ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TATTOOIST #ช่างสัก KAIDO Ft. EXO

    ลำดับตอนที่ #1 : TATTOOIST - intro 100%

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 58


    @SQWEEZ

    Tattooist

    intro

     

     

     

    “พ่อมึงตายยยย เชี่ยแบค!

    โด คยองซูโบกหัวเพื่อนรักอย่างแบคฮยอนด้วยความหมั่นไส้หนึ่งที จริงๆอยากด่าแม่ด้วยแต่จากประสบการณ์เพื่อนตายสิบปีสั่งให้ด่าพ่อมัน เจ็บกว่า

     

    “กูขอโทษ ก็น้ากูให้เส้นตายวันนี้นี่หว่า”  แบคฮยอนกอดคอเพื่อนสนิทพร้อมกับอ้างผู้ปกครองคนโหดที่สั่งให้เขาหาที่ฝึกงานให้ได้ภายในวันนี้ ไม่อย่างนั้นจะต้องเข้าไปฝึกที่โรงงานผลิตเส้นบะหมี่ธุรกิจครอบครัว

     

    “แล้วใครวะบอกกูว่าให้รอฝึกงานที่เดียวกัน ไปเลยนะสัส ก่อนตีนกูจะลั่นใส่หน้า”  สะบัดตัวแรงๆสองสามทีให้หลุดจากแขนเพื่อนชั่วก่อนเดินจ้ำอ้าวออกมาเร็วๆ ยิ่งนึกถึงตอนที่ปฏิเสธบริษัทเกมเพียงเพราะเพื่อน(เคย)รักไม่ชอบเกมยิ่งโมโห แล้วดูที่มันทำกันวันนี้ดิ่ ไปได้งานที่ไหนมาไม่รู้ แถมไม่บอกก่อนด้วย จ้า รักกูมาก

     

    “มึงอ่ะ แต่ถ้าให้กูไปคั้นเส้นบะหมี่ทั้งวันก็ไม่ใช่เรื่องป่ะวะ หน้ากูออกจะหล่อ ไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้”  ยัง มันยังเดินตามมาตื้ออีก เอาดีๆแล้วที่พูดนี่เหมือนไม่ได้หาเหตุผลมาทำให้กูหายโกรธเลย  อวยตัวเองล้วนๆ

    คยองซูไม่ได้ตอบอะไร เด็กหนุ่มดึงชายเสื้อนักศึกษาออกอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์แทนการต่อยหน้าหมาๆของแบคฮยอน   “แต่ก็ใช่ว่ากูจะตัดหางปล่อยวัดมึงเลยน้า”  

     

    “ตัดหน้ามึงอ่ะ”  ร่างเล็กยังเดินต่อไปเรื่อยๆในขณะที่อีกฝ่ายหยุดยืนพิงเสาไฟฟ้าพร้อมเอาเอกสารในมือพัดคลายร้อน

     

    “เดี๋ยวกูหางานให้มึงเอง”  โอ้โหดูมันพูด  กูนี่ซาบซึ้งใจจนแทบอยากจะกลับหลังหันไปกราบตีนรัวๆ  คยองซูหยุดเดินก่อนหันกลับมาทางเดิมที่มีแบคฮยอนยืนอยู่  แล้วดูมัน มึงชิลมากแมะยืนพิงเสาล้วงกระเป๋าเนี่ย

     

    “มึง กูเรียนวิศวะคอม กูควรเข้าไปฝึกงานตำแหน่งอะไรในโรงงานทำเส้นบะหมี่ ตอบ”  

     

    “ใครบอกว่าผมจะให้พี่คยองเพื่อนรักไปฝึกงานที่แบบนั้นล่ะคร้าบบ”  แบคฮยอนเดินมาหยุดที่ข้างคยองซู  เอาเอกสารทั้งหมดคาบไว้ในปากก่อนนวดไหล่คนที่ยืนทำหน้าเมื่อยใส่อยู่

    “ไม่อ่ะ โรงงานทำสตอเบอร์รี่หรือผลิตจิ๋มกระป๋องอะไรกูก็ไม่เอาทั้งนั้น ..แล้วทำเหี้ยอะไรเนี่ย  เป็นหมาหรอ คาบหนังสือพิมพ์มาให้กูอ่านตอนเช้างี้?”    หันไปปัดมือที่นวดไหล่อยู่ก่อนดึงกระดาษสองสามแผ่นออกจากปากคนตรงหน้า

     

    “โอ้ยห่า เบาๆ กระดาษบาดปากกู”      

     

    “สมควรโดนมึง”  ม้วนกระดาษฟาดหัวไปด้วยความหมั่นไส้อีกทีแล้วค่อยคืนให้มัน    “เออๆ ปากกูเอาไว้ก่อน  ไอ้งานที่กูจะบอกอ่ะคืออันนี้”   แบคฮยอนรับเอกสารคืนมา มือเรียวเลือกกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่นก่อนเอาที่เหลือเหน็บไว้ใต้จั้กแร้

