ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic bleach Hitsuyuki & Ginkitsune Gin x Hitsu [yaoi]

    ลำดับตอนที่ #30 : Wakareru[ลาจาก]100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.32K
      6
      16 มี.ค. 54

     การได้ทำสิ่งที่สามารถปกป้องคนที่รักได้... ช่างดีเหลือเกินนะ...

    เจ็บเหลือเกิน...ปวดร้าวไปทั่วทั้งกาย แต่ทว่ากลับโล่งใจเป็นที่สุด

    โล่งใจที่คนสำคัญของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ โล่งใจที่สามารถปกป้องคนสำคัญได้...

    นี่...โทชิโร่คุง รู้อะไรมั้ย

    หากว่า....ผมตายไปจริงๆล่ะก็

    ผมไม่เคยนึกเสียดายเลยสักนิดนะ

    เพราะการต้องมองเธอจากไปต่อหน้า คงเจ็บปวดกว่านี้หลายเท่านัก

    นี่....โทชิโร่คุง

    ถ้าหากว่าผมไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยล่ะก็

    เธอจะช่วยยิ้มให้ผมอีกสักครั้งจะได้มั้ย....

    เพราะรอยยิ้มของหิมะแรกผู้แสนงดงามและแลดูบางเบาจนเกินเอื้อมนั้น คือสิ่งที่จิ้งจอกบนพื้นดินได้แต่แหงนหน้าเฝ้ามองมันโปรยปรายลงมาตลอด....

     

    --21--

    別れる

     

    ลมอ่อนๆที่แฝงความชื้นจากฝนที่เพิ่งจะหยุดตกนั้นโชยพัดลอดหน้าต่างที่ถูกแง้มเปิดเพียงเล็กน้อย

    ทำให้เส้นผมสีเงินลู่ไหว คลอใบหน้าคมคายขาวซีดซึ่งดูสงบจนราวกับแค่คนที่กำลังนอนหลับ

    หากไม่ติดว่า...คนๆนั้นจะเป็นคนที่นอนไร้สติมากว่าสองอาทิตย์แล้ว

    นัยน์ตาสีฟ้าเจือเขียวดุงห้วงสมุทรมองดูร่างสูงบนเตียงโดยไม่ส่งสุ่มเสียงใดๆ

    ไม่แม้แต่จะเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงนั้น ไม่แม้กระทั้งจะเดินเฉียดเข้าไปใกล้

    ได้แต่เพียงยืนมองโดยที่แผนหลังนั้นเกือบชิดกับบานประตูห้อง

    เมื่อไหร่จะตื่นซะทีนะ...

    ยิ่งคิดก็ยิ่งกระวนกระวายใจ

    ยิ่งคิด...ก็ยิ่งต้องรู้สึกผิด

    ฮิซึกายะหลับตาลง ในใจอยากเดินเข้าไปดูให้ใกล้กว่านี้ แต่ก็ทำไมได้....

    เพราะตั้งใจเอาไว้แล้ว เพราะได้ลงมือขีดมันไว้แล้ว

    เส้นกัน....ที่จะจำต้องถอยห่าง จำต้องอยู่ออกไปให้ไกล

    ไม่ใช่เพราะอยากทำตัวเหินห่าง แต่ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องทำร้ายเขาอีกต่อไปแล้ว...

    หัวหน้าหน่วยที่สิบถอนหายใจเบาดังเช่นทุกวันที่เข้ามาในห้องและไม่เห็นวี่แววที่ว่าคนบนเตียงจะตื่นขึ้นมา

    "เมื่อไหร่จะตื่นซะที คิดจะนอนไปทั้งปีเลยหรือไง"พึมพำกับตนเองด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา พร้อมลืมตาขึ้นมองไปยังเตียงขาว

    ในแววตานั้น....คือความห่วงใย

    "เจ้านอนนิ่งไปแบบนั้นน่ะ....ข้า..."สะกดกลั้นเสียงตนไม่ให้สั่น เช่นที่กลั้นน้ำตาไม่ให้ใหลออกมาจากห้วงสมุทรสีฟ้าใส

    "ข้าเป็นห่วงนะ รู้มั้ย"ว่าพลางหันหลังกลับ แผ่นหลังเล็กๆนั้น ช่างแลดูเหนื่อยล้าและหมองเศร้า

    โดยไม่พูดอะไรอีก ฮิซึกายะก็เดินออกจากห้องไป

    ได้เพียงเฝ้ามอง...

    ได้เพียงแค่อธิษฐาน...

