ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] KnB : Reaching You [ AoKise ]

    ลำดับตอนที่ #4 : ::Chapter3::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 632
      6
      26 พ.ค. 58


    Talk: พรุ่งนี้มีสอบแต่ก็ยังมาอัพฟิค ยิ่งแต่งตอนยิ่งสั้น TvT เรื่องนี้น่าจะ7ตอนจบมั้งคะ วางพล็อต+แต่งตอนจบไว้แล้ว ขาดแต่กลางเรื่องนี่แหละ เป็นพวกชอบแต่งบทนำกับตอนจบไว้ก่อนเนื้อหาค่ะ **พราก**
    ขอบคุณ yik มากๆสำหรับคอมเม้นท์ค่า นึกว่าจะไม่มีคนอ่านซะแล้วว ฮา



    -3-



     

    ในขณะที่คิดว่าโลกนี้มันช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน บอลลูกกลมๆก็ลอยเข้ามากระแทกเข้าที่หัว
    นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้จึกกับบาสเก็ตบอล
    และยังเป็นครั้งแรกที่ได้หลงรักใครสักคนตั้งแต่แรกพบ...

     

                     “นั่นใคร”
                    มองดูร่างเพรียวที่กำลังโล่ดแล่นอยู่บนสนามบาส น่าจะสูงสักร้อยแปดสิบกว่า รับว่าสูงมากสำหรับชาวเอเชีย แต่เพราะโครงสร้างร่างกายแบบชาวตะวันออก ทำให้ดูผอมบางไปถนัดตา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนุ่มคนอื่นๆในสนาม
                    เอาเถอะ... ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาเขาชุ่มเหงื่อแบบนั้นดูดีไม่หยอกทีเดียว...
                    “หมายถึงพ่อโตเกียวบอยผมทองนั่นน่ะหรอ”เพื่อนสาวถาม แต่ดวงตายังจ้องไปยังสนามบาสไม่กระพริบ “เรียนวิศวะการบิน ดูเหมือนว่าจะเคยเป็นนายแบบด้วยนะ ไอ้หล่อก็หล่ออยู่หรอก แต่เอวเขาเล็กกว่าฉันอีกมั้ง เธอสนรึไง”
                    “หือ เขาดูฮอตดีไม่ใช่หรือไง”เรียวปากเคลือบลิปสติกคลี่ยิ้ม “ควงไปไหนก็คงเด่นดี”