     

    “อะไร”  ไหนๆก็ไม่มีทางเลือกแล้ว สนใจหน่อยก็ดี ร่างเล็กไล่สายตาอ่านบนใบปลิวที่เพื่อนยื่นให้ สีหน้าของเด็กหนุ่มชั้นปีที่สามกำลังจะดีขึ้นแต่กลับกลายเป็นหน้าหมีไปกินโดนกองขี้เพราะนึกว่ารังผึ้ง    เมื่อบนแผ่นใบปลิวเขียนว่า

     

     

    สมศักดิ์ชำนาญคอม’  

     

    “เป็นไงๆ นี่สายมึงเลยนะ วิดวะคอมไง”   คยองซูอยากขยำกระดาษแล้วยัดเข้าปากมันเหลือเกินถ้าไม่กลัวว่ามันจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโลก มึงกล้าพูดมาได้ยังไงว่าสายกู ถุย

     

     “ถามจริงตอนเด็กๆแม่มึงเคยให้กินพวก วิตามิน หรืออะไรที่บำรุงสมองมั้ย หรือไม่ก็ให้เล่นพวกเกมฝึกสมองอ่ะ”  

     

    “ไม่รู้ดิ่ กูจำไม่ได้อ่ะ  อ่า..  แล้วเรื่องราวตอนเด็กของกูเกี่ยวไรกับซ่อมคอม”

     

    “แล้ววิศวคอมมันเกี่ยวอะไรกับซ่อมคอม! หะ!!”     

     

    “ก็..  มันก็คอมเหมือนกันไม่ใช่หรอวะ”  เกาหัวตอบไปงงๆ ถึงจะเป็นเด็กนิเทศแต่ก็พอรู้ว่าวิศวคอมก็มากจากคอมพิวเตอร์ ถ้าเรียนคอมพิวเตอร์ก็ต้องซ่อมคอมเป็นดิ่

     

    “วิศวคอมไม่ได้เกี่ยวกับการซ่อมคอม ดูปากนะ กู ไม่ ได้ เรียน ซ่อม คอม มา ”   

    “เอ้า แล้วจะ..

     

    R rrrr.. rrrr

     

    “เดี๋ยวนะ”  แบคฮยอนอ้าปากพะงาบๆเพราะเพื่อนเลิฟยกมือขึ้นห้ามไว้ไม่ให้พูด โอเค  กูไม่สงสัยแล้วก็ได้

     คยองซูรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสีดำในกระเป๋ากางเกงที่นอกจากจิ้มเข้าไปดู Twitter ก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย  สั่นรัวระริกแบบนี้มีคนโทรเข้าหรือมึงจะระเบิดล่ะโทรศัพท์  ใจเย็นๆ    

    ล้วงมือเข้าไปหยิบมาดูก็พบว่าหน้าจอขึ้นเป็นรูปเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบรูปร่างท้วมทันใส่แว่นหนาเตอะ มือสองข้างอุ้มตัวเฟอเร็ต ยิ้มหน้าบานแต่หูบานกว่าอยู่

     

    ชานยอล

     

    “ว่า”  กรอกคำพูดสั้นๆส่งไปเป็นอันเข้าใจกันว่าทักทาย  ใช่แล้ว คนที่โทรเข้ามาคือ ปาร์ค ชานยอล รูมเมทที่หอของเขาเอง พี่ปาร์คนี้เค้าดีกรีเดือนคณะสามปีซ้อนนะจ้ะ ไม่หล่อแรงจริงทำงี้ไม่ได้ ทั่งถ่อยและเถื่อนแต่ก็มีสาวกรี้ด รูปตอนเด็กที่ไปแอบถ่ายมาจากกรอบรูปนี่ถ้าไม่ดูหูก็แทบจำไม่ได้

     

     “จอยเกมกูหาย”  คนขี้เกียจตัวเป็นหนามอย่างมันไม่น่าจะเดือดร้อนอะไรกับหางานทำ ขนาดมิดเทอมที่ผ่านมาแม่งยังเดินออกห้องสอบสิบห้านาทีแรกเท่ห์ๆ

     

    “โอเคครับปาร์คชานยอล ก่อนที่มึงจะถามหาจอยเกมนี่มึงได้งานแล้วหรอ”  พูดไปมือก็เท้าสะเอวไปด้วย ได้ฟีลเหมือนยืนด่ามันตรงหน้า

     

    “ระดับพี่ชานแล้ว หาที่ฝึกงานเฉยๆ วิ่งหนีคริสวอร์คเกอร์ในเอาท์ลาสยังยากกว่าเล้ย”   โห ขนาดชานยอลยังหางานได้แล้วอ่ะ นี่กูทำอะไรอยู่

     

    “มึงได้งานได้งานที่ไหนอ่ะ กูยังหาไม่ได้เลยเนี่ย”  พูดพลางมองแผ่นใบปลิวร้านซ่อมคอมในมือไปอย่างเจ็บช้ำ นี่กูควรโทษตัวเองหรือเพื่อนหอกหักอย่างแบคฮยอนดี