    แต่อีกใจหนึ่ง กลับไม่อยากให้สุนัขจิ้งจอกเงินนั้นตื่นขึ้นมาเลย...

    เพราะเมื่อใดที่ดวงตาสีแดงนั้นปรือเปิดขึ้นมา ก็คือเวลาที่เขาต้องกล่าวคำลาเสียที....

    *****************

    "เป็นยังไงบ้างคะหัวหน้า"

    เมื่อกลับมาถึงที่ทำการหน่วย สิ่งแรกที่พบคือรองหัวหน้าหน่วยของตนซึ่งนั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟาตัวเดิม

    "ก็ยังหลับอยู่เหมือนเดิม"เขาตอบพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยกองเอกสารที่ถูกจัดการอย่างเรียบร้อยเช่นทุกที

    คำตอบที่เรียกรอยยิ้มเจือนๆจากยมทูตสาว รันงิคุส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

    "ไม่ได้หมายถึงหัวหน้าอิชิมารุ แต่หมายถึงหัวหน้าน่ะค่ะ...."นัยน์ตาสีเงินนั้นทอแววเป็นห่วงเด่นชัด

    เพราะตั้งแต่กลับมาโซล โซลไซตี้ เธอก็ไม่เคยเห็นฮิซึกายะยิ้มหรือพูดคุยกับใครได้เกินสองประโยคเลย

    ไม่สิ... เธอแทบจะไม่ได้เห็นหัวหน้าตัวน้อยพักเลยด้วยซ้ำ

    "ถ้าไม่พักสักหน่อย เดี๋ยวพอเจ้าหมอนั่นตื่นมาคงต้องบ่นข้าใหญ่แน่เลย"

    ประโยคทีเล่นทีจริงที่หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายร่าเริงขึ้นสักนิด กลับเรียกได้เพียงรอยยิ้มฝืนๆจากร่างเพรียว

    "ขอบคุณเจ้ามากที่เป็นห่วง แต่ถ้าเจ้าจะเป็นห่วงข้าก็ช่วยกันทำงานหน่อยก็ดีนะ มัตสึโมโตะ"

    ว่าพลางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า เนื่องจากไม่ได้นอนติดต่อกันมาหลายคืน

    รันงิคุหัวเราะแห้งๆเมื่อโดนเหน็บแหนม เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นเธอคนเดิมที่ขี้เกียจทำงานเอกสารพวกนี้เป็นชีวิตจิตใจ จึงได้แต่ขอตัวออกไปข้างนอก

    ประการหนึ่ง...ก็เพื่อหลบเลี่ยงเจ้าเอกสารกองพะเนินใต้โต๊ะ และอีกประการหนึ่ง ก็เพราะว่าเธอรู้ว่าหัวหน้าหน่วยของตนนั้น เวลานี้ต้องการอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่าคอยมีคนอยู่ด้วย

    คล้อยหลังที่ยมทูตสาวเดินออกไป ทั้งห้องก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ....

    ฮิซึกายะยกกองเอกสารที่ยังไม่ทำออกมาปึกหนึ่ง มือเรียวเล็กจับพู่กันขึ้นมา จุ่มลงบนหมึกสีดำสนิท

    แว่วเสียงเปาะแปะของสายฝนที่เริ่มโรยตัวลงมาจากหมู่เมฆสีทมิฬ ก่อนจะปแรเปลี่ยนเป็นตกแรงภายในเวลาไม่ถึงนาที

    เขาได้แต่จุ่มพู่กันค้างไว้ในน้ำหมึกอย่างเหม่อลอย.... ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมาจรดลงบนกระดาษอย่างเชื่องช้า

    ซ่าาาาาา....

    ฝนตกหนักเหลือเกิน....

    เหมือนเช่นฤดูฝนของปีที่แล้วไม่มีผิด...

    หยดหมึกเริ่มซึมและแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เมื่อเขายังคงจรดมันค้างไว้โดยมิได้เริ่มขีดเขียนสักที

    ตอนนั้นก็ฝนตกเหมือนกันสินะ....

    เพราะโชคชะตา...หรือเพราะอะไรกันที่ทำให้เขาได้พบกับจิ้งจอกเงินท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาราวกับพายุเข้า

    แปลก...

    แปลกเหลือเกินนะ ทั้งที่เวลาผ่านมาครบปีแล้ว และในตอนนั้นเขาก็กำลังหงุดหงิด

    แต่ทำไม...ถึงยังจำได้ดี ถึงประโยค ถึงคำพูด ถึงสัมผัส และความรู้สึก....

