[Fic] Naruto : ในห้วงเวลาหนึ่ง Sasuke x Itachi - [Fic] Naruto : ในห้วงเวลาหนึ่ง Sasuke x Itachi นิยาย [Fic] Naruto : ในห้วงเวลาหนึ่ง Sasuke x Itachi : Dek-D.com - Writer

    [Fic] Naruto : ในห้วงเวลาหนึ่ง Sasuke x Itachi

    โดย ReignOverME

    'ทุกสิ่งที่ฉันปรารถนาก็แค่การได้พบนายอีกครั้ง...แต่ต่อให้ตามหาเท่าไหร่ ทำไมถึงไม่พบนายซะที อิทาจิ นายอยู่ที่ไหน...' 'ในสักวันหนึ่ง ในห้วงเวลาหนึ่ง เราเคยได้พบกันมาก่อนแน่นอน'

    ผู้เข้าชมรวม

    2,346

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    38

    ผู้เข้าชมรวม


    2.34K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    50
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 มี.ค. 57 / 22:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้


    อร๊ายยยยย ฟิคเรื่องนี้ท่านได้แต่ใดมาาาาา
    ได้มาจากการเวิ่นเว้อเพ้อละเมอประโยคเดียวแต่ดันงอกมาเป็นฟิคไงล่ะ ชะลาล่าาา ♥


    สวัสดีค่ะ ฟิคนี้เป็นอีกคู่ในใจอิฉัน พี่น้องรักกันบ้าง เกลียดกันบ้าง เจ็บปวดกันบ้าง มันฟินค่ะคุณ! (ชอบคู่แนวมีเรื่องให้เจ็บปวด-..-)


    กึ่งๆเป็นAU fic นะคะ เพราะมันมาจากพลังมโนล้วนๆ 555+ (แค่อยากเขียนประโยค 'นายไม่เคยจากฉันไปไหน' ลงในฟิคดูสักครั้ง มันก็ออกมาเป็นฟิคเรื่องนี้แหละค่ะ เราเป็นคนที่แต่งฟิคจากประโยคประโยคเดียวตลอดดด ฮาา)

    เอาล่ะ ไม่พล่ามมาก ขอทิ้งท้ายว่า



    'อ่านแล้วคอมเม้นท์กันสักนิดนะคะ ฟิคเราไม่ได้ดีอะไรแต่แค่คุณคอมเม้นท์เราก็ได้กำลังใจว่าอย่างน้อยๆก็มีคนอ่านค่ะ ขอบคุณค่า'







    ปล.เกลียดเกะว่ะ เป็นตัวละครที่หมั่นไส้ค่ะ ยิ่งรักอิทาจิมากก็ยิ่งหมั่นไส้เกะ~(แต่ก็ยังแอบรักอยู่เบาๆ...//ตกลงยังไงแน่ 55)


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Author: MiniRin [OujiKitsu]
       
      Fandom: Naruto
       
      Pairing: Uchiha Sasuke x Uchiha Itachi
       
      Rate: PG-13
       





                      “คุณคิดอย่างไรกับชีวิตที่ผ่านมา”

      ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงเหลือบตาขึ้นมามองคนถาม แต่แม้ว่าดวงตาสีดำจะมองมา ก็คล้ายกับว่าเป็นการมองทะลุผ่านไปยังที่อื่นเสียมากกว่า

      เห็นดังนั้นคนถามจึงเอ่ยซ้ำอีกรอบ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ชอบที่จะต้องคุยกับคนที่ไม่ได้สนใจเรา แต่เมื่อมันเป็นงานก็ช่วยไม่ได้ และก็ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนแบบนี้

      “คุณคิดอย่างไรกับชีวิตที่ผ่านมา”

      เมื่อถูกถามเป็นรอบที่สาม แววตาว่างเปล่าของอีกฝ่ายจึงได้ปรากฏความฉุนเฉียว ก่อนที่จะตอบส่งๆไปอย่างเหนื่อยหน่ายเต็มที

      “น่ารำคาญ”

      คำพูดนั้นไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นการต่อว่าเขาหรือเป็นคำตอบของคำถาม แต่เขาก็คร้านจะใส่ใจ พู่กันในมือเพียงเขียนคำนั้นลงไปในกระดาษ แล้วจึงได้ถามต่อ

      “กับสิ่งที่คุณทำไปทั้งหมด ได้สำนึกเสียใจบ้างหรือไม่”