     

    “บริษัทเกมอ่ะ รายละเอียดไว้คุยกัน กูหาจอยเจอละ บาย”  ได้บริษัทเกมหรอ ยิ่งเศร้าไปอีก นี่ถ้าใส่CGได้ตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาด

    ถือโทรศัพท์ค้างไว้ในท่าแนบหูจนเหงื่อเต็มมือ  “คยองซู มึงหายใจเข้าลึกๆ ไหนลองทบทวนใหม่สิ แบคฮยอนได้งานแล้ว ชานยอลก็ได้งานแล้ว ทุกๆคนรอบตัวได้งานหมด ทำไมเหลือกูคนเดียวล่ะ ทั้งๆที่กูดูพยายามที่สุดในขณะที่พวกแม่งไม่เห็นจะทำอะไรเลย ทำไมต้องเป็นกูที่ผิดหวังว่ะเฮ้อ  ไม่รู้จะสบถว่าอะไรแล้วเนี่ยนอกจากเหี้ยกับแม่ง”   บ่นพึมพำกับตัวเองให้ดราม่าพอเป็นพิธี  หึ แค่หาที่ฝึกงานไม่ได้แค่นี้ทำอะไรต่อมความรู้สึกอันแข็งแกร่งของคยองซูลูกแม่ฮันพ่อคังไม่ได้หรอก

     

    “แบค” 

     

    “ว่าไง สรุปเอาร้านที่กูแนะนำเนาะ เค้ารับสมัครเด็กฝึกงานอยู่พอดี ไปกันเลย จะห้าโมงแล้ว”   นี่มึงจะให้กูซ่อมคอมให้ได้เลยใช่ไหม                        

     

    “กูบอกแล้วว่าวิศวคอมมันไม่ได้เรียนเกี่ยวกับคอมเลย กูซ่อมคอมไม่ได้ โอย  เอาสมองที่มีอยู่น้อยนิดประมวลผลคำพูดของกูแล้วกลับบ้านไปซะมึงอ่ะ ไม่มีประโยชน์แล้ว”  ส่ายหัวหน่ายๆกับความเอ๋อแดกหลังจากปัดมือพร้อมออกปากไล่มันไป  

    “โหย กูอยากอยู่ช่วยมึงจนถึงที่สุดนะ บอกตรงๆยังไม่หายรู้สึกผิด  เออแต่ก็ดี เมื่อกี้อาม่าไลน์มาตามกลับบ้านแล้ว งั้นไปก่อนนะ”   อืม คำพูดกับการกระทำมึงนี่ไม่ค่อยจะสวนทางกันเลยเนาะ  อะไรคือการที่บอกว่าอยากช่วยกูแต่ขามึงวิ่งจะไปถึงถนนอีกฟากแล้ว                                                                                                                                                               

     

    “โชคเลือดจ้า”   ตะโกนอวยพรเพื่อนรักให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ  ถึงจะยังหงุดหงิดและโกรธอยู่นิดหน่อยแต่ด้วยสันดานลึกๆเป็นคนห่วงคนรอบตัวเสมอทำให้คยองซูต้องยืนมองอีกคนจนกว่าจะลับสายตาไปถึงจะหันกลับมาเดินตามทางของตัวเองต่อได้

     

    ติ้ดติ้ด ติ้ดติ้ด ติ้ดติ้ด

    นาฬิกาข้อมือส่งเสียงบอกเวลาห้าโมงเย็นพอดี  ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มอ่อน จากอากาศร้อนอบอ้าวเริ่มเย็นลงแต่ไม่มากนัก คยองซูเดินมาเรื่อยๆจนถึงหน้าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง แม่ค้าแผงลอยเริ่มเก็บร้าน ในขณะที่หน้าโรงเรียนยังมีเด็กนักเรียนบางคนรอผู้ปกครองอยู่   สองเท้าหยุดเดินอีกรอบ ถ้ากลับหอไปตอนนี้ต้องโดนไอ้ชานยอลแซะจนพรุนแน่  เอาไงดีวะ   กัดริมฝีปากพยายามนึกถึงสถานที่ที่น่าจะหลบภัยสังคมได้จนกว่าเพื่อนตัวดีมันจะหลับ   

    เดินไปซื้อน้ำอัดลมจากรถเข็นแก้กระหายแล้วค่อยเดินคิดต่อไปเรื่อยๆ  น้ำแข็งเต็มแก้วแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้น้ำแทรกตัวอยู่  ดูดไปสองทีหมดแล้ว  นี่คือน้ำแก้วละสิบบาทในพุทธศักราช2558สินะ  บางทีก็สงสัยว่ากูซื้อน้ำแข็งแถมน้ำมาใช่ไหม  ทำไมถึงทำแบบนี้  อยากกราบเรียนถามป้าคนขายเหลือเกินแต่ก็กลัวเค้าเอาที่ตักน้ำแข็งเคาะกระบาลแตกเลยทำได้แค่ใช้หลอดเขี่ยน้ำแข็งกินที่เหลือกินแทน