    'ก็แค่รู้ว่ามีใครบางคนมาตากฝนอยู่ตรงนี้'

    แค่คิด รอยยิ้มบางเบาก็ผุดขึ้นมาบนเรียวปากโดยไม่รู้ตัว

    เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าบางเบา...

    ฮิซึกาะยะวางพู่กันลงเมื่อรู้ว่าถึงทำงานไปตอนนี้ก็คงจะไม่รู้เรื่อง ก่อนที่เอกสารแผ่นนี้จะเสียไปทั้งแผ่น

    ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันนั้นทำให้สมองนั้นพร่าเลือน

    อยากหลับ.... แต่ก็นอนไม่หลับเสียที

    เพราะทุกครั้งที่หลับตา ภาพของร่างสูงซึ่งอาบไปด้วยเลือดก็จะฉายชัดขึ้นในมโนภาพ

    เวลา...ใหลผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้

    รับรู้เพียงเสียงของสายฝนซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะตกเบาลงเลยสักนิด และความมืดที่เริ่มโรยตัวลงมาพร้อมกับความหนาวเย็น

    หนึ่งปีที่ผ่านมานี้....เกิดอะไรขึ้นบ้างนะ....

    เหตุการณ์ตอนตากฝนจนไม่สบาย....

    กวีที่แสนมีมนต์ขลังยามอาบไล่อยู่กลางแสงจันทราสีเงินยวง

    ดอกไม้ไฟที่แม้จะผิดฤดู แต่กลับช่างสวยงามกว่าดอกไม้ไฟของฤดูร้อนปีไหนๆที่เขาเคยได้พบเห็น

    ทั้งคำสัญญา ภาพที่เลือนรางในความทรงจำ

    การเข้าใจผิด และความอ่อนโยนจริงจังของคนที่เคยแต่เจ้าเล่ห์เสมอซึ่งเขานั้นได้รับมามากมายเหลือเกินตลอดเวลาที่ผ่านมานี้

    เกิดเรื่องราวมากมายเหลือเกิน.... ที่ทำให้เขาทั้งมีความสุขและปวดหัว

    เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ...เมื่อร่างกายเริ่มจะแบกรับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันนี่ไม่ไหว

    หากแต่... คราวนี้ สิ่งที่ปรากฏตามสติอันพร่ามัวหาใช่ภาพร่างโชคเลือดสีชาดฉานอีกแล้ว

    หากแต่คือภาพของรอยยิ้ม....

    ราวกับว่า เป็นความรู้สึกของใครบางคนที่ขับกล่อมหิมะแรกให้ผ่านพ้นไปได้หนึ่งนิทรา....

    ******************

     

     

     เขากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ไร้จุดหมาย....

    รอบข้างนั้น ราวกับเป็นจอหนังขนาดใหญ่ที่ฉายภาพซ้ำไปซ้ำมา ภาพความทรงจำของเขา

    ความทรงจำที่แสนสำคัญ....

    ดวงตาสีแดงคู่สวยมองดูภาพเหล่านั้น

    ความทรงจำแสนล้ำค่า....ที่เต็มไปด้วยภาพของร่างเล็กของคนผมสีเงิน

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เขาคอยเฝ้ามองแผ่นหลังเล็กๆที่ขยันขันแข็งทำงาน และเปี่ยมไปด้วยความพยายามและมุ่งมั่น

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ... ที่ว่าเมื่อรู้ตัวอีกที ก็ชอบโผล่ไปกวนประสาทคนตัวเล็กเสมอ

    รอยยิ้มบางฉาบลงบนเรียวปาก

    แม้ไม่รู้ว่าเส้นทางนี้จะทอดยาวไปที่ไหนก็ตาม...

    ร่างสูงนั้นหยุดเดินลง ก่อนจะค่อยๆปรือตาปิด

    หากแต่... เขาไม่ได้ต้องการไปยังสุดปลายทางของถนนเส้นนี้เลยสักนิด

    ที่ที่เขาอยากไปน่ะ... มีเพียงที่เดียว...

    คือการกลับไปหาคนที่เขารักมากยิ่งกว่าใครๆ...

     

    รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของสายฝน....

    เปลือกตาบางขยับเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆปรือเปิดขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีแดงสดคู่เรียวซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่ภายใน

    กระพริบตาอีกครั้งสองครั้งเมื่อยังไม่ชินกับแสงแดดอ่อนจางของยามเช้า หลังจากที่สลบไร้สติอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้วจึงค่อยกวาดมองไปรอบๆห้อง

    มันคือห้องพักผู้ป่วยของหน่วยที่สี่ ห้องเดิมกับที่เมื่อคราวก่อนเขามานอนหยอดน้ำข้าวต้มเมื่อครั้งก่อน

    งินเบือนสายตาจากเพดานสูง ไปยังประตู ที่ซึ่งร่างเพรียวซึ่งแสนคุ้นเคยยืนนิ่งอยู่

    “โทชิโร่คุง....”

    เสียงนั้นแหบพร่าและแผ่วเบาตามประสาคนป่วยเพิ่งฟื้น

    ฮิซึกายะมองลึกลงไปในดวงตาที่เคยเกลียดแสนเกลียดคู่นั้น

    ดีใจเหลือเกิน.... ที่คนตรงหน้าฟื้นขึ้นมา

    หากแม้จะดีใจแค่ไหน ก็ได้แต่นิ่งเงียบ และแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย แม้ในใจอยากจะโผเข้าไปเช็คว่า ร่างสูงซึ่งฟื้นตื่นขึ้นมานั้น เป็นเรื่องจริงหาใช่เพียงภาพลวง

    “ตื่นซะที”กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เช่นเดียวกับแววตาที่ไร้ความรู้สึกใดๆ

    เก็บซ่อนไว้อย่างแนบเนียน.... จนนึกสมเพชตนเองขึ้นมา

    “ข้าจะไปตามหัวหน้าอุโนะฮานะ”โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรอีก เขาก็รีบหันหลังกลับ แล้วสาวเท้าเร็วๆจากไป

    รอยยิ้มฉาบขึ้นบนเรียวปาก

    เป็นรอยยิ้มที่แสนโล่งใจ...

    นิ่งไว้นะ...

    อย่าได้เผลอพูดอะไรออกไปเด็ดขาด...

    กล่าวย้ำกับตนเองเช่นนั้น

    สิ่งที่เขาจะพูดได้ต่อจากนี้ คงจะมีเพียงแค่คำขอโทษ และเอ่ยลาเพียงเท่านั้น....

    งินมองตามแผ่นหลังของฮิซึกายะไป

    รับรู้ได้... ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ถึงความเหินห่างอย่างเห็นได้ชัด

    นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

     *********************************

     

    "นอกจากอาการอ่อนเพลีย ร่างกายก็ปกติดีแล้วค่ะ แค่พักอีกสักหน่อยก็กลับไปทำงานได้แล้ว"น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์ของอุโนะฮานะพูดขึ้น ดวงตาซึ่งฉายประกายอบอุ่นนั้นมองมาที่ร่างสูงของยมทูตหนุ่มซึ่งดูราวกับไม่มีใจจะฟังเธอเลยสักนิด

    "ฟ้ามืดจังเลยนะคะ"ทอดมองไปยังผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยกลุ่มเมฆสีทึมทึบ มองอย่างไรก็ชวนให้อึดอัดใจ แล้วจึงหันมาสบดวงตาสีแดงของอีกฝ่าย

    "หวังว่ามันจะสว่างเร็วๆนี้"พูดจบ รอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏบนเรียวปากก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป

    ทิ้งเพียงคนที่ในใจยังสบสน...

    มือขาวกำแน่น เช่นเดียวกับเรียวปากซึ่งเม้มเข้าหากัน

    มันคืออะไรกันนะ...

    แววตานั่น...

    ดวงตาสีชาดปรือปิดลง ยามเมื่อนึกถึงดวงตาสีฟ้าเฉยเมยนั้น ก็ยิ่งทวีความสงสัยอยู่ในใจ

    สงสัย...และเจ็บปวด

    เพราะอะไรกันนะ...

    เพียงแค่ฟื้นตื่นขึ้นมา ใยหิมะนั้นจึงเปลี่ยนแปรไปถึงเพียงนี้

    เขา...ทำอะไรผิดไปรึเปล่า?

    เฝ้าย้ำถามตัวเองเรื่อยมาอย่างเงียบงัน โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่เขานั่งนิ่งครุ่นคิดไม่ขยับอยู่เช่นนั้น

    งินเบือนสายตาออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก

    ฝน....กำลังตก

    ในฤดูนี้...ฝนมาจากไหนกันนะ...

    ฤ เพียงกำลังตกต้องลงมาเพื่อเยาะเย้ยซ้ำจิ้งจอกเงินผู้สูญเสียเกล็ดหิมะในฝ่ามือไป...

    "ไม่ได้..."