                    “Nice shoot Ryota!
    เสียงร้องดังขึ้นเมื่อบาสลูกสุดท้ายของเกมลอยลงห่วงไปด้วยมือของหนุ่มจากแดนอาทิตย์อุทัย ปิดสกอร์ชนะไปอย่างสวยงาม
                    “นายเล่นบาสเก่งชะมัด เคยเล่นมาก่อนใช่มั้ยเนี่ย”ร่างสูงใหญ่มาตรฐานอเมริกันที่ยืนดูอยู่ข้างสนามเดินเข้ามาหา พร้อมยืนผ้าผืนเล็กให้อีกฝ่าย
                    “ขอบใจ แมท”คิเสะรับมาผ้ามาเช็ดเหงื่อ ก่อนตอบคำถามของอีกฝ่าย “เคยอยู่ทีมบาสสมัยมัธยมน่ะ”
    “ทีมบาสมัธยมของญี่ปุ่นเก่งแบบนายหมดเลยรึเปล่า เจ๋งชะมัด”
                    สองหนุ่มโบกมือลาคนอื่นๆก่อนเดินออกจากสนามบาส ตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว แต่ในวิทยาลัยก็ยังคงมีนักศึกษาอยู่ทำกิจกรรมอยู่จำนวนไม่น้อย
                    “พูดแล้วจะหาว่าโม้ มีคนเก่งกว่าฉันอีกเยอะเลย บางคนไปได้ถึง
    NBAด้วยน๊า”คิเสะว่า นึกถึงเพื่อนๆแล้วก็ยิ้มออกมา
    “ว่าแต่เมื่อไหร่พวกเราจะได้บินจริงๆซะทีอ่ะ ฉันเรียนทฤษฏีจนหนังสือจะทับตายแล้ว”คนไม่ชอบเรียนบ่น ถึงแม้จะฮึดขึ้นมาจนสอบชิงทุนได้ก็เถอะ แต่นิสัยเดิมที่เกลียดการท่องจำอะไรเยอะๆก็แก้ไม่ได้ซะที
                    “โปรแกรมของเราเค้าจัดมาให้เรียนวิศวะก่อนสี่ปีนี่หว่า กว่าจะได้ลงบินจริงก็อีกสามปีโน่น”
    “โหดอ่า แล้วฉันจะรอดสี่ปี่นี้มั้ยเนี่ย~~”
    แมทมองคนที่บ่นกระปอดกระแปดแล้วหัวเราะออกมา “ถ้าตกก็รอเรียนซ้ำพร้อมกับยัยเจน...”
    พูดยังไม่ทันจบ ศอกข้างหนึ่งก็ถูกกระทุ้งเข้าเต็มสีข้างของคนตัวโต ตามมาด้วยเสียงสูงๆที่ทำให้หูแทบแตก
                    “นายว่าใครต้องเรียนซ้ำยะ
    !
    “โอ๊ย
    ! มันเจ็บนะ! ฉันแค่พูดความจริงนี่ มิดเทอมเธอออกจะร่อแน่ไม่ใช่รึไง”
     “มันก็แค่มิดเทอม ของจริงอยู่ที่ไฟนอลเดือนหน้าต่างหาก
    ! ใช่มั้ยเรียวตะ”สาวน้อยนามเจนหันมาหาเสียงสนับสนุนจากเพื่อนชาวต่างชาติ เธอสูงเท่าไหล่ของแมท นับว่าสูงระดับนางแบบเลยทีเดียว ดวงตาสีน้ำตาลคุโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่น
     “พวกเราจะต้องผ่านไปให้ได้ แล้วฉันจะกลายเป็นนักบินหญิงสุดเท่
    !!
    “เป็นนักบินสุดเท่!
    แมทมองดูเพื่อนสองคนที่จับมือประสานสายตากันอย่างมุ่งมั่นแล้วก็ส่ายหน้าไปมา ก่อนวางมือโอบไหล่ทั้งสอง ลากเดินไปด้วยกัน
                    “เรื่องสอบไว้ก่อนเถอะ ไปหาของกินกันดีกว่า หิวจะตายแล้วเนี่ย
    !
    “งั้นนายเลี้ยงนะแมท ฉันเป็นแค่นักเรียนทุนจนๆไม่มีเงินอ่ะ”คิเสะว่า กระพริบตาปริบๆอย่างน่าสงสารซึ่งในสายตาของเพื่อนนั้นน่าถีบเป็นที่สุด
    “อะไรกันฟระ วันก่อนฉันเพิ่งเห็นนาย...”
    “ช่ายย แมทต้องเลี้ยง ฉันกับเรียวตะจะได้มีแรงทำข้อสอบ”
    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตรู...”
                   