      ครั้งนี้อีกฝ่ายมองตรงมา เป็นการจับจ้องมาที่เขาเป็นครั้งแรก เรียวปากบางหยักโค้งเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน รอยยิ้มของผู้ที่คิดว่าตนเองคือความถูกต้องสูงสุดในโลก

      “ไม่”

      คำตอบนั้นมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้เขาต้องลอบถอนหายใจ แม้จะคิดไว้แล้วว่าคนลักษณะนี้คงไม่สำนึกผิดหรอก ดีไม่ดีคงจะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด แต่โทษคนทั้งโลกว่าผิดแทน

      เอาเถอะ... จากในใบประวัติ คนคนนี้ก็ผ่านอะไรลำบากมามาก...

      “จะว่าไป... ก็มีอยู่เรื่องนึง” อยู่ๆคนที่ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นก็พูดขึ้น ทำให้พู่กันซึ่งกำลังจะขยับนั้นชะงัก

      นัยน์ตาสีดำปรากฏความรวดร้าวขึ้นจางๆ ยามเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด มันยังคงแจ่มชัดเสียยิ่งกว่าภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า...

                      “ครับ?

      พนักงานหนุ่มพูดขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดต่อเสียที

      “ถ้าคุณไม่พูดผมก็เขียนไม่ได้นะ”

      กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ... นั่นทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ แล้วจำใจวงตรงข้อ ไม่มีความสำนึกผิดอย่างเสียมิได้

      ทั้งๆที่แค่เล่าออกมาก็จะดีขึ้นแท้ๆ... แต่นั่นแหละ งานของเขาไม่ใช่นักบุญ ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ทำเพื่อตัวเอง เขาจะไปทำอะไรได้

      “หมดคำถามแล้ว คุณอุจิวะ ซาสึเกะ ผมจะเซ็นรองรับให้คุณ แล้วนำเอกสารไปยื่นต่อที่แผนก ชำระล้างนะครับ”เขาพูดพลางเซ็นชื่อให้จบๆไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตวัดพู่กัน มือของอีกฝ่ายก็หยุดเขาไว้ก่อน

      “ผมจะลืมใช่มั้ย... ความทรงจำทั้งหมด”

      “เป็นไปตามกฏครับ”พนักงานหนุ่มตอบ น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นยังคงราบเรียบ “วิญญาณเมื่อไปเกิดใหม่จะมีความทรงจำติดไปด้วยไม่ได้ และก็ไม่จำเป็นด้วย”

                      มันเป็นเรื่องที่เขาคุ้นชิน... กับผู้คนที่ดื้อดึงยึดติด เป็นพวกที่จัดการได้ยาก เพราะต่อให้อธิบายสักเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยยอมฟังกัน

      จำได้แล้วจะเกิดประโยชน์อะไร... มีแต่จะเสียใจเปล่าๆ ยิ่งกับคนที่มีประวัติเช่นนี้ ลืมๆไปซะให้หมดก็ดีแล้วมิใช่หรือ?

      “ผมไม่อยากลืม ไม่อยากไปเกิดใหม่ด้วย”

      “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ”เจ้าพนักงานพูด ก่อนจะกระชากมือของตนเองออก “ทุกสิ่งมีเกิดก็มีดับทั้งนั้น ทำความเข้าใจซะถอะ อย่าให้ต้องใช้กำลังกันเลย”

      ซาสึเกะมองคนตรงหน้า... ไม่สิ จะเรียกว่าคนก็คงไม่ถูก คงใกล้เคียงกับพวกยมทูตเสียมากกว่า เขาเองก็เหมือนกัน... จากสภาพตอนนี้ก็คงเรียกไม่ได้เต็มปากหรอกว่าเป็นคน

      ใช่... ตัวเขา อุจิวะ ซาสึเกะ ตายไปแล้ว...

      “ขอเวลาผมอีกสักหน่อย... ผมยังมีเรื่องให้ต้องไปทำ”เขาเอ่ย น้ำเสียงกึ่งขอร้อง... การขอร้องผู้อื่นไม่ใช่นิสัยเขา แต่หากคราวนี้แม้ต้องก้มหัว เขาก็จะทำโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

      เขาไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ทำ... ไม่เลย เว้นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น...