     

    หลังจากที่โอดครวญเรื่องปริมาณน้ำอัดลมในใจเงียบๆคยองซูก็รู้ว่าจะไปที่ไหนดี   ถนนคนเดินคือจุดมุ่งหมายในการลี้ภัยครั้งนี้  ไปหาของกินเดินเล่นแก้เซ็งสักหน่อย สี่ห้าทุ่มค่อยกลับ ชานยอลมันคงหลับพอดีแหละ (ถ้าไม่เล่นเกมยาวอ่ะนะ)

    เมื่อตกลงกับตัวเองได้จึงโบกรถสองแถว*ที่ผ่านมาพอดี ทิ้งแก้วน้ำ(แข็ง)จากร้านแม่ค้าใจร้ายลงถังขยะที่ปนกันทั้งขยะเปียกขยะรีไซเคิลและต่างๆนาๆก่อนกระโดดขึ้นรถที่จอดเทียบฟุตบาท 

    ในกรุงเทพขึ้นชื่อเรื่องรถเมล์ไม่จอดตามป้ายใช่ไหม อยากบอกให้รู้ว่าต่างจังหวัดรถสองแถวของเราก็ขึ้นชื่อเรื่องไม่ยอมไปเหมือนกันครับ  ไม่รู้พี่แกจะรักป้ายรถประจำทางไปไหน  เจอทีนี่จอดกันเป็นสิบๆนาที ซึ่งผมก็หวังว่าพี่คนขับคันนี้แกจะไม่ทำแบบนั้น 

    พอหาที่นั่งได้สิ่งที่คยองซูอาจจะทำคือการชมวิวตามข้างทางแล้วพรรณนาถึงความสวยงามของบ้านเมืองตามที่พระเอกฟิคควรจะเป็นไป  แต่ขอโทษ สิ่งที่เห็นในระยะสายตาตอนนี้มีแต่รถที่ติดยาวเกือบถึงชาติหน้า เสียงบีบแตรน่ารำคาญ ทั้งควันจากท่อไอเสียของมอเตอร์ไซคันเมื่อกี้ที่พยายามจะซิกแซกออกจากแถวเพื่อไปอยู่ข้างหน้าสุด ทางม้าลายเต็มไปด้วยรถทั้งๆที่มันเอาไว้ให้คนข้ามถนน

    ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับสองข้างทาง  เพราะฉะนั้นเวลานี้วัตถุสี่เหลี่ยมจึงมีประโยชน์อีกครั้ง ล้วงขึ้นมาจิ้มแอพพลิเคชั่นประจำและแอพเดียวที่เข้า กดไปเช็คแจ้งเตือน20+ ก็มีแต่รีทวิตต่อจากคุณ เลื่อนมาหน้าไทม์ไลน์ก็ประสบพบเจอกับแอคคำคมที่เหมือนๆกัน  อยากเมนชั่นไปบอกให้เค้ารวมตัวกันเป็นแอคเคาท์เดียวเลยดีกว่าถ้าพี่จะ Copy and Paste ขนาดนี้  แต่ Followers  79มันจะไปสู้  179k ได้ยังไง เอาเป็นว่าข้ามไป

    หลังจากนั่งจิ้มๆกดๆและเผลอหัวเราะออกมาบางครั้งได้สักพักก็ถึงที่หมาย  คยองซูเก็บโทรศัพท์และล้วงกระเป๋าเงินออกมาแทน  เศษเหรียญมีอยู่แค่เก้าบาท ค่าโดยสารมันสิบบาทนี่หว่า เอาไงดี สะกิดยืมคนข้างๆก็ดูโรคจิตไป หรือจะบอกพี่คนขับไปตรงๆดีนะ ไม่อยากแตกแบงค์ร้อยเลยจริงๆให้ตายเถอะ  กดกริ่งให้รถจอดเมื่อถึงป้าย  สรุปกับตัวเองได้ว่าใช้วิธีเดิมคือรีบจ่ายแล้วเดินหนีออกมาจากตรงนั้นเลย ขอโทษนะครับพี่ ไว้เจอกันอีกทีเมื่อไหร่ผมจะจ่ายบาทนึงให้ 

     

    “คนเดียวครับ”  หย่อนเงินลงบนมือคนขับรถก่อนรีบวิ่งข้ามถนนไปอีกฟาก หันหลังกลับมามองก็เห็นว่ารถออกไปแล้ว คยองซูจึงเดินข้ามกลับไปฝั่งที่เป็นถนนคนเดิน กวาดตามองไปรอบๆพลางนึกว่าจะเดินซอยไหนก่อนดี  ตอนนี้เวลาไม่น่าเกินห้าโมงครึ่ง ร้านรวงยังออกมาเปิดไม่มาก  ร้านกาแฟแอร์เย็นๆแถวนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่ดี

     

    ‘KAMONG’

