพียงแค่ออกมาขี่กวางในภาคแรกก็ทำเอาใจสั่น พอมาเอียงคอในภาคสองนี่เอาใจใส่พานถวายเลยฮร่ะ ฟฟฟ(ขอโทษนะเลโกะ ภาคนี้ธรันดี้ออร่ามากจริงๆ ประกอบกับพี่ออร์ลันโด้ก็ไปตามวัย ออร่าลดลง แต่ยังไงก็ยังรักนะคะ)  

    ความจริงรู้จักพี่ลีจากเดอะฟอลค่ะ หล่อใสมาก แต่มาโดนใจสุดๆคือบทนางเอก.... ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิด นาง-เอก เรื่องSoldier’s girl สวยและแสดงได้ดีมาก เป็นหนังที่ดี แสดงถึงแง่มุมความรักและเพศภาวะ ควรหามารับชมด้วยประการทั้งปวงค่ะ

     

     

    แถมรูปให้เห็นถึงความสวย พี่ลีโครงหน้าสวยมากจริงๆ

     

     

     
     

    เจอกันตอนหน้า กับตอนพิเศษจบแบบรูทไอเอิร์นฟรอสต์ค่า (อิชุ้นจะแต่งสนองนี้ดตัวเอง แต่ถ้ามีคนรออ่านก็ดีใจมากค่ะ 555+)

     

    ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ

     

    ปล. ตอนไอเอิร์นฟรอสต์น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก เพราะไหดองฟิคของเสด็จแม่ธรันดี้เยอะมากค่ะ ทั้งไหเก่าสมัยยังมีบอร์ดวันริง และฟิคใหม่เพิ่งผุด 5555


    ปลล. สมัครwordpressไว้แทนเอ็กทีแล้วค่ะ ยังงงๆเล่นไม่เป็นอยู่ แต่ก็ฝากด้วยนะฮะ http://minirinlovegackt.wordpress.com/

    ขอบคุณมากค่าาา >_<
     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×