      “เรื่องนั้น... เกี่ยวกับสิ่งที่คุณสำนึกเสียใจรึเปล่า”ยมทูตถาม มองแววตาของอีกฝ่าย แล้วจึงค่อยวางพู่กันลง

      “ถ้าคุณตอบว่าคุณสำนึกผิดในเรื่องอะไร ผมยอมจะระงับเอกสารคุณไว้ชั่วคราว”

      ซาสึเกะหลับตาลง นึกถึงสิ่งเดียวที่ยังคงตามหลอกหลอน คนเดียวที่เขาไม่ต้องการจะลืม...

      “ผมปกป้องคนที่รักไว้ไม่ได้... และต้องการจะตามหาเขา”

      คำตอบนั้นทำให้คนฟังอยากหัวร่อ... แต่ก็หัวเราะไม่ออก

                      มีไม่กี่สิ่งหรอกที่คนเรายึกมั่นถือมั่น หนึ่งในนั้นคือความรัก....

      “ไม่มีประโยชน์ ถ้าคนคนนั้นตายไปนานแล้ว ตอนนี้ก็คงไปเกิดใหม่ เขาจำคุณไม่ได้แน่นอน”

      หากเป็นอีกฝ่ายที่หัวเราะกับคำพูดของเขาแทน... ซึ่งสร้างความงุนงงแก่ตนยิ่งนัก

      “ใช่ เขาจำผมไม่ได้ แต่ผมจำเขาได้นี่”เว้นจังหวะชั่วครู่ แล้วจึงพูดต่อ “แค่ได้เจออีกครั้งก็พอ แล้วต่อจากนั้นจะให้ลืมหรือให้ไปเกิดใหม่เป็นอะไรผมก็ยอมรับได้ทั้งนั้น”

      เป็นคนแปลก....

      เจ้าพนักงานคิด แต่ก็ทำตามที่ตนรับปากไว้ มือขาวซีดเหมือนแผ่นกระดาษเก็บเอกสารลงในลิ้นชัก แล้วจึงเอ่ย

      “สิบปี... หลังจากนี้สิบปี ไม่ว่าคุณจะเจอเขาหรือไม่ คุณก็ต้องไปเกิดใหม่ ไม่เช่นนั้นวิญญาณของคุณจะต้องแตกดับ”

      “โชคดีครับคุณซาสึเกะ แม้ผมจะไม่เห็นประโยชน์ใดๆจากการกระทำของคุณเลยก็ตาม”

      ***************

                      มันคือความหวังที่เลือนลาง แต่เขาก็ยังไงไม่สิ้นหวัง... ต่อให้มันจะน่าสิ้นหวังมากเท่าไหร่ก็ตาม

      เขาออกตามหาไปทั่วในทุกที่ แม้สภาพของวิญญาณจะให้ความรู้สึกแปลกใหม่และเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่ซาสึเกะก็เพิ่งตระหนักได้ว่า แท้จริงโลกนี้กว้างใหญ่มากพียงไรก็ในตอนนี้นั่นเอง

      นายอยู่ที่ไหน.... อิทาจิ

                      นามเดียวที่ต่อให้นานเท่าไหร่เขาก็ยังปล่อยวางไม่ลง คนเพียงคนเดียวที่รัก... รักมากเหลือเกิน แต่บางครั้งเมื่อเทียบกันแล้ว ความรักของเขาอาจด้อยค่านักเมื่อเทียบกับอิทาจิ

                      อีกฝ่ายรักเขา... หวังดีต่อเขา ทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้ว่าจะต้องทำร้ายตัวเองมากแค่ไหน...

      น่าขำนัก... แท้จริงที่เขาวิ่งพุ่งใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้า เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ลึกๆในใจนั้นปรารถนาเหลือเกินว่าจะมีสิ่งใดพรากชีวิตเขาไปในเร็ววัน เพื่อที่เขาจะได้พบกับอิทาจิ แต่บัดนี้กลับรู้แล้วว่า ความตายมิได้นำมาซึ่งการพบกันอีกครั้ง....แต่เหมือนจะนำมาซึ่งการจากลานิรันดร์แทน

      สิบปี... เมื่อแรกนั้นคิดว่าตั้งสิบปี แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงแค่สิบปี...

                      ปีที่หนึ่งผ่านไป ยมทูตตนนั้นมาหาเขา

      “คุณพบเขาหรือยัง”

      แน่นอน... คำตอบของเขาคือไม่

                      ปีถัดมา เขาตามหาไปทั่วทั้งญี่ปุ่นแล้ว หากก็ไม่พบ เขามั่นใจว่าต่อให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ถ้าหากเห็นล่ะก็เขาต้องจำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหาในที่ไกลออกไป...