    ป้ายชื่อร้านกาแฟซึ่งเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันแปลว่าอะไร แต่มันน่าสนใจคือกระดานที่ตั้งอยู่หน้าร้านมีกระดาษแปะอยู่

     

    รับสมัครพนักงาน/นักศึกษาฝึกงาน

     

    ยิ่งกว่าถูกหวยแปดรางวัลซ้อน เหมือนมีคนยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ในตอนที่ขี้แตก เหมือนโหลดหนังบิทแล้วไม่ติดไวรัสมา ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า

    ไม่มัวยืนเอ๋อหน้าร้านให้เสียเวลา คยองซูรีบผลักประตูร้าน 

    “อ้าว..ต้องเลื่อนนี่หว่า”  ยิ้มแก้เก้อกับตัวเองแล้วค่อยเปิดใหม่อย่างถูกวิธี  พุ่งตัวเข้าไปที่เคาท์เตอร์ด้วยความเร็วสูงขนาดที่พนักงานต้อนรับยังไม่ทันได้ยกมือไว้

     

    “ขอโทษนะครับ  เห็นหน้าร้านติดว่ารับสมัครพนักงาน ”   ทักทายคนที่ยืนอยู่และคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน

    หญิงสาวผมยาวค่อยๆหันกลับมา  คยองซูรู้สึกเหมือนมีแสงสีขาวออกมาจากพี่สาวคนนี้เลยแหะ วาว สวยจริงๆ   เธอยิ้มขำน้อยๆก่อนวางแก้วเปล่าที่พึ่งล้างเสร็จลงบนชั้นวาง   อา พี่สาวหัวเราะผมหรอ  เห้ยหรือกูเขินผู้หญิงจนหน้าแดงเนี่ย ไม่นะคยองซู

     

    “รับสมัครจ้ะ แต่ไม่ใช่ที่นี่นะ” 

     

    “หะ” 

     

    “ที่รับสมัครพนักงานคือร้านน้องชายพี่จ้ะ กระดาษที่แปะอยู่เค้าเอามาฝากติดไว้เฉยๆ”  พี่คนสวยพูดไปเช็ดแก้วไปด้วยท่าทางดูสบายๆในขณะที่ผมแทบล้มทั้งยืน  หน้าแตกละจ้า

     

    “แต่ร้านน้องชายพี่ไม่ได้ไกลจากตรงนี้มากหรอก จะลองไปดูไหมล่ะ”  เหมือนมีคนมาพยุงไว้ไม่ให้ล้มหน้าทิ่มพื้น อย่างน้อยพี่เค้าก็จะช่วยแนะนำทางไปร้านน้องชายได้

     

    “ครับๆๆ จะลองไปดูครับ”

     

    “ว่าแต่  จะสมัครฝึกงานใช่ไหม เรียนอะไรอยู่ล่ะ”   แล้วเหมือนอีคนที่พยุงกูไว้จะถีบให้ล้มลงไปอีกทีนึง เออ เรียนวิศวคอมมากูจะทำอะไรได้ในร้านขายกาแฟล่ะเนี่ย ยิ่งกว่าโรงงานทำบะหมี่อีกนะเฮ้

     

    “อ่า..คือว่า”

     

    “ซูจอง!!”  กำลังจะตอบแต่ก็มีใครอีกคนแทรกเข้ามาก่อน หันไปหาต้นเสียงก็พบผู้ชายคนนึงซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่ามันเป็นใครหรืออะไรยังไง แต่การที่นางวิ่งเข้ามาหาพี่สาวคนสวยแล้วเบียดผมเซไปอีกด้านของเคาท์เตอร์นี่คืออะไรครับ ที่บ้านไม่สอนมารยาทหรอหรือยังไง  ตัวดำแม่งทุกกระเบียดนิ้วแล้วใจมันยังดำตามตัวด้วย  สักอะไรไม่รู้เต็มแขนเนี่ย อย่าบอกนะแฟนพี่คนนี้ โหย ที่เค้าว่ากันว่าคนสวยมักมีแฟนหน้าตาไม่ดีพึ่งได้เห็นกับตาวันนี้แหละ นางฟ้ากับหมาวัดร้างมันเป็นยังไง 

     

    ร่างสูงก้มมองเด็กหนุ่มที่เผลอเบียดเมื่อกี้โดยไม่ตั้งใจ ก้มมองในที่นี้คือการมองด้วยหางตาเพียงสองวิ แต่เพราะอีกคนตัวเตี้ยกว่ามากเลยต้องก้มหัวต่างหาก ไม่มีการขอโทษหรือแสดงท่าทีว่ารู้ผิดแต่อย่างใด

     

    “เน็ตที่ร้านเป็นไรอีกแล้วไม่รู้อ่ะพี่ ขอเบอร์โทรช่างหน่อย”  อ้าว เป็นพี่น้องกันหรอกหรอ  แล้วแต่นะ จะขอโทษในใจแค่เรื่องที่คิดผิดว่าเป็นแฟนกัน ส่วนเรื่องตัวดำกับลายสักนกกระจิบจะไม่ขอโทษ เพราะมันก็ไม่ขอโทษผมเรื่องที่ชนจนเกือบจะล้ม 