    ****************

                    สวิชไฟถูกเปิดขึ้น ทำให้ห้องเล็กๆที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น ร่างเพรียวทะยานเข้าหาเตียงแล้วฟุบหน้าลงกับหมอน
                    เหนื่อยชะมัดเลย... ไม่ได้เล่นบาสมาตั้งนาน แถมยังโดนแมทกับเจนลากไปเดินห้างต่ออีก หรือเป็นเพราะว่าอายุมากขึ้นกัน...
    ไม่สิๆ เขาเพิ่งจะยี่สิบเองนะ
    ! เป็นวัยที่ควรจะเต็มไปด้วยพลังงานไม่ใช่รึไง!
                    คิเสะเกลือกกลิ้งไปมาบนเตียงสักพัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของตัวเองไปแล้วขึ้นมา
                    ยังคงเต็มไปด้วยแจ้งเตือนจากโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ แต่ส่วนมากก็เป็นแฟนคลับมากดไลค์รูปหรือรีทวิตเท่านั้น คิดแล้วก็น่าเศร้าเล็กๆที่คนรู้จักมากมายขนาดนี้ คนที่สนิทกันจริงๆกลับแทบไม่มีเลยสักคน
                    เรียน แวะเที่ยวเล่นบ้าง และกลับหอ แม้ว่าพอปรับตัวได้แล้วชีวิตแบบนี้มันก็สนุกดีก็เถอะ แต่พออยู่คนเดียวทีไรก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้ทุกที
                    ต้องโทษเจ้ารูมเมทที่หอบข้าวหอบของย้ายสำมะโนครัวออกไปอยู่กับแฟนตั้งแต่วันแรกๆนั่นแหละ เขาเลยต้องอยู่หอคนเดียวแบบนี้ บางคนอาจจะคิดว่าดี แต่คนมันอดกลัวไม่ได้นี่หน่า หอนี้สร้างมาตั้งหลายทศวรรษแล้วนะ จะมีผีรึเปล่าก็ไม่รู้
    !
                    เฮ้อ....
    ถอนหายใจออกมายาวๆทีหนึ่ง เงยหน้ามองผนังที่สีหลุดไปบ้างตามกาลเวลา และหรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะแสงจากหลอดนีออนที่สว่างจ้า
                    ...บาสเก็ตบอล....
    เขาอยากเล่นบาส...
    อยากเล่นบาสกับอาโอมิเนจจิ...
                    ความคิดวนกลับมากับเรื่องเก่าๆ นึกลังเลที่จะกดเข้าไปดูไทม์ไลน์ของคนที่กำลังคิดถึง แต่สุดท้ายที่เขาทำก็คือกดล็อคหน้าจอแล้วโยนมันไปอีกทาง
                    เราต้องลืมสิ... ต้องลืมให้หมด ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากลืมไม่ใช่หรอไง...
    “คนใจดำแบบนั้น ทำไมถึงต้องไปใส่ใจด้วยนะ”
                    ทั้งๆที่คนคนนั้นไม่อยากเล่นบาสหรือคุยกับเราเลยด้วยซ้ำ...
    “เรามันบ้าจริงๆ”

    ******************

                มีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วยกัน...
    และเศร้าเหลือเกินที่ความใจดีนั้นไม่ได้มีไว้ให้ฉันเพียงคนเดียว
    การรักใครสักคนหนึ่ง ทำไมถึงทำให้เราเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้นะ