      “คุณพบเขาหรือยัง”

      “ยัง”

                      อีกปีผ่านไป... อีกปีที่เขายังไม่พบแม้แต่วี่แวว กลิ่นอายของอิทาจินั้นคล้ายจะเลือนลางไปเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้... หากไม่ได้พบในตอนนี้ ต่อไปเขาก็จะจำไม่ได้แล้ว จะต้องลืมไปทั้งหมด ลืมว่าเคยรักคนๆหนึ่งมากมายขนาดไหน

      ...เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น...

      “คุณพบเขาหรือยัง”

      “ยัง”

                      อีกปี...อีกปี... และอีกปีถัดมา คำตอบของเขาก็คือยังไม่พบ...

      ในใจทั้งร้อนรนกระวนกระวาย เขาตามหามาครึ่งโลกแล้ว แต่ก็ยังไม่พบแม้แต่เงา หรือคนที่ใกล้เคียงกับอิทาจิ ยิ่งตามหามากเท่าไหร่ก็คล้ายกับจะยิ่งห่างออกไปดท่านั้น

                      อิทาจิ... นายอยู่ที่ไหนกัน หรือว่าไม่อยากเห็นหน้าฉันอีกแล้ว....

      ยิ่งเวลาน้อยลงเท่าไหร่ ใจเขายิ่งไม่อาจสงบลงได้ ความกดดันและความปรารถนาในใจทำเอาเขาแทบเสียสติ แทบจะพลิกเอาแผ่นดินขึ้นมาตามหาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งไปในทุกที กระนั้นก็ยังหาไม่เจอ

                      ทำไมล่ะ... ทำไมกัน...

      “คุณพบเขาหรือยัง”

      “ยัง”

      “คุณดูแย่มากเลยนะ พอเถอะ ถึงหาเจอเขาก็จำคุณไม่ได้หรอก อาจจะมองไม่เห็นคุณด้วยซ้ำ”

      ยมทูตตนนั้นพูด ซึ่งสภาพเขาย่ำแย่มากเต็มที ความเหนื่อยล้าทุรนทุรายกัดกร่อนถึงจิตวิญญาณ นั่นคงเป็นสัญญาณเตือนว่าวิญญาณเขาใกล้แตกดับแล้วกระมัง

      แต่เขาก็จะไม่หยุด... ไม่มีวัน... ก็เพราะว่า...

      “ใช่ แต่ผมยังมองเห็น และยังจำได้ แค่นั้นก็พอแล้ว”

      เพราะว่าตอนนี้เขายังคงจำได้แม่นยำ... ทุกสัมผัส กลิ่นกาย แววตา กระทั่งหยาดเลือดที่กระเซ็นถูกใบหน้าเขา ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นจริง เคยมีอยู่จริง ตัวตนของอุจิวะ อิทาจิ ที่เขารักยิ่งนั้นเคยมีอยู่จริง และสิ่งยืนยันสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือความทรงจำของเขา

      ให้ฉันได้พบนายอีกสักครั้งเถอะ... ก่อนที่จะต้องลืมว่าเคยรักนายมากขนาดไหน...

      เคยมีใครสักคนพูดว่า ไม่มีสิ่งใดเหนือเกินไปกว่าความพยายาม หากวันนี้ทำไม่สำเร็จ ก็แค่พยายามต่อไปเรื่อยๆ สักวันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

      กระนั้น เขาก็ยังคงไม่พบอิทาจิตลอดเวลาสิบปี...

                      “หมดเวลาแล้วนะ ผมยื้อได้แค่นี้แหละ ถ้าตรวจพบรายชื่อคุณตกหล่นไปแล้วผมจะเดือดร้อน อีกอย่าง คุณก็ทนไม่ไหวแล้วด้วย”ยมทูตเอ่ย เขามองดูภาพของคนตรงหน้า แลดูย่ำแย่อิดโรยเต็มที

                      “ปีนี้คุณหาเขาพบรึยัง”

      ซาสึเกะเหลือบตามองอีกฝ่าย เขาเหนื่อยเต็มที สิ้นหวังเต็มที มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังประคับประครองจิตใจเขาไว้ได้ก็คือภาพของอิทาจิ... ซึ่งตอนนี้กลับพบว่าจางลงจนแทบนึกไม่ออก

                      “ไม่เลย... ต่อให้พยายามมากเท่าไหร่ ฉันก็ยังหาเขาไม่พบ”

      เขาไม่ปรารถนาที่จะลืม... แต่ก็ไม่มีทางเลือก แม้ว่าจะพยายามมากเท่าไหร่ ก็ยังไม่อาจได้พบ

      นี่คงเป็นบทลงโทษสำหรับสิ่งที่เขาเคยทำลงไปสินะ...