     

    “อ๋า แป้บนึงนะ ครั้งล่าสุดที่เรียกมาไม่รู้ว่าเก็บนามบัตรไว้ไหน”   พี่ซูจอง(เห็นดำมันเรียกงี้) ก้มหานามบัตรช่างให้ดำ  เออแล้วตอนนี้กูก็กลายเป็นอากาศธาตุไปแล้วเรียบร้อยครับ  หื้ม  วันนี้จะได้ไปไหมร้านน้องชายเนี่ย

     

    เห้ยเดี๋ยว  เมื่อกี้ไอ้ดำมันเรียกพี่สาวคนนี้ว่าพี่นี่

     

    หรือว่า

     

     

    พี่เค้ามีน้องชายหลายคนมั้ง  ไม่หรอก

     

    “อ้อจงอิน” หญิงสาวเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมผายมือมาทางคยองซู  “เด็กคนนี้จะมาสมัครฝึกงาน ส่วนน้อง นี่น้องชายพี่ เจ้าของร้านที่จะรับพนักงานจ้ะ” เธอยิ้มหวานให้ทั้งสองคนแล้วก้มลงไปหานามบัตรต่อ ปล่อยให้คยองซูและจงอินยืนทำหน้าเอ๋อใส่กันสักพักก่อนคนสูงกว่าจะเริ่มปริปากพูดก่อน

     

    “เรียนไรมา  หน้าตางี้อ่ะนะจะทำงานร้านกู?”   ดูอีดำครับ ถามกวนส้นตีนแล้วยังมาเลิกคิ้วใส่ มันคิดว่ามันหล่อมากไหม หูย แล้วขึ้นกูมึงกับคนที่พึ่งเจอกันครั้งแรกเท่มากดิ่ 

     

    “จงอินนา นายทักทายคนที่พึ่งเจอกันครั้งแรกด้วยประโยคแบบนี้หรอหื้ม”  ซูจองเคาะกระดาษใบเล็กเบาๆที่หัวชายหนุ่ม  อา พี่สาวนอกจากจะสวยแล้วยังจิตใจดีแถมยังรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ด้วย นี่มันเนื้อคู่กันชัดๆ แต่จะว่าไป เป็นพี่น้องกันทำไมต่างกันราวฟ้ากับเหวงี้วะ อีดำนี่ลูกเมียน้อยชัวร์

    “เออช่างมันเหอะ เอานามบัตรมาจะรีบโทรหาช่าง มีคิวสักอีกเนี่ย”  จงอินก้มมามอง(ผ่านๆ)คนข้างตัวอีกครั้ง เขาไหวไหลอย่างไม่แคร์ก่อนแบมือตรงหน้าพี่สาวแท้ๆ แต่ทว่าซูจองดันยื่นนามบัตรไปทางคนตัวเล็กกว่าที่ยืนใบ้แดกมาได้หลายนาทีตั้งแต่จงอินเดินเข้ามา 

    “เอามาให้ผมดิ่”  ผมจะยื่นมือไปคว้านามบัตรที่พี่ซูจองยื่นให้ไอเตี้ยแต่เธอก็ดันไวกว่าชูกระดาษแผ่นเล็กขึ้นเหนือหัวพร้อมใช้มืออีกข้างชี้หน้าผม   เอ้าละนี่ทำอะไรผิด  ไม่อยากคุยกับคนแปลกหน้านี่ผิดอะไร  จะให้หันไปยิ้มทักทายโบกมือหยอยๆก็เฟรนลี่ไปอีก ไม่ใช่แนวว่ะ

    จงอินทำหน้าไม่เข้าใจอยู่สามวิในขณะที่ซูจองยัดนามบัตรใส่มือคยองซู   ถึงจะงงนิดหน่อยแต่เด็กหนุ่มก็รับไว้  เมื่อกี้ได้แตะหลังมือนูน่าด้วยแต่จะไม่บอกเดี๋ยวโดนหมั่นไส้

     

    “พี่ให้คยองซูไปแล้ว”  หญิงสาวยักไหล่ตามที่จงอินทำ  “ไปขอจากเขาเองนะ”  ยิ้มหวานอย่างที่ทำประจำแล้วซูจองก็หยิบเมนูเดินออกไปหาลูกค้าที่นั่งรอ

     

    ตัดภาพมาที่คนคนนึงซึ่งไม่ได้พูดอะไรสักพักแล้ว ไม่มีแม้แต่โอกาสจะเถียงหรือปฎิเสธอะไรเลย   เอาล่ะ   คยองซูคิดว่าเขาน่าจะไปหาร้านกาแฟใหม่เพื่อนั่งเล่นและล้มเลิกความคิดเรื่องสมัครงานร้านอีดำเวรนี่  มันเป็นร้านสัก ไม่ตรงกับอะไรที่เขาเรียนมา เหนือสิ่งอื่นใดถ้าจะต้องเอาคนพรรคนี้มาสอนงานให้คงเป็นไปไม่ได้  อย่าว่าเคมีไม่ตรงกันเลย ปากแบบนี้คือเคมีมึงไม่ตรงกับใครหรอก