    ริมฝีปากแห้งผาก เอื้อนเอ่ยแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่แแหบแห้งไม่แพ้กัน

    ต้องไปถาม...

    ยันกายขึ้นจากเตียง ในดวงตาทั้งสองนั้นฉายประกายบางอย่าง

    ไม่ว่าจะเพราะอะไร...

    แต่... เขาไม่อาจลืมกริยาแปลกประหลาดของอีกฝ่ายได้...

    ร่างสูงลุกขึ้นยืน คว้าเสื้อคลุมหัวหน้าหน่วยมาสวมแม้ดวงหน้านั้นจะยังติดซีดเซียวอยู่ หากว่าในใจกลับร้อนรุ่มจนไม่อาจสงบลงได้

    ต้องไปถามตอนนี้ให้รู้เรื่อง...

    ไม่ว่าเพราะอะไร..

    ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม แต่ว่า...

    เขา....ยังไม่อยากสูญเสียหิมะในฝ่ามือนี้ไป

    และในเวลานั้นเอง... สุนัขจิ้งจอกสีเงินก็ร่อนแร่ออกไปกลางสายฝนหลงฤดูที่ดูจะกระหน่ำซาซัดลงมาอย่างไร้ปราณี...

    *******************************

    ฝน...

    ฝนตก...

    เขา...ไม่เคยชอบฝนเลย

    ร่างเพรียวนั้นเดินออกไปเรื่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าตนกำลังเดินไปที่ไหน

    แค่...อยากเดินต่อไปเท่านั้น...ไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องหยุดคิดถึงอะไร

    ฝนที่ทำให้ร่างเปียกปอน กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหนาวหรืออะไรเลยสักนิด มีเพียงความเฉยชามึนงงที่อื้ออึงในจิตใจ

    นี่เขาทำถูกแล้วใช่มั้ย...

    ทำถูกแล้วใช่มั้ยที่ถอยห่างออกมา หมอนั่นจะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวเฉียดตายเพราะเขาอีก

    หลับตาลง ทำให้หยาดน้ำฝนใหลผ่านเปลือกตาจนแลดูราวกับเป็นหยดน้ำตาที่หลั่งรินสู่พื้น

    เจ็บใจตัวเองที่อ่อนแอในตอนนี้เสียหลือเกิน

    กระทั่งที่มาเดินตากฝนแบบนี้... ก็แค่หวังว่าจะพบเขายืนกางร่มรออยู่ที่ปลายทางข้างหน้าใช่มั้ย...

    รอยยิ้มบางเหยียดบนเรียวปาก ในดวงตาสีฟ้านั้นปรากฏแววเศร้าล้ำลึก

    ทั้งที่รู้ว่ายังไงไอ้คนที่นอนป่วยอยู่นั่นไม่มีทางมาตากฝนแบบนี้อยู่แล้ว...

    ยกมือขึ้นปิดใบหน้า เก็บกลั้นเสียงสะอื้นไว้ให้หยุดอยู่เพียงในลำคอ

    บ้าเอ๊ย....

    หยุดตกซะทีสิ....

    เขา....ไม่ชอบฝน

    ไม่ชอบพิรุณที่หยาดหยดซึ่งทำให้เปียกปอน...

    เกลียดเหลือเกิน.... ราวกับว่า....

    สายน้ำเย็นเฉียบที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้านั้นกำลังเยาะเย้ยผู้ที่เดินอยู่เบื้องล่าง...

    TBC.

    มาอัพแล้ว มาอัพแล้วววววว

    สั้นไปหน่อย ลวกไปหน่อย ขออภัยคร้าบบบบTT[]TT

    หลังจากตะลอนไปดูอนิเมบ้าง เล่นเกมบ้าง ไพรเวทบ้าง บลาๆๆ เพื่อหลบหนีความจริงมาหลายชาติ ผมก็กลับมาแล้วคร้าบบบT[]T

    คิดถึงทุกคนเลย ฮือๆ(เรื่องเข้าบทเศร้าอีกแล้ว คนแต่งก็ปวดใจจจจจจจจจ)

    เจอกันตอนหน้านะครับ(เกดเน่าสุดขั้ว อันดับ8 โฮกกกก อันดับตกกกกกกTwT)

     

     ปล. ฝากนิยายเพื่อนด้วยนะครับhttp://writer.dek-d.com/tharathep2/story/view.php?id=694590(แอบโฆษณา แฮ่ พอดีไปช่วยเพื่อนปั่นเรื่องนี้ด้วยแหละ เลยปั่นฟิคช้าTwT)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×