                      “ผมบอกคุณแล้ว ว่ามันจะไม่เกิดประโยชน์อะไร”พนักงานแห่งสังสารวัเอ่ย น้ำเสียงยังคงราบเรียบปราศจากความรู้สึก มือขาวที่กลืนกินไปกับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องหยิบเอาเอกสารขึ้นมาวางบนโต๊ะ

      “มันจะดีกว่าถ้าคุณลืม... ถึงตอนนั้นแม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องถูกทำให้ลืม คุณก็จะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ”พูดพลางหยิบพู่กันขึ้นมา แสงสะท้อนจากหลอดไฟส่องผ่านหน้ากากสีขาว ทำให้ดวงตาสีดำเฉยเมยคล้ายจะมีประกายบางอย่าง

                      และนั่นทำให้ซาสึเกะถึงกับตะลึงงันจนพูดไม่ออก...

      ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไม...

      มือที่สั่นระริกเอื้อมไปแตะบนหน้ากากสีขาวอย่างแผ่วเบา ทำให้อีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยความสงสัย

      “คุณซาสึเกะ?

      “ในที่สุดฉันก็รู้ว่า ทำไมฉันถึงหานายไม่เจอสักที...”ซาสึเกะพูดเสียงเบา มิได้สนใจในท่าทีสงสัยของอีกฝ่าย เขาเพียงจ้องไปในดวงตาคู่นั้น... ดวงตาที่สะท้อนภาพของใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเขา

      “เหตุผลที่ฉันตามหานายไม่เจอ ก็เพราะว่านายไม่เคยจากฉันไปไหนเลย”

      ในวินาทีที่แสงสะท้อนลงในดวงตาของยมทูต... เขาเห็นอย่างแน่นอน มองเห็นอิทาจิอยู่ในนั้น และราวกับแสงสว่างจ้าได้ทำให้ตาที่มืดบอดของเขาตระหนักได้ในที่สุด

      อิทาจิไม่เคยจากเขาไปไหน... ไม่เคยเลย และเพราะอย่างนั้น ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็หาอีกฝ่ายไม่เจอเสียที

      “คุณอุจิวะ ซาสึเกะ ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร แต่คุณต้องไปแล้ว”เจ้าพนักงานกล่าว แล้วจึงลงนามของตนลงในเอกสาร

      ....เขาเคยได้ยินมนุษย์บางคนกล่าวไว้ว่า ผู้ที่จากไปไม่เคยจากไปไหน แต่อยู่ในใจของผู้ที่คำนึงถึงเสมอ...

      “หวังว่าคุณจะได้พบกับคนที่ตามหานะครับ”

      แม้ว่าถึงตอนนั่นแล้วคุณจะลืมไปทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่าสักที่หนึ่งในจิตวิญญาณของพวกคุณต้องจดจำกันได้อย่างแน่นอน

      อุจิวะ ซาสึเกะ

      อุจิวะ อิทาจิ...

      **********

                      “ไปแล้วนะครับ”

      เด็กหนุ่มผมสีดำสนิทวัยสิบห้าปีเจ้าของใบหน้าคมคายเดินออกจากบ้าน ความจริงมันยังเป็นเวลาที่เช้าเกินกว่าจะไปเรียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร วันนี้ตนถึงได้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ

      เอาเถอะ... ไปเช้าก็ยังดีกว่าไปสาย   

      คิดไปพลางเดินไปพลางอย่างไม่รีบร้อน

      ตอนนี้เป็นปลายภาคการศึกษาแล้ว... ซากุระที่ปลูกเป็นทิวแถวสองหากของทางเดินผลิดอกสีชมพูให้ชื่นชม และเป็นสัญลักษณ์ว่าอีกไม่นาน พวกปีสามก็จะจบการศึกษา ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีรุ่นพี่ที่สนิทเป็นพิเศษ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร

      “ขอโทษนะครับ โรงเรียนมัธยมปลายคาเสะไปทางนี้รึเปล่า”

       เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆหันไปมอง

      วินาทีนั้นราวกับทั้งโลกตกอยู่ภายใต้ความเป็นนิรันด์....และทุกสิ่งก็พลันไร้สีสันนอกจากคนตรงหน้า

                      กลีบซากุระปลิวไปตามลม ลอยไปติดอยู่ที่เส้นผมสีดำยาวซึ่งถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย นัยน์ตาสีดำแฝงความอ่อนโยน และใบหน้าคมหวานนั้นได้ดึงดูดสายตาให้ไม่อาจมองไปทางอื่น

      ที่ไหนกันนะ...

      สักที่ใดที่หนึ่ง ในช่วงกาลเวลาใดเวลาหนึ่ง เขาเคยได้พบคนๆนี้มาก่อน...

      “ชะ...ใช่ครับ ถูกทางแล้ว”ใช้เวลาอยู่สักพักก่อนที่เด็กหนุ่มจะหาเสียงของตนเจอ เอ่ยตอบแล้วจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง

      “เออ...มีธุระอะไรที่นั่นหรอครับ”

      “ฉันเพิ่งกลับมาญี่ปุ่นน่ะ แล้วที่นั่นก็เรียกฉันไปสอน จริงสิ เธอเรียนอยู่ที่นั่นใช่มั้ย ชื่ออะไรน่ะ”ชายหนุ่มถามพร้อมส่งยิ้มบางๆมาให้ เป็นรอยยิ้มที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก แต่กลับสร้างความคุ้นเคยและโหยหาให้ก่อเกิดขึ้นในใจอย่างน่าประหลาด

      “ดาเงกิ ซาสึเกะ แล้วคุณล่ะ”

       “ฉันชื่อจื่อชางหลาง*”เว้นจังหวะชั่วครู่ แล้วจึงได้พูดต่อ “แปลกนะ เราเพิ่งเคยเจอกันแท้ๆ แต่เหมือนว่ารู้จักกันมาก่อนเลย”

      ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกที่ตรงกันพอดี... ซาสึเกะมองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกดีใจจนแทบหลั่งน้ำตา

      “ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับ...”และโดยไม่รู้ตัว เขาได้เอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายไว้ นั่นทำให้จื่อชางหลางทำท่าประหลาดใจ แต่ก็แปลกที่ตนไม่ได้รู้สึกอยากสะบัดมือหนีสักนิด

      สายลมพัดมาอีกระรอก... หอบเอากลีบซากุระและกลิ่นอายแห่งอดีตให้ฟุ้งกระจายในบรรยากาศ

                      “ต้องมีสักที่... ที่เราเคยพบกันอย่างแน่นอน”

      มีบางสิ่งบอกกับเขา... ว่าเขารอเวลานี้มานานเหลือเกิน... รอคอยที่จะได้จับมือนี้ ได้สบดวงตาคู่นี้

      ...ที่ฉันตามหานายไม่เจอ... ก็เพราะแท้จริงเราไม่เคยห่างจากกันเลย และสักวันหนึ่ง ในสถานที่หนึ่ง เราจะได้พบกันอีกครั้งอย่างแน่นอน...

      และครั้งนี้เขาจะไม่มีวันปล่อยไปอีกแล้ว...

      -จบ-

       

       *ชื่อจื่อชางหลาง จื่อชางแปลว่าพัดกระดาษ(อุจิวะ)ค่ะ หลางแปลว่าหมาป่า (คือชื่ออิทาจิเนี่ย ถ้าเขียนตัวฮิรางานะมันจะเป็นคำที่แปลว่าพังพอนค่ะ โมวเอ้เหลือเกินนน♥ ซึ่งในภาษาจีนคือหวงฉู่หลาง(黄鼠狼) ค่ะ (หวง-สีเหลือง ฉู่-หนู หลาง-หมาป่า) ตัดมาแค่พยางเดียวเป็นชื่อค่ะ 55
      ส่วนซาสึเกะ ตั้งชื่อสิ้นคิด เพราะรักไม่เท่าอิทาจิ กร๊ากก//โดนตบตี (ดาเงกิแปลว่าพัดค่ะ)
       

       

       ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฟิคมโนสุดเวิ่นเว้อของเค้าน๊าา

       

       


      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×