     

    กำลังคิดว่าจะคืนนามบัตรให้แต่พอเห็นหน้าดำๆของมันเมื่อคิดไม่ออกว่าจะโทรตามช่างยังไงดี เพราะนามบัตรอยู่กับเขา หึ  ไม่กล้าขอใช่ไหมล้า  

     

    “มานี่”

     

    “หะ..หะ เห้ยเดี๋ยวพี่”  เอ้าอยู่ดีๆอีดำมันลากผมออกมาจากร้านเฉยเลยครับ จะพาไปไหน เฮลโหล้! เดินเร็วแบบนี้ให้เกียรติความสั้นของขากูด้วย  อีเฬวหวกสหากกด่ด่ด่เพ้นเพ้เ

     

    คยองซูปล่อยให้อีกคนกึ่งลากกึ่งจูงมาตามทาง   ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจเพราะว่าถ้าออกปากไปตอนนี้อาจจะโดนเสยคางด้วยหมัดของอีดำ คาดคะเนจากขนาดตัวแล้วขอไม่สู้ดีกว่า บาย

     

     

    “กูรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นใบ้และฟังกูอยู่”  จงอินเปิดบทสนทนาโดยไม่หันมามองข้างหลัง ร่างโปร่งไม่ได้ตัวใหญ่มากแต่ใหญ่พอที่จะบังถนนคนเดินทั้งเส้นในสายตาของคยองซู  หันซ้ายก็แผงเสื้อยืด หันขวาก็ร้านขายน้ำปั่น มองหลังไม่ได้  มองหน้าก็เจอแต่แผ่นหลังและซอกคอดำๆ ขออะไรจำเริญหูตากว่านี้ได้ไหม

     

     “ตอบกูด้วย”

    โอ้ยไม่ตอบก็คือไม่อยากคุยด้วยไม่เข้าใจหรอโง่จัง’  <สิ่งที่คิด

    “คะ..ครับผม”  <สิ่งที่พูด

     


    จริงๆคยองซุอาจจะคิดไปเองว่าระหว่างทางมีทั้งวัยรุ่น เด็กไปจนถึงคนแก่ ชายแท้ชายเทียมไม่เว้นแม่แต่หมาข้างทางหันมามองตามพวกเรา  เออไม่ใช่เอาใหม่ หมายถึงมองผมกับอีดำตลอดทาง









    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------






     

    จงอินเดินช้าลงก่อนปล่อยมือคยองซู   เขาเดินออกจากพิกัดสายตาทำให้เด็กหนุ่มพึ่งเห็นว่าโดนคนดำลากมาที่ร้านสักของตัวเอง 


    “สรุปมึงจะฝึกงานที่นี่ให้ได้ใช่ไหม”   ร่างสูงยืนพิงประตูกระจกที่ติดฟิมล์ดำจนแทบมองไม่เห็นว่าข้างในเป็นยังไงโดยไม่รู้ว่ามีคนนึงกำลังแช่งให้ใครสักคนเปิดประตู  จะดันจะผลักก็ได้  ขอแค่ให้มึงล้มฟันเฉาะพื้นพูดไม่ได้อีกสักสามเดือน


    “ทำไมพี่พูดเหมือนผมว้อนอยากทำงานร้านพี่มาก ได้ข่าวว่าลากมาเองกับมือไม่ใช่”  น่าน เอาแล้วไง อีดำถึงกับคิ้วกระตุก  รีกลับไปตะปบปากตัวเองก็ไม่ได้อีก  พูดเมื่อกี้นี่พลีชีพสัสๆ  เอาวะ ยังไงก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำงานร้านสักอยู่แล้ว  อย่างน้อยก็แค่โดนไล่ตะเพิดหาทางกลับเอง  มากหน่อยคงโดนต่อยหรือไม่มันอาจจะเรียกลูกน้องในร้านมากระทืบข้อหาพูดจาล่อตีน

     

    จงอินดีดตัวออกจากประตูร้านเข้ามาหาคยองซูทันทีเมื่อได้ยินประโยคแสลงหู  พอดีกับที่มีคนเปิดประตูเดินออกมา  ถ้าสังเกตสักนิดจะเห็นแววตาแอบเสียดายของคยองซูที่เขาไม่ล้มฟันเฉาะพื้น



    “มึงว่าไงนะ” แต่ก่อนจะเสียดายที่อีกคนไม่เป็นอย่างที่แช่งไว้คยองซูควรเสียดายชีวิตตัวเองก่อนเพราะหลังจากนางดีดตัวเข้ามาชาร์จผมไว้ประหนึ่งไปปล้นบ้านมันอีดำก็ดึงคอเสื้อผมซะตัวแทบลอย โอย จะเมื่อยขาหรือกลัวตายก่อนดี เลือกไม่ถูก