                    หยาดเหงื่อไหลรินจากไรผม จังหวะหอบหายใจถี่ระรัว
    บาสเป็นกีฬาที่เหนื่อย ร้อนและเหนียวตัว  แต่กระนั้นเมื่อยามที่ได้อยู่ในสนาม ไล่ตามลูกกลมๆสีส้มเพื่อทำคะแนนนั้นกลับทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นสิ่งเล็กน้อยไปหมด กระทั่งเมื่อร่างกายทนภาระไม่ไหวแล้วรุดตัวลงกับพื้นเมื่อเกมจบ หรือแม้แต่ความพ่ายแพ้ที่ได้รับมาก็ยังเต็มไปด้วยความสุข
                    ...หรือบางทีอาจเป็นเพราะคนที่แข่งด้วย...
    นัยน์ตาสีเหลืองทองมองดูร่างสูงที่ยืนอยู่เหนือตนเอง ผิวสีเข้มเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มทั้งภูมิใจและเยาะหยันอยู่ในทีจากชัยชนะที่คว้าไปจากเขาได้อีกครั้ง
                    “ขออีกรอบ
    ! ขออีกรอบนะ อาโอมิเนจจิ!”คนแพ้รีบลุกขึ้นจากพื้น แม้กล้ามเนื้อจะประท้วงอยู่บ้างก็เถอะ นัยน์ตาทอประกายวาววับอย่างดื้อดึง
                    แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอม...
    “แข่งอีกนายก็แพ้อีกแหละน่า
    ! นี่ก็มืดแล้ว กลับเถอะ”พูดพลางขยี้เส้นผมสีทองนั้นแรงๆ ทำให้คิเสะทำหน้ามุ่ย
    “อาโอมิเนจจิขี้งก”บ่นกระปอดกระแปดกับคนชนะซึ่งเดินไปเก็บของเรียบร้อยแล้ว เฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่ตัวเองยึดถือเป็นเป้าหมายไว้ไล่ตามมาตลอดนับแต่วันนั้น...
                    ลูกบาสกลมๆที่โลยละลิ่วออกจากมือใหญ่ พุ่งชนเข้ากับเขาอย่างจัง และมันก็เปลี่ยนสีสันของโลกใบนี้ไปตลอดกาล...
                    “ถ้าเราได้เล่นบาสด้วยกันไปตลอดก็คงเยี่ยมไปเลยเนอะ”
    ...กระจก...
                    เสียงใสนั้นก้องกังวาล กระจ่างเหมือนบานกระจกใส กระทั่งรอยยิ้มที่ส่งมาก็ยังเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นมากมายที่ส่งตรงมาถึงหัวใจของคนฟังอย่างซื่อตรง
                    คิเสะ...
                    “อย่า... พูดอะไรน่าขนลุกดิวะ”
    ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น เขากลับมองอีกฝ่านตาขวาง และเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอก็กระด้างเสียจนตัวเองนึกรังเกียจ
     “ใครอยากจะเล่นบาสกับคนอย่างนายไปตลอดกัน”
                    อา... ตัวเรามันน่ารังเกียจจริงๆ
    เขาเห็นแสงวูบไหวในดวงตาของคิเสะ มันคงเป็นน้ำตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมอนั่นกำลังจะร้องไห้ แต่ที่เขาทำก็เพียงแค่หันหลังเดินไปยังประตูโรงยิมโดยไม่เสียเวลาคิดสักนิด
                    “นี่ อาโอมิเนจจิ ฉันน่ะ คิดมาตลอดเลยนะ”
    หากเสียงของอีกฝ่ายทำให้ต้องชะงัก ดวงตาสีน้ำเงินหันกลับมา เพื่อจะพบกับร่างที่กำลังสั่นเช่นเดียวกับน้ำเสียง...
                    “ฉันน่ะ ไม่ได้รู้จักอาโอเนจจิเลย แม้จะรู้จักกันมานานแค่ไหน แข่ง1
    on1กันกี่ครั้ง ก็ไม่ได้รู้จักเลย”
    คิเสะยกมือขึ้นปิดหน้าไว้ เขาไม่อยากร้องไห้... ไม่อยากร้องไห้อีกต่อไปแล้ว...
     “ทั้งอาโอมิเนจจิที่ใจดี หรืออาโอมิเนจจิที่ทำตัวแย่ๆกับฉัน ไม่รู้หรอก... ฉันไม่รู้ว่าอาโอมิเนจจิคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอาโอมิเนจจิเป็นคนยังไงกันแน่”
                    เขารู้ดี... คำพูดพวกนี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่ทนไม่ไหวอีกแล้ว... มันทับถมให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก
    “แต่ว่า... ไม่ว่าจะเป็นอาโอมิเนจจิที่ใจดี หรืออาโอมิเยจจิที่ทำตัวแย่ๆ... ชอบ....”
    น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด หัวสมองว่างเปล่า สติหายไปจนไม่อาจฉุดรั้งคำพูดไม่ให้หลุดจากริมฝีปาก
    “ชอบ... ชอบนะ... ชอบ...”
                    “ฉันชอบอาโอมิเนจจินะ”
                    ความเงียบทิ้งตัวลงในระยะห่างระหว่างสองร่าง น้ำหนักของความสงัดนั้นคล้ายจะกดทับให้หายใจไม่ออก สายลมพัดเข้ามาจากประตูโรงยิมที่ถูกผลักออกโดยแรง วินาทีนั้น ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปตลอดกาล...
                    “นายมันน่ารังเกียจชะมัด”
    อาโอมิเนจจิพูดเพียงประโยคเดียว... ด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั้งใจของฉัน
    และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราพูดคุยกัน... ก่อนที่ฉันจะเริ่มวิ่งหนีตลอดกาล...


    ท้องฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกลจนต่อให้พยายามแค่ไหนก็เอื้อมไปไม่ถึง
    ทั้งๆที่คิดว่าขอแค่มองดูก็เพียงพอแล้ว แต่ระยะห่างนั้นช่างเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว
    ถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็... บาสลูกนั้น อย่าได้ลอยมาโดนฉันเลยจะได้ไหม...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×