     


    …..”  ที่บ่นยาวในใจเป็นพารากราฟนี่ไม่ใช่ไม่กลัวนะ จริงๆตัวหดเล็กกว่าจิ๋มมดแล้วล่ะ หน้าชามือไม้เย็นไปหมด แต่เราจะเกร็งหน้านิ่งสู้ เก่งมากเนี่ยเรื่องเก็บความรู้สึก คยองซูเอ๋ยเจ้าจงยืนหน้ามึนต่อไป

     

     

     

    “กวนตีนนะมึงอ่ะ ทีงี้ทำไมไม่พูด”  เขย่าคอเสื้อให้ตัวมันสั่นเล็กน้อยแต่มันก็ยังไม่ยอมพูดอยู่ดีครับ ไอเด็กนี่ หน้าไม่แสดงอารมณ์อะไรสักอย่างกูจะรู้ไหมว่ามึงกวนหรือกลัวจนช็อค

     

    ยังอีก ยังยืนนิ่งอีก  เออปล่อยแม่งก็ได้วะนับถือในความตีหน้ามึน   มือหนาปล่อยคอเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เริ่มยับจากฝีมือของเขาเอง  แอบได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากมันด้วยแหละ ที่แท้ก็เก็บอาการนี่เองเตี้ย


    “ฮ่าฮ่า”   


    “หัวเราะอะไร”  เตี้ยมันคงงงที่ผมหัวเราะเลยเงยหน้าถามไปพร้อมๆกับจัดเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง  จริงๆเมื่อกี้ไม่ได้โกรธหรอก คนกวนตีนอ่ะเจอมาเยอะ  แต่พอผมจะสวนกลับด้วยกำลังก็หัวหดยกมือไหว้กันแทบไม่ทัน มีไม่กี่คนที่ตีหน้ามึนใส่แบบนี้ หนึ่งในนั้นคือไอ้นี่แหละ

     

    “หัวเราะมึงอ่ะ”  

     


    “ตลกมาก?”   ยิงคำถามมาซะกูหยุดขำแทบไม่ทัน  ไปต่อไม่เป็นเลยเนี่ย   “ก็มึงเตี้ยจนน่าขำ”   แถแบบกากๆแล้วค่อยเนียนเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า คิมจงอินสไตล์  “เออน่า จะสมัครไหมงาน ช้ากูไม่รับนะ”

     


    อีพี่ดำ(เปลี่ยนคำเรียกให้นิดนึงเพราะมันอุตส่าไม่ต่อย) เรียกผมแล้วเดินไปหยุดรอที่หน้าประตูเหมือนเดิม ผมเดินตามไปยื่นกระดาษนามบัตรให้ตรงหน้า  “อะ เอาไป แล้วก็จะบอกว่าผมคงไม่ได้ทำงานร้านพี่หรอก ไม่ได้กวนตีนด้วย จริงๆตั้งใจจะบอกตั้งแต่ที่ร้านกาแฟแล้วแต่พี่แม่งลากผมมาก่อนไม่ถามอะไรเลย”

     

    คิมจงอินถึงกับหน้าหล่าครับ ไม่เคยโดนปฎิเสธ เด็กที่ไหนก็อยากฝึกงานร้านพี่นะเว่ยน้องเตี้ย

    “อ้าวแล้ว..?”  ผมทำหน้างงใส่มันเป็นเชิงว่าให้รีบอธิบายเหตุผลที่จะไม่ฝึกงานต่อ  “ผมเรียนวิศวคอม คือก็ไม่รู้จะใช้ความสามรถด้านไหนที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับร้านสักว่ะพี่”  ไอ้เตี้ยไหวไหลเล็กๆของมันก่อนพูดต่อ   “ที่จะบอกก็มีแค่นี้  ไปนะ”

     

    คยองซูหันหลังเดินกลับไปทางเดิมก่อนเจ้าตัวจะหยุดแล้วหันกลับมา แว้บนึงจงอินคิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนใจเลือกฝึกงานที่ร้านสักของเขา

    “ผ่าหมาออกจากปากด้วย ถ้าเจอกันอีกหวังว่าจะสุภาพกว่านี้นะพี่”  เด็กหนุ่มพูดในขณะที่เดินถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนค่อยๆหันหลังกลับไปเดินแบบเดิม

     

    จงอินยืนมองเด็กคนนั้นเดินออกไปจนแทบลับสายตาทั้งๆที่ยังไม่รู้จักชื่อ

    จงอินรู้สึกเสียดายที่เด็กนั่นไม่ได้มาฝึกงานที่ร้านเขา

    ทำไมอ่ะ ?

     

     

     

    “มึง!! เดี๋ยวก่อน!!

     

     







     100%

     

     

     

     ชอบไม่ชอบยังไงเม้นติชมได้หนา  สกรีมแท็ก #ฟิคช่างสัก 


    รักๆจุ๊บๆ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×